คำนำ . กตัญญูกตเวที แม้จะเป็นสิ่งที่สังคมโดยส่วนรวมปรารถนาอยากที่จะเห็นจะทำให้ปรากฏมีมาและชัดขึ้น หากจะคิดดูอีกทีย่อมเป็นไปได้ไม่ง่ายนัก ด้วยสภาพสังคมปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไป ตามกาลเวลาของยุคสมัยวัตถุนิยม สิ่งเหล่านี้ได้เข้ามาบดบังคุณธรรมเสียจนเกือบสิ้น ความที่เคยสว่างไสวแห่งคุณธรรมทั้งหลาย กำลังจะมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน ความเห็นแก่ตัว และสิ่งที่เรียกว่าอธรรมเริ่มปรากฏตัวชัดเจนขึ้นประดุจน้ำลดตอโผล่ จึงเป็นเหตุให้ผู้เขียนในฐานะเป็นบุคคลหนึ่งที่ดำรงชีวิตอยู่ร่วมสังคมนี้ ขอปวารณาตัวกระทำในสิ่งที่พึงกระทำตามอัตภาพ โดยจะคอยกระตุ้นเตือนให้เราท่านทั้งหลาย ได้หวลคิดคำนึง มองย้อนไปยังมโนภาพในอดีต เพื่อร่วมใจกันเรียกร้องเอาคุณธรรมแห่งความกตัญญู พร้อมกับวัฒนธรรมดั้งเดิมอันดีงามของไทยให้กลับคืนมา ทั้งยังจะคอยสะกิดใจท่าน เฉกเช่นการกระเพื่อมเป็นระลอกของผืนน้ำ ทั้งยังจะขอเป็นกำลังใจให้ แด่ท่านผู้มีคุณธรรมที่ยังคงหลงเหลืออยู่ หากจะบังเกิดความดีงามขึ้นในสังคมด้วยเพราะหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนคงปลื้มปิติอย่างหาประมาณมิได้ และขอยกความดีความชอบทั้งหลาย มอบแด่บุพพการีชั้นต้นทุกท่านด้วย เทอญ. สิติยะ ป เสาร์ 14 มกราคม 2549 ป 1 ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐ แม้กาลเวลาจะล่วงเลยผ่านพ้นมาหลายปีดีดัก ข้าพเจ้าก็ยังสามารถจดจำลำดับภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และผ่านเข้ามาในชีวิตได้อย่างแม่นยำ เสมือนเพิ่งเกิดขึ้นวันนี้ เมื่อวาน ก็เมื่อชะตาฟ้าลิขิตชีวิตให้ต้องเดินทางมาถึงจุด ๆ หนึ่ง และหยุดพักเพื่อพินิจพิจารณาในสิ่งอันได้ผ่านพ้นไปในคราครั้งอดีต นี่กระมัง ! ที่พระธรรมคำสอนขององค์พระศาสดาในพระพุทธศาสนาบทหนึ่ง ท่านกล่าวว่า ชีวิตนี้น้อยนัก ดูเหมือนจะเป็นดังเช่นนี้แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย เหตุเพราะสามารถพิสูจน์ได้ด้วยกาลเวลา และตัวของมันเอง อ้อ ..! ตัวข้าพเจ้าเองด้วย ยิ่งอายุเพิ่มจำนวนมากขึ้นเท่าใด หลักสัจจะธรรมของพระองค์ ก็ยิ่งผุดขึ้นให้ได้เห็นได้พิจารณามากขึ้นเท่านั้นโดยลำดับ ดังคำกล่าวที่ว่า กว่าจะรู้ว่าชีวิตคืออะไร ? เราก็ใช้ชีวิตไปครึ่งหนึ่งแล้ว หรือไม่ ? อย่างไร ? ยิ่งบุคคลในบางกลุ่มบางลักษณะที่ยังเกิดความลุ่มหลงมัวเมาระเริงอยู่ หาได้ฉุกคิดไม่ว่า พยามัจจุราช ได้ย่างกรายเข้ามาใกล้เฉียดฉิวไปมาก็หลายครั้ง โดยได้แสดงให้เห็น ในรูปแบบของเคราะห์กรรม หรือ อุบัติเหตุเภทภัยต่าง ๆ นา ๆ บางครั้งจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ในบางครั้งถึงกับต้องสูญเสียอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งไปก็มี เปรียบดังการถูกโบยถูกเฆี่ยนตีด้วยแส้หวายอาบน้ำเกลือ เพื่อคอยเตือนสติว่าหยุดนะ..อย่านะ..ไห้ทำดีนะ..! หากแต่ยังไม่สามารถไขปริศนาธรรมในข้อนี้ได้ก็น่าจะถือได้ว่าเป็นโมฆะชีวิตไปโดยปริยาย ไม่คิดก็น่าคิด ..โลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็นอภิมหากิเลสอันมีฤทธิ์มาก และยิ่งใหญ่ประจำโลก ให้พากันหมั่นรดน้ำพรวนดินเข้าซิ ! คงจะได้เหมือนเหล่าเส้นผมที่ถูกหวีเป๋ลงมาปะหน้า คราวนี้แหละคงจะได้พากันคลำหาเส้นทางแห่งสวรรค์พระนิพพานกันจ้าละหวั่น ทั้ง ๆ ที่ต่างก็รู้ว่ามิอาจดำรงค์ชีวิตอยู่ให้ถึง 100 ปี แค่ 70 ก็ถือว่ายาก ปีพุทธศักราช 2524 เป็นปีที่ครอบครัวของข้าพเจ้าล่วงลุถึงคราวอัตคัตขัดสน จนเกือบจนตรอก แม้ข้าวสารจะกรอกหม้อในแต่ละมื้อนั้น จะมีก็หาไม่ จำต้องดิ้นรนขวานขวายเสาะแสวงหาเลือดตาแทบกระเด็น ! แม้จะเป็นลูกชายคนโตในจำนวนพี่น้องทั้ง 4 แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไร้เดียงสาไปเสียทุกเรื่อง ทุกอย่างทุกประการ จิตใต้สำนึกอีกหัวคิดที่จะหาเงินมาจุนเจือคอยแบ่งเบาภาระของครอบครัวในแต่ละวัน ก็บังเกิดขึ้นได้น้อยมาก หรือไม่เกิดขึ้นเลย ความสนุกสนานที่ไม่เคยเป็นน้อย เข้ามามีบทบาทเป็นภูเขาเลากา คอยบดบังเส้นขนของตาอยู่เสมอฉันนั้น กระทั่งขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จึงถึงบางอ้อ เกิดความสำนึกเกิดความรู้สึกนึกคิดที่ดีกับเขาบ้างว่า ..เงินทุกบาททุกสตางค์ ที่บิดามารดาท่านได้หยิบยื่นให้ เป็นค่าขนม ค่ากับข้าว ค่าเสื้อผ้าอาภรณ์ ตลอดถึงค่าเทอม ๆ ละไม่กี่ร้อยบาทนั้น มันคือเม็ดเงินที่ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน ด้วยความยากแค้นแสนเข็ญของท่าน ป 2 ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐ ด้วยกุศลใดไม่ปรากฏ นับแต่นั้นเป็นต้นมาโรงเรียนหยุดเสาร์อาทิตย์ในทุกครั้ง ข้าพเจ้าจึงมิได้หยุดพักเหมือนเหล่าผองเพื่อนอันเป็นที่รักทั้งหลาย ซึ่งแน่นอนละ ที่พวกมันต่างจะต้องนั่งต้องนอนดูโทรทัศน์ อยู่กับเหย้าเฝ้าเรือนสบายใจเฉิบ ! มิหนำซ้ำวันจันทร์โรงเรียนเปิดเรียน พวกมันยังนำเอาเรื่องราวที่ได้มีโอกาส มีบุญพาวาสนาส่งได้ดูได้ชม มาบรรยายขยายความให้ข้าพเจ้าได้สดับตรับฟังได้เห็นภาพอย่างชนิด จะ จะ ตา โดยเฉพาะละครประเภทจักร์ ๆ วงค์ ๆ แต่ดูข้าพเจ้าซิ ! ต้องทนฝืนใจตื่นแต่ไก่โห่ เตรียมตัวเพื่อไปรับจ้างกับแม่เป็นรายวันบ้างหรือเหมาบ้าง เช่น หักข้าวโพด ข้าวฟ่างคิดเป็นกระสอบป่าน เก็บถั่วเขียวคิดเป็นกระบุง ปลูกอ้อย มันสำปะหลัง ดายหญ้าคิดเป็นรายวัน ฯลฯ สารพัดงานที่จะต้องทำ ครั้นพอถึงเช้าของวันจันทร์ก็จะจัดตารางสอนเตรียมตัวไปโรงเรียนตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ค่าแรงรายวันขณะนั้น 25 30 บาท สำหรับผู้ใหญ่ ตัวข้าพเจ้าเขาให้วันละ 15 บาท เพราะเป็นเด็กยังมิเดียงสา แต่ก็ต้องสู้ต้องใช้ความอดทนแสนสาหัส เพราะหาไม่แล้ว ความเป็นอยู่ในครอบครัวคงจะแย่ลงไปกว่านี้ ข้าพเจ้ามีความสงสารแม่เป็นที่สุด เพราะท่านต้องแบกรับภาระโดยการไปรับจ้างเช่นนี้เป็นวันไป สุดแต่ว่าฤดูนั้นเป็นช่วงผลผลิตทางการเกษตรชนิดใด ส่วนผู้เป็นบิดาก็ต้องขึ้นเขาเข้าป่าหาของป่า และสัตว์ป่าลงมาขาย หรือไม่ก็แลกเปลี่ยนเป็นข้าวสารบ้าง เงินบ้าง กับข้าวกับปลาบ้างแล้วแต่โอกาส โดยมีเพื่อนคู่ใจคือปืนแก็ป ! ซึ่งเป็นปืนกระบอกเดียวในหมู่บ้านที่มีตราทะเบียนจากทางการประทับไว้ เพื่อรับประกันว่าถูกต้องตามกฏหมายในขณะนั้น วันหนึ่ง เมื่อกลับจากโรงเรียนในตอนเย็น และเปิดประตูเข้าบ้าน ข้าพเจ้าต้องแปลกใจเป็นอย่างมากเมื่อพบว่า มีร่างของใครคนหนึ่งนอนตะแคงคลุมโปลงอยู่บนพื้นมุมห้อง จำได้ว่าผ้าห่มผืนนี้ ลายอย่างนี้ เป็นของแม่ !! ไวเท่าความคิด ข้าพเจ้ารีบวิ่งไปยังร่างที่นอนอยู่นั้นด้วยความร้อนรนระคนห่วงใย พร้อมกับรีบเปิดผ้าห่มออกดู ให้ตายเถอะ! .. เป็นแม่จริง ๆ ป 3 ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐ ใบหน้าเนื้อตัวแม่บวมปูด ผิวคล้ายรอยไหม้เป็นจ้ำ ๆ จุด ๆ ริมฝีปากที่พยายามเผยอปล่อยคำพูดออกมาช่างยากเย็นแสนเข็ญนัก .คงจะเนื่องด้วยความเจ็บปวดทรมาน ข้าพเจ้าพูดไม่ออกได้แต่นิ่งอึ้งรับฟังคำบอกเล่าถึงเหตุการณ์จากปากของแม่อย่างสงบ ไม่มีแม้แต่คำถาม และคำโต้แย้งใด ๆ ทั้งสิ้น มื่อคืนนี่ เจ้าของไฮเขาไปเอาเผิ่ง แม่มันยังวนกกไม้กกนั่นอยู่มูกูบ่หู้ กะพากันตัดอ้อยไป๊ ตัดไป มันตอมอีสีกอน อีนั่นกะหุนหวย มันเลยเอาผ้าไล่ปัดสั่นแหล่วบาดนี่ มูมันจักมาแต่ทางใด๋ ..ไล่อีสี อีนั่นกะแลนอ้อมทีบอยู่ กูเห็นกูกะแลนหั่นแหล่ว จ๊าก วา มาแต่ทางใด๋แนบาดนี่ เทิงไล่เทิงตอดกู จนได้หมูบเอาซือ ๆ วะ อีสี .. คันกับไฟมันจูดติดนั่นตี แมมันใหม้เมิ๊ดละวะป่าอ้อย สรุปแล้วได้ความว่า เจ้าของไร่พาไปฉีดยา 1 เข็ม ให้ยามาถุงใหญ่แล้วให้ลูกน้องเอารถมาส่งที่บ้านดังกล่าว ข้าพเจ้าให้นึกคลายใจ แต่ก็อดเวทนาไม่ได้ กระนั้นก็แอบภาคภูมิใจเล็ก ๆ ว่า ครั้งหนึ่งแม่คงจะได้เคยเกิดร่วมภพร่วมชาติในคราครั้งสมัยพ่อขุนรามคำแหงเป็นแน่แท้ กูและมึงจึงวิ่งให้พล่านไปหมด แม้จะมีความอุตสาหะพยายามอย่างยิ่งยวด ในการประกอบสัมมาอาชีวะตัวเป็นเกลียวถึงปานนั้นรายได้ก็แทบไม่พอจุนเจือครอบครัวน้อง ๆ ทั้งสามก็ล้วนแต่อยู่ในวัยที่กำลังกินกำลังนอนทั้งสิ้น หลายครั้ง เงินที่มีอยู่ถูกนำไปใช้จ่ายในส่วนอื่นเพราะความจำเป็น แม่..ใช้ความพยายามที่จะหาหนทางนำข้าวสารมากรอกหม้อ หุงหาเพื่อให้ลูก ๆ อันเป็นชีวิต และดวงใจของท่านทั้ง 4 ได้กินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ ท่านบอกกับข้าพเจ้าว่า หล่าพาน้องกินเข่าซะเด้อลูก พอกับแมกินอิ่มแล้วละ ท่านพูดเช่นนี้เรื่อยมา นาน ๆ ครั้ง ที่พ่อแม่ลูกจะได้มีโอกาสกินข้าวด้วยกันให้พร้อมหน้าพร้อมตาสักครั้งหนึ่ง แม้ข้าวปลาอาหารจะไม่เป็นอาหารชั้นเลิศเหมือนผู้ดีตีนแดงเขากินกัน แต่มันก็อร่อยมากสำหรับครอบครัวเล็ก ๆ ของข้าพเจ้า แปลกนัก! นี่กระมัง! ที่ผู้คนในยุคสมัยปัจจุบันจึงขนานนามของพฤติกรรมเช่นนี้ว่า มันคือการทำให้เด็กขาดความอบอุ่น แต่สำหรับตัวข้าพเจ้า และน้อง ๆ มิอาจเอื้อมที่จะคิดเช่นนั้นได้ แม้เพียงปลายก้อย อาจจะเนื่องด้วยการเคยถูกอบรมบ่มนิสัยมาตั้งแต่เด็กและมักจะได้ยินได้ฟังมาเสมอว่า การที่จะได้เกิดมาเป็นคนนั้น มันยากยิ่งนัก และการที่จะได้เกิดมาบนกองเงินกองทองยากเสียยิ่งกว่า แม้จะเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราก็สามารถเลือกเป็นคนชั่วหรือคนดีได้มิใช่หรือ ? แล้วจะเรียกร้องหาอะไร ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าจับได้ว่า กับข้าวกับปลาที่ลูก ๆ ของท่านได้กินกันอย่างอิ่มหนำสำราญเอร็ดอร่อยนั้น ท่านทั้งสองไม่ได้แตะต้องมันเลยแม้แต่เม็ดเดียว .ครั้นตกดึก! ทุกคนหลับสนิท ท่านจึงได้นำเอาหัวมันสำปะหลังที่ขุดไว้มาเผาไฟ และต้มกินแทนข้าว ข้าพเจ้าพูดไม่ออก สายตาดวงน้อย ๆ ทั้งคู่ที่กำลังแอบดูพฤติกรรมของท่านอยู่ เริ่มมีหยดน้ำใส ๆ ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว แม้ขณะที่กำลังเขียนเรื่องนี้อยู่ ก็มิอาจอดกลั้นน้ำตาไว้ได้ ถึงอายุจะปูนนี้ก็เถอะ มันตื้นตันใจ มันหดหู่ใจ มันเศร้าโศกเสียใจ และสะท้อนสะท้านใจในความเอน็จอนาถของชีวิตจนบอกไม่ถูก โลกนี้ช่างไม่มีซึ่งความยุติธรรมเอาเสียเลย ใครกันหนอกำหนด ? ใครวะ !? ความรู้สึกต่าง ๆ โถมทับประเดประดังหลั่งไหลเข้ามาแทบตั้งตัวไม่ติด โถดูเอาเถิด ! นี่นะหรือ ที่ชนทั้งหลายเขาใช้สรรพนามเรียกกันเป็นแต่เพียงคำพูดสั้น ๆ ว่าพ่อ ว่าแม่ ? นี่นะหรือ ? ที่เขาขนานนามท่านทั้งสองว่าเป็นพระพรหมของลูก ? มันช่างเป็นสรรพนามที่ใช้เรียกกันมักง่ายนัก เรียกขานกันมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ จนเกิดความเคยชิน พึ่งจะได้มาเห็นคุณค่า และซาบซึ้งใจในบัดนี้ แม้ท่านทั้งสองจะหลับไปแล้ว ด้วยความอ่อนเพลียจากการงานตลอดทั้งวัน แต่ข้าพเจ้ายังแอบเช็ดน้ำตาสะอื้นอยู่คนเดียวจนเก็บไว้ไม่ไหว ป 4 ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐ เป็นหยังหล่าลูก ! แม่คงตื่นขึ้นมานั่งอยู่ใกล้ ๆ มือเล็ก ๆ ของข้าพเจ้าดึงมือของแม่ที่ลูบหัวอยู่มาวางไว้แนบแก้ม รู้สึกถึงความรักความอบอุ่นที่ใจบอด ๆ ดวงนี้ ไม่เคยมองเห็น รักอื่นใดไหนเล่าจะเท่าแม่รักแล้วรักอื่นใดไหนเล่าจะเท่าลูกรักแม่ มันฝันเดนี่เถ่า ท่านหันไปพูดกับพ่อน้ำเสียงอ่อนลงเต็มเปลี่ยมไปด้วยเมตตาพรางเช็ดน้ำตาให้ข้าพเจ้า นอนสาเด้อลูกเด้อมื่ออื่นสิไปโรงเรียนหั่นน่า ท่านผละไปแล้ว แต่ข้าพเจ้าไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ โดยง่าย ความโกรธความเกลียดที่เคยถูกดุ ถูกว่าด่าทอ ทั้งถูกเฆี่ยน พร้อมกับคำสั่งสอนอบรมที่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่เล็กจนโต ที่คิดว่าผิด ที่คิดว่าเป็นคำพูดที่ประสงค์ร้าย ที่คิดว่ามันถูกเปล่งออกมาด้วยความจงเกลียดจงชัง ! มันค่อย ๆ เลือนลางจางหาย หายไปหายไป จะเหลือก็เพียงความคิดที่ผุดขึ้นมา ให้นึกตำหนิเคียดแค้นชิงชังตัวเองเหลือประมาณ ท่านจะรู้ไหม ? ลูกโง่ ๆ ของท่านคนนี้ เกิดความสำนึกผิด นึกถึงบาปอย่างมหันต์ อันมีในหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งได้รับรู้ได้ศึกษาแต่ภายหลัง พ่อด่า พ่อเฆี่ยน ก็โกรธ และเกลียดพ่อ แม่ดุด่า แม่เฆี่ยน ก็โกรธ และเกลียดแม่ ด้วยความมิเดียงสาเสียนี่กระไร โง่จริง ๆ เจ้าโง่เอ๊ย ! " ... เช็ดน้ำตา เถิดลูก อย่าผูกจิต แม้ความผิด ทำมา ห้าร้อยหน แม่ก็รัก ลูกของแม่ แน่ทุกคน หากกลับตน ทนฝืน แม่ชื่นใจ ... " ว วิศลิษ ป 5 ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐ นี่กระมังที่โบราณว่า ความรักของพ่อของแม่เทียบเทียมผืนแผ่นฟ้ามหาสมุทร ผู้ที่ใช้ชื่อว่า ลูก ทุกคน ไม่สามารถทดแทนพระคุณให้หมดสิ้นได้ ทั้งในอดีตชาติ ปัจจุบันชาติ และ หรือ ชาติต่อ ๆ ไป สายใยแห่งห่วงลูกโซ่ จะคอยเสริมต่อเติมปรุงแต่งแผ่ใยไปไม่มีที่สิ้นสุด ข้าพเจ้าอยากบอกท่านทั้งสองว่า ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐ " ... แม้ลูกจะเกิดมาในฐานะที่ต่ำต้อย ... ไร้ซึ่งทรัพย์สินเงินทอง ในครอบครัวที่ยากจนแสนเข็ญของพ่อแม่ แต่ลูกก็ภาคภูมิใจเป็นที่สุด ที่มีวาสนาได้เกิดมาร่วมภพร่วมชาติ ... ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อของแม่ ปรารถนาให้ทั้งพ่อและแม่มีความสุข ลูกก็พอใจแล้ว ... " ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐ หลายปีแล้ว หลังวันสงกรานต์ 4 5 วัน แม้จะบวชเป็นพระอยู่ ข้าพเจ้าก็ยังคงจัดดอกไม้ธูปเทียนและข้าวของเครื่องใช้พอประมาณ ฝากน้องทั้งสาม ขอขมาลาโทษท่าน และเพื่อระลึกนึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ไพศาลตลอดความรักความเมตตา ความปรารถนาดีที่มีต่อลูกของท่านมิได้ขาด ด้วยข้าพเจ้ายึดถือว่า พ่อแม่มีพระคุณสูงส่ง พ่อแม่เป็นเทวดา พ่อแม่เป็นพระพรหมของลูก ใครจะคิดหรือไม่ ? ก็สุดแท้แต่ใจจะใขว่คว้าเถิดนะ เพราะนี่คือตัวตนและจิตสำนึกแห่งกมลสันดานที่แท้จริงของข้าพเจ้า คงไม่สายหรอกนะ ที่จะแสดงให้ท่านได้เห็น ได้รับรู้ ได้ปลาบปลื้มใจ ได้มีความอิ่มเอมชื่นชมยินดีในขณะที่ท่านยังมีชีวิตหลงเหลือให้ได้กราบไหว้บูชาอยู่ ในทางตรงกันข้าม หากกมลสันดาน เกิดฉุกคิด มาสำนึกเอาได้ ต่อเมื่อท่านได้จากไปเสียแล้วล่ะ ไม่อยากคิด ! ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐ คงมีสิทธิ์ เพียงเป็น เช่นหิ่งห้อย ที่จักคอย เตือนจิต มิตรทั้งหลาย ให้เห็นค่า หญิงหนึ่ง รวมถึงชาย อันผูกหมาย ว่าแม่ แลบิดา จะสื่อให้ เพียงรู้ ว่าผู้รัก เฝ้าฟูมฟัก หนักแน่น ดุจแผ่นผา ป้อนข้าวน้ำ อุ้มชู เลี้ยงดูมา ดุจแก้วตา ดวงใจ ผู้ใดเอย. ว วิศลิษ ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐ ป 6 จบ ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐ หลายปีแล้วเมื่อถึงวันแม่ 12 สิงหาคม ของทุกปี ข้าพเจ้าจะเดินทางกลับบ้านเพื่อไปเยี่ยมแม่ จัดซี้อข้าวของเครื่องใช้ในครัวเรือนที่คิดว่าขาดและแม่กำลังต้องการอยู่ ไปให้ แม้จะใช้งบประมาณปีละถึง 500 600 บาท ก็ตาม แต่ถ้าหากปีใดที่ข้าพเจ้าไม่มีเงิน ก็จะใช้ความพยายามขวานขวายหา แม้จะต้องขอหยิบขอยืมเพื่อนพระด้วยกันก็ยอม จ๊าก วาซื่อมาเฮ็ดหยัง เปลืองเงินเปลืองทอง มีหลายกะเก็บไว้แนเปี๊ยงลูกเอ้ย คำพูดของแม่แม้จะเคยได้ยินได้ฟังอยู่บ่อย ๆ จนชิน แต่ก็เปรียบเสมือนน้ำยาซัลไลด์กระเด็นใส่จานชาม ถึงใจดวงน้อย ๆ ของข้าพเจ้าจะพองโตแช่มชื่น ก็อดที่จะทำตาเขียวค้อนให้แม่ไม่ได้ เพราะนั่นคือสไตล์ของแม่ ปากก็พูดไปงั้น ๆ ดีใจละไม่ว่า หลายปีแล้วที่ข้าพเจ้าแอบมองแม่แต่ด้านหลัง วันเวลายิ่งหมุนเวียนเปลี่ยนไป ร่างกายสังขารของแม่ก็ยิ่งย่างเข้าสู่วัยชราไปตามลำดับ เนื้อหนังมังสาที่เคยเต่งตึงกลับหย่อนยาน เรือนผมที่เคยดกดำสลวยเป็นเงา กลับมีสีขาวขึ้นแซม นึกแล้วน่าใจหาย เมื่อถึงวันนั้น วันที่อายุขัยของแม่คืบคลานมาถึง จนสะดุด และสิ้นสุดลง คงเป็นวันแห่งความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ในชีวิตของลูก ๆ ณ บัดนั้นเป็นตันไป ใครหนอ ? ที่จะมาเฝ้าห่วงหาอาลัยอาวรณ์คอย ไตร่ถาม สารทุกข์สุกดิบของลูก และหลานของท่าน ใครหนอ ? ที่จะคอยชะเง้อมองลอดผ่านประตูรั้วบ้าน รอคอยการกลับมาของลูก ๆ ด้วยความคิดถึงและเป็นห่วงเป็นใย โอ้อนิจจา หากวันเวลานั้นมันย่างกรายมาถึงจริง ๆ สักวัน ใจของลูกคงเปรียบเสมือนจะแตกลาลับ ดับสลายวายวาง คงจะหมด สูญสิ้นซึ่งความรัก ความเมตตาเอื้ออาทร ความห่วงหาอาลัยอาวรณ์จากแม่ คงจบสิ้นซึ่งสังขารธรรมที่ร่วงโรย เหี่ยวแห้ง เหนื่อยล้า และหย่อนยานของแม่ คงหมดสิ้นซึ่งแม้แต่ ลมหายใจของแม่. ! . กลอน วันผู้ให้กำเนิด งานวันเกิดยิ่งใหญ่ใครคนนั้น ฉลองกันในกลุ่มผู้ลุ่มหลง หลงลาภยศสรรเสริญเพลินทะนง วันเกิดส่งชีพสั้นเร่งวันตาย ณ มุมหนึ่งซึ่งเหงาน่าเศร้าแท้ หญิงแก่แก่นั่งหงอยและคอยหา โอ้วันนั้นในวันนี้ที่เป็นมา แม่นั้นหนาคลอดตัวเจ้าแทบชีพวาย วันเกิดลูกเกือบคล้ายวันตายแม่ เจ็บท้องแท้เท่าไหร่ก็ไม่บ่น กว่าอุ้มท้องกว่าคลอดรอดเป็นคน เติบโตจนบัดนี้นี่เพราะใคร แม่เจ็บเจียนขาดใจในวันนั้น กลับเป็นวันลูกฉลองกันผ่องใส ได้ชีวิตแล้วก็เหลิงระเริงใจ ลืมผู้ให้ชีวิตอนิจจา ไฉนเราเรียกกันว่า วันเกิด วันผู้ให้กำเนิด จะถูกกว่า คำอวยพรที่เขียนควรเปลี่ยนมา ให้มารดาคุณเป็นสุขจึงถูกจริง เลิกจัดงานวันเกิดกันเถิดนะ ควรแต่จะคุกเข่ากราบเท้าแม่ รำลึกถึงพระคุณอบอุ่นแด อย่ามัวแต่จัดงานประจานตัว .......................
7 มิถุนายน 2555 13:03 น. - comment id 129514
ถึงผู้เขียนบทประพันธ์นี้ช่างล้ำค่ามากมายนักคิดไม่ถึงว่าจะมีใครลำบากลำบนแสนเข็ญเช่นข้าพเจ้าในบทประพันธ์นี้ท่านยังดีกว่าข้าพเจ้าอยู่อย่างคือท่านได้อยู่กับบุพกาลีของท่านเองยามเจ็บยามไข้ท่านยังมีผู้ปลอบใจส่วนข้าพเจ้าผู้อ่านนี้ต้องอาศัยกับญาติเปรียบได้ว่าดั่งทาสในเรือนเบี้ยจะหาผู้ใดมาคำคีงยามไข้บ้างก็หาไม่...ขอขอบคุณค่ะถ้ามีโอกาศขอก๊อปปี้เรื่องนี้ของท่านไว้บ้าวได้มั๊ย
22 ธันวาคม 2555 20:01 น. - comment id 131409
ได้เลยจ้า.. ยินดีอย่างมากมาย..