อทิสมานกาย ๙๗ อากาศเริ่มขมุกขมัวด้วยเวลาบ่ายมากแล้ว ทุกๆอย่างล้วนอยู่ใน ความเงียบสงบ เสียงหรีดหริ่งเรไรเริ่มส่งเสียงร้องระงมดังในบาง ช่วงเวลา ร่างเจ้าผันนั้นที่แสร้งนอนตายอยู่นั้นครั้นแน่ใจว่าพวกนั้น ได้จากไปแล้ว ก็ผลักร่างศพที่นอนทับร่างไว้พร้อมลุกขึ้นนั่งบิดกาย ไปๆมาๆ มันนึกย้อนเหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้จิตใจมันเกิดการเกิด ความท้อแท้ยิ่งนัก พวกมันล้วนแล้วตายทั้งสิ้นและบรรดาคนเหล่า นั้นก็พากันเล็งปืนมายังมันแต่ ได้รับการห้ามไว้จากชายคนหนึ่ง แล้วพวกนั้นถึงได้จากไปจนหมดสิ้นคงทิ้งมันไว้ หรือว่ามันรู้ว่ามัน แสร้งทำเป็นตาย มันรู้ได้อย่างไรกัน เจ้าผันคิดเท่าไหร่ก็ไม่ออก ทำให้มันนึกถึงคุณพระคุณเจ้า จึงเอื้อมมือไปที่องค์พระที่มันสวม หัวอยู่ออกมายกมือขึ้นไหว้ทันที แล้วความสำนึกดีชั่วก็เกิดขึ้น ตั้งแต่เป็นหนุ่มมาและคบหากับเจ้าแม้นมันหาได้ทำในสิ่งดีๆไม่ แต่มันรอดตายมาได้สองครั้ง ด้วยความคะนองได้มาทำงานกับกำนัน ล้วนแล้วแต่สิ่งชั่วร้ายทั้งสิ้นมั่วเหล้าเมายาผู้หญิงที่อยู่ภายในบ้านและ ที่อื่นๆอีก ยิ่งนึกคิดเท่าไหร่ความอนาถใจมันก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว การที่มันรอดตายอีกครั้งนี้ถือว่ามันคงจะไม่ถึงที่ตาย แต่ถ้ามีครั้งที่ สามเล่าเห็นว่าคงจะไม่รอด ก็ทำให้มันเกิดความเบื่อหน่ายชีวิตขึ้นมา ครั้งแรกตอนไปกับไอ้แม้นซึ่งบัดนี้นอนตายอยู่ข้างก้อนหินใหญ่ และพวกทั้งหลายที่ต่างตายกันไป ยกเว้นมันคนเดียวเท่านั้น มันนึก ย้อนกลับครั้งร่วมกันเพื่อฉุดสาวบงกชกับไปเจอพวกผีจนมันเกือบ ตาย แต่ก็ปางเจ็บจนแทบจะตายและจะพิการยิ่งคิดยิ่งเกิดความ ท้อแท้ในใจมันขึ้น มันทำงานให้กับกำนันมั่นก็เพราะความสะดวก ความสบายไม่ต้องเหน็จเหนื่อยใดๆ เพียงแต่ต้องเสี่ยงเป็นบางครั้ง ด้วยวัยยังคะนองของมันเอง ครั้นหวนย้อนกลับมาอีกครั้งซึ่งการ ก็ช่างคล้ายๆกันเพียงแต่ว่าเป็นร่างคน แต่ทำไมเล่าเมื่อยิงไปถูก กลับไม่มีเลือดไหลออกมาจากพวกมันเลย ก็ให้นึกแปลกใจนัก เห็นว่าครั้งนี้ไม่ดีแน่ จึงหาทางหลบหนีแต่ไม่ได้จึงต้องแสร้งตาย มาครั้งนี้ก็เหมือนกันมันยิงบรรดาผู้ที่เข้ามาล้อมยิงพวกมัน แต่ มันยิงถูกแต่เพียงแค่ร่างผงะเท่านั้นกระสุนที่มันยิงถูกเป้าอย่างจังแต่ หาได้ทำอันตรายใดๆแก่พวกมันไม่ จะว่าเป็นผีหรือก็คงจะไม่ใช่แต่ มันไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่ เพราะเป็นกลางวันแท้ๆและสามารถใช้ ปืนได้ดีแม่นยำเสียด้วย ยิ่งคิดยิ่งท้อแท้ต่อชีวิตมัน ความสำนึกผิดก็ เกิดขึ้นแก่มัน น้ำตามันไหลพรากเมื่อสำนึกได้ ดังนั้นมันก้มลงกราบ พระแม่ธรณีพร้อมเปล่งเสียงคำสาบานออกมาด้วยเสียงดังให้สัตย์ สาบานขึ้นว่า หากมันรอดตายครั้งนี้จะขอบวชเพื่อล้างความชั่วมัน เสียบ้างขอให้พระแม่ธรณีเจ้าป่าเจ้าเขาจงเป็นพยานด้วยเถิด หากมัน รอดพ้นตายคราวนี้จะล้างมือต่อความชั่วทั้งหลายและก็จะขอบวช เพื่อชดใช้หนี้กรรมบ้าง ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์จงเป็นพยานด้วยเถิด กล่าวเสร็จมันก็ก้มลงกราบ พร้อมสาบานต่อพระที่มันสวมติดตัวมา ด้วยแล้วมัน โดยนำจากที่สวมหัวมาตั้งไว้บนหินให้คำสัตย์สาบาน เสร็จแล้วก็นำพระมาสวมหัวมันดังเดิม พร้อมเหลียวซ้ายแลขวา ครั้นเห็นว่าเหลือแต่เพียงมันคนเดียวเท่านั้น แล้วบรรดาศพพวกมัน ล่ะจะทำอย่างไร คงต้องปล่อยไว้แบบนี้ลำพังตัวคนเดียวยังแทบ จะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว จะไปสนใจใยดีทำไมคงปล่อยไปตามนั้น แล้วก็ลุกขึ้นยืนแต่ร่างกายมันเปื้อนไปด้วยคราบเลือดที่แห้งกรัง ใน คิดชั่วแวบหนึ่งมันคิดว่า พวกที่มานั้นคงจะไม่ใช่คนธรรมดาแน่ แต่มันคงยังไม่ถึงที่ตาย กระมังจึงทำให้พวกนั้น จึงเว้นชีวิตมันไว้มีหรือพวกนั้นจะไม่รู้ว่า มันแสร้งทำเป็นตาย แต่ในขณะที่แอบมองดูอยู่ก็ไม่แน่ใจหรืออาจจะ รู้ก็ได้ พวกเหล่านี้เป็นใครกันยิ่งคิดก็ยิ่งมึนงงมาก เอาล่ะต่อ ไปนี้ข้าสาบานไว้แล้วจะหาทางออกจากสถานที่นี้ลัดเลาะไปแต่ใน สภาพเช่นนี้คงจะเป็นที่สงสัยแก่คนพบเห็น ดังนั้นมันจึงเดินค้นหาเสื้อผ้าตามบรรดาศพที่นอนตาย เลือกเสื้อ ผ้าที่ไม่มีรอยเปื้อนเลือดผลัดเปลี่ยน สถานที่นี้มันเคยมาย่อมรู้แหล่ง ที่ไหนมีน้ำ จึงเดินย้อนไปด้านหลังข้างๆเขาเป็นลำธารเล็กๆที่ไหล มาจากเขา แล้วก็เปลื้องผ้าออกชำระรอยเลือดที่ใบหน้าอาบน้ำชำระ ร่างกายมัน ล้างคราบเลือดออกให้หมดเพื่อคนจะได้ไม่สงสัยมัน โดยใช้ใบไม้มาถูกลบรอยให้หมด แล้วก็ขึ้นมาสวมเสื้อผ้าใหม่ พลางนึกว่าเราจะไปไหนดีล่ะที่จะไม่ผ่านบ้านกำนันมั่น และหาวัด ที่จะขอบวชล้างสิ่งชั่วร้ายต่างๆที่กระทำ ทันใดความนึกคิดแว๊บหนึ่ง ก็เข้ามา มันนึกถึงพ่อหวนพ่อของสาวบงกชได้ว่าได้ไปบวชยังวัด โคกอีแร้งทิ้งทุกๆสิ่งทุกอย่าง ตอนนี้เป็นเจ้าอาวาสและอุปปัชฌา จารย์อีกด้วยซึ่งก่อนนั้นกำนันหวนหรือก็เคยคุ้นเคยกับมันหากมันจะ ขอร้องท่านก็คงจะได้ หากไปวัดอื่นๆจะมีปัญหาเกิดขึ้นอีกอย่างแน่ นอน คิดได้ดังนี้จึงมองไปยังบริเวณเหล่านั้น แล้วก็ออกเดินทาง พลางหักกิ่งไม้ขนาดเล็กๆมาถือไว้ เดินไปฟาดเป็นทางเดินเพื่อป้อง กันงูและแมลงมีพิษทั้งหลาย แต่การกระทำของมันหาได้รอดพ้นจาก สายตาของเจ้าเริ่มไม่ที่แอบแฝงดูการกระทำของมัน ก็นึกอนุโมทนา ที่มันกล่าวคำสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ก็คิดจะเกื้อหนุนมัน ครั้นเจ้าผันเดินทางมาถึงรถกะบะมองดูแล้วว่ามันเหลือเพียงแค่ ซากด้วยรถถูกเผาเสียไหม้เกรียมไปหมด แต่ช่างเถอะเราเดินไปก็ได้ พลางก้าวเดินไปตามทางเล็กๆที่มันผ่านมา พลางคิดไปต่างๆนาๆ ระหว่างการเดินทางด้วยเท้าหากจะไปถึงวัดก็ใช้ระยะทางไกล ด้วยและยังต้องผ่านบ้านกำนันมั่นซึ่งมันไม่อยากไปนักอาจจะเจอใคร จึงลังเลใจว่าจะทำอย่างไรดี แต่การกระทำของมันนั้นอยู่ใน สายตาเจ้าเริ่มไปไม่ หลังจากที่ให้บริวารกลับไปแล้วมันรู้ด้วยกระแส จิตที่ฝึกฝนมา คิดใคร่ที่จะสร้างผลบุญในการบวชของเจ้าผันนี้ด้วย ว่าเจ้าผันนี้จะคงพ้นจากบ่วงกรรมแน่ มันจะได้สร้างกุศลอนุเคราะห์ มันด้วย จึงเปิดทางคอยเฝ้าดูแลให้เจ้าผันเดินทางไปจนถึงถนน ใหญ่ในขณะที่มันกำลังละล้าละลังจะทำประการใดดี พลันก็มีรถคันหนึ่งเปิดไฟส่องมาด้วยเป็นเวลาค่ำมืดแล้ว คิดว่าจะ ได้ขอโดยสารรถไป หากไปในเมืองก็จะดี ดังนั้นมันจึงได้เดิน ออกมาโบกรถ รถคันนั้นก็เข้ามาจอดใกล้ๆมันมันรีบไปที่คนขับ พลางเอ่ยถามว่าจะไปที่ไหน??? แต่มันหารู้ไม่ว่าคนที่ขับรถมานั้น ก็คือเจ้าเริ่มนั่นเอง มันยังไม่ทันร้องถามเสียงคนขับก็เปิดหน้าต่าง พร้อมตะโกนร้องบอกมันทันที “จะยืนหาห่าอะไรล่ะ มาๆขึ้นรถมาเลยข้าจะไปส่งให้เอง” เล่นเอาเจ้าผันงุนงงหนักขึ้น เอ๊ะมันรู้ได้อย่างไรหวาว่าเราจะไปไหน เสียงร้องก็ตะโกนมาอีกว่า “เฮ้ยๆๆๆเร็วๆ เดี๋ยวไม่ทันการว๊ะ ไม่ต้องกลัวข้าหรอกข้าจะไป ส่งมึงที่วัดให้นะไอ้ผัน” “แล้วรู้อย่างไรว่าข้าจะไปไหนล่ะ??..แล้วรู้ชื่อข้าได้อย่างไร” “เออๆๆๆๆ....ข้ารู้ก็แล้วกัน หรือว่ามึงจะเดินไปเอง ก็ตามใจมึง” “ขอบใจมากว๊ะ ข้าไม่ถามอะไรอีกแล้วล่ะ เพียงสงสัยเท่านั้น” “มึงไม่ต้องสงสัยอะไรหรอก รีบขึ้นรถมาเถอะรับรองว่ามึง ปลอดภัยแน่นอน” คราวนี้ไอ้ผันไม่ถามอะไรอีกแล้ว พลางเปิดประตูรถนั่งคู่ไปกับ คนขับทันที รถก็เคลื่อนออกไปทันทีแต่เป็นทางไปทางบ้านกำนัน มั่น ครั้นเหลือบมองไปภายในบ้าน เห็นบรรดาสาวๆกำลังนั่งกิน เหล้ากันอยู่ เสมือนจะรอพวกมันอยู่ มันนึกว่ามึงจะไม่ได้พบพวก ไอ้แม้นอีกแล้ว แล้วรถก็วิ่งเลยไปมันไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้น จนรถ แล่นผ่านถึงอาณาเขตของหมู่บ้านโคกอีแร้ง แล้วเลี้ยวซ้ายมือเข้าไป ยังวัด แต่รถจอดหน้าวัดคนขับหันมาพูดว่า “เออถึงวัดแล้วว๊ะ กูส่งมึงแค่นี้นะโน่นกุฏีหลวงพ่ออยู่ที่โน่นมึง เข้าไปหาท่านแล้วเล่าเหตุการณ์ให้ฟังอย่าเสือกปิดบังเสียล่ะ” “แล้วมึงชื่ออะไรหรือว๊ะ ต่อไปข้าจะได้จดจำผู้มีคุณแก่ข้าไว้บ้าง” “เออๆๆๆ...ไม่ต้องถามหรอก เอาล่ะกูไปแล้วนะโว้ย” แล้วรถคันนั้นก็แล่นต่อไปหายไปในความมืดทันที ไอ้ผันก็ยกมือ ขึ้นไหว้ไปที่โบสถ์ที่มันเห็น พอก้าวเข้าสู่ในบริเวณวัดก็ต้องชะงัก ทันที เมื่อได้ยินเสียงตวาดดังลั่น แต่มันมองซ้ายมองขวาไม่แลเห็น มีใคร สักพักหนึ่งจึงค่อยเห็นเงาลางๆของเด็กหนุ่มแต่แปลกมันคิด โตป่านนี้แล้วยังไว้จุกอีก และบรรดาเด็กทั้งหลายที่ต่างวิ่งกันมายืน อยู่ข้างกายเด็กหนุ่มนั้นทั้งเด็กหญิงและเด็กชาย ทุกร่างต่างมองมา ทางมันทั้งสิ้น เหมือนคอยคำสั่งเด็กผมจุกที่เป็นหนุ่มนั้นอยู่ “มึงเข้ามาทำไมว๊ะในวัดนี้ จะเข้ามาขโมยของหรือไง” “เปล่าหรอก???...ข้ามาเพื่อจะขอพบหลวงพ่อหน่อยเพื่อขอความ เมตตาจากท่าน แล้วเอ็งล่ะเป็นใครหรือ???...” ใบหน้าที่ทมึงบึ้งตึงของเด็กหนุ่มค่อยคลายความเครียดลง เอ่ยขึ้นว่า “อ้อๆ....ข้าดูแลวัดนี้แหละว๊ะเมื่อมาดีก็ไม่เป็นไร หลวงพ่อท่าน กำลังนั่งสมาธิอยู่” “แล้วข้าจะมารบกวนหลวงพ่อหรือเปล่าล่ะ เอ็งช่วยนำทางข้าไป ด้วยเพื่อข้าจะได้นั่งคอยหลวงพ่อจนกว่าจะออกจากสมาธิ” ฉับพลันไอ้ผันก็เห็นร่างเด็กหนุ่มสะดุ้งแล้วหันมาพูดกับไอ้ผันว่า “หลวงพ่อท่านบอกว่าให้เอ็งเข้าไปหาได้แล้ว โน่นๆๆกุฎีโน้น แหละเอ็งไปคนเดียวก็แล้วกัน พวกข้าจะไม่ส่งแล้วล่ะ” ไอ้ผันหันไปมองตามที่เด็กหนุ่มชี้บอก แล้วกล่าวกับเด็กหนุ่มว่า “เออๆๆขอบใจมากแล้วเอ็งชื่ออะไรว๊ะ ต่อไปข้าก็จะมาอยู่ที่นี่ด้วย จะได้เรียกชื่อเอ็งถูกนะ” “ไหนเอ็งพูดใหม่ซิ จริงหรือว่าจะมาอยู่ในวัดนี้นะ” “จริงโว้ยไอ้หนุ่ม ข้ามานี้ก็เพื่อจะมาขอหลวงพ่อช่วยข้าบวชอยู่ที่นี่ ไม่ไปไหนอีกแล้วล่ะ จะมาบวชเรียนกับหลวงพ่อนี่แหละ เอ็งยังไม่ ได้ตอบเลยว่า เอ็งนั้นชื่อเสียงเรียงนามอะไร หากเจอกันจะเรียกถูก” “ข้าชื่อจุกเป็นหัวหน้าพวกเด็กๆนี้แหละ ต่อไปเอ็งก็จะรู้หรอกว่า ข้าเป็นใคร ไปๆเถอะหลวงพ่อคอยอยู่นะ” “เออขอบใจมากว๊ะจุก คงจะได้เจอกันอีกเพราะข้าจะมาบวชที่นี่ นะ และจะไม่สึกอีกแล้วล่ะ” “อ้าวๆๆๆจริงๆหรือว่าจะมาบวชที่นี่แล้วไม่สึกไปเหมือนพวกอื่นๆ มักจะบวชเป็นครั้งเป็นคราวแล้วก็ไป” “จริงๆว๊ะจุก ข้าตั้งใจแน่วแน่แล้วล่ะ อย่างนั้นคงได้เจออีก ข้าชื่อ ผันนะ ต่อไปก็คงจะเป็นพระที่นี่แหละ” “ถ้าอย่างนั้นสิ่งใดพวกข้าล่วงเกินก็ขออภัยให้พวกข้าด้วยนะพี่ผัน ซึ่งข้ามีหน้าที่เฝ้าวัดอยู่ไม่ได้ไปไหนหรอก” “ไม่เป็นไรหรอกข้าอภัยให้ทุกอย่าง ข้าจะปฏิบัติธรรมที่นี่ด้วยได้ ยินกิตติศัพท์หลวงพ่อหวนมาก่อนแล้วล่ะ” “ถ้าอย่างนั้นข้าขออนุโมทนาด้วยนะ ได้ธรรมอะไรก็ช่วยบอกข้า ด้วยนะพี่ผัน ไปเถอะพี่ด้วยหลวงพ่อจะคอยนาน เมื่อกี้นี้ท่านสั่งข้า มาว่าให้ปล่อยให้พี่เข้าไปได้แล้วล่ะ อย่าให้ท่านจะคอยนานนะ” คราวนี้ไอ้ผันงงมันรู้ได้อย่างไรว่าหลวงพ่อสั่งมัน มันยังไงชอบกล จริงๆ แต่ช่างเถอะเราตัดสินใจแล้วนี่นา ก็หันไปบอกว่า “ถ้างั้นพี่ไปก่อนนะจุก แล้วค่อยเจอกันนะ” “จ๊ะพี่ผัน แล้วอย่าลืมจุกกับพวกเสียล่ะ ไปๆๆโว้ยพวกเราไปเล่น กันต่อเถอะต่อไปพี่ผันก็จะต้องมาอยู่ร่วมกับพวกเราแล้วล่ะ” กล่าวจบร่างเจ้าจุกและพวกๆก็วิ่งไปภายในบริเวณวัดแต่ไอ้ผันมอง ตามไปก็สะดุ้งทั้งตัว พลางขยี้นัยน์ตามันไป ด้วยมันมองเห็นเพราะ ร่างนั้นช่างรวดเร็วและค่อยๆจางๆหายไป ในบริเวณปราศจากเด็กๆ เอาเสียเลย คงเป็นบริเวณว่างเปล่าเท่านั้น ไอ้ผันเบิ่งตาโตใช่แล้วมัน คิดว่าไอ้พวกเด็กพวกนี้คงไม่ใช่คนแน่นอน ขามันเริ่มสั่นขึ้นทันที เท่านั้นเองเจ้าผันก็รู้ทันทีว่าอะไรคืออะไร ดังนั้นมันจึงรีบวิ่งพลาง เดินทางขึ้นไปยังกุฎีหลวงพ่อทันที ครั้นมันเข้าไปถึงหน้ากุฎีมอง เข้าไปในห้องภายใน นั้นปราศจากสิ่งใดๆทั้งสิ้น นอกจากพระบูชา ร่างหลวงพ่อหวนนั่งเอนกายคอยมันอยู่แล้ว ไอ้ผันก็ก้มลงกราบ ทันทีมันเอ่ยเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้หลวงพ่อฟัง แล้วขอให้หลวงพ่อ ช่วยบวชให้แก่มันด้วย มันจะเลิกวางมือชั่วร้ายทุกๆอย่างแล้ว หลวงพ่อหวนครั้นได้ฟังดังนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “คิดถูกต้องแล้วโยม ก่อนอาตมาก็เหมือนเอ็งแหละ กว่าจะกลับใจ ได้ก็เกือบตายเหมือนกันแหละ จึงได้มาบวชกับหลวงพ่อทอง หมั่น ศึกษาเล่าเรียนธรรม หากเอ็งตั้งใจบวชก็ให้บวชทั้งกายและใจนะ ให้ ตั้งใจบวชปฏิบัติธรรมให้เคร่งครัดให้วางตัวลืมอดีตเก่าๆเสียให้หมด เพื่อจะได้พ้นจากเวรกรรมบ้างนะ” “ขอรับหลวงพ่อผมตั้งใจแน่วแน่แล้วว่า จะขอบวชจนตายครับ หลวงพ่อและจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับทางโลกอีกต่อไปขอรับ” “เอาล่ะข้าจะบวชให้ส่วนเรื่องการบวชนี้ เอ็งมีเมีย พ่อแม่หรือเปล่า ล่ะ หากมีก็ต้องไปขออนุญาติก่อนนะถึงจะบวชได้มิฉะนั้นข้าก็บวช ให้ไม่ได้หรอกผันเอ๋ย” “กระผมยังไม่มีเมียครับหลวงพ่อตัวคนเดียว พ่อแม่ตายไปนาน แล้วเติบโตก็ที่บ้านกำนันมั่นนั่นแหละ” “ถ้าเป็นแบบนี้ก็ไม่เป็นปัญหาหรอกข้าจะบวชให้ ขอให้ยึดมั่นถือ มั่นอย่าได้ทนงตัว หากข้าจะสอนวิชาต่างๆให้นะ” “ขอรับหลวงพ่อกระผมขอให้สัตย์สัญญาครับหลวงพ่อ” “ถ้าอย่างนั้นเอ็งก็ไปนอนหน้าห้องข้านี้แหละว๊ะไว้หัดท่องขาน นาคให้คล่องเสียก่อนนะ แต่คิดว่าคงไม่นานหรอกว๊ะ” “ขอรับหลวงพ่อผมจะยึดมั่นเชื่อฟังหลวงพ่อทุกๆอย่างขอรับ” หลังจากนั้นไม่นานไอ้ผันก็ได้บวชเป็นภิกษุสงฆ์คอยปรนนิบัติ หลวงพ่อหวน มันพบว่าเป็นทางที่ประเสริฐจริงๆจิตใจที่เคยรุ่มร้อน ก็ปลอดโปร่งยิ่งด้วยการเจริญสมาธิ จนเวลาผ่านไปนานมันก็ร่ำเรียน พระธรรมได้อย่างคล่องแคล่วมากมายกลายเป็นภิกษุที่เคร่งครัดใน ธรรมวินัยยากจะหาตัวจับได้ยาก จึงเป็นที่ไว้วางใจของหลวงพ่อนัก หลังจากเจ้าเริ่มปฏิบัติหน้าที่เสร็จก็กลับมารายงานอาจารย์เปล่ง พร้อมเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง เปล่งซึ่งบัดนี้ได้เป็นหัวหน้าหน่วย ฝ่ายปฏิบัติงานด้านหนึ่งนั้น ก็ให้เรียกประชุมบรรดาหัวหน้าทั้งหมด มาเข้าประชุมทันที โดยใช้ให้เด็กไปบอกพวกทั้งหลายให้รีบมา ประชุมกันโดยด่วน เมื่อเหล่าบรรดาหัวหน้างานตลอดจนพรรคพวก ของชวนมาครบแล้ว เปล่งก็เอ่ยขึ้นว่า “บัดนี้เหตุการณ์ทางกรุงเทพฯเกิดการโยกย้ายเปลี่ยนแปลงขนาน ใหญ่และได้รับคำสั่งจากนายมาว่า บรรดายาเสพย์ติดทั้งหลายที่ถูก แยกย้ายกันไปซุกซ่อนไว้ในถ่ำตามเขาต่างๆทั่วจังหวัดนั้น ได้ถูกแบ่ง ออกเป็นสี่แห่ง และมีคำสั่งจากนายแจ้งมาว่าให้รีบจัดการทำลายเสีย ให้หมดสิ้นก่อนที่มันจะมาขนย้ายไป ทำให้ยากแก่การทำลายล้าง ดังนั้นข้าเองได้จัดวางแผนและทำแผนที่ไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ขอให้หัวหน้าจัดหน่วยกำลังแยกออกเป็นสี่ทาง ซึ่งหัวหน้าลูกน้อง ของไอ้เสี่ยเม้งที่ให้พวกมันนำไปซุกซ่อน ก่อนที่ทางคนของเสี่ยเม้ง มันจะมานำของไป ซึ่งมันวางแผนไว้ตามที่หัวหน้าฝ่ายลับได้ รายงานมาจากในเมืองแล้ว ดังนั้นข้าจึงได้จัดทำแผนที่ซึ่งนายได้ บอกไว้แล้วอยู่ที่ไหนบ้าง มีกำลังคนคุมอยู่เท่าไหร่ จึงให้รีบจัดการ เสียให้สิ้นซากภายในวันสองวันนี้ หน่วยที่หนึ่งไปยังภูเขาทางด้าน เหนือซึ่งมีบรรดาพวกเราคอยดูแลอยู่แล้ว ให้ตี๋ใหญ่พร้อมกับตี๋เล็ก ควบคุมคนไปประมาณ ห้าสิบคนแต่ละหน่วยจะมีคนเพียงแค่ห้าสิบ คนเท่านั้น หน่วยล่ะเท่าๆกันต้องรีบดำเนินการโดยเร็วอย่าให้มีการ ผิดพลาดได้ ทำลายยาเสพย์ติดให้สิ้นซากภายในถ่ำนั้นแหละ โดยด้านนี้ให้ตี๋ใหญ่เป็นหัวหน้านำกำลังไปจัดการ ทางด้านทิศ ตะวันตกนั้นให้เจ้าพ่วงเป็นหัวหน้าไปกับเจ้าชื่นคุมกำลังไปทำลาย ทางด้านทิศใต้นั้นให้เจ้าเริ่มเป็นหัวหน้าไปกับเจ้ากุ๋น ส่วนด้านทิศ ตะวันออกนั้นให้เจ้าฉายซึ่งเป็นหัวหน้าหุ่นนั้นเป็นหัวหน้าพร้อมด้วย เจ้าวาสคุมกำลังไปอีกทางหนึ่งโดยด่วน ให้เจ้าฉายนำทางไปนะ ครั้นเวลาเที่ยงคืนตรงก็ให้เข้าโจมตีกำลังของฝ่ายดูแลของนั้น พร้อมๆกัน ดังนั้นให้ทุกๆคนอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด ส่วน คนที่จะเข้าไปทำลายนั้นให้เด็กๆแฝงตัวเข้าไปเพราะเด็กพวกนี้จะ ชำนาญทางอยู่แล้ว เพียงให้คอยคุมเชิงไว้เท่านั้นหากมีการต่อสู้กัน ขึ้น แล้วปล่อยไว้ให้เหลือเพียงคนเดียวเพื่อจะได้กลับไปรายงานให้ หัวหน้าที่ควบคุมบรรดายาเสพย์ติดทราบเท่านั้นพอ” “ใครจะมีปัญหาใดๆให้รีบบอกมาให้ดำเนินการในวันมะรืนนี้” ตี๋ใหญ่พร้อมกับตี๋เล็กก็กล่าวขึ้นว่า “หากไปตามที่บอกไว้เนื่องจากภูมิประเทศด้านนั้นเรายังไม่ชำนาญ จะไปทำการทันตามเวลาหรือ” “เรื่องการเดินทางนั้นไม่ต้องห่วง ด้วยบรรดาเด็กๆที่ติดตามไปนั้น ทุกๆคนนั้นล้วนรู้กันหมดแล้ว จะบอกให้เอ็งทราบไว้ทุกๆคนด้วยว่า บรรดาเด็กๆนั้นไม่ใช่คนหรอก เป็นหุ่นที่นายสร้างขึ้นมาแต่ได้รับ การเล่าเรียนวิทยาคมมา พูดง่ายๆคือผีหุ่นนั่นเองแต่พวกเอ็งไม่ต้อง กลัวหรอก ถ้าหากเด็กๆนั้นจะทำอาการอย่างไรก็ไม่ต้องตกใจกลัว เพราะเขาเหล่านั้นจะรับฟังคำสั่งเอ็งเท่านั้นแหละ” เมื่อเจ้าเปล่งกล่าวจบทำให้บรรดาพรรคพวกเจ้าเปล่งต่างหน้าตา เหลิกหลักกันไปตามๆกัน พลางนึกว่าที่ก่อนนั้นมันก็อยู่กับพวกผี ทั้งนั้นนี่หว่า คล้ายๆเจ้าเปล่งจะอ่านจิตใจพวกมันออกยกเว้นเจ้าวาส คนเดียวเท่านั้นที่เฉยเมยเสียด้วยรู้แล้วแต่แรก แถมยังมีแฟนเป็น นางไม้อีกด้วย งานครั้งนี้นางมณฑาแฟนมันคงจะต้องตามไป แน่นอน เพราะอย่างไรหล่อนคงจะไม่ต้องการให้มันต้องมีอันตราย มันจึงอมยิ้ม ด้วยเห็นเพื่อนๆมัน และบรรดาหัวหน้าฝึกและสายลับ ต่างพากันตกใจตาเหลือกหน้าตาเหลิกหลั่กไปตามๆกัน “ใช่แล้วที่เองฉลองในวันประชุมคราวที่แล้วก็ได้แก่พวกผีสาง นางไม้ทั้งสิ้นแหละ ตอนนั้นไม่เห็นเอ็งกลัวกลับหยอกเย้าแล้วจะไป กลัวอะไรอีกเล่า” เจ้าเปล่งเอ่ยแล้วก็หัวร่อลั่น ส่วนบรรดาหัวหน้าหน่วยฝึกและ หน่วยลับตลอดเพื่อนมันต่างตลึงพรึงเพริดไปตามๆกัน........... แก้วประเสริฐ.
15 กรกฎาคม 2554 20:17 น. - comment id 124991
กราบครับคุณครู วันหยุดยาว ทุกปีจะกลับไปเยี่ยมบ้านเก่า แต่ยั้งไว้ก่อนครับ เพราะการจราจรติดขัดมากๆ ลืมไปว่าหลายๆปี ช่วงวันเข้าพรรษาถนนเส้นทางหลักโดยเฉพาะถนนมิตรภาพ จะแน่นกว่าปีใหม่ หรือสงกรานต์อีกครับคุณครู ระลึกถึงท่านตลอดครับ เย็นนี้กระผมได้ปลาเผา ,น้ำพริกหนุ่ม พร้อมนั่งดูข่าวคราวโทรทัศน์ วันหยุดยาว กระผมตั้งใจจะงดใช้ ไอที อยู่นิ่งๆสบายๆ นั่งสมาธิเพราะแม่ผมแนะนำให้ทำบ่อยๆจะได้ไม่ขี้ลืม ทำงานวุ่นวายเจอคนเยอะมาก แล้วหันมาอยู่กับหนังสือ แล้วก็วาดรูปสีน้ำ แต่อดเข้ามาไม่ได้ครับ ^^ รักเคารพครูนะครับ
15 กรกฎาคม 2554 20:45 น. - comment id 124996
สวัสดีค่ะคุณครูแก้ว มาติดตามอ่านผลงานค่ะ
16 กรกฎาคม 2554 15:41 น. - comment id 125007
คุณ สุญญะกาศ ศิษย์เราใช่แล้วล่ะ ทุกๆคนจะกลับไป บ้านเพื่อทำบุญกันและหยุดหลายๆวันอีก ด้วย การอ่านหนังสือนะดีแล้วส่วนการวาด รูปเป็นทางหนึ่งระบายอารมณ์เราจีะส่วน เรื่องตอนนี้ครูใช้เวลาไม่นานหรอกด้วยดัง ที่กล่าวให้เธอทราบแล้วถึงวิธีการเขียนงาน เมื่อเราสามารทำได้แล้วย่อมไม่ต้องเสีย เวลามากมายนักจ้า รักศิษย์เรามากเสมอๆ แก้วประเสริฐ.
17 กรกฎาคม 2554 02:24 น. - comment id 125008
คุณ กลั่นแก้ว หัดไว้เถิดจะเรื่องสั้นๆก็ตาม แต่เธอควร จะศึกษาเรื่องเพชรให้มากกว่านี้หน่อยนะ หากไม่สบายมากก็ทานยาอย่าฝืนใจเราเขียน ดังที่กล่าวมาแล้วว่า การเขียนร้อยแก้วนั้น ใจเป็นผู้สร้างเค้าโครงเรื่อง การปรุงแต่งเป็น การสร้างจินตนาการ ส่วนอารมณ์เป็นการสร้าง คำพูดสร้างตัวลครที่เรากำหนดไว้จ้า เท่านี้นะ รักศิษย์เราเสมอๆ แก้วประเสริฐ.
19 กรกฎาคม 2554 15:08 น. - comment id 125101
ครูแก้วครับ ผมอยากได้ คาถา ที่เสกแล้วมีบริวาร มาใช้แบบทีมงานเจ้าเจ้าเปล่งจังครับ 55 มาติดตามเรื่องนี้ต่อครับครู
19 กรกฎาคม 2554 20:25 น. - comment id 125116
คุณ กิ่งโศก ไม่เห็นยากเลยอยู่ทำใจเราให้มั่นคงแล้ว ให้มีสติรำลึกเสมอนึกคำว่า "ปิยะวาจา เมตตัง" แค่นี่แหละ ปิยะวาจา การกล่าววาจาที่ไพเราะ เสนาะโสตถ์ผู้ฟังเราเอ่ย เมตตัง คือความมี เมตตาแก่คนทั้งหลายไม่เลือกชั้นวรรณะ รวมความว่า การกล่าววาจาที่ไพเราะด้วยจิต ที่มีความเมตตาแก่คนทั้งหลายนี่เอง แหละจ้า งานทุกๆอย่างก็สำเร็จบริวารและ เจ้านายเราก็จะเกิดความรักใคร่เราเสมอๆ แหละจ้า รักศิษย์เรามากเสมอๆ แก้วประเสริฐ.