แล้วชายหนุ่มก็หันไปถามนางอัปสรทั้งสองว่า น้องพี่ทั้งสองรู้ไหมว่า ดินแดนทั้งสามภพภูมินี้ การได้มากำเนิดนั้น ดินแดนใดที่ง่ายที่สุดและยากที่สุด?????... แม่นางอัปสรทั้งสอง พลันหันมามองหน้ากันไปๆมาๆ ด้วยเมื่อพบคำถาม ของชายหนุ่มเช่นนั้น ต่างครุ่นคิดแต่หาข้อสรุปใดๆไม่ได้เลย หากนับอายุ ของกาลเวลาแห่งมิตินั้น ตามที่ชายหนุ่มกล่าวไว้เช่นนี้ สวรรค์แม้จะมีอายุยืน ยาวนานก็ไม่เท่าชั้นพระพรหมนั้นจัดได้ว่าเป็นดินแดนที่มี อายุยาวนานมากที่สุด รองอายุยืนนานมากที่สุดคือ นรกภูมิ อายุสั้นที่สุดคือ มนุษย์ภูมิ ยิ่งคิดไปยิ่งสับสนเกิดขึ้นภายในใจจึงหาข้อสรุปไม่ได้ สุขสบายที่สุดก็ดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ โดยเฉพาะดินแดนแห่งดาวดึงส์ ลำบากที่สุดก็ดินแดน นรกภูมิ รองลงมาก็มนุษย์ภูมิ รองความสุขสบายก็ชั้นจาตุม ส่วนชั้นดุสิตหรือแม้จะสุขสบายด้วยบังเกิดตามใจนึกก็ตามแต่ไม่มีสิ่งสนุกสนาน พรหมหรือก็มีแต่ความชิงดีชิงเด่นกันและกัน ต้องการสิ่งใดก็ต้องอำนาจแห่งฌาน สมาบัติเนรมิตขึ้นมาเอง ยิ่งคิดไปก็ยิ่งสับสนต่างไม่รู้จะตัดสินใจตอบชายหนุ่มอย่างไรดี แม่นางอ้อยวิลาวัลย์อัปสร จึงเอ่ยถามชายหนุ่มทันทีว่า อันชั้นพรหมหรือก็อายุยืนนานที่สุด การใช้สอยก็ล้วนแล้วแต่เนรมิตทั้งสิ้น ชั้นสรวงสวรรค์นับว่าสบายที่สุดอายุหรือก็นานรองลงมาได้แก่ชั้นจาตุรมหาราช มนุษย์ภูมิหรือก็มีแต่ความลำบากสบายปะปนกันอายุหรือก็สั้นที่สุด นรกภูมิหรือก็ลำบากแสนสาหัสอายุหรือก็ยืนยาวเกือบจะเท่าชั้นพรหม เหตุดังนี้ทำให้น้องและพี่นางคิดไม่ออกจริงๆจ้า เห็นทีต้องอาศัยพี่ซึ่งผ่าน เข้าออกมาทุกๆชั้นแล้ว ช่วยอรรถาธิบายให้ด้วย เพื่อจะได้ประดับความรู้ไว้จ้า ส่วนกาลเวลาบนสรวงสวรรค์น้องและพี่เขาก็พอจะล่วงรู้ได้ คิดไม่ออกจึงไม่ สามารถตอบคำถามพี่ได้จ้า ชายหนุ่มหัวร่อเบาๆ พลางเอ่ยขึ้นว่า ตามที่ได้ไปสนทนาธรรมกับพรหมเทพมาถึงได้รู้เหตุดังกล่าวจ้า แม่น้องนางทั้งสอง การเกิดง่ายที่สุดก็คือ นรกภูมิจ้า ด้วยต้องไปใช้หนี้เวรกรรม ที่ตนเองก่อไว้จะมากหรือน้อยด้วยกรรมเป็นผู้ปรุงแต่งทั้งสิ้น อันชั้นสรวงสวรรค์ นั้นก็เกิดง่าย เพียงก่อนจะสิ้นลมหายใยมีจิตใจที่แน่วแน่นึกถึงแต่ความดีที่สร้างไว้ ไม่สร้างเวรกรรมชั่วให้มากกว่ากรรมดี กรรมชั่วก็จะไม่บังเกิดในนิมิตก่อนตายลง อาศัยบุญแห่งทานที่กระทำไว้เท่านั้นก็ได้ไปเกิดในชั้นสรวงสวรรค์แล้ว ตั้งแต่ชั้นอทิสมานกายไปจนถึงชั้นสูงต่างๆ ด้วยในขณะที่ตายตามอายุขัยนั้น จะเป็นในรูปร่างของ โอปาติกกะซึ่งมีรูปร่างสวยงาม โปร่งใส มีเครื่องทิพย์เกิดขึ้นเองรองรับ จะมากน้อยก็ล้วนแล้วแต่ผลแห่งกรรมนั้นๆ แล้วค่อยเกิดดับๆๆ ไปจนสิ้นสุดแห่งกรรมดีที่สร้างไว้ หากไม่ถึงวาระอายุขัยก็จะอยู่ในสภาพของสัมภเวสีที่มีรูปร่างปกติคล้ายๆมนุษย์แต่ กรรมจะปรุงแต่งให้บังเกิด บ้างรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว บางก็สวย บ้างก็ขี้เหร่ตาม สภาพของการปรุงแต่งแห่งกรรมที่สร้างไว้ หากครบอายุขัยจะเกิดดับเกิดเป็น โอปาติกกะ อีกครั้งหนึ่ง แต่ทั้งหมดต้องไปรับการพิจารณาโทษ จากท่านพระยายมราชก่อนไม่ว่ามนุษย์ทุกรูปนามที่ทิ้งร่างขันธ์ห้าไปแล้ว ครั้นเสวยกรรมดีถึงจะมาเป็นโอปาติกกะได้ ส่วนที่ได้สร้างกรรมชั่วก็จะดับ จากร่างโอปาติกกะ แล้วค่อยไปเสวยผลแห่งกรรมนั้นๆ นี่พี่กล่าวเริ่มต้นของ การจะไปสู่ภพภูมิต่างไว้ เผื่อน้องจะสงสัยจ้า เมื่อผลแห่งกรรมทั้งหลายที่กระทำหากกรรมดีมากกว่ากรรมชั่วก็จะต้องไปเสวยผลแห่ง กรรมนั้นตามแต่ผลแห่งกรรม ที่ว่านรกภูมิมีอายุยืนยาวมากรองจากชั้นสรวงสวรรค์ที่มีอายุ ยืนยาวมากกว่าเป็นมนุษย์ ด้วยเหตุแห่งกรรมชั่วเองเป็นผู้ปรุงแต่งขึ้น ส่วนชั้นสรวงสวรรค์นั้นเกิดง่ายด้วยผลบุญแห่งกรรมดีที่สร้างไว้มากน้อยก็เรียงกันไปตาม ผลแห่งการปรุงแต่ง ตั้งแต่อทิสมานกายไปจนถึงชั้นยามาในชั้นสรวงสวรรค์ทั้งห้าชั้นนี้ ก็แตกต่างกันด้วย คือพวกมีวิมานเป็นของตัวเองที่ล่องลอยไปในอากาศ เรียกว่าพวกอากาสานัญจตนะหรือพี่อาจจะเรียกไม่ถูกก็ได้แต่ทว่ามีวิมานล่องลอยไปในอากาศ แห่งชั้นสรวงสวรรค์ มีบริวารเป็นของเทพยดาเทพอัปสรนั้นๆ เช่นน้องพี่นั่นแหละ คืออีกจำพวกหนึ่งไปผุดขึ้นในที่ต่างๆกันไม่เหมือนกันตามแต่กรรมดีที่ทำไว้ บ้างก็ผุดที่ตักของเทพอันเป็นเจ้าปกครองสรวงสวรรค์แห่งวิมานนั้นๆ ก็จะเป็นบุตรีบุตรชาย หากไปผุดที่แท่นบรรทมก็จะข้าบาทบริจา คอยสนองรับใช้ในด้านกามารมณ์มากบ้าง น้อยบ้างแล้วแต่ผลแห่งการสร้างไว้หรืออธิษฐานจิตเอาไว้ หากไปผุดในบริเวณวิมานก็จะเป็นพวกรับใช้ของเทพยาดาฤทธิ์เดชต่างๆกันไป หากไปผุดในระหว่างกลางของดินแดนวิมานใดวิมานหนึ่งนั้นเขาจะถือเอารูปร่างลักษณะ ใบหน้าเป็นสิ่งสำคัญ คือผุดแล้วหันหน้าไปทางวิมานใดก็ตกเป็นบริวารของวิมานนั้นๆ หากไม่หันหน้าไปทางวิมานใดก้มหน้าอยู่ก็ต้องตกเป็นบริวารของมหาราชที่ปกครอง ชั้นต่างๆไป นี่คือข้อแตกต่างการการผุดในดินแดนสวรรค์ การบังเกิดในสรวงสวรรค์นั้นไม่ยากเพียงรักษาศีลห้าไว้ให้ได้ ด้วยต้องมีสัจจะวาจาและ จากการอธิษฐานในทานที่กระทำนั้นๆเท่านั้นด้วย ผลแห่งการอธิษฐาน หรือการถือศีลนั้น ไม่ต้องมีมรรคผลแต่อย่างใดหรือเพียงแค่สร้างกรรมดีคือการให้ทาน สร้างวิหาร โบสถ์หรือ สิ่งต่างๆในที่สาธารณะให้เป็นที่พักอาศัยเช่นศาลาให้คนพักผ่อนอาศัยหลบร้อน หรือสระ บ่อ น้ำให้เป็นที่กินใช้ก็เป็นเหตุนั้น ผลก็จะได้ไปบังเกิดในสรวงสวรรค์ตามชั้นต่างๆ แต่เมื่อหมดผลบุญที่สร้างไว้ จะไปบังเกิดได้สองสถานคือ มนุษย์ภูมิกับสวรรค์ภูมิ ส่วนชั้นพรหมนั้นต้องเป็นผู้ทีมีฌานสมาบัติตั้งแต่ปฐมฌานไปเรื่อยๆแต่ต้องตายในขณะ ที่กำลังเจริญสมาธิเท่านั้นถึงจะไปสู่ชั้นพรหมได้ หรือจะมาอยู่ชั้นต่ำกว่าก็ได้ด้วยแรงแห่งการ อธิษฐานในขณะจะไปบังเกิดหรือดับจิตมนุษย์ จึงถือว่ายากพอสมควร อันชั้นพรหมนี้เมื่อหมดผลการเสวยบุญแล้ว มีทางเดียวที่จะไปบังเกิดได้คือ มนุษย์ภูมิ จึงถือว่าไม่ยากมากนัก ส่วนชั้นที่ยากที่สุดคือ มนุษย์ภูมิ ซึ่งเป็นดินแดนที่อายุน้อยที่สุดล้วนแล้วแต่ปะปนทั้ง ผลกรรมดีและผลกรรมชั่ว เป็นที่สร้างแห่งผลกรรมดีและผลกรรมชั่ว แล้วเป็นมิติที่เชื่อม ต่อระหว่างนรกภูมิกับสวรรค์ภูมิไว้ มีมิติรอยต่อที่น้อยนิด บุคคลใดเมื่อหมดผลกรรมดีหรือ หมดผลกรรมชั่วแล้วย่อมจะต้องมาบังเกิดในดินแดนแห่งนี้คือ มนุษย์ภูมิทั้งสิ้นไม่มีข้อยกเว้นใดๆ จึงเปรียบเสมือนเป็นดั่งทางสามแพ่ง คือ นรกภูมิ มนุษย์ภูมิ และสวรรค์ภูมิอันนี้รวมถึงพรหมโลกด้วย ทั้งหมดนี้อยู่ที่การปรุงแต่ง ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่ว ดินแดนแห่งนี้กำหนดใช้เป็นดินแดนแห่งการสร้างผลบุญกรรม ดีทั้งหลาย เพื่อจะได้จุติแล้วไปบังเกิดในภูมิทั้งสาม หากกรรมดีและกรรมชั่วเสมอกันก็ กลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้งหนึ่งเพื่อเริ่มต้นสร้างใหม่ผลแห่งกรรมต่อไป หากทำดีมากกว่ากรรมชั่วก็ไปเสวยบนดินแดนแห่งความสุข คือดินแดนสวรรค์จนถึง ชั้นพรหม แต่การสร้างกรรมนั้นใช่ว่าจะได้มาบังเกิดในมนุษย์เพื่อสืบสานต่อก็ไม่ได้ต้อง ไปเสวยกรรมหนักอีกด้วย แต่หากกรรมนั้นเบาบางก็จะได้บังเกิดในมนุษย์แต่ต้องอยู่ที่ว่า ในดินแดนสรวงสวรรค์นั้นจะหมกหมุ่นในกามารมณ์มากน้อยเท่าใด จึงได้มาเกิดในดิน แดนแห่งนี้ ยกเว้นผู้ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่ถึงเวลาจะได้ตรัสรู้ ธรรมอันวิเศษสั่งสอนเหล่ามนุษย์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวง ไม่ก่อกรรมทำชั่วไว้ หากกรรมนั้นหนักเมื่อเสวยบุญที่มีมากกว่าหมดแล้ว อาศัยกรรมนั้นปรุงแต่งก็จะเลยมนุษย์โลก อันเป็นรอยต่อมิติตรงกลางอันน้อยนิดนี้ ลงไปยังดินแดนนรกภูมิชดใช้กรรมก่อน ถึงจะมาเกิดในมนุษย์ภูมิได้ ด้วยเหตุที่อาณาเขต มนุษย์ภูมินั้นมีน้อยมากอยู่กึ่งกลางภพทั้งสองจึงต้องเลยลงไปตามผลแห่งกรรมนั่นเอง ฉนั้นดินแดนแห่งมนุษย์ภูมิจึงเป็นดินแดนที่ยากที่สุดในการมาบังเกิด มักจะเป็นทาง ซึ่งผ่านไปผ่านมาเท่านั้น ชั้นสวรรค์จุติแล้วผลกรรมชั่วมากก็จะเลยไปเสีย ส่วนนรกภูมิ เมื่อสร้างกรรมดีไว้รองจากกรรมชั่วก็ต้องไปเสวยกรรมดีก็จะเลยไปอีกเช่นเดียวกัน คนที่จะมาเกิดในดินแดนนี้ต้องพอดิบพอดีเท่านั้นจ๊ะ แม่น้องนางทั้งสอง ชายหนุ่มสาธายายให้แม่นางอัปสรฟัง อ้อๆๆอย่างนี้นี่เองเสด็จพ่อถึงมักจะกล่าวให้ฟังเสมอๆว่า จงพยายามสร้างกรรมดีไว้ ให้มากๆอย่าไปหลงใหลในสิ่งอันเป็นมายาทั้งสิ้น คงจะด้วยเหตุนี้นี่เองแหละ แม่นางรัตนาวดีอัปสรเอ่ยขึ้น พระองค์ท่านตรัสไว้ไม่ผิดหรอกแม่น้องหญิง เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้วก็คิดใคร่จะเอ่ยอีก หน่อยนะน้อง อะไรยังมีเพิ่มอีกหรือพี่ น้องทั้งสองกำลังจะคอยรับฟังอยู่ น้องรู้ไหมว่าอันการเป็นมนุษย์นี้นั้นประกอบด้วยธาตุที่สร้างพลังงานขึ้นทั้งสิ้นการจุติ ก็ดีการบังเกิดก็ดีนั้น น้องพี่รู้อยู่แล้วว่าเป็นกรรมเป็นตัวเกิดขึ้น แต่การเกิดนั้นและการดับนั้นก็มีปัจจัยเหมือนกันนะ คือว่า น้องคงทราบว่า ขันธ์ห้า อยู่แล้วว่าเป็นสิ่งที่เป็นพลังงานทั้งสิ้น แต่ทำไมพระพุทธองค์ท่านจึงมักจะตรัสกล่าวถึงการปรุงแต่งของกรรมมาก ด้วยอันใด ไม่ทราบหรอกจ้าพี่ พี่ลองอธิบายให้ฟังหน่อยซิจ๊ะ อันมนุษย์นี้ประกอบด้วยขันธ์ห้าเป็นประกายกำเนิด คือรูปนาม รูปนั้นประกอบด้วยธาตุ ต่างๆ อันมี ดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณและอากาสเป็นตัวคอยช่วยเหลือไว้ จึงเกิดเป็นรูปร่างขึ้นมา แต่การจะเกิดเป็นรูปร่างสวยงาม ขี่เหร่ ยากจนหรือร่ำรวยนั้น ก็ด้วยการปรุงแต่งผลกรรมทั้งหลายทั้งสิ้น ฉะนั้นการปรุงแต่งจึงสำคัญมากไม่ว่าจะไปบังเกิดในภพใดๆก็ตามทั้งสามภพนี้ ก็อาศัยการปรุงแต่งนี้แหละเป็นปัจจัยในการสร้างถิ่นกำเนิดของวิญญาณทั้งหลาย ส่วนนามนั้นเป็นสิ่งสมมุติที่เรียกกันมิให้ผิดตัวกันเป็นนามธรรมหารูปร่างใดไม่ แล้วก็มีถึงเวทนาคือการเสวยอารมณ์ต่างๆของมนุษย์เรา คือ รัก เกลียด โกรธ อาฆาต พยาบาทสู่การจองเวรต่อกัน และในทางตรงกันข้ามหรือการวางเฉย ไม่ยินดียินร้ายใดๆทั้งสิ้น คล้ายๆกับ อุเบกขานั่นแหละน้อง แล้วหากเป็นมนุษย์นั้นไม่มีความจำก็เปรียบประดุจดังท่อนไม้ เขาเรียกว่า สัญญา คือการจำได้ หมายรู้สิ่งต่างๆไว้ แล้วมาถึงการปรุงแต่งสิ่งต่างๆให้เป็นไปตามกรรม ที่ปรุงแต่งอารมณ์จิตที่ไปประสบพบเห็นมาไว้ เรียกว่า สังขาร ไม่ใช่สังขารทั้งหมด ของรูปร่างนั้น ที่คนเรามักเรียกหากันจ้า มีหน้าที่สำหรับปรุงแต่งกรรมต่างๆนั้น แล้วจึงจะมาถึงวิญญาณเป็นที่อาศัยของจิต เจตสิกและใจที่เราเรียกกันว่าวิญญาณ เข้ารวมตัวกันซึ่งก็เป็นธาตุพลังงานชนิดหนึ่งเหมือนกัน จิตนั้นจะมีหน้าที่เสาะแสวงหาสิ่งต่างๆแต่ไม่จำ ต้องอาศัยเจตสิกที่จะคอยเป็น สิ่งช่วยความจำของจิตไว้แล้วส่งไปที่ใจ อันใจเรานี้เปรียบเสมือน ดังคลังที่จะคอยเก็บรวบรวมสิ่งที่จิตได้เสาะแสวงหามานั่นเองหรือ ที่เราเรียกกันว่า สมอง ของมวลมนุษย์เรา ทั้งจิต เจตสิก และใจนั่นก็คือวิญญาณนั่นเอง เวลาดับไปแล้วสิ่งที่จะตามไปนั้นมี แค่สองอย่างคือ วิญญาณและสังขาร เท่านั้นจ้า สองสิ่งนี้จะแนบคู่กันไปเพื่อไปปรุง แต่งกรรมนั้นๆนั่นเอง เพื่อไปสู่ยังภพภูมิต่างๆไม่ว่าในภพภูมินั้นๆ อ้าวแล้วทำไมคนเราบางคนเห็นกล่าวไว้ว่า ทำไมระลึกชาติก่อนมาเกิดได้ล่ะพี่ หมายถึงอย่างไรจ๊ะพี่????..................... * กิ่งโศก *
19 มกราคม 2554 14:35 น. - comment id 121529
ใกล้จะครบ 100 บทแล้ว ดีค่ะ พวกเราจะได้ทราบว่า ครูอยู่สบายดี ไม่ได้หายไปไหนเนาะค่ะ
20 มกราคม 2554 07:03 น. - comment id 121534
ขอบคุณคุณกิ่ง... ขอบคุณคุณชายฯ.....
20 มกราคม 2554 08:45 น. - comment id 121536
คุณแก้วประภัสสร ผมเองหวังไว้เช่นนั้น ครับ
20 มกราคม 2554 08:47 น. - comment id 121537
คุณทางแสงดาว ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็อยากทราบตอนจบจะเป็นอย่างไร ตอนนี้มีกล่าวถึงนรกภูมิ สวรรค์ภูมิ และโลกภูิม ครูแก้วแทรกเรื่องเกี่ยว นรกสวรรคฺ์ ให้น่าอ่านครับ