หญิงชราผู้ตระหนี่ถี่เหนียว.....
คีตากะ
โดย อนุตราจารย์ชิงไห่
ศูนย์ซีหู ฟอร์โมซา ๕ มกราคม ๑๙๙๕
(เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)
ที่ชายเขาแห่งหนึ่งใรประเทศอินเดีย, มีหญิงชราคนหนึ่งอาศัยอยู่ หญิงคนนี้เป็นที่รักสันโดษ คนส่วนมากที่รักสันโดษ หมายความว่า พวกเขาต้องการจะเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พวกเขาต้องการอยู่ตามลำพังคนเดียวเพื่อจะได้คิดถึงพระเจ้าได้, นั่งสมาธิถึงพระเจ้าได้, จำพระเจ้าได้ เห็นพระเจ้าได้, ได้ยินพระเจ้า และสามารถคุยกับพระเจ้าได้ ฯลฯ นั่นคือการสันโดษที่แท้จริง
แต่หญิงคนนี้ไม่ใช่อย่างนั้น, เธอเป็นคนที่แย่ที่สุดในกระบวนการคนขี้เหนียวในประเทศนั้น หมายความว่าเธอขี้เหนียวมาก เธออยู่คนเดียวอย่างสันโดษ เพียงเพราะว่าเธอไม่ชอบแบ่งปันสิ่งของทรัพย์สมบัติของเธอหรืออาหารของเธอให้กับคนอื่น การกุศลเป็นอย่างไรเธอไม่รู้จัก เธอไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับการกุศล เธอไม่เคยแบ่งแม้แต่ข้าวเม็ดเดียวเพื่อไปให้ประชาชนชาวกัมพูชา (มีเสียงหัวเราะ) ตลอดชั่วชีวิตเธอที่ผ่านมา, เธอไม่เคยให้อะไรเลยแม้แต่ครั้งเดียวและแม้กระทั่งผ้าถูพื้น พอมันขาดวิ่นเธอก็จะซ่อมแซมมันเก็บไว้เผื่อจะใช้อีกและไม่เคยให้ใครไปเลย
ทีนี้ก็มีพระเจ้าหรือเทพเจ้าองค์หนึ่งที่มีชื่อว่าพระวิษณุ, พวกเธอรู้จักวิษณุนะ, พระเจ้าของโลกที่สอง พระองค์คอยเฝ้าดูชีวิตและการกระทำของหญิงชราผู้มีชื่อเสียงคนนี้ด้วยความสนใจ พบว่าเธอกำลังจะต้องตายในไม่ช้า, หลังจากปีใหม่ (มีเสียงหัวเราะ) หลังจากที่เธอกินหม่านโถวก้อนแรกเข้าไป เธออาจจะสำลักติดคอตายก็ได้ ที่จริงแล้วมีคนแก่ชาวญี่ปุ่นหลายคนกินหม่านโถวแล้วติดคอ ตอนระหว่างช่วงเทศกาลปีใหม่ เช่นกัน เพราะฉะนั้นต้องให้แน่ใจว่าพวกเธอจะไม่กินหม่านโถวมากเกินไป พวกขนมเข่งน่ะรู้ไหม? ฉันก็ไม่รู้ว่าพวกเขาสำลักขนมพวกนี้ได้อย่างไร แต่ก็มีคนเป็นอย่างนี้อยู่ บางทีหญิงคนนี้อาจจะกินขนมเข่งตอนปีใหม่ แล้วสำลักติดคอจะต้องตายไปในไม่ช้า
และพระวิษณุก็เห็นว่าเธอเหลือเวลาอีกเพียง ๓ วันเท่านั้นสำหรับชีวิตของธอบนโลกนี้ (ดีจังเลย! คนอื่นจะได้มาร่วมกันใช้ทรัพย์สมบัติบางอย่างของเธอได้หลังจากที่เธอเสียชีวิตไปแล้ว) เทพเจ้าองค์นี้จึงเรียกมหาราชาภูษานทีมาหาและบอกเขาว่า “ภูษานทีที่รักของฉัน เธอจงไปฉกฉวยอะไรบางอย่างมาจากเธอสักหน่อยในวันนี้นะ เพราะว่าพรุ่งนี้เธอจะต้องตายแล้ว เวลาเธอตายไป, เธอจะได้มีบุญในบัญชีของเธอบ้างถ้าหากว่าเจ้าไปขโมยอะไรของเธอมาสักอย่าง อย่างน้อยที่สุดจะเป็นช็อกโกแล็ต หรืออะไรก็ได้ (มีเสียงหัวเราะ) หรืออาจจะเป็นข้าวโพดคั่วก็ได้ (มีเสียงหัวเราะ) ภูษานทีก็พยักหน้าโอเค, เป็นภาษาสมัยใหม่, โอเค
แล้วเขาก็แปลงร่างเป็นกาตัวหนึ่งเกาะอยู่บนต้นไม้ใกล้บ้านของคชานี, คชานีเป็นชื่อของหญิงชราตนนั้น เป็นเวลาที่เธอกำลังล้างถั่วเขียวประมาณสักหนึ่งกำมือ แช่น้ำเอาไว้สำหรับทำอาหาร ถึงตอนนี้ภูษานทีก็ตัดสินใจที่จะไปจิกขโมยมันมาให้เต็มปาก จึงกระโดดโผบินไปใกล้หม้อนั้นและก็จิกถั่วเขียวมาเต็มปากด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ “ชิ้ว! “ (มีเสียงหัวเราะ) แต่ว่าหญิงชราที่ว่องไวคนนี้ก็คว้าเขาเอาไว้ด้วยความเร็วซึ่งไวยิ่งกว่าเสียอีก คว้าจับคอของเขาไว้อย่างนี้แล้วก็บิด อี๋! (มีเสียงหัวเราะ) แล้วก็ให้คอมันบิดอยู่อย่างนั้น เพื่อเม็ดถั่วเขียวจะได้ไม่ลื่นเล็ดลอดลงไปในท้องของเขา (มีเสียงผู้ฟังที่สงสารร้อง “โอ๋!...) พระเจ้าช่วย! ในขณะเดียวกัน, อีกมือของเธอก็จับปากของนกนั่นให้อ้าออกแล้วก็บีบเอาเม็ดถั่วเขียวออกมาจากคอหอยของเจ้ากาที่กำลังดิ้นรนจนกระทั่งเม็ดสุดท้าย โอ!
แบบนี้เธอสมควรจะได้รับรางวัลจากพวกเราจริงๆ (มีเสียงหัวเราะ), หญิงที่ขี้เหนียวที่สุดในประวัติศาสตร์ ฉันก็ไม่รู้ว่าจะมีเรื่องแบบนี้จริงๆ หรือไม่, คงต้องมี ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันเป็นไปได้นะฮึ? คนบางคนก็ขี้เหนียวและก็โง่เง่า, โหดร้าย, เลือดเย็นมาก ภูษานทีต่อสู้ดิ้นรนเพื่อชีวิตของเขา ขยอกดังอ๊อก, อ๊อก, อ๊อก (มีเสียงหัวเราะ) จนในที่สุดเขาก็ถูกปล่อยเป็นอิสระหลังจากที่เธอคิดว่าเม็ดถั่วเขียวทุกเม็ดถูกเขี่ยออกมาหมดแล้ว
เขาก็บินกลับไปหาพระวิษณุ และก็หล่นลงมาแทบเท้า, เกือบจะตายอยู่แล้ว พระวิษณุก็ถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากที่เขาไปที่นั่นมาแล้ว ภูษานทีก็เล่ารายละเอียดทั้งหมด, เหนื่อยหอบแฮ่กๆ และพูดออกมาว่า “โอพระองค์, ฉันถูกบีบคอเกือบตายแล้ว ฉันปฏิบัติภาระกิจของฉันไม่สำเร็จ, ฉันเสียใจมาก แต่ว่าฉันไม่สามารถจะเอาอาหารมาจากหญิงชราที่ร้ายกาจคนนั้นได้สักเม็ดเดียว” พระวิษณุก็พูดว่า “โอ, ภูษานที, อย่าพูดอย่างนั้น มานี่ซิ, ให้ฉันตรวจดูในปากของเจ้าหน่อย (มีเสียงหัวเราะ) อ้าปากซิ, ให้ฉันดูหน่อย”
ภูษานทีจึงอ้าปาก และพระวิษณุก็ใช้ตาปัญญาของพระองค์พร้อมด้วยแว่นขยายส่องดูในคอหอยของเขาและก็พบว่า “อา, มีอะไรอยู่ในนั้นน่ะ” (มีเสียงหัวเราะ) มันเป็นอะไรกันนะ, ให้ฉันดูหน่อยว่ามันคืออะไร, ดูหน่อยว่าอะไร, ต้องเป็นอะไรสักอย่างแน่ๆ พระองค์เห็นเศษของเปลือก, ชั้นนอก, เปลือกของเม็ดถั่วเขียวติดอยู่ที่เพดานปากของเขา (มีเสียงหัวเราะ) ขอบคุณพระเจ้า อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้เสียเวลาของเขาไปเปล่าๆ และก็ต่อสู้ดินรนโดยไม่ได้อะไรเลย และก็พูดว่า “ดูนี่ซิ, ภูษานที, มีเศษเปลือกถั่วเขียวติดอยู่ที่เพดานปากของเจ้านี่ไง ฉันพอใจแล้วล่ะ” พระวิษณุกล่าว (โอ! พระเจ้านี่พอใจอะไรได้ง่ายจัง)
ดังนั้นในตอนนี้, หญิงชราคนนั้นก็ได้บุญนิดหน่อยแล้ว โอ, พระเจ้าอวยพรด้วย, ผู้ทรงความรักความเมตตากรุณา! แล้วพระวิษณุก็กล่าวว่า “ภูษานที, เมื่อหญิงคนนี้กลับไปเกิดยังโลกนี้อีกหลังจากการตายของเธอครั้งนั้น ก็ให้เธอได้กินเปลือกของเม็ดถั่วเขียวอันนั้นที่พบติดอยู่ที่เพดานปากของเจ้านี้ ฉะนั้นหญิงชราคนนั้นก็จะกินมันไปตลอดชั่วชีวิตของเธอ” หลังจากที่พูดอย่างนั้นแล้วพระองค์ก็อันตรธานหายไป ประโยชน์ของการทำบุญทำทานและการมีธรรมะนั้นยิ่งใหญ่และน่าพิศวงมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นการทำโดยที่รู้ตัวก็ตาม ความรักและความเมตตาของพระเจ้านั้นมีล้นเหลือและไม่มีที่สิ้นสุด อย่างเช่น อานุภาพลึกลับนี้ซึ่งแม้แต่เป็นการทำบุญทำทานและการกระทำที่เป็นความกรุณาที่น้อยที่สุด บางทีเธออาจจะไม่ต้องการเอาเศษเปลือกถั่วเขียวนั่นออกมาก็ได้ เพราะเธอรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร พวกเธอก็รู้ว่ามันมีเหลือติดอยู่ไม่เยอะหรอก (มีเสียงหัวเราะ)
พระเจ้านั่นเองที่มีความรักที่ยิ่งใหญ่ได้สร้างโอกาสต่างๆ สำหรับการไถ่บาปและการยกขึ้นหาพระเจ้าให้มนุษย์ที่มีบาป ในเมื่อหญิงชราผู้ซึ่งไม่ได้เคยทำบุญกุศลอะไรเลย ยังได้รับการดลบันดาลให้ได้รับอาหารที่ทำจากเปลือกถั่วเขียว เพื่อปากเพื่อท้องเธอในชีวิตหน้า แม้ว่าเธอจะเพียงแค่ทิ้งเศษเปลือกถั่วเขียวเหลือติดอยู่นิดหน่อยเท่านั้นเอง แล้วถ้าพวกเราให้สิ่งของแก่คนอื่นๆ มากมายกว่านี้, เราจะได้รับกลับมามากมายเพียงไหน? นั่นก็คือบทสรุป, ฮึ, นั่นก็คือความหมายของเรื่องนี้...
Be Veg, Go Green 2 Save The Plane