ในรถโดยสารเหลือคนเพียงสามคน คนหนึ่งเป็นคนทำงาน การแต่งกายค่อนข้างมีระเบียบใส่รองเท้าหนัง กางเกงขายาว เสื้อเชิ้ต ผูกเนคไท ส่วนอีกคนเป็นพ่อค้าขายพวงมาลัยแต่งกายธรรมดา สวมรองเท้าแตะ กางเกงขายาวเก่าๆ เสื้อแขนยาวมีรอยปะขาดอยู่สองสามที่ สวมหมวกผ้าใบเก่าๆ และผมอีกคน กว่าจะถึงหอพักที่ผมพักช่างนานแสนนาน ทั้งที่ระยะทางก็ไม่ไกลมาก แต่รถโดยสารมันพาไปอ้อมนี่สิจึงทำให้ช้าเข้าไปใหญ่ รถจอดให้ผู้โดยสารผู้ที่แต่งตัวดีๆดูงานที่ทำงานจะมีเงินเดือนมากลง เหลือผมกับลุงขายพวงมาลัยสองคน คุณลุงก็ด้วยอัธยาสัยดีจึงถามผมว่า “จะไปลงที่ไหน?” ผมก็ตอบกลับด้วยไมตรีที่ดีว่า “ผมจะไปลงหน้ามอครับ จะเข้าหอพักที่อยู่ในมอ” ลุงก็ยิ้มด้วยความเป็นมิตร ผมถามลุงว่าจะไปไหนและลุงก็ตอบว่าจะไปส่งพวงมาลัยที่หน้ามอเหมือนกัน ลุงพูดถึงเรื่องราวของแกทั้งที่ผมไม่ได้ถาม ลุงบอกว่าลุงเป็นคนเชียงราย มาอยู่เชียงใหม่นานกว่ายี่สิบปีแล้วปลูกบ้านอยู่ที่เชียงใหม่สองแห่ง มีภรรยาอยู่สองคน มีลูกอีกสองคนลูกติดภรรยาคนหนึ่งและลูกแท้ๆคนหนึ่ง แต่ไม่ค่อยตั้งใจเรียนมาก แรกเริ่มลุงทำงานขายเนื้อหมู นานกว่าแปดปี และลุงได้เข้าไปบวช พอสึกออกมาลุงก็เลิกทำอาชีพขายเนื้อหมู เพราะว่าสงสารสัตว์ จึงหันมาทำอาชีพขายและส่งพวงมาลัย เพื่อให้คนนำพวงมาลัยของแกบูชาพระ ถือเป็นการไถ่บาปที่ทำไว้ในการขายเนื้อหมูด้วย ผมนึกอยู่คนเดียวว่า ลุงนี่ช่างมีความคิดที่ดีจริงๆ จากคนขายเนื้อหมู ซึ้งในรสพระธรรม หันมาขายพวงมาลัย ผมจึงตัดสินใจถามลุงแบบตรงๆว่า “รายได้ดีไหม” คำถามนี้ผมอยากถามคนขายพวงมาลัยมากเพราะไม่ว่าตามถนน ในตลาด ในร้านค้า ร้านอาหาร ไปไหนก็มีแต่คนขายพวงมาลัย ลุงมองหน้าผมแล้วยิ้มตอบว่า “ขายพวงมาลัยใครก็สงสัยว่าจะไม่พอกิน ลุงได้รายได้จากการขาย การส่ง พวงมาลัยให้ลูกค้า เฉลี่ยวันละ หกร้อยบาท นี่คือหักจากทุนทุกอย่างแล้วนะ ถ้าเป็นวันพระก็จะได้เพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัวเลย” ผมตกใจและนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วบอกด้วยสีหน้ายิ้มว่ารายได้ดีจริงๆนะลุง รถแล่นใกล้ถึงเป้าหมายที่ผมจะลง ความรู้ใหม่ที่ผมได้รับจากลุงว่าการขายพวงมาลัยไม่ใช่อาชีพธรรมดาจริงๆ ก่อนจะลงจากรถลุงพูดกับผมว่า “ตั้งใจเรียนนะ พ่อแม่ส่งเราเรียนเราก็เรียนให้เต็มที่ ลุงนี่ส่งลูกเรียนตั้งสองคนแต่มันไม่ค่อยตั้งใจเรียน” ผมก็ได้แต่ตอบรับว่า ครับ และเดินลงจากรถ จ่ายเงินค่าโดยสารและเดินไปหอพัก ใครจะไปคิดว่าการนั่งรถโดยสารแล้วเจอคนขายพวงมาลัยที่แต่งกายธรรมดาๆ ที่จริงแล้วรายได้ดีกว่าคนทำงานรับจ้างวันละสอง สามร้อยบาทต่อวันเสียอีก เมื่อก่อนผมยังคิดเลยว่าคนขายพวงมาลัยสงสัยจะยากจน ถึงตอนนี้ความคิดเปลี่ยนไปเลยทันที นี่แหละที่เขาว่าอย่างมองคนแต่ภายนอก. นายภัคพล คำหน้อย
13 กรกฎาคม 2554 17:56 น. - comment id 124929
สวัสดีค่ะคุณภัครพล อะไรก็เจริญก้าวหน้าไปเรื่อยๆ แต่ความคิดของคนยังแบ่งระดับชนชั้นด้วยสายตา.. คุณค่าของคนเลยไปอยู่ที่วัตถุกันหมดกลายเป็นวัตถุนิยม... คุณค่าทางด้านวัฒนธรรมคุณความดีเลยลดน้อยลง หรือว่าความคิดเราไม่เหมือนคนอื่นๆ เสื้อผ้าหน้าผมเป็นปัจจัยที่คนมองกัน จริงๆแล้วไม่ว่าอาชีพไหนสุจริตและมีความสุขที่ได้ทำน่าสนุกนะค่ะ ทุกอาทิตย์จะเข้าสวนไปตัดยางเองคนอื่นจะตัดตอนกลางคีนแต่ว่ากลัวก็จะไปตอนเย็น ก็เพลินดีนะค่ะดีกว่าไปฟิตเนตได้ออกกำลังกายด้วย...แถมได้เงินด้วย.. ข้อหลังนี่ชอบมาก ถามว่าอายไหมไม่อายค่ะไม่รู้จะอายทำไม ถ้าเรานั่งนอนอยู่เฉยๆนี่อายค่ะอายคนที่เขาพิการ
13 กรกฎาคม 2554 23:09 น. - comment id 124945
ถูกต้องยิ่งเเล้วครับคุณกลั่นแก้ว ใจที่ฟ่อคงสู้ใจที่สู้ได้ มือที่บอบบางที่ไม่สร้างประโยชน์ ก็คงสู้มือที่ด้านกร้านที่โหมงานหนักครับ ชีวิตต้องสู้จริงๆครับ