อทิสมานกาย ๑๐๘

แก้วประเสริฐ


                 อทิสมานกาย ๑๐๘
   ที่สถานีขนส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าชัณสูตรพลิกศพเสี่ยเล้ง แล้วนำ
ส่งโรงพยาบาลตำรวจอีกครั้งหนึ่ง เพื่อขอความเห็นชอบของแพทย์
   เนื่องจากไม่มีบาดแผลจากการถูกทำร้ายร่างกายแต่ประการใด
 แพทย์จึงลงความเห็นว่าเป็นโรคหัวใจวาย
 
   ที่มีอาการลิ้นจุกปากตาถลนนั้นเป็นการบีบคอตัวเอง เกิดจาก
อาการเกร็งหายใจไม่ออกจึงบีบคอตนเอง   ด้วยผู้ป่วยเคยมีประวัติ
จากโรงพยาบาลเอกชนว่า  เคยเป็นโรคหัวใจมาแล้ว จึงส่งศพให้ญาติ
ไปทำพิธีการทางศาสนาต่อไป
    ข่าวการตายของเสี่ยเล้งลงหน้าหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งเกือบทุกๆ
ฉบับ  ด้วยเสี่ยเล้งเป็นนักธุรกิจรายใหญ่คนหนึ่งมีชื่อเสียงมากมาย
ทั้งในด้านบวกและลบ และมีประวัติไม่ค่อยดีจากวงการตำรวจด้วย
เรื่องจึงได้ถูกปิดไปโดยปริยาย  ทำให้วงการธุรกิจปั่นป่วนยิ่ง
โดยเฉพาะนักธุรกิจที่ทำงานร่วมกับเสี่ยเม้งต่างวิพากษ์วิจารณ์กัน
ไปต่างๆนาๆ  ทำให้วงการค้าไม้ยาเสพย์ติดชะงักไประยะหนึ่ง ด้วย
เสี่ยเล้งมีธุรกิจกว้างขวางทางด้านต่างจังหวัดมากมายนัก ควบคุมงาน
ด้านทางภาคเหนือภาคอิสาณมาก  ทำให้วงการดังกล่าวซบเซาไปด้วย
หาผู้สืบทอดยังไม่ได้ เพียงแต่นึกสงสัยว่าเหตุใดเสี่ยเล้งจึงเดินทาง
โดยรถโดยสารประจำทาง ปกติแล้วจะเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว
เป็นประจำ เมื่อมาอาศัยรถประจำทางทำให้เพื่อนๆต่างงงไปตามๆกัน
        งานศพจัดขึ้นที่วัดมีชื่อแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯการสวดศพทั้งทาง
จีนและไทย  ผู้คนจึงมากมายนักในการสวดศพคืนสุดท้ายเพื่อรุ่งขึ้น
จะนำศพไปฝังยังสุสานตามประเพณีจีน ดังนั้นจึงมีแขกมาร่วมงาน
มากมายผิดปกติ  ทุกๆคนกำลังฟังพระจีนสวดกงเต๊กอยู่เสียงเคาะไม้
ไปบนไม้ลักษณะกลมๆเรียกว่า มัณเฑาะของชาวจีน ให้เกิดเสียงดัง
ไปเรื่อยๆ พอพิธีสวดเพื่อให้ญาติเดินข้ามสะพานที่จัดทำไว้ ก็ทำ
ให้ทุกๆคนพากันน่าตาเหลิกหลั่กไปตามๆกัน  ด้วยมีกลิ่นเหม็นสาง
โชยคลุ้งเกิดขึ้นในงาน  แขกบางคนต้องยกมือปิดจมูก  เสียงหมา
หอนรับทอดมาแต่ไกล ทำให้หมาภายในวัดพากันหอนรับอย่าง
โหยหวน  กลิ่นเน่าเหม็นมาจากแขกที่มาในงานด้วยต่างมองหน้า
กันไปๆมาๆ ด้วยแขกนั้นแยะไม่รู้ว่าใครเป็นใครกัน
     ทันใดนั้นแสงไฟก็ดับพรึบลงมีแสงก็แต่แสงเทียนในพิธีเท่านั้น
เสียงดังขลุกๆขลั่กดังขึ้นภายในโลงจำปาเนื้อไม้ชั้นดี ทำเอาแขกที่
มาพากันหวั่นไหว ตลอดจนพระจีนที่กำลังสวดกงเต๊กก็ชะงักงันไป
บรรดาแขกที่นั่งเก้าอี้บางคนสภาพแปรเปลี่ยนไป ร่างกายค่อยๆเริ่ม
เน่าเฟะ ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วแขกที่นั่งใกล้ๆหันไปมองก็ตลึง
คิดไม่ถึงว่าแขกที่นั่งใกล้ๆมันจะแปรสภาพไปเป็นสภาพขึ้นอืด  พวก
มันพากันตาเหลือโพลน ปากคอสั่นพูดไม่ออก เสียงเห่าหอนก็ระงม
ไปทั่วบริเวณวัด  พระจีนหันมามองยังแขกที่นั่งก็พากันตกใจพลาง
ทิ้งไม้เคาะ  พากันวิ่งออกจากโรงพิธีทันที  บรรดาแขกที่นั่งตาโพลน
นั้นก็พากันแหกปากร้องลั่น
    “เหว๋อๆๆไอ้หย้าๆ เฮ้ยๆๆๆ  ผะๆๆๆอีๆๆผีๆๆๆ  โว้ย”
   เท่านั้นแหละก็เกิดการชุลมุนกันต่างวิ่งหนีคนละทิศละทาง  เสียง
พร้อมเสียงดังจากแขก เสียงฮึๆๆๆกังวานทำลายบรรยากาศสิ้น
โรงจำปาก็เขย่าดังโครมๆๆ ญาติพี่น้องพากันเผ่นกันคนละทิศละทาง
ญาติที่นุ่งใส่เสื้อสีขาวป่านก็วิ่งหนีตามแขก  ยิ่งทำให้แขกตกใจมาก
ขึ้นนึกว่าผีตามหลังมา ต่างคนต่างแหกปากร้องลั่นระงมไปทั่วบริเวณ
วัด  ทำเอางานศพอื่นๆที่พระกำลังสวดพลอยตกใจไปด้วย ต่างองค์
หันไปมองรวมถึงเจ้าภาพศพอื่นต่างก็ตกใจกันไปตามๆกัน ต่างวิ่ง
หนีกันจ้าระหวั่น  ทั้งพระไทยพระจีนเสื้อจีวรปลิวว่อน  เสียงลม
กรรโชกมาทั้งๆที่ไม่มีวี่แววว่าจะมีลมสักนิดเดียว   เสียงหัวร่ออัน
เยือกเย็นก็ดังประสานกับสายลมที่กรรโชกมาด้วย รับกับเสียงหมา
หอนอย่างเยือกเย็น  สลับกันไปๆมาๆ เสียงกรีดร้องระงมทำลายความเงียบ
     พระในกุฎีก็ต่างพากันสวดมนต์กันจ้าระหวั่น   จนกระทั่ง
เหตุการณ์สงบลง ด้วยคงเหลือแต่บรรดาศพที่ตั้งอยู่เท่านั้น นอกนั้น
หายไปหมดรวมทั้งพวกสัปเหร่อด้วย ไม่มีใครอยู่ในงานสักคนเดียว
นอกจากพวกผีที่เดินเก้ๆกังๆ โขยกเขยกออกมาจากศาลาสวดศพแล้ว
ก็ค่อยๆจางหายไป  บรรยากาศจึงคืนกลับสภาพเดิมไฟฟ้าเริ่มติดขึ้น
แต่ก็ปราศจากคนเสียแล้ว
      พวกกลุ่มสัปเหร่อที่มารวมตัวกันที่หน้าพระอุโบสถต่างวิพากษ์
วิจารณ์กันพรึมพรำไปทั่วแทบไม่เป็นภาษามนุษย์เลย
     “เฮ้ยๆๆๆไอ้มาก  ทำไมมันเฮี้ยนอะไรเช่นนี้ นี่กรุงเทพฯนะโว้ย”
    “ฉันจะไปรู้หรือพี่  มันแรงจริงๆ” ลูกน้องตอบหัวหน้าสัปเหร่อ
   “นั่นซิกูก็ทำงานมาจนหัวหงอกหลายต่อหลายศพจนหัวหงอกแล้ว
ก็พึ่งเจอครั้งนี้แหละว๊ะ   ไอ้ห่า!!!เกิดจากงานเสี่ยอะไรนี่แหละว๊ะ”
   “นั่นนะซิฉันก็ทำงานมาหลายปีพึ่งจะเจอของจริงก็คราวนี้แหละ
แขกที่มามันพวกผีมาร่วมงานด้วย  ตอนแรกฉันก็สงสัยเหมือนกันพี่
ว่าทำไมกลิ่นเหม็นเน่าสาบสางมันมายังไง  นึกว่ามีหมาตายแต่ผมก็
ไปดูแล้วนี่หาเดินค้นก็ไม่มี  ผมยังพูดกับไอ้แปะอยู่เลยว่ากลิ่นอะไร
ว๊ะ ไอ้แปะมันบอกว่าหรือว่าหมาแมวตาย  ยังไปช่วยค้นหาดูก็ไม่มี”
   “แล้วจะทำอย่างไรดีว๊ะ”
  หัวหน้าสัปเหร่อถามขึ้น
  
   “ไอ้เบื๊อกมึงไปดูซิว่าเป็นอย่างไร เห็นเงียบแล้วนี่หว่า”
   “พี่ไปดูซิ!!!!.... ผมไม่เอาหรอกวิ่งเสียอกแทบแตก”
   “พี่นั่นแหละดี  อาคมก็มากด้วยเป็นหัวหน้านะพี่นะ”
   ไอ้ฉุยเสนอความคิดเห็น ส่วนฉันไม่เอาด้วยล่ะคนหนึ่ง
   “งั้นไปด้วยกันทุกๆคนแหละว๊ะ”
หัวหน้าสัปเหร่อสั่งลูกน้องมันทันที
   แต่ทุกๆคนสั่นหน้าไม่ยอมเชื่อฟังหัวหน้าสัปเหร่อ
   “ฉันว่าให้มันเช้าค่อยๆไปดูไม่ดีกว่าหรือ เดี๋ยวมันย้อนมาอีกไม่
วิ่งกันตับแตกหรือ”
   “อืมมๆๆๆจริงของมึงว๊ะ  งั้นกลับบ้านกันก่อนก็แล้วกัน”
   “แต่ฉันว่านอนหน้าโบสถนี่แหละดีทนหนาวหน่อย อากาศร้อน
คงจะไม่หนาวหรอก นี่เหงื่อแตกกันท่วมตัวหมดแล้ว ถ้าพี่จะกลับ
ก็กลับไปคนเดียวเถอะ”
    คราวนี้หัวหน้าสัปเหร่อพยักหน้าหงึกๆแล้วก็เอ่ยขึ้นว่า
   “เอาตกลงงั้นนอนกันที่นี่ก็แล้วกันว๊ะ เช้าค่อยเข้าไปดูอีกทีหนึ่ง
     ดังนั้นเมื่อทุกๆคนลงมติเช่นนี้ก็พากันรวมตัวกันนอนเพื่อรอวัน
ใหม่  รวมตัวกันเป็นกระจุกไม่มีใครแยกกันนอนสักคนเดียว
     พอสายๆเจ้าภาพต่างทะยอยกันมาเป็นกลุ่มใหญ่ รวมทั้งพวก
สัปเหร่อด้วย แต่ทุกๆคนมีใบหน้าอิดโรยไปตามๆกัน  พวกที่ไม่
ได้มาในงานต่างก็ไม่รู้ว่าเมื่อคืนนี้เกิดเรื่องอะไรกัน ส่วนพวกที่มา
ต่างหายหน้าหายตาไปหมด  รถบรรทุกศพและคนไปส่งศพก็มา
จอดรออยู่แล้ว   ทันใดนั้นเจ้าภาพก็เดินมาทางสัปเหร่อพลางขอร้อง
ว่าเรื่องเมื่อคืนห้ามพูดเด็ดขาด
  
       ครั้นพอสายๆพวกสัปเหร่อก็เริ่มนำศพเสี่ยเล้งขึ้นรถบรรทุกศพ
  ด้วยอาการหวาดๆ  แต่ก็แข็งใจทำงานกันไปด้วยความจำเป็น ปกติ
แล้วทางประเพณีจีนจะมีคนนั่งไปกับศพด้วยแล้วต่างร้องไห้กันอย่าง
ไว้อาลัยแก่ศพรำพันคุณงามความดีผู้ตาย  แต่ทางเจ้าภาพลูกหลาน
 ต้องไปว่าจ้างคนมาทำพิธีตลอดจนพระชุดใหม่ทั้งหมด
   ดังนั้นงานเคลื่อนศพจึงลุล่วงไป  แต่พวกสัปเหร่อทุกๆคนไม่ยอม
ไป  บอกว่าทางโน้นคงจะมีคนจัดการให้เรียบร้อยเองแล้วหมด
หน้าที่ของพวกมัน  ทำเอาบรรดาศาลาสวดศพใกล้เคียงต่างทำหน้าที่
กันด้วยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปตามๆกัน กลัวเหตุการณ์จะซ้ำรอย
   ทางด้านเจ้าเปล่งก็นั่งหัวร่ออยู่คนเดียวรวมทั้งเจ้าพ่วงเจ้าเริ่ม  ทำเอา
ไอ้วาสสงสัย  จึงหันหน้าจะไปถามเจ้าเปล่งแต่ถูกนางไม้มณฑาหยิก
ไว้ห้ามไม่ให้ถาม  ยิ่งทำให้เจ้าวาสสงสัยยิ่งขึ้น เมื่อนางไม้เห็นเช่นนั้น
ก็ดึงร่างเจ้าวาสออกมาแล้วอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ไอ้วาสฟัง  เล่นเอา
เจ้าวาสตลึงแล้วก็พลันหัวร่องอหายไปด้วย  ได้ยินเจ้าเปล่งเอ่ยขึ้น
แว่วๆมาว่า 
 
   “สนุกว๊ะเพียงข้าทดลองให้เด็กๆไปติดต่อกับพวกผีในกรุงเทพฯไว้
ไม่คิดว่าจะสนุกถึงเพียงนี้”
   “นั่นซิอาจารย์  ไม่ว่าใครก็ตกใจทั้งนั้นแหละ”
ทั้งสองคนเอ่ยขึ้น ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
   “ดีนะเนี๊ยะไม่หัวโกร๋นก็นับว่าบุญแล้วล่ะ ได้ข่าวว่าหลายๆคนต่าง
เป็นไข้ไม่กล้ามาในงานอีก คนไปจึงน้อยลง”
   “กูไม่รู้ว่าอาจารย์จะว่ากูหรือเปล่า ทั้งๆที่เรื่องมันแล้วไปนี่นา”
   “อาจารย์โชติคงไม่ว่าอะไรกระมัง  แล้วอาจารย์คิดอย่างไรล่ะถึง
ได้ไปเล่นงานพวกมันนะ”
   “ก็พวกมันนั่นแหละพวกค้ายาเกือบทั้งนั้น  ก็เลยล้อมันเล่นพอ
หอมปากหอมคอ”
    “ป่านนี้คงวิจารณ์กันแซดไปหมดแล้วล่ะอาจารย์”
    “ช่างมันเถอะว่าสนุกแล้ว  ทางอาจารย์ไม่รู้ว่าจะมีงานให้เราทำ
อะไรอีกล่ะ  อ้อๆๆเรื่องการขนน้ำยาทำยานั้นนะไปถึงไหนแล้ว”
   “ข้าไปถามผีป่าเจ้าเขาแล้วว่ามันคงจะยกเลิกกระมัง  เพราะกลัวจะ
เรื่องซ้ำซ้อนขึ้นมาอีกนะ  คงไม่กล้าเพราะไม่มีใครไปรับช่วงต่อ
นะซิอาจารย์”
   “เออๆๆๆข้าก็คิดอย่างนั้นแหละ  มิฉะนั้นเด็กๆคงมารายงานแล้ว
อีกอาจารย์เราก็เงียบๆไป”
   “ฉันคิดว่าอีกนานหรอกนะ เพราะพวกหัวหน้ามันตายหมด ส่วน
พวกกำนันใหม่ๆก็ไม่มีใครกล้าร่วมงานด้วย  เพราะการตายคน
เหล่านี้นั้นทำให้พวกมันขยาดไปตามๆกัน”
   “นั่นนะซิข้าก็คิดเหมือนพวกเอ็งแหละ  งั้นพวกเอ็งอย่าลืมทำสมาธิ
กันเสียล่ะ  ข้านั่งสมาธิดูแล้วรู้ว่าอีกไม่เท่าไหร่หัวหน้าอาจารย์เราก็จะ
ไปเสียแล้วล่ะว๊ะ  คงเหลือเวลาไม่เท่าไหร่หรอก”
   “อ้าวๆๆอาจารย์ใหญ่จะไปไหนหรือ ข้าชักสงสัย”
   “อ้อๆๆๆจะละสังขารไปแล้วล่ะโว้ย เพียงรอพวกเราให้สมาธิแก่
กล้ากว่านี้อีก  และทำงานทางโลกเสร็จแต่คงอีกไม่นานหรอกว๊ะ”
   คราวนี้เจ้าพ่วงกับเจ้าเริ่มพยักหน้าหงึกๆเหมือนเข้าใจ  หากอาจารย์
ใหญ่ไปคงจะนำพวกมันไปด้วยกระมังมันคิด
     “มึงไม่ต้องคิดมากหรอกว๊ะ ท่านจะนำพวกเราไปหากใครทำ
สมาธิแก่กล้าได้  หากไม่พยายามก็จนปัญญาว๊ะ”
    “เมื่องานทางนี้เบาบางลง  ข้าก็จะเริ่มเอาจริงเอาจังสักที แล้วส่วน
พวกนางไม้นางอัปสรล่ะอาจารย์คิดว่าอาจารย์ใหญ่จะเอาไปด้วย
ไหม ดูๆไปก็ชักสงสารเห็นช่วยพวกเรามาก็มากด้วยซิ???”
   “พวกนางรู้ตัวกันหมดแล้วไม่ต้องห่วงหรอก  พวกนางเตรียมตัว
กันไว้พร้อมกันแล้วล่ะ”
   “ก็ดีเหมือนกันจะได้ไปอยู่ในสถานที่เดียวกัน”
   “เรื่องนี้เป็นเรื่องบุญกุศลและตัวของเรา หากไม่พยายามก็คงจะ
ดักดานอยู่ทางนี้แหละ  ขอให้พวกเอ็งพยายามเข้าไว้ให้มากๆนะ”
   “ข้าจะเริ่มหลังจากเราคุยกันเสร็จแล้ว อ้าวๆๆแล้วเพื่อนอาจารย์
ล่ะจะได้ไปไหมนะ”
   “ข้าคิดว่าคงจะไม่ได้ไปหรอก เพราะว่าเขาไม่ค่อยสนใจทางนี้ชอบ
ทางโลกมากกว่าว๊ะ  เอ็งไม่ต้องห่วงหรอกให้เอ็งเอาตัวให้รอดก็แล้ว
กัน  ส่วนข้านั้นไปแน่ๆเพราะข้าพร้อมอยู่แล้วตอนนี้  พวกเอ็งรีบทำ
ซะติดขัดอะไรให้รีบมาสอบถามข้าก็ได้นะ”
   “ครับอาจารย์แล้วทางพี่แสงสีสินชัยล่ะ??????”
   “สองคนนั้นไม่ต้องห่วงหรอก วิชาอาคมสมาธิเก่งพอๆกับข้านี่
แหละเขาไปได้แน่นอน เป็นห่วงก็เอ็งสองคนเท่านั้นแหละว๊ะ”
   “ขอบใจอาจารย์มากที่อบรมสั่งสอนข้าเพิ่มเติมจากอาจารย์ใหญ่”
    ว่าแล้วคนทั้งสองก็ก้มลงกราบ  แล้วก็ขอตัวจากไป  เพื่อฝึกฝน
สมาธิตามคำสั่งสอนต่อไป
   ป่าก็คงเป็นป่าเสียงสัตว์ร้องหากินกลางคืนแต่ภายในกระท่อมและ
บริเวณใกล้เคียงกลับสงบ  เว้นแต่เจ้าวาสกับนางไม้มณฑาเท่านั้นที่
ยังหยอกเย้ากันอยู่   จวบจนฟ้าสางเริ่มต้นวันใหม่ต่อไป
   ภายหลังการเสียชีวิตของเสียเล้ง  งานด้านการค้าไม้และยาเสพย์ติด
ก็ทุเลาลง  กระแสภายในเมืองหลวงก็ก็การแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่
หลวง เพราะเปลี่ยนรัฐบาลใหม่จากผลพวงของทหารทำให้  การค้า
ด้านผิดกฏหมายเริ่มก่อตัวสร้างใหม่ขึ้น  สภาวะผันผวนทั้งหลายก็
เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นทางพ่อค้านักธุรกิจและข้าราชการต่างถูก
สับเปลี่ยนกันไม่รวมตัวกันเหมือนก่อน
  
      ทำให้เกิดวังวนด้านต่างๆมากมายมหาศาล   แบบหน้า
มือเป็นหลังมือ  การย้ายการลาออกของเหล่าข้าราชการก็เกิดขึ้น 
คอรัปชั่นเพิ่มตัวอย่างรวดเร็ว รวมถึงบรรดาด้านผิดกฏหมายต่างไม่
เกรงกลัวกฏหมายแยกตัวมา  
      ดำเนินการกันเองแบ่งแยก ก่อเกิดคนติดยากันทั้งระดับกลางล่าง
มากมายมหาศาล เศรษฐกิจซบเซา ขาดความไม่ไว้วางใจ 
ม๊อบต่างๆก็เกิดขึ้นเรียกร้องในสิ่งที่ตนปรารถนา หลายก๊ก
ขึ้นมากมาย เกิดการเข่นฆ่าของประชาชนขึ้น สร้างความเดือดร้อน
ไปทั่วทุกระแหงของประเทศแก่งแย่งอำนาจกัน สร้างสิ่งต่างๆเพื่อ
ประโยชน์ของตัวเอง  กระจายไปทุกๆภาคของประเทศ
   เกิดผู้ร้ายชุกชุมประชาชนต่างเดือดร้อนไปตามๆกันแบบเดิมหรือ
อาจจะมากกว่าเก่าเสียด้วยซ้ำกัน ขาดความปรองดองแย่งชิงเพื่อยึด
ครองอำนาจมาสู่พรรคพวกให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ไม่คำนึงใดๆ
ทั้งสิ้นว่าประเทศชาติจะเป็นอย่างไร มัวเมาลุแก่อำนาจตัวเอง  อ้างอิง
ในสิ่งต่างๆที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น  เกิดการฆ่าฟันกันเองเลือดนองแผ่นดิน
                   ๐ แก้วประเสริฐ. ๐
( ขอแสดงความเสียใจด้วย บันทึกเกี่ยวกับยาสมุนไพรไทย ได้สลายไปกับ
สายน้ำหมดแล้ว จึงเหลือไว้เท่าที่ลงไว้เท่านั้นครับ....แก้วประเสริฐ.)

1139348gm3744qpip.gif76.gif				
comments powered by Disqus
  • กิ่งโศก

    25 มกราคม 2555 13:18 น. - comment id 128242

    เหมือนกำลังดูละครผี เลยครับครู
    ครูแก้วใส่รายละเอียดในพิธีกรรมเห็นภาพได้ชัดเลยครับครู
  • แก้วประเสริฐ

    25 มกราคม 2555 15:50 น. - comment id 128248

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ กิ่งโศก
    
             งานใดๆก็ตามเฉพาะงานเขียนนั้นไม่ว่าจะ
    เป็นที่ทำงานอาชีพก็ตาม งานเขียนสำคัญมาก
    หากเราสามารถทำให้คนอ่านเจ้านายเราเป็น
    งานนั้นได้ชัดเจน ก็ถือว่าเป็นงานที่ได้รับผลดี
    สำเร็จลุล่วงแล้ว
            งานกลอนหรือเรื่องสั้นหรือนิยายใดๆก้ตาม
    หากงานนั้น คนอ่านเห็นภาพชัดเจนในเรื่องนั้นๆ
    ก็ถือได้ว่า เราบรรลุจุดประสงค์สำเร็จแล้ว
        จงจำไว้ก่อนจะส่งเรื่องหรือส่งงานควร
    ตรวจสอบให้ถ่องแท้เสียก่อน เมื่อเราเขียน
    เสร็จให้ทำตัวเปรียบเสมือนคนอ่านไม่ใช่
    คนเขียน  จะได้แก้นิสัยเข้าข้างตัวเราเอง
    ได้เป็นอย่างดี ผลสำเร้จก็จะเป็นของเราจ้า
           รักศิษย์เรายิ่งมากๆด้วย
    
              16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน