บุพพการี

สิติยะ ป.

คำนำ
.
         กตัญญูกตเวที  แม้จะเป็นสิ่งที่สังคมโดยส่วนรวมปรารถนาอยากที่จะเห็นจะทำให้ปรากฏมีมาและชัดขึ้น   หากจะคิดดูอีกทีย่อมเป็นไปได้ไม่ง่ายนัก   ด้วยสภาพสังคมปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไป   ตามกาลเวลาของยุคสมัยวัตถุนิยม    สิ่งเหล่านี้ได้เข้ามาบดบังคุณธรรมเสียจนเกือบสิ้น    ความที่เคยสว่างไสวแห่งคุณธรรมทั้งหลาย   กำลังจะมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน   ความเห็นแก่ตัว  และสิ่งที่เรียกว่าอธรรมเริ่มปรากฏตัวชัดเจนขึ้นประดุจน้ำลดตอโผล่
          จึงเป็นเหตุให้ผู้เขียนในฐานะเป็นบุคคลหนึ่งที่ดำรงชีวิตอยู่ร่วมสังคมนี้   ขอปวารณาตัวกระทำในสิ่งที่พึงกระทำตามอัตภาพ  โดยจะคอยกระตุ้นเตือนให้เราท่านทั้งหลาย  ได้หวลคิดคำนึง  มองย้อนไปยังมโนภาพในอดีต  เพื่อร่วมใจกันเรียกร้องเอาคุณธรรมแห่งความกตัญญู   พร้อมกับวัฒนธรรมดั้งเดิมอันดีงามของไทยให้กลับคืนมา   ทั้งยังจะคอยสะกิดใจท่าน   เฉกเช่นการกระเพื่อมเป็นระลอกของผืนน้ำ  ทั้งยังจะขอเป็นกำลังใจให้  แด่ท่านผู้มีคุณธรรมที่ยังคงหลงเหลืออยู่
          หากจะบังเกิดความดีงามขึ้นในสังคมด้วยเพราะหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนคงปลื้มปิติอย่างหาประมาณมิได้ และขอยกความดีความชอบทั้งหลาย มอบแด่บุพพการีชั้นต้นทุกท่านด้วย  เทอญ.
สิติยะ ป
เสาร์  14   มกราคม  2549
ป 1
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐       
          แม้กาลเวลาจะล่วงเลยผ่านพ้นมาหลายปีดีดัก ข้าพเจ้าก็ยังสามารถจดจำลำดับภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ  ที่เกิดขึ้น และผ่านเข้ามาในชีวิตได้อย่างแม่นยำ  เสมือนเพิ่งเกิดขึ้นวันนี้  เมื่อวาน      ก็เมื่อชะตาฟ้าลิขิตชีวิตให้ต้องเดินทางมาถึงจุด ๆ หนึ่ง      และหยุดพักเพื่อพินิจพิจารณาในสิ่งอันได้ผ่านพ้นไปในคราครั้งอดีต      นี่กระมัง !   ที่พระธรรมคำสอนขององค์พระศาสดาในพระพุทธศาสนาบทหนึ่ง    ท่านกล่าวว่า      ชีวิตนี้น้อยนัก      ดูเหมือนจะเป็นดังเช่นนี้แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย    เหตุเพราะสามารถพิสูจน์ได้ด้วยกาลเวลา และตัวของมันเอง    อ้อ ..!  ตัวข้าพเจ้าเองด้วย      ยิ่งอายุเพิ่มจำนวนมากขึ้นเท่าใด    หลักสัจจะธรรมของพระองค์       ก็ยิ่งผุดขึ้นให้ได้เห็นได้พิจารณามากขึ้นเท่านั้นโดยลำดับ ดังคำกล่าวที่ว่า      กว่าจะรู้ว่าชีวิตคืออะไร ?    เราก็ใช้ชีวิตไปครึ่งหนึ่งแล้ว     หรือไม่ ?    อย่างไร ?     ยิ่งบุคคลในบางกลุ่มบางลักษณะที่ยังเกิดความลุ่มหลงมัวเมาระเริงอยู่     หาได้ฉุกคิดไม่ว่า   พยามัจจุราช ได้ย่างกรายเข้ามาใกล้เฉียดฉิวไปมาก็หลายครั้ง    โดยได้แสดงให้เห็น    ในรูปแบบของเคราะห์กรรม หรือ อุบัติเหตุเภทภัยต่าง ๆ นา ๆ    บางครั้งจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด         ในบางครั้งถึงกับต้องสูญเสียอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งไปก็มี   เปรียบดังการถูกโบยถูกเฆี่ยนตีด้วยแส้หวายอาบน้ำเกลือ     เพื่อคอยเตือนสติว่าหยุดนะ..อย่านะ..ไห้ทำดีนะ..! หากแต่ยังไม่สามารถไขปริศนาธรรมในข้อนี้ได้ก็น่าจะถือได้ว่าเป็นโมฆะชีวิตไปโดยปริยาย  ไม่คิดก็น่าคิด ..โลภ  โกรธ  หลง     ซึ่งเป็นอภิมหากิเลสอันมีฤทธิ์มาก และยิ่งใหญ่ประจำโลก   ให้พากันหมั่นรดน้ำพรวนดินเข้าซิ !     คงจะได้เหมือนเหล่าเส้นผมที่ถูกหวีเป๋ลงมาปะหน้า  คราวนี้แหละคงจะได้พากันคลำหาเส้นทางแห่งสวรรค์พระนิพพานกันจ้าละหวั่น    ทั้ง ๆ ที่ต่างก็รู้ว่ามิอาจดำรงค์ชีวิตอยู่ให้ถึง  100  ปี  แค่  70  ก็ถือว่ายาก
          ปีพุทธศักราช  2524 เป็นปีที่ครอบครัวของข้าพเจ้าล่วงลุถึงคราวอัตคัตขัดสน จนเกือบจนตรอก แม้ข้าวสารจะกรอกหม้อในแต่ละมื้อนั้น    จะมีก็หาไม่   จำต้องดิ้นรนขวานขวายเสาะแสวงหาเลือดตาแทบกระเด็น !   แม้จะเป็นลูกชายคนโตในจำนวนพี่น้องทั้ง 4     แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไร้เดียงสาไปเสียทุกเรื่อง  ทุกอย่างทุกประการ จิตใต้สำนึกอีกหัวคิดที่จะหาเงินมาจุนเจือคอยแบ่งเบาภาระของครอบครัวในแต่ละวัน    ก็บังเกิดขึ้นได้น้อยมาก  หรือไม่เกิดขึ้นเลย    ความสนุกสนานที่ไม่เคยเป็นน้อย เข้ามามีบทบาทเป็นภูเขาเลากา  คอยบดบังเส้นขนของตาอยู่เสมอฉันนั้น
          กระทั่งขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่  2  จึงถึงบางอ้อ เกิดความสำนึกเกิดความรู้สึกนึกคิดที่ดีกับเขาบ้างว่า ..เงินทุกบาททุกสตางค์ ที่บิดามารดาท่านได้หยิบยื่นให้  เป็นค่าขนม   ค่ากับข้าว   ค่าเสื้อผ้าอาภรณ์   ตลอดถึงค่าเทอม ๆ ละไม่กี่ร้อยบาทนั้น   มันคือเม็ดเงินที่ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน ด้วยความยากแค้นแสนเข็ญของท่าน 
ป 2
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
     ด้วยกุศลใดไม่ปรากฏ     นับแต่นั้นเป็นต้นมาโรงเรียนหยุดเสาร์อาทิตย์ในทุกครั้ง ข้าพเจ้าจึงมิได้หยุดพักเหมือนเหล่าผองเพื่อนอันเป็นที่รักทั้งหลาย  ซึ่งแน่นอนละ    ที่พวกมันต่างจะต้องนั่งต้องนอนดูโทรทัศน์   อยู่กับเหย้าเฝ้าเรือนสบายใจเฉิบ !    มิหนำซ้ำวันจันทร์โรงเรียนเปิดเรียน   พวกมันยังนำเอาเรื่องราวที่ได้มีโอกาส มีบุญพาวาสนาส่งได้ดูได้ชม   มาบรรยายขยายความให้ข้าพเจ้าได้สดับตรับฟังได้เห็นภาพอย่างชนิด จะ จะ ตา   โดยเฉพาะละครประเภทจักร์ ๆ วงค์ ๆ   แต่ดูข้าพเจ้าซิ !     ต้องทนฝืนใจตื่นแต่ไก่โห่ เตรียมตัวเพื่อไปรับจ้างกับแม่เป็นรายวันบ้างหรือเหมาบ้าง  เช่น  หักข้าวโพด  ข้าวฟ่างคิดเป็นกระสอบป่าน  เก็บถั่วเขียวคิดเป็นกระบุง  ปลูกอ้อย  มันสำปะหลัง  ดายหญ้าคิดเป็นรายวัน  ฯลฯ    สารพัดงานที่จะต้องทำ   ครั้นพอถึงเช้าของวันจันทร์ก็จะจัดตารางสอนเตรียมตัวไปโรงเรียนตามปกติ    เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น   
      ค่าแรงรายวันขณะนั้น   25  30  บาท   สำหรับผู้ใหญ่ ตัวข้าพเจ้าเขาให้วันละ  15  บาท เพราะเป็นเด็กยังมิเดียงสา    แต่ก็ต้องสู้ต้องใช้ความอดทนแสนสาหัส  เพราะหาไม่แล้ว    ความเป็นอยู่ในครอบครัวคงจะแย่ลงไปกว่านี้    ข้าพเจ้ามีความสงสารแม่เป็นที่สุด   เพราะท่านต้องแบกรับภาระโดยการไปรับจ้างเช่นนี้เป็นวันไป    สุดแต่ว่าฤดูนั้นเป็นช่วงผลผลิตทางการเกษตรชนิดใด   ส่วนผู้เป็นบิดาก็ต้องขึ้นเขาเข้าป่าหาของป่า  และสัตว์ป่าลงมาขาย   หรือไม่ก็แลกเปลี่ยนเป็นข้าวสารบ้าง   เงินบ้าง   กับข้าวกับปลาบ้างแล้วแต่โอกาส โดยมีเพื่อนคู่ใจคือปืนแก็ป !  ซึ่งเป็นปืนกระบอกเดียวในหมู่บ้านที่มีตราทะเบียนจากทางการประทับไว้ เพื่อรับประกันว่าถูกต้องตามกฏหมายในขณะนั้น  
               วันหนึ่ง  เมื่อกลับจากโรงเรียนในตอนเย็น และเปิดประตูเข้าบ้าน   ข้าพเจ้าต้องแปลกใจเป็นอย่างมากเมื่อพบว่า     มีร่างของใครคนหนึ่งนอนตะแคงคลุมโปลงอยู่บนพื้นมุมห้อง  จำได้ว่าผ้าห่มผืนนี้    ลายอย่างนี้    เป็นของแม่ !!   ไวเท่าความคิด ข้าพเจ้ารีบวิ่งไปยังร่างที่นอนอยู่นั้นด้วยความร้อนรนระคนห่วงใย     พร้อมกับรีบเปิดผ้าห่มออกดู  ให้ตายเถอะ! .. เป็นแม่จริง ๆ 
ป 3
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
          ใบหน้าเนื้อตัวแม่บวมปูด ผิวคล้ายรอยไหม้เป็นจ้ำ ๆ จุด ๆ ริมฝีปากที่พยายามเผยอปล่อยคำพูดออกมาช่างยากเย็นแสนเข็ญนัก .คงจะเนื่องด้วยความเจ็บปวดทรมาน ข้าพเจ้าพูดไม่ออกได้แต่นิ่งอึ้งรับฟังคำบอกเล่าถึงเหตุการณ์จากปากของแม่อย่างสงบ  ไม่มีแม้แต่คำถาม และคำโต้แย้งใด  ๆ  ทั้งสิ้น
            มื่อคืนนี่   เจ้าของไฮเขาไปเอาเผิ่ง  แม่มันยังวนกกไม้กกนั่นอยู่มูกูบ่หู้  กะพากันตัดอ้อยไป๊  ตัดไป  มันตอมอีสีกอน  อีนั่นกะหุนหวย  มันเลยเอาผ้าไล่ปัดสั่นแหล่วบาดนี่ มูมันจักมาแต่ทางใด๋ ..ไล่อีสี อีนั่นกะแลนอ้อมทีบอยู่ กูเห็นกูกะแลนหั่นแหล่ว   จ๊าก  วา  มาแต่ทางใด๋แนบาดนี่ เทิงไล่เทิงตอดกู จนได้หมูบเอาซือ ๆ วะ  อีสี .. คันกับไฟมันจูดติดนั่นตี  แมมันใหม้เมิ๊ดละวะป่าอ้อย  
          สรุปแล้วได้ความว่า  เจ้าของไร่พาไปฉีดยา  1  เข็ม ให้ยามาถุงใหญ่แล้วให้ลูกน้องเอารถมาส่งที่บ้านดังกล่าว ข้าพเจ้าให้นึกคลายใจ แต่ก็อดเวทนาไม่ได้ กระนั้นก็แอบภาคภูมิใจเล็ก ๆ ว่า ครั้งหนึ่งแม่คงจะได้เคยเกิดร่วมภพร่วมชาติในคราครั้งสมัยพ่อขุนรามคำแหงเป็นแน่แท้ กูและมึงจึงวิ่งให้พล่านไปหมด
          แม้จะมีความอุตสาหะพยายามอย่างยิ่งยวด     ในการประกอบสัมมาอาชีวะตัวเป็นเกลียวถึงปานนั้นรายได้ก็แทบไม่พอจุนเจือครอบครัวน้อง ๆ ทั้งสามก็ล้วนแต่อยู่ในวัยที่กำลังกินกำลังนอนทั้งสิ้น หลายครั้ง   เงินที่มีอยู่ถูกนำไปใช้จ่ายในส่วนอื่นเพราะความจำเป็น แม่..ใช้ความพยายามที่จะหาหนทางนำข้าวสารมากรอกหม้อ   หุงหาเพื่อให้ลูก ๆ อันเป็นชีวิต และดวงใจของท่านทั้ง   4   ได้กินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ     ท่านบอกกับข้าพเจ้าว่า  
            หล่าพาน้องกินเข่าซะเด้อลูก   พอกับแมกินอิ่มแล้วละ  
ท่านพูดเช่นนี้เรื่อยมา นาน ๆ ครั้ง   ที่พ่อแม่ลูกจะได้มีโอกาสกินข้าวด้วยกันให้พร้อมหน้าพร้อมตาสักครั้งหนึ่ง      แม้ข้าวปลาอาหารจะไม่เป็นอาหารชั้นเลิศเหมือนผู้ดีตีนแดงเขากินกัน      แต่มันก็อร่อยมากสำหรับครอบครัวเล็ก ๆ ของข้าพเจ้า 
          แปลกนัก! นี่กระมัง! ที่ผู้คนในยุคสมัยปัจจุบันจึงขนานนามของพฤติกรรมเช่นนี้ว่า มันคือการทำให้เด็กขาดความอบอุ่น  แต่สำหรับตัวข้าพเจ้า และน้อง ๆ   มิอาจเอื้อมที่จะคิดเช่นนั้นได้ แม้เพียงปลายก้อย  อาจจะเนื่องด้วยการเคยถูกอบรมบ่มนิสัยมาตั้งแต่เด็กและมักจะได้ยินได้ฟังมาเสมอว่า  การที่จะได้เกิดมาเป็นคนนั้น มันยากยิ่งนัก และการที่จะได้เกิดมาบนกองเงินกองทองยากเสียยิ่งกว่า  แม้จะเลือกเกิดไม่ได้   แต่เราก็สามารถเลือกเป็นคนชั่วหรือคนดีได้มิใช่หรือ ?   แล้วจะเรียกร้องหาอะไร 
          ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าจับได้ว่า   กับข้าวกับปลาที่ลูก ๆ ของท่านได้กินกันอย่างอิ่มหนำสำราญเอร็ดอร่อยนั้น ท่านทั้งสองไม่ได้แตะต้องมันเลยแม้แต่เม็ดเดียว .ครั้นตกดึก! ทุกคนหลับสนิท  ท่านจึงได้นำเอาหัวมันสำปะหลังที่ขุดไว้มาเผาไฟ และต้มกินแทนข้าว ข้าพเจ้าพูดไม่ออก สายตาดวงน้อย ๆ ทั้งคู่ที่กำลังแอบดูพฤติกรรมของท่านอยู่    เริ่มมีหยดน้ำใส ๆ ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว แม้ขณะที่กำลังเขียนเรื่องนี้อยู่    ก็มิอาจอดกลั้นน้ำตาไว้ได้ ถึงอายุจะปูนนี้ก็เถอะ มันตื้นตันใจ  มันหดหู่ใจ มันเศร้าโศกเสียใจ       และสะท้อนสะท้านใจในความเอน็จอนาถของชีวิตจนบอกไม่ถูก  โลกนี้ช่างไม่มีซึ่งความยุติธรรมเอาเสียเลย ใครกันหนอกำหนด ?  ใครวะ !?   
          ความรู้สึกต่าง ๆ โถมทับประเดประดังหลั่งไหลเข้ามาแทบตั้งตัวไม่ติด โถดูเอาเถิด !  นี่นะหรือ ที่ชนทั้งหลายเขาใช้สรรพนามเรียกกันเป็นแต่เพียงคำพูดสั้น ๆ  ว่าพ่อ ว่าแม่  ? นี่นะหรือ ? ที่เขาขนานนามท่านทั้งสองว่าเป็นพระพรหมของลูก ?  มันช่างเป็นสรรพนามที่ใช้เรียกกันมักง่ายนัก 
          เรียกขานกันมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย   ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่   จนเกิดความเคยชิน   พึ่งจะได้มาเห็นคุณค่า  และซาบซึ้งใจในบัดนี้    
          แม้ท่านทั้งสองจะหลับไปแล้ว        ด้วยความอ่อนเพลียจากการงานตลอดทั้งวัน แต่ข้าพเจ้ายังแอบเช็ดน้ำตาสะอื้นอยู่คนเดียวจนเก็บไว้ไม่ไหว       
ป 4
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
            เป็นหยังหล่าลูก ! 
แม่คงตื่นขึ้นมานั่งอยู่ใกล้ ๆ มือเล็ก ๆ ของข้าพเจ้าดึงมือของแม่ที่ลูบหัวอยู่มาวางไว้แนบแก้ม  รู้สึกถึงความรักความอบอุ่นที่ใจบอด ๆ ดวงนี้ ไม่เคยมองเห็น  รักอื่นใดไหนเล่าจะเท่าแม่รักแล้วรักอื่นใดไหนเล่าจะเท่าลูกรักแม่     
            มันฝันเดนี่เถ่า       
ท่านหันไปพูดกับพ่อน้ำเสียงอ่อนลงเต็มเปลี่ยมไปด้วยเมตตาพรางเช็ดน้ำตาให้ข้าพเจ้า  
            นอนสาเด้อลูกเด้อมื่ออื่นสิไปโรงเรียนหั่นน่า      
ท่านผละไปแล้ว  แต่ข้าพเจ้าไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ โดยง่าย ความโกรธความเกลียดที่เคยถูกดุ  ถูกว่าด่าทอ ทั้งถูกเฆี่ยน  พร้อมกับคำสั่งสอนอบรมที่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่เล็กจนโต  ที่คิดว่าผิด   ที่คิดว่าเป็นคำพูดที่ประสงค์ร้าย   ที่คิดว่ามันถูกเปล่งออกมาด้วยความจงเกลียดจงชัง !  มันค่อย ๆ เลือนลางจางหาย หายไปหายไป จะเหลือก็เพียงความคิดที่ผุดขึ้นมา ให้นึกตำหนิเคียดแค้นชิงชังตัวเองเหลือประมาณ    ท่านจะรู้ไหม ?   ลูกโง่ ๆ  ของท่านคนนี้  เกิดความสำนึกผิด นึกถึงบาปอย่างมหันต์ อันมีในหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งได้รับรู้ได้ศึกษาแต่ภายหลัง    พ่อด่า พ่อเฆี่ยน ก็โกรธ และเกลียดพ่อ  แม่ดุด่า  แม่เฆี่ยน  ก็โกรธ และเกลียดแม่ ด้วยความมิเดียงสาเสียนี่กระไร  โง่จริง ๆ  เจ้าโง่เอ๊ย !
          " ... เช็ดน้ำตา เถิดลูก อย่าผูกจิต
            แม้ความผิด ทำมา ห้าร้อยหน
            แม่ก็รัก ลูกของแม่ แน่ทุกคน
            หากกลับตน ทนฝืน แม่ชื่นใจ ... "
                                  ว วิศลิษ
ป 5
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐ 
          นี่กระมังที่โบราณว่า ความรักของพ่อของแม่เทียบเทียมผืนแผ่นฟ้ามหาสมุทร ผู้ที่ใช้ชื่อว่า ลูก ทุกคน ไม่สามารถทดแทนพระคุณให้หมดสิ้นได้ ทั้งในอดีตชาติ ปัจจุบันชาติ และ หรือ ชาติต่อ ๆ ไป  สายใยแห่งห่วงลูกโซ่  จะคอยเสริมต่อเติมปรุงแต่งแผ่ใยไปไม่มีที่สิ้นสุด ข้าพเจ้าอยากบอกท่านทั้งสองว่า
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
          " ... แม้ลูกจะเกิดมาในฐานะที่ต่ำต้อย ... ไร้ซึ่งทรัพย์สินเงินทอง ในครอบครัวที่ยากจนแสนเข็ญของพ่อแม่ แต่ลูกก็ภาคภูมิใจเป็นที่สุด ที่มีวาสนาได้เกิดมาร่วมภพร่วมชาติ ... ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อของแม่ ปรารถนาให้ทั้งพ่อและแม่มีความสุข ลูกก็พอใจแล้ว ... "
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐ 
               หลายปีแล้ว  หลังวันสงกรานต์  4  5  วัน  แม้จะบวชเป็นพระอยู่  ข้าพเจ้าก็ยังคงจัดดอกไม้ธูปเทียนและข้าวของเครื่องใช้พอประมาณ ฝากน้องทั้งสาม   ขอขมาลาโทษท่าน และเพื่อระลึกนึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ไพศาลตลอดความรักความเมตตา ความปรารถนาดีที่มีต่อลูกของท่านมิได้ขาด ด้วยข้าพเจ้ายึดถือว่า พ่อแม่มีพระคุณสูงส่ง พ่อแม่เป็นเทวดา  พ่อแม่เป็นพระพรหมของลูก ใครจะคิดหรือไม่ ?  ก็สุดแท้แต่ใจจะใขว่คว้าเถิดนะ  เพราะนี่คือตัวตนและจิตสำนึกแห่งกมลสันดานที่แท้จริงของข้าพเจ้า คงไม่สายหรอกนะ  ที่จะแสดงให้ท่านได้เห็น ได้รับรู้ ได้ปลาบปลื้มใจ ได้มีความอิ่มเอมชื่นชมยินดีในขณะที่ท่านยังมีชีวิตหลงเหลือให้ได้กราบไหว้บูชาอยู่ ในทางตรงกันข้าม หากกมลสันดาน   เกิดฉุกคิด มาสำนึกเอาได้  ต่อเมื่อท่านได้จากไปเสียแล้วล่ะ  ไม่อยากคิด !
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
          คงมีสิทธิ์ เพียงเป็น เช่นหิ่งห้อย
     ที่จักคอย เตือนจิต มิตรทั้งหลาย
     ให้เห็นค่า หญิงหนึ่ง รวมถึงชาย
     อันผูกหมาย ว่าแม่ แลบิดา
          จะสื่อให้ เพียงรู้ ว่าผู้รัก
     เฝ้าฟูมฟัก หนักแน่น ดุจแผ่นผา
     ป้อนข้าวน้ำ อุ้มชู เลี้ยงดูมา
     ดุจแก้วตา ดวงใจ ผู้ใดเอย.
                        ว วิศลิษ
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ป 6 จบ
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
          หลายปีแล้วเมื่อถึงวันแม่  12  สิงหาคม  ของทุกปี  ข้าพเจ้าจะเดินทางกลับบ้านเพื่อไปเยี่ยมแม่  จัดซี้อข้าวของเครื่องใช้ในครัวเรือนที่คิดว่าขาดและแม่กำลังต้องการอยู่ ไปให้   แม้จะใช้งบประมาณปีละถึง 500  600 บาท    ก็ตาม    แต่ถ้าหากปีใดที่ข้าพเจ้าไม่มีเงิน   ก็จะใช้ความพยายามขวานขวายหา  แม้จะต้องขอหยิบขอยืมเพื่อนพระด้วยกันก็ยอม 
             จ๊าก  วาซื่อมาเฮ็ดหยัง   เปลืองเงินเปลืองทอง  มีหลายกะเก็บไว้แนเปี๊ยงลูกเอ้ย         
          คำพูดของแม่แม้จะเคยได้ยินได้ฟังอยู่บ่อย ๆ จนชิน แต่ก็เปรียบเสมือนน้ำยาซัลไลด์กระเด็นใส่จานชาม  ถึงใจดวงน้อย ๆ ของข้าพเจ้าจะพองโตแช่มชื่น  ก็อดที่จะทำตาเขียวค้อนให้แม่ไม่ได้    เพราะนั่นคือสไตล์ของแม่    ปากก็พูดไปงั้น ๆ  ดีใจละไม่ว่า  
          หลายปีแล้วที่ข้าพเจ้าแอบมองแม่แต่ด้านหลัง  วันเวลายิ่งหมุนเวียนเปลี่ยนไป  ร่างกายสังขารของแม่ก็ยิ่งย่างเข้าสู่วัยชราไปตามลำดับ   เนื้อหนังมังสาที่เคยเต่งตึงกลับหย่อนยาน  เรือนผมที่เคยดกดำสลวยเป็นเงา กลับมีสีขาวขึ้นแซม   นึกแล้วน่าใจหาย   เมื่อถึงวันนั้น วันที่อายุขัยของแม่คืบคลานมาถึง จนสะดุด  และสิ้นสุดลง คงเป็นวันแห่งความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่   ในชีวิตของลูก ๆ  
           ณ บัดนั้นเป็นตันไป ใครหนอ ? ที่จะมาเฝ้าห่วงหาอาลัยอาวรณ์คอย ไตร่ถาม
สารทุกข์สุกดิบของลูก และหลานของท่าน ใครหนอ ? ที่จะคอยชะเง้อมองลอดผ่านประตูรั้วบ้าน  รอคอยการกลับมาของลูก ๆ  ด้วยความคิดถึงและเป็นห่วงเป็นใย  โอ้อนิจจา  หากวันเวลานั้นมันย่างกรายมาถึงจริง ๆ  สักวัน  ใจของลูกคงเปรียบเสมือนจะแตกลาลับ ดับสลายวายวาง  คงจะหมด สูญสิ้นซึ่งความรัก ความเมตตาเอื้ออาทร ความห่วงหาอาลัยอาวรณ์จากแม่   คงจบสิ้นซึ่งสังขารธรรมที่ร่วงโรย เหี่ยวแห้ง เหนื่อยล้า และหย่อนยานของแม่     คงหมดสิ้นซึ่งแม้แต่ ลมหายใจของแม่. !
.
                         กลอน วันผู้ให้กำเนิด
งานวันเกิดยิ่งใหญ่ใครคนนั้น           ฉลองกันในกลุ่มผู้ลุ่มหลง
หลงลาภยศสรรเสริญเพลินทะนง     วันเกิดส่งชีพสั้นเร่งวันตาย
ณ มุมหนึ่งซึ่งเหงาน่าเศร้าแท้         หญิงแก่แก่นั่งหงอยและคอยหา
โอ้วันนั้นในวันนี้ที่เป็นมา               แม่นั้นหนาคลอดตัวเจ้าแทบชีพวาย
วันเกิดลูกเกือบคล้ายวันตายแม่       เจ็บท้องแท้เท่าไหร่ก็ไม่บ่น
กว่าอุ้มท้องกว่าคลอดรอดเป็นคน    เติบโตจนบัดนี้นี่เพราะใคร
แม่เจ็บเจียนขาดใจในวันนั้น            กลับเป็นวันลูกฉลองกันผ่องใส
ได้ชีวิตแล้วก็เหลิงระเริงใจ              ลืมผู้ให้ชีวิตอนิจจา
ไฉนเราเรียกกันว่า วันเกิด             วันผู้ให้กำเนิด จะถูกกว่า
คำอวยพรที่เขียนควรเปลี่ยนมา        ให้มารดาคุณเป็นสุขจึงถูกจริง
เลิกจัดงานวันเกิดกันเถิดนะ             ควรแต่จะคุกเข่ากราบเท้าแม่
รำลึกถึงพระคุณอบอุ่นแด                อย่ามัวแต่จัดงานประจานตัว
.......................				
comments powered by Disqus
  • พัชรินทร์

    7 มิถุนายน 2555 13:03 น. - comment id 129514

    ถึงผู้เขียนบทประพันธ์นี้ช่างล้ำค่ามากมายนักคิดไม่ถึงว่าจะมีใครลำบากลำบนแสนเข็ญเช่นข้าพเจ้าในบทประพันธ์นี้ท่านยังดีกว่าข้าพเจ้าอยู่อย่างคือท่านได้อยู่กับบุพกาลีของท่านเองยามเจ็บยามไข้ท่านยังมีผู้ปลอบใจส่วนข้าพเจ้าผู้อ่านนี้ต้องอาศัยกับญาติเปรียบได้ว่าดั่งทาสในเรือนเบี้ยจะหาผู้ใดมาคำคีงยามไข้บ้างก็หาไม่...ขอขอบคุณค่ะถ้ามีโอกาศขอก๊อปปี้เรื่องนี้ของท่านไว้บ้าวได้มั๊ย
  • สิติยะ ป.

    22 ธันวาคม 2555 20:01 น. - comment id 131409

    ได้เลยจ้า..
    ยินดีอย่างมากมาย..29.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน