ผมเดินทางเข้าออกโรงพยาบาลมาเกือบเดือนแล้วหลังจากภรรยาผมมาพักรักษาตัวจากอาการป่วยที่คุณหมอกำลังวินิจฉัยอาการอยู่ โดยที่ผมพอรับทราบขณะนี้คือเธอมีอาการหนักมากขึ้น พร้อมกับความกังวลใจของผมที่มีต่ออาการป่วยของเธอเช่นกัน ผมส่งข่าวตั้งแต่ที่เธอเข้าโรงพยาบาลให้กับคุณแม่ของเธอหรือแม่ยายของผมได้รับรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นช่วงแรกก็ตกอกตกใจรีบมาจากต่างจังหวัดมาเยี่ยมพร้อมกับน้องสาวอยู่เฝ้าอาการได้ไม่กี่วันก็ต้องกลับไปทำงานหลังจากนั้นก็มาเยี่ยมในช่วงวันหยุดแต่ไม่สามารถทำได้ถี่มากนักเพราะระยะทางที่ไกลทำให้การเดินทางมาเยี่ยมแต่ละครั้งล้วนเป็นอุปสรรคมากขึ้น ผมจึงแจ้งข่าวให้รับรู้ทางโทรศัพท์หรือคุณแม่โทรมาสอบถามอาการเกือบทุกวันรวมถึงญาติพี่น้องคนอื่นๆ ด้วยที่สอบถามข่าวคราวมา ส่วนคุณพ่อของเธอนั้นหลังจากแยกทางกับคุณแม่แล้วการติดต่อก็หายขาดไปด้วย ไม่มีช่องทางใดๆ ที่สามารถติดต่อได้ สอบถามคุณแม่ก็ได้คำตอบที่ไม่ต่างกันคือไม่รู้ไปตายอยู่ที่ไหน ผมจึงไม่สามารถบอกข่าวคราวให้รับรู้ได้ ทั้งๆ ที่ภรรยาผมเป็นลูกสาวคนโตที่คุณพ่อของเธอรักมากด้วยซ้ำไป วันนี้เมื่อผมมาเฝ้าไข้ภรรยาตามเวลาปกติเช่นทุกวันที่ผมปฏิบัติตั้งแต่เธอมานอนป่วย เสียงพูดที่เคยสื่อสารบัดนี้เธอไม่สามารถพูดได้แล้ว คุณหมอบอกว่าเชื้อลามมาที่ลำคอทำให้กล่องเสียงอักเสบ เส้นเสียงที่เคยทำงานก็ไม่สามารถใช้การได้ มีเพียงสายตาที่บ่งอาการให้รู้ว่าภายในร่างกายของเธอนั้นเจ็บปวดเหลือเกิน วันนี้คุณหมอบอกว่าสิ่งที่รักษาเธออยู่นั้นเพียงรักษาตามอาการเท่านั้นไม่สามารถทำอะไรไปมากกว่านี้เพราะภายในร่างกายนั้นมะเร็งได้ลามไปทั่วแล้ว ผมโทรศัพท์ไปบอกให้คุณแม่ของเธอรับรู้เช่นเดียวกับที่บอกให้คุณพ่อและคุณแม่ของผมได้รับทราบเช่นกัน คุณพ่อบอกให้ผมเข้มแข็งและอย่าแสดงอาการอ่อนแอให้เธอเห็น คุณพ่อบอกว่าผมโชคดีที่ยังไม่มีลูกไม่เช่นนั้นลูกผมคงน่าสงสารที่สุด ผมไม่รู้เช่นกันว่าทำไมถึงไม่มีลูกทั้งที่แต่งงานมาก็ไม่ได้มีการคุมกำเนิด เธอบอกว่าคงเป็นเธอที่ร่างกายไม่แข็งแรงทำให้มีลูกยาก เธอจะไปหาหมอเพื่อตรวจสอบสาเหตุ แต่เป็นผมที่บอกเธอว่าไม่ต้องไปเพราะจะทำให้เธอไม่สบายใจได้ถ้ารู้สาเหตุที่แท้จริง หรือในเวลานั้นถ้าเธอไปหาหมอเธอคงจะรู้เรื่องของโรคนี้ก็ได้ เมื่อผมคิดมาถึงจุดนี้ผมได้แต่เสียใจเช่นกันที่ไปห้ามเธอในตอนนั้น คุณแม่ของเธอขึ้นมาเยี่ยมและกลับไปพร้อมน้ำตาเมื่อเห็นอาการที่ทรุดลงของลูกสาว ผมจึงบอกให้น้องสาวแฟนช่วยดูแลและปลอบใจด้วย ผมบอกแม่ยายไปว่าผมจะดูแลเธอให้ดีที่สุด ผมมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ยังไม่ได้บอกให้รู้ ก็คือตั้งแต่วันที่ภรรยาผมมานอนพักรักษาตัวที่โรงพยายาลแห่งนี้ พยาบาลดูแลห้องพิเศษที่ภรรยาผมนอนพักนั้น ผมและพยาบาลมีความคุ้นเคยและพูดคุยกันจนสนิทสนมมากขึ้น ถ้าผมไม่เข้าข้างตัวเองผมว่าเธอคงมีใจให้ผมด้วย เพราะสายตาที่เธอมองผมและรอยยิ้มที่เอียงอาย ผมมองออกว่านี้เป็นอาการของผู้หญิงที่เขินอายด้วยใจของตนต่อคนที่ชอบพอ ผมคิดเข้าข้างตัวหรือหรือเปล่าไม่รู้แต่หลังจากนั้นผมมีอาหาร ขนมเป็นของฝากมาให้เธอและเพื่อนมากขึ้น ในช่วงเวลาที่เธอมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ภรรยาผม ผมไม่แน่ใจว่าสายตาที่เรามองสบตากันนั้นภรรยาของผมจะสังเกตเห็นหรือไม่ ผมขออย่าให้เธอระแวงไปอย่างนั้นเลยเพราะจะทำให้ร่างกายเธออ่อนแอลงไปอีก ผมกับพยาบาลสาวสวยที่ชื่อว่า อิ่มอุ่น แม้คำพูดสื่อสารจะไม่มากมายนักแต่ผู้ชายวัยใกล้สี่สิบปีเช่นผมรู้ว่าสายตาเป็นสื่อของภาษารักได้เป็นอย่างดี ในบางครั้งที่เธอมาช่วยผมเช็ดตัวภรรยาการสัมผัสมือที่เกิดขึ้นนำมาสู่การส่งยิ้มที่ผมเองก็ต้องยิ้มรับและทำให้จิตใจของผมต้องคิดหนักเหมือนกัน ผมจะเป็นคนผิดบาปหรือไม่ที่เกิดสิ่งนี้ขึ้นในขณะที่ภรรยานอนป่วยรอความตายอยู่ หลังจากที่ภรรยาหลับผมเดินออกมารับลมที่ทางเชื่อมอาคาร ผมยืนสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ พยาบาลสาวเดินจากอีกอาคารหนึ่งผ่านมาตรงที่ผมยืนอยู่ เธอยิ้มเมื่อเห็นผม พร้อมกับคำพูด วันนี้คุณคงเหนื่อยน่ะ และดูจะกังวลมากถึงออกมารับอากาศภายนอก มีอะไรให้ช่วยบอกได้ไม่ต้องเกรงใจ เธอยิ้มหลังพูดจบ ขอบคุณ ที่กรุณา ผมเกรงใจคุณมาก คุณดีต่อภรรยาของผมเหลือเกิน ผมพูดเชิงขอบคุณ เป็นหน้าที่ของพยาบาล และไม่ต้องเกรงใจ ฉันยินดีช่วยสำหรับคุณ เธอพูดตอบ ผมไม่รู้ว่าผมจะมีโอกาสเฝ้าภรรยาได้อีกนานแค่ไหน ช่วงที่ผมไปทำงานผมของฝากเธอด้วยนะครับ ผมบอกเธอ ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันดูแลเธอเองขอให้คุณสบายใจได้ เธอตอบแล้วเดินไปยังห้องข้างใน ************************ เย็นสองวันต่อมาผมมายืนอยู่ที่เดิม ที่ทางเชื่อมอาคารที่ลมพัดโกรกเย็นสบาย อิ่มอุ่น พยาบาลสาวสวยเดินออกมาแล้วพูดกับผม วันนี้ภรรยาคุณขอปากกาจากฉัน ภรรยาผมขอ ปากกาหรือ ขอทำไม ผมพูดเหมือนตกใจในสิ่งที่เกิดขึ้น นี่ไงสิ่งที่ภรรยาคุณเขียน เธอยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ผม ผมรับมาอ่านข้อความที่ปรากฎ ผมจำได้ว่าเป็นลายมือของภรรยาผมแน่นอน แม้ลายมือจะไม่สวยอย่างที่เคยเขียน ฉันฝากสามีด้วย ผมตะลึงในข้อความที่อยู่บนกระดาษแผ่นนั้น หรือว่าวันนั้นภรรยาผมจะเห็นสิ่งที่ผมทำต่อเธอในช่วงดึกที่ผมมานอนเฝ้าไข้ วันนั้นผมกับเธอต่างตระกองกอดกันในห้องนั้นและจุมพิตเธอ ผมทำเพียงเท่านั้นแล้วบอกเธอว่าขอให้ถึงวันที่เธอมีสิทธิ์ตามที่สังคมยอมรับ ผมจะทำสิ่งที่อยากทำ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ นั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นผมไม่นึกว่าเธอจะเห็นสิ่งที่ผมทำ แล้วผมจะทำอย่างไรดี ผมจะสู้หน้าเธอได้ตามปกติได้อย่างไร ผมสงสารเธอ ผมรู้ว่าถ้าเธอเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเธอคงเจ็บและเจ็บมากที่เดียวที่ผมมีรักซ้อนรักในขณะที่เธอนอนรักษาตัวในระยะสุดท้าย ผมผิดมากไหม อิ่มอุ่น ผมถามเธอเมื่อกระดาษแผ่นนั้นร่วงหล่นจากมือของผม
26 กุมภาพันธ์ 2555 20:44 น. - comment id 128548
"ผมจะดูแลคุณ จะรักคุณ ตราบชีวิตจะหาไม่" "ไม่มีวันที่ความรักของเราจะเปลี่ยนแปลง" อะไรทำนองนี้น่ะ .. ที่เขามักจะให้คู่บ่าวสาวสัญญาก่อนจุมพิตต่อหน้าสักขีพยาน .............................. เรื่องสั้นนี้อ่านแล้วชวนให้คิดนะ เพราะหากวันหนึ่งอัลมิตราอยู่ในสภาพนั้น คงไม่คิดเขียนอะไรหรอก
27 กุมภาพันธ์ 2555 05:49 น. - comment id 128551
อ่านแล้วคิดถึงตอนที่ตัวเองนอนป่วยค่ะ หลังผ่าตัดต้องเข้าห้องไอซียู ที่เยี่ยมไข้ได้ไม่เกินครั้งละสิบนาที สามีเข้ามาช่วยเวลาต้องขับถ่าย หนัก เบา เพราะมีทั้งสายอ๊อกซิเจน สายต่อเข้าช่องท้องจากจมูก สายน้ำเกลือ เขาไม่เคยรังเกียจว่า สกปรก หรือเหม็น เทกระโถน ทำความสะอาดให้ทุกอย่าง ไม่เคยปิดจมูกเพราะกลัวเชื้อโรค เป็นสัตย์จริงค่ะ เรื่องสั้นนี้เป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นได้จริง เพราะกิเลสของมนุษย์นั้นยากที่จะห้ามกันได้
27 กุมภาพันธ์ 2555 11:43 น. - comment id 128553
อ่านแล้วกระชับ ได้ใจความ น่าติดติดตาม ด้วยเป็นคนไม่ชอบอ่านอะไรยาวๆก็เลยชอบค่ะ
28 กุมภาพันธ์ 2555 22:12 น. - comment id 128559
ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมชมผลงาน ขอคารวะครับ