ตัวละครในนิทานเรื่องไซอิ๋ว...

คีตากะ

%E0%B9%84%E0%B8%8B%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%ปราศรัยโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ ฌาน ๒ ฮ่องกง
๑ ตุลาคม ๒๕๓๖

      ในไซอิ๋วได้บันทึกไว้เกี่ยวกับบุคลิกลักษณะของพระถังซัมจั๋งว่าเป็นพระอาจารย์ที่มีความเมตตาและสง่างามมาก แต่ว่าลูกศิษย์ของท่านทั้ง ๓ คนเป็นอย่างไรบ้าง : หน้าตาขี้เหร่น่ากลัวและยังฆ่าคนด้วย คนธรรมดาทั่วไปพอเห็นพวกเขาเข้าก็ตกใจมาก แต่พระถังซัมจั๋งไม่เพียงแต่ไม่กลัว กลับรับไว้เป็นศิษย์ จากนั้นพวกเขาจึงจะรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวในการติดตามปกป้องพระถังซัมจั๋งไปแสวงบุญจนสำเร็จ ถ้าหากไม่มีศิษย์ที่ดุร้าย ๓ คนนี้ พระถังซัมจั๋งอาจไม่สามารถไปถึงชมพูทวีปได้ เพราะฉะนั้นสรรพสิ่งทุกอย่างล้วนแต่มีประโยชน์ในตัวของมัน หากเราเข้าใจกฎจักรวาลและเข้าใจเคล็ดลับแห่งพลังการสร้างสรรค์ เราก็สามารถทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ได้ จะไม่มีสิ่งใดเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์
      เราอย่าคิดว่าคนอย่างซุงหงอคงและซัวเจ๋งไม่ได้มีตัวตน พวกเขาก็คือตัวแทนลักษณะคุณสมบัติภายในของเรา เป็นภาพการดิ้นรนต่อสู้โดยภายในของพระถังซัมจั๋งเองในระหว่างทางที่ท่านเดินทางไปแสวงบุญ ซุงหงอคงเป็นลักษณะตัวแทนแห่งความฉลาด ความมีสติปัญญาและพลังสุดประมาณของท่าน ทุกๆ ครั้งที่มีปัญหาสามารถอธิษฐานให้พระโพธิสัตว์ช่วยและสามารถแก้ปัญหาได้ทุกครั้ง ส่วนตือโป้ยก่ายเป็นลักษณะตัวแทนแห่งคุณสมบัติความเกียจคร้านและความเจ้าชู้ของท่าน บางครั้งเห็นสาวงามจะใจอ่อน เห็นอาหารอร่อยก็อยากกินมาก ซัวเจ๋งจะเป็นลักษณะตัวแทนในยามที่ท่านอยู่ในสภาวะจิตที่สงบบริสุทธิ์และสมดุลไม่มีดีไม่มีชั่ว
      ในหนังสือได้ระบุว่าซุงหงอคงเป็นคนที่ฉลาดมากๆ และยังมีอิทธิฤทธิ์ในการแปลงร่างได้ ๗๒ อย่างด้วย ก่อนเขาจะรู้แจ้ง เขาเคยอาละวาดบนสวรรค์และตั้งตนเป็นนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ นั่นหมายถึงคุณสมบัติแห่งการดิ้นรนภายในของเรา ถ้าหากเราได้บรรลุสูงถึงขั้นของพระเจ้าแล้ว ก็คงไม่ต้องไปก่อความวุ่นวาย มันเหมือนกับว่าแม้เราจะทราบดีว่าภายในเรามีความเป็นพระเจ้าอยู่ซึ่งเป็นสิ่งสูงที่สุด แต่เป็นเพราะว่าเรายังไม่ได้บรรลุถึงขั้นสูงสุดนี้ ฉะนั้นเราจึงไม่อาจเชื่อมั่นตนเองได้ วันนี้อาจจะเชื่อ แต่พรุ่งนี้ก็เริ่มสั่นคลอนอีกแล้ว มะรืนเธออาจจะกลับมาเชื่ออีก แต่หลังจากเวลาผ่านไปอีกวันหนึ่งเธอก็ไม่มั่นใจอีก ถ้าหากวันนั้นพอดีเธอรู้แจ้งทราบว่าตนเองเป็นใคร เธอก็จะสัมผัสถึงความสูงส่งของเราและความเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล แต่เป็นเพราะว่าใช้ชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์นี้ มีความยากลำบากมากมาย วันไหนที่เธอเจออุปสรรคและความยุ่งยากเข้า เราจะตกลงมาสู่อันดับชั้นของความเป็นมนุษย์ เราจะเริ่มสงสัยตนเอง รู้สึกตนเองอ่อนแอมาก ขาดความช่วยเหลือ ไม่มีพลัง เวลานั้นเราจะทุกข์มาก ไม่ว่าใครจะบอกว่าเราเป็นพระโพธิสัตว์เราก็ไม่อยากฟัง เราสูญเสียกำลังใจไปหมด คนที่บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมทุกคนต่างมีประสบการณ์ของซุงหงอคง ฉะนั้นเราจึงดิ้นรนทุกวัน อาละวาดทุกวัน วันหนึ่งเราอยากเป็นพุทธะ วันหนึ่งเราไม่อยากเป็น วันหนึ่งเราบรรลุเป็นพุทธะ วันหนึ่งไม่บรรลุ วันหนึ่งเราคือพุทธะ วันหนึ่งคือมาร วนเวียนกันอยู่แบบนี้ นี่คือสภาวะการดิ้นรนภายในจิตใจของพระถังซัมจั๋ง ผู้แต่งนั้นเอาลิงมาเปรียบเป็นสมองอันไม่หยุดนิ่งของเรา แต่มันฉลาดมาก มีฤทธิ์มาก อยากได้อะไรก็ได้ อยากไปภูมิภพไหนก็ไปได้ แต่วิ่งไปวิ่งมาก็วนเวียนอยู่ในใจ ออกนอกไตรภูมิไม่ได้

%E0%B9%84%E0%B8%8B%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%       พวกเธอดูหนังไซอิ๋วก็จะทราบดีว่า ซุงหงอคงติดตามพระถังซัมจั๋งไปแสวงบุญ เดิมทีมีจุดมุ่งหมายจะโปรดสรรพสัตว์ แต่ผลสุดท้ายพระโพธิสัตว์กลับส่งปีศาจมากมายลงมาทำร้ายพวกเขาทุกวัน เคราะห์กรรมแปดสิบเอ็ดครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เป็นผู้สร้างขึ้นมาซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของบททดสอบ เพราะว่าถ้าหากไม่ผ่านบททดสอบเราจะไม่เติบโตเหมือนกับทหารหากไม่ได้ผ่านการฝึกฝน ก็ไม่สามารถเป็นทหารที่ดีได้หรือเด็กนักเรียนถ้าหากไม่มีการสอบไล่พวกเขาจะไม่ตั้งใจเรียน ดังนั้นการทดสอบเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเราเพื่อให้เราทราบว่าตนก้าวหน้าหรือไม่ ความมั่นใจของเราสั่นคลอนหรือไม่
     เราเห็นได้จากเรื่องที่เล่าว่าทั้งลูกศิษย์และอาจารย์ บางครั้งถูกต้นไม้ดอกไม้หรือเจ้าเขาทำร้าย.... นี่คืออาจารย์เคยกล่าวกับพวกเธอว่าโลกภายนอกมันอันตรายสำหรับเรา เราสนใจโลกภายนอกมากไปจะทำให้เราจมอยู่กับมันและลืมสภาพเดิมแท้ของตนเองไป เวลานั้นจะเป็นการง่ายที่เราจะถูกผูกมัดไว้กับสิ่งนั้น ซึ่งจะเหมือนเราอยู่ที่ใดที่หนึ่งจนเคยชินไปแล้วก็เลยไม่อยากย้ายไปอยู่ที่อื่น ไปนอนที่อื่นจะนอนไม่หลับ เช่นเดียวกับผู้บำเพ็ญคนหนึ่งบางครั้งเดินผ่านสถานที่บางแห่งและอยากอยู่ที่นั่นต่อไป เดิมทีมีจุดมุ่งหมายจะไปแสวงบุญ ต้องบรรลุเป็นพุทธะ แต่ผลสุดท้ายพอเขาไปถึงสถานที่บางแห่งเห็นภูเขาแม่น้ำสวยงาม ต้นไม้ที่สวยงาม ดอกและผลไม้งดงามมาก เขาก็จะหยุดอยู่ตรงนั้น ไม่อยากเดินหน้าต่อไปอีก : “พอแล้ว! ทำไมต้องบรรลุเป็นพุทธะ อยู่ที่นี่ดูดอกไม้ต้นไม้ จากนั้นแต่งบทกวี ท่องบทกวีก็ดีแล้ว” ฉะนั้นพวกเธอเห็นนางไม้ในนิทานไซอิ๋วบางตนได้ออกมายั่วยวนพระถังซัมจั๋ง และท่านเองก็เกือบจะชอบเธอเข้า นั่นเป็นเพราะว่าตัวท่านเองชอบทิวทัศน์อันสวยงามในแห่งนั้น ไม่ได้หมายความว่ามีนางไม้วิ่งออกมาจับท่าน ตัวท่านเองยึดติดกับสิ่งนั้นก็เท่ากับถูกต้นไม้ดอกไม้จับเอาไว้ และต้นไม้ดอกไม้ใบหญ้าทั้งหลายก็มีสามัญสำนึกของมัน เรารักพวกมัน มันก็จะติดต่อสื่อกับพวกเราทำให้เรายิ่งรักมัน และมันก็จะยิ่งผูกมัดให้เราอยู่ตรงนั้น ฉะนั้นอันดับชั้นของเราก็หยุดอยู่ตรงนั้น พวกเราผู้บำเพ็ญต้องการก้าวหน้าต่อไป ไม่ควรหยุดอยู่กับที่ใดที่หนึ่ง เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าการที่เราไปเห็นสภาพโลกภายนอกเป็นสิ่งที่อันตรายมาก
      ซุงหงอคงเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนแห่งความมีสติปัญญาเข้าใจในเหตุผลของเรา หากบางครั้งไม่ทันระวังไปฟังความเคยชินเก่าๆ แห่งความเป็นปุถุชนของพระถังซัมจั๋ง แม้ว่าทำให้ต้องตกอยู่ในความยากลำบาก แต่เป็นเพราะว่าเธอคือซุงหงอคง ช้าหรือเร็วก็ต้องหนีออกมาได้ ไม่ต้องจมอยู่กับที่นั่นนาน แต่ตือโป้ยก่ายก็จมเข้าไปได้เหมือนกัน (อาจารย์หัวเราะ) ฉะนั้นจึงมีครั้งหนึ่งพระโพธิสัตว์แปลงร่างเป็นสาวงาม ๓ คน แต่ตือโป้ยก่ายไม่รู้ตัวกลับหลงใหลความงามของนาง จึงถูกมัดใส่เข้าไปในร่างแห แม้ว่าร่างกายจะไม่ถูกทำร้ายเพียงแต่มัดและแขวนไว้ช่วงหนึ่งเท่านั้น แต่การผูกมัดนั้นความหมายที่แท้จริงคือแม้ว่าคนนั้นจะสวยงามมากหรืออาจเป็นพระโพธิสัตว์แปลงร่างมาก็ได้ เมื่อเธอรักเขา เขาก็จะถูกผูกมัดด้วยความรัก ซึ่งเดิมทีต้องการไปแสวงบุญชมพูทวีป แต่กลับต้องหยุดอยู่ตรงนั้นช่วงหนึ่งเพราะความรักของเธอทำเช่นนี้จะเป็นการเสียเวลาการบำเพ็ญไป เพราะฉะนั้นบางครั้งแม้จะเป็นพระโพธิสัตว์แปลงร่างมาก็จริง ทางที่ดีเราไม่ควรไปสนใจเธอ ระวังตัวให้ดีนะ อย่าถูกผู้หญิงสวยหรือเรื่องดีๆ ของโลกผูกมัดเอาไว้
      มีอยู่ครั้งหนึ่ง พระถังซัมจั๋งถูกจับเข้าไปในถ้ำของปีศาจแมงมุม ปีศาจแมงมุมได้แปลงร่างเป็นสาวงามและเด็กๆ จำนวนมากมาล้อมรอบท่าน นี่คือสัญลักษณ์บ่งบอกถึงลักษณะของครอบครัว อาจเป็นเพราะในตอนนั้นท่านอยากมีครอบครัว ท่านอาจคิดว่าไปแสวงบุญนั้นลำบากมาก สู้แต่งงานกับภรรยาคนหนึ่ง จากนั้นก็มีกรรมที่น่ารักอีกหลายคนจะเป็นการดีกว่า (ผู้คนหัวเราะ) เมื่อมีความคิดแบบนี้แล้วก็เริ่มถูกผูกมัด แม้จะไม่มีภรรยาหรือลูกจริงๆ มาผูกมัดเธอ แต่เมื่อเธอคิดเท่านั้นเธอก็ถูกผูกมัดไว้แล้ว อันดับชั้นเปลี่ยนไป จากนั้นถ้าหากเธอไม่ละทิ้งความคิดนี้เป็นเวลานาน แล้วก็เวลาช่วงนั้นเธอจะถูกผูกมัดอยู่ในความคิดแบบนี้ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีปีศาจแมงมุมหรือแมงมุมน้อยไปสร้างใยแมงมุมมัดท่านไว้ แต่เป็นตัวพระถังซัมจั๋งเองที่ต้องการแบบนี้โดยมัดตนเองให้อยู่ในสภาวะเหตุการณ์แบบนี้ บางครั้งเป็นเพราะว่าหนทางการบำเพ็ญยาวไกลมากและเป็นการยากที่สภาพจิตใจของเราจะไม่ขึ้นๆ ลงๆ ผู้แต่งได้นำนิทานมาพรรณาถึงสภาพจิตใจของพระถังซัมจั๋งและเล่าเรื่องการใช้ความตั้งใจในการฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ของท่าน

bcoms2008119224156.JPG      มีครั้งหนึ่งปีศาจกระดูกขาวได้แปลงร่างมาเป็นผู้หญิงที่สวยงามเพื่อยั่วยวนคน ดูดเลือดคน และปีศาจกระดูกขาวคนนี้เป็นใคร นางคือปีศาจที่ซ่อนอยู่ในตัวของเราหรืออุปนิสัยที่ชอบใช้ความงามของตนเองไปยั่วยวนคนอื่นของเรา ฉะนั้นผู้บำเพ็ญในสมัยโบราณบางครั้งต้องการควบคุมความต้องการอันเกิดความรัก จึงทำด้วยวิธีการมองโครงกระดูกขาว จะมองทุกคนเป็นกระดูกขาวไปหมด ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่เลว ถ้าหากมองผู้ชายที่หน้าตารูปหล่อหรือผู้หญิงที่สวยงามคนหนึ่งโดยมองทะลุผ่านเข้าไปข้างใน ก็จะเห็นแต่กระดูกขาว โครงกระดูกเท่านั้น
      เราเห็นซุงหงอคงถูกท่านกวนอิมโพธิสัตว์หลอกเอาโดยหลอกให้ใส่ห่วงเสกคาถาไว้บนหัว เราอาจคิดว่าทำไมกวนอิมโพธิสัตว์จึงไม่มีเมตตาจิต แต่ถ้าหากไม่ทำเช่นนี้ก็ไม่สามารถควบคุมลิงตัวนี้ได้ พระโพธิสัตว์กวนอิมต้องการสั่งสอนและช่วยมัน จึงจำเป็นต้องใส่ห่วงเสกคาถาให้มัน มิฉะนั้นซุงหงอคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงนิสัยตนเองได้และไม่สามารถบำเพ็ญให้เข้าถึงสัจธรรม ฉะนั้นพระโพธิสัตว์ไม่ยิ้มและแจกขนมให้เราทุกเวลา เพราะการกระทำแบบนี้จะทำให้เราเสียคนเสมือนการมอบตั๋วเครื่องบินไปนรกให้เราใบหนึ่ง
      บัดนี้เข้าใจเรื่องราวต่างๆ ที่นำมาเปรียบเทียบแล้วใช่ไหม เราต่างก็มีนิสัยของหมูและลิงอยู่ในตัวเรา พวกเธอเห็นสัตว์กินอาหารและออกลูก ดูแลลูกได้ ซึ่งไม่แตกต่างอะไรกับพวกเรา เพราะฉะนั้นถ้าหากเราไม่บำเพ็ญ เราจะไม่แตกต่างอะไรกับสัตว์เลย ยังดีที่เราบำเพ็ญ มีการพัฒนาระดับปัญญาของตนเอง ในขณะที่สัตว์ไม่สามารถทำความเข้าใจในสิ่งต่างๆ ได้ดีเหมือนพวกเรา ฉะนั้นพวกเธอควรจะดูแลจุดที่เป็นพระถังซัมจั๋งของเราให้ดี (อาจารย์ชี้ที่ตาปัญญา) ดูแลในส่วนแห่งความเมตตาของเรา อย่าปล่อยให้นิสัยของความเป็นลิงและความเป็นหมูมาควบคุมชีวิตของเราทุกวันและสร้างมลทินให้กับบ้านที่ล้ำค่าของตน....

ระวังปีศาจบนเส้นทางการบำเพ็ญ
spd_20101206230427_b.jpgปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
ซีหู ฟอร์โมซา
๑ สิงหาคม ๒๕๓๔
(ต้นฉบับเป็นภาษาจีน)
      พวกเธอสังเกตดู ทุกครั้งที่พระถังซัมจั๋งไปถึงที่ไหนจะมีปีศาจมาจับท่าน กินเนื้อของท่าน แท้จริงแล้วการกินเนื้อนั้นไม่ได้หมายถึงการตัดเอาเนื้อออกมาเป็นชิ้นๆ แล้วกิน แต่การทรมานทางด้านจิตใจของเรา ทำให้เราทนไม่ได้ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ และเป็นเหตุให้ร่างกายเราอ่อนแอลงทุกวัน นี่คือการตัดกินเนื้อของเราเพราะว่าการทรมานจิตใจของเราก็เป็นการทำร้ายเราเช่นกัน
      มีมารบางตัวสามารถดูดพลังจิตคน ยิ่งเรามีพลังหยางมาก มารพวกนั้นยิ่งชอบดูด บางครั้งถูกดูดไปมากเราก็จะสลบ บางคนดูลักษณะภายนอกเป็นคนแต่ข้างในเป็นมาร พวกเธอดูในเรื่องไซอิ๋วมีมารกระดูกขาวตัวหนึ่ง มันจับคนมาแล้วดูดเอาพลังจิตเขาไปหมดและฆ่าเขาทิ้ง จากนั้นสิงเข้าร่างกายคนคนนั้นเพื่อออกไปหลอกล่อคน ซึ่งของภายนอกเราดูไม่ออก ฉะนั้นคนทางโลกบางคนที่ถูกมารเข้าสิง ร่างกายก็จะยังเป็นคนอยู่แต่ภายในเป็นมาร และเขามาเข้าใกล้เราเมื่อไร เราจะรู้สึกอ่อนเพลียไปหมด จากนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไป หากเรายังคงหลงใหลมันต่อไป เราจะยิ่งสูญเสียจิตเดิมแท้ของเราไป เหมือนกับที่ฉันเคยเห็นบางคนที่ถูกมารดึงไป พอกลับมาใหม่อีกครั้งจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แม้ว่าจะสำนึกผิด แต่ฉันดูอย่างไรก็ไม่เหมือนเดิม ถ้าจะฟื้นฟูสภาพเก่าต้องใช้เวลานานมาก คนที่ดื่มเหล้าเมาแต่ไม่รู้ตัวว่าเมา และกำลังเป็นบ้าอยู่หรือเหมือนคนที่เป็นโรคจิตและไม่รู้ตนว่าเป็นโรคจิต
      บางครั้งคนธรรมดาทั่วไปหากไม่ทันระวังหรือเกิดความคิดที่มืดเป็นเวลานาน เมื่อนั้นมารจะหลอกใช้เราโดยการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเรา ทำให้เราเป็นคนครึ่งหนึ่งเป็นมารครึ่งหนึ่ง ทำให้การกระทำของเราแปลกๆ ไป ความคิดเปลี่ยนแปลงไป จากนั้นจะทำในสิ่งที่ไม่เหมือนเดิมอีก น่ากลัวมาก! ฉะนั้นเราควรรักษากาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ตลอดเวลา อย่าคิดไม่ดีและมีความคิดเอียงไปในทางมืด และไม่นานต่อมาจะวุ่นวายมากเพราะเรามีสิทธิเสรีภาพของตนเอง อาจารย์ไม่สามารถห้ามความคิดของเราได้ทุกครั้ง อยากจะคิดอะไรนั้นเป็นสิทธิ์ของเรา ฉะนั้นจึงควรดูแลตนเองให้ดี เวลาที่เธอยอมให้อาจารย์คุ้มครอง อาจารย์จึงจะคุ้มครองเธอได้ หากเธอไม่ยอม อาจารย์จะก้าวก่ายเรื่องของเธอไม่ได้ พวกเธอไม่ขอไม่เป็นไร แต่ขอให้อย่าต่อต้านก็แล้วกัน มนุษย์เรามีจิตสำนึกที่เป็นอิสระ ถ้าหากต่อต้านแล้วอาจารย์ พระโพธิ์สัตว์จะไม่สามารถช่วยเราเลย กฎของจักรวาลเป็นเช่นนี้ ฉะนั้นโลกจึงวุ่นวายยุ่งยากแบบนี้ ถ้าหากพระโพธิสัตว์สามารถเข้าไปในสมองของเราทั้งหมดได้ นั่นก็หมายความว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก แต่จะไม่มีการเล่นละคร ไม่มีความทุกข์ความสุข ไม่มีอันดับชั้นที่แตกต่างกัน ทุกสิ่งทุกอย่างถูกนำขึ้นไปบนแดนสุขาวดีกันหมด
      ดังนั้นต้องเข้าใจเหตุผลข้อนี้ บำพ็ญ.....ต้องบำพ็ญด้วยตนเอง จุดไฟต้องจุดด้วยตนเอง เดินทางต้องเดินด้วยตนเอง แน่นอนว่าเวลาเราป่วยเดินไม่ได้ อาจารย์จะช่วยหามช่วยอุ้มเราไป แต่หากเราต่อต้านและอยากจะเดินไปในทิศทางที่สวนทางกัน อาจารย์ก็ต้องเดินตามหลังเรา แม้รู้ว่ายิ่งเดินยิ่งห่างไกล แต่ก็ต้องติดตามเรา ทิ้งเราไม่ได้และจะก้าวก่ายเรื่องเราก็ไม่ได้
      จงระวังให้ดี! ปีศาจมีเยอะมาก ไม่ใช่เดินทางไปแสวงบุญที่ชมพูทวีปเท่านั้นที่มีปีศาจ ทุกวันเราอยู่ที่นี่ก็ต้องไปแสวงบุญและเส้นทางที่เราเดินอยู่นั้นไกลยิ่งกว่าไปอินเดียอีก เราเดินทางด้วยความเหนื่อยยาก และทุกคนล้วนมีเวลาที่จะหกล้ม แต่ต้องจำไว้ว่าเราจะต้องกลับมาให้ได้ เวลาที่เราล้มลง จงอย่าไปต่อต้านคนที่พยายามจะดึงเราขึ้นมา เช่นนี้แล้วเราจะไม่ค่อยมีอันตรายแม้ว่าเวลานั้นเราจะหกล้ม แต่เราไม่ควรหยุดอยู่ตอนนั้น และไม่ควรทำให้ตนเองตกต่ำลงไปเรื่อยๆ โดยคิดว่าตนเองดี...

66-8.jpgBe Veg, Go Green 2 Save The Planet				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน