ปัญญาของหญิงชราขอทาน...

คีตากะ

677301phvn1cg1f4.gifปราศรัยโดยท่าน Suma Ching Hai
ศูนย์ออสติน, เท็กซัส, สหรัฐอเมริกา
๒๗ สิงหาคม ๑๙๙๔ 
(เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)

      คนส่วนมากที่รู้มักจะไม่รู้ และคนที่พูดก็มักจะไม่รู้ แน่ละที่มหาอาจารย์อย่างเช่น พระพุทธเจ้าและพระเยซู ท่านออกไปสั่งสอนผู้คน แต่ว่าก็ไม่เหมือนกับแบบนี้ พวกท่านต้องทำงานอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นพวกท่านเองก็ไม่ได้อยากจะทำหรอก พวกเธอรู้ใช่ไหมว่าฉันหมายความว่าอย่างไร? ภารกิจของพวกท่านเป็นอย่างนั้น ถึงแม้ว่าท่านจะทุกข์ยาก ไม่ต้องการมัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านชอบออกไปหาโอกาสที่จะโต้วาทีกับผู้คนอยู่เสมอ นั่นมันต่างกัน พวกเธอเข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม? ที่ว่าพวกท่านจะไม่ชอบและจะวิ่งหนีไปจากโอกาสแบบนี้ ท่านเพียงแต่ต้องทำงานเพื่อคอยสอนพวกลูกศิษย์ที่เข้ามาหาท่าน แต่ท่านจะไม่ออกไปโต้คารมกับคนอื่นเพื่อจะอวดหรือแสดงความรู้ของท่าน มันต่างกัน
    ทีนี้ก็มี ทิโลบา (ทิโลบา คืออาจารย์ทวดของอาจารย์ของมิลาเรอปาซึ่งเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของธิเบต) คนนี้ผู้ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ชอบเดินทางไปทั่วอินเดีย เพื่ออวดภูมิความรู้เกี่ยวกับหนังสือตำรับตำราต่างๆ ของเขา และทุกๆ แห่งที่เขาไป เขาก็เป็นคนชนะเสมอ ไม่เคยมีใครเอาชนะเขาได้เลย เพราะว่าความรู้ของเขาเกี่ยวกับตำราต่างๆ นั้นมีมากมายจริงๆ เอ้อ, ในประเทศต่างๆ หลายประเทศก็มีคนแบบนี้อยู่เหมือนกัน ไม่ใช่แต่เพียงทิโลบาคนเดียวหรอก
    วันหนึ่ง, เขากำลังอ่านหนังสือตำราเล่มหนึ่งที่มีชื่อเสียงและมีค่าที่สุดในเวลานั้นอยู่ในบ้านของเขา ก็มีขอทานคนหนึ่ง เป็นขอทานหญิงชราที่ดูสกปรก และผอมแห้งมาก เป็นพวกขาดอาหารอย่างมาก เดินผ่านมาแล้วก็พูดกับเขาทำนองว่า “คุณอ่านหนังสืออย่างลุ่มหลงออกอย่างนั้น แต่คุณเคยเข้าใจที่คุณอ่านสักนิดหนึ่งไหมล่ะ?” (เสียงหัวเราะ) โอ๋? ทิโลบาก็สะดุ้งรู้สึกตกใจมาก เธอรู้ใช่ไหม? ขอทานแก่ๆ น่าเกลียดขนาดนั้น กล้าดียังไงถึงมาพูดอย่างนี้ใส่หน้าบัณฑิตอย่างฉัน? ศาสตรจารย์ที่รอบรู้อย่างฉันนี้? ทิโลบาจึงคล้ายกับตกใจและก็ยังไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไรดี และแล้วขอทานหญิงชราคนนั้นก็ถ่มน้ำลายใส่หนังสือของเขาแล้วก็วิ่งหนีไป
    ทิโลบาก็โมโหโกรธามาก เพราะว่าเธอกล้ามาถ่มน้ำลายรดตำราอันศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ เขาจึงออกวิ่งไล่ตามเธอไป แต่พอเขาวิ่งตามมาถึงเธอ เธอก็พึมพำอะไรในคอเธอแค่นั้นเอง ทิโลบาก็รู้สึกใจเย็นสงบลงทันทีและก็ไม่รู้สึกโกรธอีกต่อไป แล้วเขาก็หยุดอยู่ตรงนั้น แล้วก็เดินกลับบ้านและก็เริ่มต้นคิด อาจจะเป็นได้ว่าเขารู้สึกว่ามีอะไรผิดอยู่ รู้สึกว่าอาจจะมีอะไรที่ไม่ถูกต้องในวิธีที่เขากำลังศึกษาเล่าเรียนจากหนังสือต่างๆ เขาจึงนั่งลงครุ่นคิดอย่างหนักและก็ครุ่นคิดมากว่า ทำไมหญิงชราขอทานคนหนึ่งจึงกล้าถ่มน้ำลายรดตำราศักดิ์สิทธิ์ที่คนทั้งอินเดียเคารพนับถือกันมาเป็นพันๆ ปีแล้ว
    ผู้คนยังมากราบไหว้บูชาตำรานี้ด้วยซ้ำ และก็ถวายเงินแก่ตำราเล่มนี้ พวกเขาก็ยังทำกันอยู่ในปัจจุบันนี้ ในบางประเทศรวมทั้งประเทศอินเดียด้วย ฉันรู้และก็เคยเห็นมาแล้วด้วยว่า พวกเขาพากันมาก้มกราบ ถวายเงินและดอกไม้แก่ตำราเล่มนี้ และก็เชื่อว่าตำรานี้แหละที่เป็นความรู้และปัญญาทั้งหมดทุกอย่าง แต่ตำราก็คือตำรา ตัวเธอก็คือตัวเธอ เธอจะทำแค่ก้มกราบตำราแล้วก็ได้ความรู้มาจากมันได้อย่างไร, หือ? พวกเธอเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นได้หรือ? แต่ก็มีหลายคนเชื่อแบบนั้น ก็ช่างเขาเถอะ เป็นเรื่องของเขา
    เพราะฉะนั้น ทิโลบาจึงครุ่นคิดไตร่ตรองอย่างหนัก เขายังรู้สึกประหลาดใจอีกด้วยว่า ทำไมหญิงชราที่ผอมแห้งแรงน้อยออกอย่างนั้น เพียงแต่พึมพำอะไรออกมาประโยคหรือสองประโยค ก็ทำให้ความโกรธของเขาที่โมโหเป็นฟืนเป็นไฟสงบลงได้ทันทีเหมือนกับมีน้ำมาดับไฟนั้น ดังนั้นหลังจากคิดไปคิดมาอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่งเขาก็ลาออกจากงานของเขา เลิกทำงานเดิมของเขาและก็ไม่โต้คารมกับใครอีกเลย แล้วก็ออกเดินทางไปทั่วเพื่อค้นหาหญิงชราคนนั้น, ขอทานคนนั้น, พยายามจะค้นหาเพื่อที่จะรู้ให้ได้ว่า มันเป็นอะไรกันแน่ที่เขาไม่เข้าใจนั้น
    แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้พบหญิงชราคนนั้นที่ในป่า เธออยู่คนเดียว แล้วเขาก็พยายามจะโต้คารมกับเธออีก เขาใช้ความรู้ความสามารถในการพูดอันเก่งกาจของเขาเพื่อจะเอาชนะเธอในการโต้คารมกันในป่านั้น แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างมากมายเพียงใด เธอก็ชนะเสมอ ขอทานที่แก่ชรา น่าเกลียด ยากจน ผอมแห้งแรงน้อยนั้นก็ยังชนะอยู่เสมอ (อาจารย์หัวเราะ) ดังนั้น ในที่สุดเธอก็บอกเขาว่า “สิ่งที่ฉันรู้ ปัญญาที่ฉันมี ที่ฉันเข้าใจนั้นไม่ได้อยู่ในตำราทั้งหลายเหล่านั้น คุณไม่มีทางหามันพบหรอก เพราะฉะนั้นคุณจึงไม่มีทางจะเถียงสู้ฉันได้”
    ดังนั้นในที่สุดเขาก็ยอมก้มกราบและยอมรับเธอเป็นอาจารย์ และก็ขอร้องให้เธอสอนเขา เธอก็ตกลง ดังนั้นสิ่งที่เธอบอกเขาท้ายที่สุดก็คือว่าสิ่งใดก็ตามที่คุณอยากจะรู้นั้นไม่ได้อยู่ในหนังสือต่างๆ หรอก และก็ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ด้วย เพราะฉะนั้นคุณต้องไปหาชาวสวรรค์ให้พบเพื่อที่จะไปเรียนกับพวกเขา เพราะฉะนั้นวิธีนั้นก็คือการประทับจิต เราขึ้นไปทางภายในของเรา แล้วเราจึงจะได้พบกับชาวสวรรค์นั้น เป็นอย่างนั้นนั่นแหละ แล้วเราก็เรียนกับพวกเขา แม้ว่าฉันจะสอนพวกเธอแล้ว แม้ว่าอาจารย์ใดๆ ก็ตามที่สอนพวกเธอมันก็เป็นเพียงแค่คำพูดเท่านั้น และอยู่กับเธอด้วยร่างกายเท่านั้น แต่ถ้าเธอยังอยากจะเรียนรู้ให้ดีกว่านี้ เธอก็ต้องไปเรียนรู้ข้างใน ในระดับชั้นของความมีจิตสำนึกที่สูงกว่านี้ และเรียนกับอาจารย์ภายใน, อาจารย์ที่เป็นพระเจ้าทั้งมวล, ไม่ใช่อาจารย์ที่เป็นกายเนื้อนี้ อาจารย์ที่เป็นกายเนื้อเป็นเพียงบันไดแค่นั้นเอง เป็นบันไดที่พาพวกเธอขึ้นไปถึงระดับชั้นที่สูงขึ้นของจิตสำนึก แล้วเธอก็เรียนกับอาจารย์ที่สูงกว่าที่นั่น อาจจะกับอาจารย์ท่านเดิม หรืออาจารย์ท่านอื่น แต่ว่าเรียนในระดับของจิตสำนึกที่สูงขึ้น เข้าใจไหม?
    เพราะฉะนั้นก็เหมือนกับที่หญิงชรานั้นบอกทิโลบาไป ฉันเข้าใจมันดี เพราะว่าเราอยู่ในวิถีเดียวกัน ถ้าเราไม่ได้กำลังศึกษาปัญญาภายในนี้อยู่ เราจะไม่เข้าใจหรอกว่า หญิงชราคนนั้นหมายความว่าอย่างไร ที่ให้ขึ้นไปยังดินแดนของชาวสวรรค์และไปเรียนกับพวกชาวสวรรค์นั้น หลังจากนั้น ทิโลบาก็สละทุกสิ่งทุกอย่าง และพยายามอย่างหนักที่จะเข้าไปยังแดนสวรรค์เพื่อพบกับชาวสวรรค์และก็เรียนกับเขา และหนทางที่ไปหาชาวสวรรค์นั้นก็เต็มไปด้วยเล่ห์กลที่ลวงล่อ และเต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่ว่าเขาก็ทำได้สำเร็จ
    คนนี้คือ ทิโลบา แม้จะเป็นผู้ที่มีความรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็ต้องไปก้มกราบหญิงชราขอทานผู้ชรา น่าเกลียดหิวโหยเพื่อจะได้ปัญญา เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรที่จะต้องถ่อมตัวมากเกินไปสำหรับเรา ที่จะไปก้มคารวะผู้ใดที่มีปัญญา  ที่สามารถมอบวิถีทางให้แก่เราได้จริงๆ และบอกวิธีที่จะได้หลุดพ้น
    เพราะฉะนั้นอาจารย์ส่วนมากในสมัยโบราณจึงยากจนกันมาก พวกเธอจำบางเรื่องที่ฉันเคยเล่าให้ฟังได้ไหม? พระเยซูก็เป็นช่างไม้ ท่านไม่เคยร่ำรวยเลย และพระพุทธเจ้าก็มีทรัพย์สมบัติมากมาย แต่ว่าท่านสละมันไปหมด (อาจารย์หัวเราะ) ดังนั้นท่านก็ไม่มีอะไรเช่นกัน แล้วท่านก็เดินทางไปทั่วอินเดียและบิณฑบาตขออาหารไปตลอด เพราะฉะนั้นท่านก็เหมือนกับกลายเป็นขอทานเหมือนกัน ดังนั้นมหาอาจารย์ส่วนมากจึงไม่มีทรัพย์สมบัติอะไร แม้หากว่าพวกเขาอยากจะมีทรัพย์สมบัติ ก็ไม่เป็นไรเช่นกัน
    อาจารย์ซิกข์ท่านหนึ่ง เป็นอาจารย์ซิกข์คนที่ ๑๐ มีชื่อเสียงมาก เขายังคงมีทรัพย์สมบัติอยู่ ดูร่ำรวยมาก เขาสวมเพชรนิลจินดามากมายอย่างกับเจ้าชายองค์หนึ่งทีเดียว แล้วเขาก็ไม่เคยกระดากเรื่องนี้เลย เขามองดูเหมือนกับเจ้าชายองค์หนึ่ง แต่งตัวดีมากและก็ใส่เครื่องเพชรนิลจินดามากมายเสมอ แต่อาจารย์ซิกข์คนอื่นๆ ก็ยังเดินทางขอทานอาหารไปทั่วประเทศเช่นกัน เพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นที่จะมาพูดว่า คนที่เป็นอาจารย์ควรจะเป็นอย่างนี้อย่างนั้น หรืออย่างอื่น ไม่มีปัญหาหรอก
    พวกเธอเห็นท่านกวนอิมโพธิสัตว์ไหม ท่านมีเครื่องประดับประดาเยอะแยะเลย และผมของท่านก็ยาวสลวยมาก ท่านสวมเสื้อผ้าที่สวยงาม และพวกชาวสวรรค์ก็งดงามเช่นกัน เครื่องประดับต่างๆ ของพวกเขามีติดตัวพวกเขาอยู่เป็นธรรมชาติตามผลบุญกุศลของพวกเขา เพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นที่จะมาพูดว่า คนที่เป็นอาจารย์ต้องยากจนเสมอ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นอย่างนั้นเสมอไปหรอก แต่ว่าผู้ที่เป็นอาจารย์ส่วนมากจะเลือกที่จะมีชีวิตที่เรียบง่าย เนื่องจากพวกเขามีการตระหนักรู้อยู่ภายใน แต่ผู้เป็นอาจารย์จะประพฤติปฏิบัติสอดคล้องตามสถานการณ์นั้นเสมอ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า มันจะต้องเป็นแบบนั้นเสมอไป เพราะว่าถ้าผู้เป็นอาจารย์ยึดติดอยู่กับความยากจนมาก หรือยึดติดกับชีวิตหรือเสื้อผ้าที่เรียบง่ายแต่เพียงอย่างเดียว นั่นก็เป็นการยึดติดแบบหนึ่งเช่นกัน พวกเธอเข้าใจที่ฉันพูดไหม? ยังยึดอยู่กับสิ่งหนึ่งหรือสิ่งที่สุดโต่งที่สุดอย่างหนึ่งเสมอ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ดีเหมือนกัน ผู้เป็นอาจารย์ต้องปล่อยวางไม่ยึดติดอยู่ภายใน แต่สำหรับภายนอกนั้นมันไม่สำคัญหรอก มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และพื้นฐานของท่าน หรืออะไรก็ตามที่ท่านต้องทำเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย...

Be Veg, Go Green 2 Save The Planet				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน