อทิสมานกาย ๙๖ ฟ้าเริ่มสางลางๆระหว่างที่ทุกๆคนต่างหาความสนุกสนานกัน นั้นหารู้ไม่ว่า บรรดาหญิงสาวทั้งหลายนั้นหาใช่มนุษย์ไม่ คงมี เพียงเจ้าวาสคนเดียวเท่านั้นในบรรดาพรรคพวก ส่วนบรรดา หัวหน้าอื่นๆนั้นหารู้ไม่ บรรดาหญิงสาวทั้งหลายนี้หาใช่คนไม่ ฉับพลันร่างเจ้าเปล่งก็ปรากฏกายขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พร้อมทั้งเรียก บรรดาคนทั้งหมดมาพร้อมทั้งอธิบายแแผนการณ์ขึ้นทันที ดังนั้นโต๊ะยาวจึงเต็มไปด้วยบรรดาหัวหน้าต่างๆ ส่วนหญิงสาว ทั้งหลายก็หลีกหลบหายไปหมด เจ้าเปล่งพลันเอ่ยขึ้นว่า “พรุ่งนี้กำนันมั่นมันให้ลูกชายมันไปเอาของที่แอบซ่อนไว้ใน การขนย้ายคราวที่เจ้าพ่วงไปเอามาและทำลายไปแล้ว จึงมีแอบ อยู่ ข้าดูดวงชะตาแล้วว่าคราวนี้บรรดาสมุนทั้งหลายของกำนัน คงจะถึงที่เสียแล้วด้วยกรรมมันมาถึงแล้ว จึงอยากให้พวกเราไป จัดการให้เสร็จสิ้นไป ในระหว่างการขนย้ายมายังบ้านมันนะ” “แล้วจะให้ใครไปล่ะ???...” ไอ้ชื่นถามด้วยความสงสัย “แล้วของที่ว่าไว้นั้นอยู่ไกลไหมเปล่ง” ไอ้กุ๋น ไอ้ตี๋เล็ก ไอ้ตี๋ใหญ่” ถามขึ้นบ้างคงมีแต่เพียงไอ้วาสคนเดียวที่นิ่งฟังเฉยๆ ด้วยมันรู้มาจาก พรายสาวแล้วว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ด้วยนางพรายนี้เป็นหัวหน้าของ บรรดานางพรายทั้งหลายทั้งยังเป็นที่โปรดปรานของเจ้าเปล่งอาจารย์ อีกด้วยได้รับการอบรมสั่งสอนวิชาการมากมายด้วยนางนั้นมี สติปัญญาเฉลียวฉลาดกว่าบรรดาภูติผีอื่นๆทั้งหมด ดังนั้นเพียงแค่ ใช้เวลาไม่นานหล่อนก็ได้ฌานและสามารถรอบรู้เหตุการณ์อะไรๆ ได้ดี ในเมื่อหล่อนเกิดรักเจ้าวาสซึ่งเป็นคนที่ไม่มักมากในกามคุณจึง ได้บอกเรื่องนี้ที่หล่อนเห็นมาให้ทราบ เจ้าวาสครั้นได้ฟังเปล่งกล่าวจึงเฉยๆ แต่เพื่อไม่ให้เปล่งสงสัยใน การที่มันรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว จึงแสร้งเอ่ยขึ้นบ้างว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้นทางเราควรให้เจ้าสนและเพื่อนๆมันที่มาเป็นพวก เรานั้นไปดำเนินการมิดีหรือ???....” “อืมมๆๆๆ...ข้าก็คิดเหมือนเอ็งแหละโว้ยวาส ด้วยข้าสังหรณ์ใจจึง เมื่อคืนวานนี้ได้ให้เจ้าสนและพวกไปดูทางบ้านกำนันมาแล้วล่ะ มัน ได้มารายงานหมดแล้ว ข้าเห็นว่าหากเรากำจัดทางเจ้ากำนันมั่นลงได้ ก็ทำให้ทางด้านนี้ก็จะทุเลาด้านเสพย์ติดลงไปมากทีเดียว ด้วยบรรดา กำนันที่ตั้งขึ้นใหม่ ก็เห็นมีเจ้าช้วนที่มันได้เป็นกำนันคนเดียวเท่านั้น ที่มันเก่งกล้าที่สุดพวกมากที่สุด แต่ว่ามันเป็นคนฉลาดคงจะไม่กล้า ทำอะไรหรอก หากเราได้ไอ้ช้วนแห่งบ้านโคกยายหอยมาเป็นพวก ก็คงจะดี จะได้ให้มันไปคอยดูแลริมโขงด้านโน้นไว้มันเป็นคนที่มี น้ำใจ ลองรักใครรักจริงด้วยอีกเพียงแต่ว่า จะมีใครล่ะไปเกลี้ยกล่อม มันเท่านั้นแหละ” เจ้าเปล่งหรืออาจารย์เปล่งเอ่ยเปรยๆขึ้น “ข้าเองแหละจะลองไปเจรจามันดูเพราะว่าเคยคบหากันมาจะไป กับแม่มณฑาสองคนก็คงจะพอล่ะ จะให้แม่มณฑทาไปเกลี้ยกล่อม เมียไอ้ช้วนมันอีกทาง อีกอย่างหนึ่งไอ้ช้วนมันเป็นคนรักชาติ บ้านเมืองมากคนหนึ่งคงไม่ยากหรอกว๊ะเปล่ง” “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน เพราะนางมณฑามันศิษย์ข้ามัน เฉลียวฉลาดอยู่แล้วและสามารถไปได้ทั้งกลางวันกลางคืนได้อีกด้วย เอาเป็นตกลงตามนี้นะวาส ส่วนด้านอื่นๆอีกและใครล่ะจะอาสาไป” “พวกของข้าเองแหละว๊ะเปล่ง” พวกไอ้วาสต่างขันอาสาทันที ไอ้เปล่งหัวร่อก๊ากพร้อมเอ่ยขึ้นเพื่อ ไม่ให้พวกมันเสียกำลังใจ “พวกเอ็งทั้งหมดไปช่วยพวกหัวหน้าฝึกและหัวหน้าฝ่ายลับ เถอะว๊ะ เพราะต้องขนอาวุธต่างๆมาหากใช้ชาวบ้านก็จะเป็นที่สงสัย กันว๊ะ เพียงให้หัวหน้าที่คุมอาวุธอยู่นั้นส่งมอบให้พวกเอ็งแล้วเอ็งก็ นำมาส่งทางนี้เท่านั้น เรื่องนี้ต้องเป็นความลับ ข้าเองก็ได้ปรึกษากับ พี่ชวนไว้แล้ว เขาถึงได้กลับไปบ้านคนเดียว” “อย่างนั้นก็ได้ขอให้พวกข้ามีส่วนร่วมบ้างก็แล้วกัน” ไอ้ตี๋ใหญ่เอ่ยแทนพวกทั้งหมด ดังนั้นเจ้าเปล่งจึงหันไปทางเจ้าเริ่ม พร้อมสั่งทันที “เริ่มเอ๋ยให้เอ็งนำกำลังไปประมาณ ยี่สิบคนก็พอแล้วแบ่งออกเป็น สามพวก พวกหนึ่งคอยสะกัดพวกมันและฆ่าเสียให้หมดหรือจะ เหลือไว้ก็ตามใจเอ็งนะ อีกส่วนหนึ่งเข้าไปทำลายของในถ่ำนั้นนะ พวกหนึ่งทำหน้าที่คอยล่อหลอกมันให้ออกมาก่อน งานนี้ให้ไอ้สน ไอ้โจ๊กและไอ้ดำนำทางไปก็แล้วกัน ส่วนการลง มือนั้นเมื่อล่อมันออกมาแล้วก็จัดการเสียให้สิ้น แต่คงจะมีคนเฝ้าของ อยู่ก็ให้ฝ่ายทำลายของนั้นจัดการ อย่าให้มีใครรอดกลับมาได้ แม้แต่สักคนเดียวนะ หรือจะเหลือไว้ก็ตามใจเอ็ง เพราะว่าพรุ่งนี้มันจะออกเดินทางกันแล้วเพื่อไปนำของมาเก็บไว้ ส่วนไอ้กำนันมั่นมันจะเข้าเมืองไปหาไอ้เสี่ยนั่นปล่อยให้ลูกชาย มันไปจัดการงานนี้เอง แต่ข้าเดาไม่ผิดเห็นทีว่ากำนันมันก็อาจจะถึง ที่ตายด้วยล่ะ” “อ้าวไหนๆเป็นอย่างนั้นล่ะเปล่ง” “ก็เพราะไอ้เสี่ยในกรุงเทพฯมันไม่เหมือนไอ้เสี่ยแม้งหรอก มันคง จะให้ลูกน้อยมันตามมาเก็บหลังจากเดินทางกลับนะ ตามที่ข้าดูดวง ไว้ หากสิ้นกำนันมั่นคงจะทำให้พวกกำนันทั้งหลายขยาดกันไม่กล้า ไปตามๆกัน หรืออาจจะมีการยิงกันเองระหว่างพวกไอ้เม้งกับไอ้เสี่ย ทางกรุงเทพฯอีกด้วย ในไม่ช้านี้แหละว๊ะ” “ถ้าอย่างนั้นเป็นตกลงตามแผนของมึงว๊ะเปล่ง แล้วจะเริ่มทำงาน กันเมื่อไหร่ล่ะว๊ะ พวกเราไม่ได้นอนกันเลยนะโว้ยเปล่ง” “ก็พวกมึงก็นอนเสียที่นี่นะซิว๊ะ ส่วนเจ้าพ่วงกับเจ้าเริ่มมันจะออก ไปรอที่เกิดเหตุพร้อมด้วยไอ้สนกับไอ้ดำไอ้โจ๊กก่อน ทางโน้นมึงไม่ ต้องไปทำงาน ส่วนมึงจะทำงานก็ไปเพียงแค่ขนอาวุธก็ตกราวเย็นๆ ค่ำๆนั่นแหละว๊ะ เพราะตอนกลางวันหัวหน้าฝึกจะกลับไปเริ่ม ดำเนินการรอพวกมึงไว้ ส่วนรถนะไม่ต้องห่วงนายเขาจะการส่งมา ให้อีกหลายๆคันไว้แล้วด้วยล่ะ ป่านนี้คงจะมาเรียบร้อยแล้วโว้ย” “ถ้าอย่างนั้นพวกข้าก็ไปพักผ่อนได้แล้วซิว๊ะ” “ถ้าอย่างนั้นข้าก็กลับไปเตรียมงานไว้ก่อนนะ” พวกเจ้าวาสเอ่ยและหัวหน้าฝึกด้วย “เดี๋ยวข้าจะให้เด็กนำทางไปส่งนะไม่ต้องห่วงไปพักผ่อนที่บ้าน ก่อนก็ได้เพราะกว่าพวกไปรับของไปถึงก็คงตกราวเย็นๆใกล้มืด แหละนะ อ้อๆๆๆเรื่องนี้อย่าให้กำนันและผู้ใหญ่บ้านตลอดชาวบ้าน รู้เลยนะว่าเราจะมีการขนอาวุธกันเป็นอันขาด นายสั่งเอาไว้ด้วย” “เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงหรอกเปล่ง เพราะเราเคยทำงานกันมาแล้วเมื่อ คราวไปปราบไม้เถื่อนนั้น ผ่านสงครามมาแล้วกันทั้งหมดแล้วล่ะ” “แล้วจะกลับเมื่อไหร่ล่ะ จะได้ให้เด็กไปส่งให้นะ” “เห็นว่าเมื่อไม่มีอะไรแล้วก็จะขอไปเลยดีกว่าจะได้ไปพักผ่อน เตรียมตัวไว้ด้วย อีกอย่างหนึ่งบรรดาเด็กๆจะได้ไม่ห่วงด้วย” ดังนั้นเจ้าเปล่งจึงหันไปเรียกพวกมาสามสี่คนเพื่อจะนำทางให้ เหล่าหัวหน้าฝึกกลับออกไป เพราะมิฉะนั้นอาจจะหลงทางก็ได้ ครั้นเวลาสายๆพระอาทิตย์ส่งแสงกระจายไปทั่วบริเวณต่างๆทำให้ บรรดาหมอกต่างๆหายลับไปหมด การทำงานของชาวบ้านใน หมู่บ้านซึ่งออกไปทำงานตามไร่นาแล้ว ภายในบ้านกำนันมั่น ไอ้แม้นหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จแล้วก็ลงมายังข้างล่าง ส่วนกำนัน มั่นนั้นได้ออกเดินทางเข้าเมืองไปก่อนแล้ว เพราะต้องไปหาไอ้ เสียเม้งเพื่อรายงานผลต่างๆพร้อมหนังสือยืนยัน ดังนั้นภายในบ้านกำนันจึงเหลือคนไม่กี่คนส่วนบรรดาสาวๆต่างก็ พากันกลับมาหลังจากไปพักที่บ้าน ต่างทะยอยกันเข้ามายังบ้านกำนัน ด้วยไม่ได้ทำงานในไร่ด้วยสิ่งต่างๆได้เป็นของกำนันมั่นเรียบร้อยไป แล้ว จึงทำให้บรรดาสาวที่ตกเป็นนางบำเรอของกำนันและคนที่ หล่อนชอบใจ เพื่อมาหาอาหารกินกันต่างแลเห็นบรรดาลูกชาย กำนันได้เตรียมกำลังพล มีไอ้เจี๊ยบ ไอ้แช่มซึ่งหายดีแล้ว ไอ้หาญและ ไอ้ผัน กำลังเตรียมตัวกันนำอาวุธต่างๆมาใส่ในรถกะบะ และยังมี ชาญฉกรรจน์อีกสี่ห้าคนที่ไอ้แม้นให้ไอ้หาญไปติดต่อนำมาด้วย สักครู่หนึ่งไอ้แม้นก็ก้าวลงมาจากบันไดบ้าน มันหันไปทาง บรรดาสาวๆพลางกล่าวขึ้นว่า “เฮ้ยพวกสาวๆโว้ยมึงคอยดูแลบ้านด้วยนะโว้ยพวกข้าจะไปทำธุระ คิดว่าคงไม่นานหรอกตกเย็นๆคงจะกลับมาแล้วล่ะ อ้อให้พวกเอ็ง จัดการเตรียมอาหารเหล้ายาไว้ด้วยนะจะได้มาร่วมกันกินกัน” “พ่อแม้นไม่ต้องห่วงหรอก เออแล้วของหมดจะทำอย่างไรล่ะ” “อ้าวๆๆๆ....มึงก็ไปซื้อในตลาดมาซิว๊ะทำโง่ไปได้” “ซื้อนะซื้อได้หรอก แต่พวกข้าไม่มีเงินซื้อนี่นา” “งั้นมึงมาเอาไปซื้อก็แล้วกันว๊ะ คอยเดี๋ยวนะ” ไอ้แม้นก็ก้าวขึ้นบันไดเข้าไปในบ้านสักครู่หนึ่งก็เดินออกมาพร้อม ยื่นเงินก้อนหนึ่งให้แก่นางสร้อยไว้ แล้วกล่าวว่า “อีสร้อย มึงกับอีลัดดา อีชบา ไปสามคนก็พออ้อๆๆซื้อเหล้ามาเผื่อ ไว้ด้วยนะ สักลังสองลังพร้อมโซดาด้วยนะ เอารถกะบะอีกคันหนึ่ง ขับไปซื้อของก็แล้วกันในหมู่บ้านเรานี่แหละไม่ต้องเสือกไปซื้อใน เมืองหรอก เงินคงจะพอนะเหลือก็แบ่งกันไว้แล้วกัน” “เออๆๆๆ!!!!.....มีเงินทุกอย่างก็เรียบร้อยแล้วรีบกลับมากินก็แล้ว กันนะ” เมื่อเจ้าแม้นยื่นเงินให้แก่พวกสาวๆแล้ว ก็เดินไปขึ้นรถกะบะที่ ไอ้เจี๊ยบกำลังติดเครื่องรถรออยู่ ครั้นมันนั่งที่หน้ารถแล้วรถก็วิ่ง ออกไปทางด้านทางไปบ้านโคกเนินสูง เลี้ยวขวาเข้าสู่ทางป่าด้านเขา ทันใดนั้นนกตัวหนึ่งก็พุ่งตัดหน้ารถปะทะกับกระจกหน้ารถตกลง มาตายหน้ากะบะเครื่องทันที ร่างนกดิ้นกระแด๋วๆแล้วหล่นลงจาก รถไปทันที ทำให้ไอ้แม้นสะดุ้งเฮื้อกที่เห็นเช่นนั้นรวมทั้งไอ้เจี๊ยบ ด้วย ส่วนไอ้หาญ ไอ้ผันเองก็ตลึงเช่นกัน มันนึกถึงตอนไปเคยไป ดักฉุดนางบงกชทันที เหมือนเป็นลางสังหรณ์แก่พวกมัน ต่างคนต่างมองหน้ากัน ส่วนไอ้แม้นก็พรึมพรำทันทีแต่เสียงไม่ดัง รอดออกมาก มันก็คิดเช่นเดียวกับไอ้หาญไอ้ผันด้วย จึงบอกแก่พวก มันในเรื่องเรื่องแก่ไอ้เจี๊ยบและหันหลังไปทางไอ้หาญและไอ้ผันว่า “เฮ้ยลางไม่ค่อยดีแล้วโว้ย ให้พวกมึงระวังตัวไว้ด้วยนะดีนะที่เป็น กลางวันโว้ยมันแค่นกธรรมดาที่ถึงที่กระมังว๊ะ” “ทำไมหรือพี่แม้น เรื่องธรรมดานกมันถึงที่ตายเสือกบินมาชนเท่า นั้นเอง ไม่มีอะไรหรอกว๊ะเชื่อข้าเถอะ” “เออๆๆๆ...ข้าก็คิดเหมือนมึงนี่แหละว๊ะ ช่างมันเถอะว๊ะรีบๆ หน่อยก็แล้วกันนะโว้ย งานจะได้เสร็จแล้วมาฉลองกันกูสั่งให้บรรดา อีสาวๆเตรียมอาหารไว้ฉลองกันแล้วโว้ย” “จ๊ะพี่ ....เดี๋ยวข้าจะเร่งเครื่องอีกไปอีกไกลไหมล่ะ????.....” “ไม่ไกลหรอกว๊ะ อีกเลี้ยวเดียวก็จะถึงแล้วมึงมองเขาลูกนั้นไว้แล้ว ไปตามทาง ใครเอามีดตัดต้นไม้มาบ้างว๊ะ” “ข้าเตรียมมาแล้วล่ะว๊ะแม้น” ไอ้หาญตอบไอ้แม้นทันทีพร้อมนำออกมาโชว์ให้ไอ้แม้นเห็นด้วย เก็บไว้ด้านหลังล่ะแต่คงไม่ได้ใช้กระมังเพราะมันไม่มีต้นไม้ใหญ่นี่ นา จะใช้ไปทำไมกัน มันพรึมพรำด้วยสงสัยในใจไม่ไม่พูดอะไร “ก็ไม่แน่โว้ยไอ้แม้นบอกเพราะว่าเราไม่ได้มานานแล้วอาจจะบาง ทีต้องใช้มันก็ได้นา” สักครู่หนึ่งรถก็มาถึงทางสิ้นสุดลง รถเข้าไปไม่ได้ต้องเดินเท้าเข้า ไปอีกหน่อยด้วยเป็นทางขรุขระมีต้นไม้บดบังทางไปสู่เขาคงมีแต่ ทางเล็กๆเท่านั้นที่ใช้เดิน ทั้งหมดจึงลงจากรถแล้วออกเดินไปโดย มีไอ้หาญนำหน้า ใช้มีดตัดกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาให้เดินผ่านไปได้ สะดวก เมื่อผ่านพ้นกิ่งไม้ที่ขวางทางแล้วก็มองแลเห็นปากถ่ำ เขาจึงพากันเดินเข้าไปในถ่ำ ไอ้แม้นกับไอ้ผันสองคน ส่วนที่เหลือ ก็ยืนอยู่หน้าถ่ำทุกๆคนต่างพกอาวุธติดตัวมาด้วยกันทั้งสิ้น เพียงไม่นานนัก ไอ้แม้นกับไอ้ผันก็เดินออกมา บอกทุกๆคนว่า ครบเรียบร้อยแล้วโว้ย เตรียมตัวไปขนได้แล้วล่ะ ทันใดนั้นเสียง ดังขึ้นอย่างโหยหวนชวนขนลุกดังขึ้นรอบๆบริเวณนั้นไปทั่วแนวป่า “ไอ้แม้นโว้ยยยยยย!!!!ๆๆๆๆ....ให้กูช่วยพวกมึงด้วยหรือไม่ว๊ะ” ทำเอาพวกไอ้แม้นสดุ้งกันไปตามๆกัน มันไม่คิดว่าจะมีคนอยู่ เพราะเป็นป่าร้างที่ไม่มีใครมาหาเก็บของป่าขาย เพราะไม่มีต้นไม้ หรือสมุนไพรอะไรเลย นอกจากต้นไม้ที่ไม่จำเป็นเท่านั้น เสียงก็ดังขึ้นอีกหลายๆครั้งติดต่อกัน แต่เสียงนั้นมันชอนไชเข้าไป ในหัวใจของคนได้ยินกันทั่วๆ ต่างหน้านาเหลิกหลั่กๆกัน “ไอ้แม้นโว้ยยยยยยๆๆๆ....ข้าไอ้สนกับไอ้ดำ มึงจำไม่ได้หรือว๊ะ” “ข้าไอ้โจ๊กด้วยไงล่ะว๊ะ มึงลืมเพื่อนมึงเสียแล้วหรือ????.....” คราวนี้ไอ้แม้น ไอ้หาญ และไอ้ผันตาเหลือกทันที ด้วยพวกมันรู้ว่า ที่เอ่ยชื่อมานั้น พวกมันที่ตายไปแล้วทั้งนั้นนี่เอง และของที่เก็บไว้ที่ นี่ไอ้พวกนี้ก็มาช่วยขนเก็บซ่อนไว้ และเป็นความคิดของไอ้สนเสีย ด้วย จึงต่างตลึงตกใจไปสิ้น “เฮ้ยๆๆๆพวกมึงใครกันแน่ว๊ะมาอ้างชื่อให้กูกลัวได้ไอ้ห่าเอ๋ย” “กูไม่ได้อ้างว๊ะไอ้แม้น กูไอ้สนจริงๆนะโว้ยมึงดูซิ” พอเสียงมันกล่าวจบ ร่างๆหนึ่งก็ค่อยสูงชะลูดขึ้นสูงขึ้นๆจนเลย ต้นไม้ คราวนี้ไอ้แม้น ไอ้หาญ ไอ้ผัน จำได้แม่นยำแล้ว ว่ามันคือ ไอ้สนที่ตายไปแล้วนั่นเอง ทุกๆคนยกเว้นคนอื่นที่พามาไม่รู้เรื่อง รู้ราวก็เฉยๆ แต่ก็ตลึง ส่วนไอ้แช่มทรุดตัวลงนั่งทันที มันจำได้อย่าง แม่นยำเพราะมันไปทำงานกับไอ้สนร่วมกันมาคราวก่อนนั้นเอง “เฮ้ยๆๆๆมันปลอมตัวมา ออกไปยิงมันเลยว๊ะไอ้ห่าทำมาหลอก ผีมันจะออกมากลางวันได้หรือว๊ะ????.....ไปยิ่งแม่งมันเลยว๊ะ” “เออ!!!!ๆๆๆๆ....จริงๆว๊ะผีมันจะออกมากลางวันได้อย่างไรไป พวกเรายิงมันเลยว๊ะ” ทันใดนั้นเสียงปืนก็ดังสนั่นหวั่นไหว ปืนทุกกระบอกหันไปทาง ร่างไอ้สนที่สูงชะลูดพร้อมไอ้ดำและไอ้โจ๊ก แต่ร่างนั้นหาสะเทือน ใดๆไม่ ต่างหัวร่อเสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณอย่างโหยหวนพองขน “ยิงมาอีกซิว๊ะ ไม่เห็นยิงถูกสักนัดเดียวเลยโว้ย ฮ่าๆๆๆๆๆ....” อันที่จริงกระสุนนั้นถูกทุกๆนัดแต่มันเลยผ่านร่างนั้นหายไปสิ้น คราวนี้เลือดบ้าของไอ้แม้นกับพวกซึ่งไม่เชื่ออยู่แล้วว่าผีมันจะหลอก ในกลางวันได้ พลางคิดว่าคงจะเอาหน้ากากเสื้อผ้าผูกไม้ยื่นให้เหนือ ต้นไม้ไว้หลอกพวกมัน จึงได้ รีบวิ่งออกจากปากถ่ำกระจายกำลัง ออกไปทันทีพร้อมส่งกระสุนไปยังใต้โคนไม้แถวที่มันแลเห็นว่า เป็นคนชักไม้ขึ้นมาหลอกพวกมันเอง ทำให้ต้นไม้แตกกระจุยไป และแล้วร่างพวกมันก็ล่วงผล๊อยๆๆไป เมื่อเสียงปืนดังระงมมาจาก ทิศทางต่างๆ เป็นปืนยิงเร็วแบบอาก้า ร่างไอ้หาญซึ่งกำลังยิงร่างไอ้ สนอยู่ก็ผงะล่วงฟุบลงกับพื้นทันที เลือดไหลออกจากหน้าอกแดง ฉานไปทั่วร่างกายมันล้มฟุบทันที แล้วไอ้แม้นกับไอ้ผันไอ้แช่มก็แล เห็นร่างหลายๆคนต่างเดินเรียงรายกันเป็นแถวหน้ากระดานออก มาจากแนวป่า แถวบริเวณลานหน้าถ่ำ มันต่างหันไปยิงพวกนั้นทันที คนที่เฝ้าปากถ่ำก็ล่วงกลิ้งตกลงมาจากเนินหน้าปากถ่ำทันที ร่างมัน ชุ่มไปด้วยเลือดสดๆตกลงมาข้างกายไอ้แม้นปะทะร่างซึ่งกำลังยิงอยู่ ด้วยสัญชาติญานมันรีบทิ้งตัวลงราบกับพื้นส่งกระสุนไปยังร่าง ต่างๆที่ออกมาจากแนวป่าทันที ทุกๆร่างต่างกระจายกันออกยิ่งมา ไปยังพวกไอ้แม้นและคนทั้งหลาย ต่างล้มตายลงหลายๆคน ไอ้แม้นพร้อมตะโกนให้ทุกๆคนหมอบยิงไว้ อย่ายืนเป็นอันขาด ดังนั้นบรรดาชายฉกรรจ์ที่เหลืออยู่ก็ต่างรีบหาที่กำบังยังก้อนหินบ้าง นอนราบยิ่งโต้ตอบบ้าง ตามแนวโค้นต้นไม้ใหญ่บ้างทุกๆคนหันไป ยิงยังร่างที่เดินออกจากแนวป่า แต่ก็พากันตกใจกันเมื่อกระสุนไม่ อาจจะทำอันตรายแก่พวกเหล่านั้นได้สักคนเดียว ทำให้ใจมันเสียแต่ กระสุนที่ยิงออกมานั้นต่างทำให้พวกมันมันล้มตายลงหลายคน เสียงไอ้แม้นร้องลั่นตะโกนสั่งให้ทุกๆคนหนีเอาตัวรอดทันที “ไอ้แช่มโว้ยช่วยกูด้วย กูถูกยิ่งแล้วโว้ย” เสียงไอ้แม้นตะโกนให้ไอ้แช่มมาช่วยมันก่อนทันที แต่แล้วเสียงมัน ก็เงียบหายไป ร่างมันผงะพลิกดิ้นพลาดๆท่ามกลางกองเลือดมันเอง แต่ไอ้แช่มหันไปดูร่างไอ้แม้นก็ต้องจนใจเพราะ ร่างไอ้แม้นกลับ ถูกยิ่งอีกที่ใบหน้าทำให้ ใบหน้ามันหายไปครึ่งหนึ่ง แต่แล้วมันเอง ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อโดนกระสุนเข้าที่ร่างและศีรษะหงายพลิกคว่ำ หน้าตายทันที การยิ่งต่อสู้ผ่านไปสักพักคงเหลือเจ้าผันเท่านั้นที่ยิง พลางหนีพลางเพื่อจะหลบไปที่ถ่ำเพราะ รอบๆบริเวณนั้นล้วนแล้ว แต่คนที่มายิงมันทั้งสิ้น ทางเดียวที่จะหลบคือถ่ำเท่านั้น มันมองไป รอบๆเพื่อหาเพื่อน แต่ปรากฏว่าต่างตายกันหมดคงเหลือมันคนเดียว มันส่ายร่างคล้ายงูไปๆมาๆ พร้อมหันไปยิงตอบครั้งหนึ่ง แต่แล้วมัน ก็ต้องตกใจมากเมื่อ เสียงระเบิดในถ่ำดังสนั่นหวั่นไหว ปรากฏหิน ล่วงพรูมาปิดปากถ่ำหมด ไอ้ผันชะงักที่พึ่งสุดท้ายมันหมดแล้วหมาย ความว่ายาเสพย์ติดที่เก็บไว้คงถูกทำลายจนหมดสิ้นแล้วด้วย มัน สอดส่ายสายตาเพื่อหาทางเอาตัวรอด มันคิดคงจะเหลือมันคนเดียว เท่านั้นเอง แล้วความคิดหนึ่งก็แว๊ปเข้ามามันรีบพลิกร่างไปยังร่างชาย ฉกรรจ์ที่ถูกปืนตายอยู่ใกล้ไป มันรีบเอาร่างนั้นมาบังร่างมันไว้พร้อม ละเลงเลือดไปตามใบหน้ามันและเสื้อผ้ามันทันทีแสร้างทำเป็นตาย พร้อมคว่ำหน้าลงกับพื้นเหลือซอกหินพอแค่หายใจนำร่างที่ตายแล้ว มาทับบนล่างมัน ปืนมันโยนทิ้งข้างๆ จึงทำให้มันรอดตัวไปได้ แต่ มันหารู้ไม่ว่าพวกที่รายล้อมมันไว้นั้นหาใช่คนไม่ย่อมรู้ว่ามันยังไม่ ตายปืนทุกกระบอกจึงหันไปยังร่างไอ้ผันทันทีหมายจะยิงซ้ำเพื่อไม่ ให้เหลือสักคนเดียว แต่เจ้าเริ่มยกมือห้ามปรามไว้พยักหน้าบรรดา พวกพ้องไว้ไม่ต้องไปฆ่ามัน ปล่อยมันไว้คนเดียวเพื่อจะได้กลับไป รายงานพวกมันทางบ้านของกำนันมั่นถึงเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ ครั้นงานจัดการเรียบร้อยแล้ว บรรดาพวกเจ้าเริ่มก็ทะยอยกันหาย ลับไปทันที พร้อมทั้งทำลายรถกะบะที่นำมาจากบ้านกำนันเสียสิ้น ไม่ให้สามารถใช้ได้อีกต่อไป........ แก้วประเสริฐ.
9 กรกฎาคม 2554 01:32 น. - comment id 124798
มากราบครูครับ ผมเพิ่งกลับจากงานแต่งงานน้องที่ทำงาน ผมเก็บและทบทวน ที่ครูแนะนำแต่ละกระทู้ไว้เรียบร้อยแล้วครับ จะหมั่นพิจารณาเพราะ เป็นสิ่งที่สำคัญ มาก และผมคนขี้ลืม โดยส่วนตัว กระผมชอบเพลงแนวเก่าๆทั้งลูกทุ่ง ลูกกรุง เพื่อนวัยเดียวกันส่วนใหญ่จะชอบใหม่ขึ้นมาอีกนิด แต่ถ้าถึงขนาดเด็กสมัยนี้ อย่างแนวฮิปฮอป กระผมฟังไม่ค่อยได้เลย ผมว่า เด็กๆเองจิตใต้สำนึกเขาก็คงขัดๆ แต่พอดีเป็นกระแสนิยม เท่านั้นเอง เสน่ห์ของเพลงเก่า กระผมว่าคือความจริงใจ น่ารัก และถ่อมตัว และจินตนาการที่ลึกกว่าเพลงปัจจุบัน ช่วงว่างๆจากงาน ผมลองวาดรูป ,ฟังเพลง,อ่านหนังสือ รวมไปถึงลอง จัดดีเจในเว็บ เป็นอย่างที่ครูว่าครับ กลอนแปดเป็นแม่แบบของร้อยกรองได้หลากหลาย ก่อนหน้านี้ผมเคยลอง ด้นสดเลยไม่มีเขียน เด็กๆได้ยินแล้วเค้าอึ้ง ผมเลยอดอมยิ้มไม่ได้ว่าบ้านกลอนนี้ได้จุดประกายผมนั่นเอง หลังๆมานึกคึกอย่างไรไม่ทราบลองร้องเพลงแหล่ด้นสด แล้ว เลยไปถึงฮิปฮอป แล้วเด็กฮิป อึ้งอีกครับ นัยว่าเมื่อใช้เยอะๆ เกิดการเปล่งเสียงจนเป็นพื้นฐานมีความคล้องจอง สัมผัสคำ มากกว่าที่เขาร้องกันในปัจจุบันนั่นเอง^^ ผมจึงเห็นด้วยอย่างยิ่งกับคุณครู ในแง่ของเรื่องสัมผัสของคำครับ งานเขียนร้อยกรองผมชอบเทียบกับการฟังเพลง กลอนแปดกระผมรู้สึกว่าคล้ายลูกทุ่ง หรือลูกกรุง ที่เปี่ยมด้วยอารมณ์ ส่วน "ฉันท์" ผมจินตนาการว่าคล้ายเพลงแจส คือเน้นจังหวะ ถ้าไม่คิดนั่งแปลศัพท์(หรูๆ)แล้ว เมื่ออ่านเปล่งเสียง จะรู้สึกได้ถึงเสน่ห์ของมันที่คาดเดาจังหวะได้ยาก ผมคิดอย่างนั้นจริงๆครับครู จนเรื่อง "ยันตร์แผ่นดิน" เสียง ปุ ปิ ปะ ลุ ลิ ละ ฯลฯ พวกนี้มันดังเหง่งหง่างๆในหัว ไปทั้งวันเลยครับ ^^ ไม่ทราบว่าผมคิดผิดหรือไม่นะครับ เรื่องงานเขียน ไม่ว่าจะร้อยแก้ว หรือ ร้อยกรอง หากจิตใจสงบๆ แล้วแว๊บขึ้นมาให้เขียนโดยทันที ไม่ต้องละล้า ละลัง เพราะยิ่งนาน สมองจะยิ่งมีสิ่งอื่นมาขัดกันเอง ทำให้ยิ่งช้าลง คุณครูครับ ครูต้องมีกำลังใจเยอะๆนะครับ ผมรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่ท่านพิมพ์มาในแต่ละกระทู้ ผมจึงอยากเรียนอีกครั้งว่า ศิษย์ทั้งหลายในบ้านกลอน ท่านต่างเป็นห่วงและรักครูกันทั้งนั้นนะครับ
9 กรกฎาคม 2554 12:53 น. - comment id 124804
คุณ สุญญะกาศ ครูเองก็ชอบเพลงลูกรุง ลูกทุ่งเก่าๆ เหมือนกันด้วยเป็นเพลงมีความหมายอรรถรส ดี่มาก การที่เธอท่องมนต์ยันต์แผ่นดินแล้ว เกิดอาการดังกล่าวก็ด้วยสมาธิจิตนั่นเอง การเรียนรู้ในสิ่งต่างๆนั้นต้องประกอบด้วย สมาธิ เรื่องนี้แล้วแน่คนแต่ละคนไม่เหมือน กันอยู่ที่การฝึกฝนเอง ครูจะไม่พูดถึังนะ แต่จะมาพูดถึงร้อยแก้วร้อยกรองไว้ ซึ่งประกอบด้วยสองอย่างคือ ทำนอง...ส่วนหลักใหญ่ไม่ว่าจะเป็นของ ไทยหรือของต่างชาติืใดๆก็ตามย่อมมี แปดทำนองด้วยกัน เหมือนกลอนแปด คือ เด่ โร มี ฟา จะเห็นการไช่ทำนอง นั้นจากต่ำค่อยๆไปสู่ระดับกลางนั่นเอง ส่วน ซอล ลา ซิื โ้ด้ นั่นจะจากกลางแล้ว ค่อยไปสูงจังหวะสูงนั่นเอง การจะทำให้ ทำนองเพราะเขาอาศัยเสียงจากธรรมชาติ เช่นเสียงของ กระดิ่งที่ถูกลม เสียงของ ใบไม้ต่างๆ การเสียดสีของต้นไม้ เช่น ต้นไผ่เป็นต้นแล้วจำมา จัดเรียงเป็น ทำนองขึ้นไว้ แต่การจะจัดสลับกันนั้น อยู่ที่จังหวะนั้นๆ การแต่งเพลงก็ดีก็อาศัย หลักการณ์นี้เช่นกัน เสียงนั้นจะไม่ข้าม หรือกระโดดกันมากนัก ควรไล่เรียงกันไป ไม่ใช่ต่ำแล้วไปสูงทีเดียวไม่ถูกต้อง ต้อง ผ่านเสียงกลางก่อนเป็นต้น ในหนึ่งวรรค เราจะจัดอย่างสลับอย่างไรก็ได้แต่ต้อง ผ่านจังหวะกลางเสมอจากต่ำไปหาสูงหรือ จากสูงมาหาต่ำก็เช่นเดียวกัน นี่คือหลัก ของทำนองเสียงนั่นเอง อักษรเสียง....ในทุกตัวหนังสือ เช่น ก. ข. ก็มีเสียงในตัวเองอยู่แล้ว หากนำมา ผสมกันจะออกเป็นแนวเสียงอีกเสียงหนึ่ง ทันที ดังนั้นจึงเข้าหลักเกณฑ์ของคำ ครุ และคำลหุ คำเป็น และคำตาย นั่นเอง แต่ปราชญ์เราได้แบ่งแยกไว้ให้เราสังเกตุ ไว้โดยการใช้หลักแม่ก.กา เป็นแนวทาง หากเป็นคำหนักๆมักจะเป็นคำเดียวล้วนๆ ยกเว้นคำ อำ ใอ ไอ เอา ที่สะกดไว้นั้น จะเป็นคำเป็น และคำลหุ ในที่กล่าวแรก เป็นกฏที่วางไว้ในคำเป็น ที่บอกว่าเป็น คำลหุ เพราะอ่านออกเสียงเบาๆ ถึงแม้ว่า จะไม่ผสมกับคำอื่นๆใดก็ตาม เช่นประสาน ปะ+สาน นั้นเป็นคำเป็น ฉัน เอาของฉันคืน นี่เป็นคำเป็นทั้งสิ้นและ เป็นคำลหุ ด้วยเสียงจะออกไป มุทะลุ เสียง จะออกหนักจะเป้นคำตายและคำครุ คือ เสียงจะออกหนักแน่นคำเดียวถึงรวมกัน ความหมายจะแตกต่างกัน แต่ทุกคำนั้น สามารถแปลได้ก็ตาม เป็นต้น เรารู้เท่านั้นก็เอาคำเสียงอักษรเหล่านี้ มาเลือกอักษรที่ผสมและไม่ผสมมาเทียบ เคียงกับทำนองที่กล่าวไว้แล้วให้เข้ากัน หรือใกล้เคียงกันที่สุดก็ถือว่าไม่ผิดนะ ครูเห็นเธอมาจากสิ่งที่ไม่มีอะไรจึง บอกให้เป็นพิเศษหน่อยอีกทั้งอายุก็มาก แล้ว ดังนั้้นจึงบอกให้คนที่เชื่อฟังเท่านั้น เองแนะนำคนที่ควรแนะนำ แต่ยังมีอีกมาก มายในสิ่งปลีกย่อยอีกมากนัก สิ่งที่เธอบอกไว้ว่ามันดังไปในสมอง ของเธอนั้น ก็ด้วยเมื่อเกิดสมาธิแต่ความ ศรัทธามุ่งมั่นสิ่งนั้นเกิดจากใจเราเองที่ สร้างอารมณ์และจินตนาการเราจะเข้า รวมก้ัน อันซึ่งครูมักจะเน้นให้ทำจิตให้ เป็นกลอน กลอนเป็นจิต รวมตัวเป็นหนึ่ง เดียวก็มาจากสาเหตุนี้นี่แหละคือใจคือ ที่อยู่ของจิตและเจตสิต ใจอยู่ในวิญญาณ ของเรา จินตนาการเกิดจากการปรุงแต่ง ของใจ อารมณ์เกิดจากเวทนาที่เราเสวย คือความพอใจ ไม่พอใจ หรือการวางเฉย ทุกข์ สุข ไม่ทุกข์ไม่สุข ความเศร้าหมอง ความเสียใจเป็นต้นนั่นเอง ดังนั้นใจเป็นใหญ่เป็นประธานของเรา ครูจึงกล่าวให้ศิษย์ฝึกเอาไว้ เพียงบอกแต่ี ไม่ได้อธิบาย แต่นี่ครูมาอธิบายให้เธอฟัง เรารักเขา เขาก็รักเรา เรารักกลอน กลอน ก็รักเรา แล้วความรักนี้จะรวมตัวเป็นหนึ่ง เดียวกัน ดังนั้นที่เธอสามารถแต่งแหล่ได้ ก็เกิดจากทำนองของแหล่ที่เราหาอักษร มาใส่นั่นเอง การแหล่นั้นเขาจะมักนิยม ใช้คำครุมากกว่าคำลหุเป็นต้นแต่ก็ต้อง ดูทำนองของแหล่ที่เขาวางไว้ เช่นการ เห่เรือเขามักจะใช้กาพย์เป็นตัวต้นแบบ แต่ทั้งหมดไม่ว่าร้อยอะไรก็ตามย่อมมา จากกลอนแปดทั้งสิ้น และต้องเป็นแปด โดยแท้จริงยกเว้นคำกล้ำที่เราไม่สามารถ หลีกเลี่ยงเพราะจะทำให้ทำนองเพี้ยนไป เท่านั้น เอาเท่านี้ก่อนนะ อีกประการหนึ่ง การจะมาเป็นศิษย์เรา ต้องอ่อนน้อมถ่อม ตัวเราไว้เสมอๆ ยิ่งรู้มากเท่าไหร่ตัวเรา ต้องเตี้ยให้มากเท่านั้น อย่าได้หยิ่ง พยองพองขนว่าข้าเก่งแล้ว การเรียนไม่มี วันสิ้นสุดหรอก การค้นพบด้วยตัวเองนั่น แหละคือสิ่งที่ทำให้เราเชี่ยวชาญมากเท่านั้น ดังนั้น ศิษย์เราต้องอย่าทนงตนเองให้ถือ ว่าเขาจะชอบหรือไม่ชอบไม่ต้องสนเรา รักในผลงานของเราเท่านั้นก็เพียงพอ แล้วจะดีจะชั่วคนที่เก่งๆจะรู้เองแหละ รักศิษย์เสมอ แก้วประเสริฐ.
10 กรกฎาคม 2554 19:02 น. - comment id 124821
กราบครูครับ จะจดจำไว้ในทุกสิ่งเพื่อเป็นแนวทางครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านเคยสอนว่าให้คิดว่าเหมือนน้ำที่ไม่เต็มแก้ว เพิ่งกลับจากเดินทางไกล ถึงบ้าน เลยแวะเข้ามาสวัสดีครูครับ
10 กรกฎาคม 2554 20:02 น. - comment id 124824
สวัสดีค่ะครูแก้ว มาอ่านค่ะได้ความรู้มากเลยค่ะแต่เวลาเราแต่งจริงๆยากมากเลยค่ะ วันนี้สตรอบอรี่ปั่นใส่กล้วยหอมค่ะ อร่อยนะค่ะ บานาน่าสมูทตี้พิงค์(ลองดูนะค่ะอร่อยมากค่ะ)ใส่แยมลงไปปั่นด้วยแทนน้ำเชื่อมค่ะ
10 กรกฎาคม 2554 23:39 น. - comment id 124826
คุณ สุญญะกาศ ความรู้ในโลกใบนี้ย่อมไม่มีที่สิ้นสุดหรอก การเรียนทั้งในตำราและนอกตำราก็เช่น เดียวกัน แม้จะแตกต่างแต่ส่วนใหญ่จะละม้าย คล้ายคลึงกันเสมอๆ การแนะนำเป็นหน้าที่ ของครู การใฝ่รู้เป็นหน้าที่ของคนที่จะศึกษา ไว้ นี่แหละจึงเป็นสาเหตุดังนี้ รักศิษย์เราเสมอ แก้วประเสริฐ.
10 กรกฎาคม 2554 23:56 น. - comment id 124827
คุณ กลั่นแก้ว ไม่ว่าจะเป็นร้อยแก้ว คือเรื่องสั้น เรื่องราว รอบตัวเรา หรือนิยายนั้น ล้วนอยู่ในตำราทั้ง สิ้น อยู่ที่ว่าคนที่จะดำเนินการจะรู้หลักหรือ ไม่เท่านั้้นเองในวิถีหนทางที่จะสร้างขึ้นไว้ ร้อยกรอง ก็เฉกเช่นเดียวกัน ด้วยอยู่ในการ ค้นคว้าตำราว่าด้วยการเขียนที่เราเรียกกันว่า ฉันทลักษณ์นั่นเอง เอาล่ะจะไม่พูดร้อยกรองนะชื่อก็บอกว่า เป็นเรื่องที่ต้องกลั่นกรองออกมาตามบท กำหนดที่เขาวางไว้่ จะมาพูดถึงร้อยแก้วดีที่จะเข้ากับ เหตุการนั้น ศิษย์จงจำให้ดีให้ขึ้นใจไว้ เพราะผ่านการค้นคว้าหาสิ่งนี้จากครูเอง จนพบกว่าจะได้มาในสิ่งนี้นั้นก็เหมือน เธอนั่นแหละในการเริ่มต้น เธอจงจำไว้ให้ขึ้นใจนะว่า การจะเขียน เรื่องอะไรก็ตาม ให้ทำตามตำราที่วางไว้ เป็นหลักใหญ่ แต่เค้าโครงเรื่องนั้นต้อง มาจากจากสาเหตุดังนี้ ทั้งหมดเกิดจาก ใจเราทั้งสิ้นด้วยจะมีเป็นสองอย่างคือ จินตนาการอันเกิดจากการปรุงแต่ง และ อารมณ์เกิดจากเวทนา หากทั้งสองอย่าง นี้นำมาประสานกันได้ก็จะได้เรื่องที่เรา ต้องการได้เสมอ ข้อที่หนึ่ง คือใจเราต้อง ดูว่าจะสร้างเรื่องในแนวทางใด แล้วสร้าง โครงเรื่องไว้ก่อนเป็นเหตุ เมื่อได้แล้วก็ เอาจินตนาการมาใส่พร้อมด้วยอารมณ์ ให้มารวมตัวกันประสานเข้าด้วยกัน ทุกๆ อย่างต้องวางให้ถูกตามสิ่งแวดล้อม เช่น ในเมือง ชนบท ภาษาการใช้ ศิลปะต่างๆ เครื่องมือเครื่องใช้เป็นต้น เมื่อเราได้แล้วก็เอามาเข้ากับโครง เรื่องที่ใจเราสร้างไว้ล่วงหน้าก่อน โครงเรื่องนั้นต้องรู้ต้น กลาง และสุดท้าย ไว้ก่อนเสมอ ส่วนลำนำเนื้อเรื่องอยู่ที่ จินตนาการกับอารมณ์เป็นตัวเรื่อง ก็จะ ได้เรื่องๆนั้นๆ ให้หัดจากเรื่องสั้นๆไปก่อนเมื่อใจรู้ ว่าเราทำได้แล้วก็ให้ยาวขึ้นไปอีก ตอน นี้แหละใจมันจะสร้างจินตนาการให้แก่ เราอย่างไม่มีวันจบเราต้องบังคับใจเรา ด้วยว่าต้องให้มันจบนะตามที่เราวาง กำหนดไว้ให้ได้มิฉะนั้นมันจะต่อยอดไป เรื่อยๆต้องรู้จักหักเหมุมมองของมันนำ มันเข้าสู่กรอบที่เราวางไว้ตั้งแต่ต้นจึงจะ ลงได้ แต่การลงที่คนนิืยมมักจะลงใน แนวทางที่เรียกกันว่าสนุกสนานบันเทิง รักกัน หากจบลงในแง่ทางร้ายคนเขาก็ จะไม่ค่อยชอบใจ หรือเราจะจบแบบฝาก ความคิดไว้ว่าจะให้มีการต่อยอดไปอีก ก็ได้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญอย่าไป เลียนแบบเรื่องที่เขาเขียนมาหรือในหนัง เป็นอันขาด การเขียนเรื่องราวมักจะออก ในแนวทางคล้ายๆกัน เราต้องรู้จักหักเห มุมมองออกไป ไม่ให้เหมือนใครเพื่อเรา จะได้ภาคภูมิใจงานเขียนเราไว้ เอาเท่านี้ ก่อนนะ นี่ก็เป็นแนวทางที่จะทำได้แล้ว หากใช้ในหลักการณ์นี้ไว้จ้า รักศิษย์เสมอ แก้วประเสริฐ.
11 กรกฎาคม 2554 14:45 น. - comment id 124830
หวัดดีครับ ไม่ได้เข้ามาบ้านกลอนหลายวัน..เพราะยุ่งๆ กับการช่วยงานศพของญาติ...นี่ก็ยงไม่เรียบ ร้อยดี..งานสวดถึงวันที่ 13/7และจะฌาปนกิจ วันที่14/7 โน้นครับก็เลยยุ่งนิดหนอย เข้ามาอ่านอทิสมานกายก้อทำได้คลายๆ ความเศร้าไปบ้างครับ.. อันที่จริงก้อเปนธรรมดาของคนเรานะครับ ทุกสิ่งมีเกิดขึ้นดับไป..เปนหลักที่พระพุทธเจ้า ท่านตรัสมาเปนพันๆปีครับ ขอบคุณสำหรับนวนิยายครับ
11 กรกฎาคม 2554 15:11 น. - comment id 124831
คุณ เอื้องอังกูร "อนิจจัง วัฏฏะสังขาราฯลฯ" สังขารอัน ได้แก่ร่างกายนี้ทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง มีเกิด ก็ต้องมีแก่ แล้วก็ต้องมีเจ็บ สิ้นสุด ด้วยความตาย ด้วยสิ่งที่เรายืดครองอยู่นี้หา ใช่ของๆเราไม่เพียงเป็นแค่ ธาตุทั้งหลายที่ มาร่วมตัวกันในระบบผลแห่งกรรมนั้นๆที่ เป็นตัวก่อกำเนิดขึ้นเท่านั้นเองเป็นไปตาม ธรรมชาติทั้งสิ้น จึงไม่จีรังยั่งยืนไม่ว่าจะเป็น สิ่งวัึตถุใดๆทั้งสิ้นก็ย่อมเสื่อมสลายไป ผู้ที่รู้ ผู้ที่เข้าใจถึงเหตุผลนี้ก็ย่อมจะไม่ เกิดความเสียดายต่อสิ่งที่อาศัยอยู่ของ จิตเจตสิกใจในวิญญาณธาตุอันเป็นอมตะ ดังนั้นทุกๆคนจึงต้องเกิดดับเกิดดับ อยู่ตลอดเวลาไม่ว่าธาตุใดๆทั้งสิ้น เมื่อ เราตายก็จะเกิดปุ๊บทันทีแล้วก็ดับลงอีก แล้วก็เกิดอีกจะหยุดได้ก็ด้วยอำนาจแห่ง ผลกรรมที่สร้างไว้นั้น บ้างก็ไปสู่ในอบายภูมิ(รวมถึงสัตว์ต่างๆ) บ้างก็เกิดเป็น มนุษย์ บ้างก็เกิดเป็นอทิสมานกายไม่มี วิมานอยู่บ้างก็เกิดในวิมานล้วนแล้วแต่ ผลกรรมของเราทั้งสิ้น หากรู้แล้วก็จะเกิด อาการเบื่อหน่าย และย่อมละวางได้ การอาดูร เศร้าโศกก็ดีย่อมมีแก่ทุกๆ คนในอวิชาคือกิเลสทั้งสิ้น ขอแสดง ความเสียใจด้วยนะครับ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
13 กรกฎาคม 2554 09:55 น. - comment id 124882
มาติดตามอีกตอนครับครู นอกจากอ่านอาทิสมานกาย ยังได้อ่านข้อคิด ในหัวข้อที่ครูตอบคอมเม้นฯ ด้วยครับ ขอแสดงความเสียใจกับคุณเอ้ออังกูร ด้วยครับ
13 กรกฎาคม 2554 15:24 น. - comment id 124916
คุณ กิ่งโศก ศิษย์รักยิ่ง ตอนนี้ครูแก่มากแล้วคิดว่า จะอยู่อีกนานได้เท่าไหร่ ด้วยตระกูลครูล้วน แล้วแต่อายุสั้นๆกันทั้งนั้น จึงได้นำเอาสิ่ง ที่รู้มาตอบลงในกระทู้ ขอให้ศิษย์ผู้ที่ครูหวัง ไว้พยายามติดตามอ่านกระทู้ไว้ ครูจะนำเกร็ด เล็กๆน้อยๆมาลงไว้ให้เสมอๆทั้งร้องแก้วและ ร้อยกรองไว้ในระยะนี้ ขอให้ติดตามให้ได้ นะ ต่อไปเธอก็จะเป็นคนแนะนำเขาต่อ ไปด้วย รักศิษย์เรามากเสมอๆ แก้วประเสริฐ.