อทิสมานกาย ๗๕

กิ่งโศก

แล้วชายหนุ่มก็หันไปถามนางอัปสรทั้งสองว่า
   น้องพี่ทั้งสองรู้ไหมว่า ดินแดนทั้งสามภพภูมินี้ การได้มากำเนิดนั้น
ดินแดนใดที่ง่ายที่สุดและยากที่สุด?????...
      แม่นางอัปสรทั้งสอง  พลันหันมามองหน้ากันไปๆมาๆ ด้วยเมื่อพบคำถาม
ของชายหนุ่มเช่นนั้น ต่างครุ่นคิดแต่หาข้อสรุปใดๆไม่ได้เลย    หากนับอายุ
ของกาลเวลาแห่งมิตินั้น ตามที่ชายหนุ่มกล่าวไว้เช่นนี้ สวรรค์แม้จะมีอายุยืน
ยาวนานก็ไม่เท่าชั้นพระพรหมนั้นจัดได้ว่าเป็นดินแดนที่มี
อายุยาวนานมากที่สุด รองอายุยืนนานมากที่สุดคือ นรกภูมิ อายุสั้นที่สุดคือ
มนุษย์ภูมิ  ยิ่งคิดไปยิ่งสับสนเกิดขึ้นภายในใจจึงหาข้อสรุปไม่ได้
       สุขสบายที่สุดก็ดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ โดยเฉพาะดินแดนแห่งดาวดึงส์
ลำบากที่สุดก็ดินแดน นรกภูมิ รองลงมาก็มนุษย์ภูมิ รองความสุขสบายก็ชั้นจาตุม
ส่วนชั้นดุสิตหรือแม้จะสุขสบายด้วยบังเกิดตามใจนึกก็ตามแต่ไม่มีสิ่งสนุกสนาน
พรหมหรือก็มีแต่ความชิงดีชิงเด่นกันและกัน   ต้องการสิ่งใดก็ต้องอำนาจแห่งฌาน
สมาบัติเนรมิตขึ้นมาเอง  
 
       ยิ่งคิดไปก็ยิ่งสับสนต่างไม่รู้จะตัดสินใจตอบชายหนุ่มอย่างไรดี 
 แม่นางอ้อยวิลาวัลย์อัปสร    จึงเอ่ยถามชายหนุ่มทันทีว่า
   อันชั้นพรหมหรือก็อายุยืนนานที่สุด การใช้สอยก็ล้วนแล้วแต่เนรมิตทั้งสิ้น
ชั้นสรวงสวรรค์นับว่าสบายที่สุดอายุหรือก็นานรองลงมาได้แก่ชั้นจาตุรมหาราช
มนุษย์ภูมิหรือก็มีแต่ความลำบากสบายปะปนกันอายุหรือก็สั้นที่สุด
นรกภูมิหรือก็ลำบากแสนสาหัสอายุหรือก็ยืนยาวเกือบจะเท่าชั้นพรหม
     เหตุดังนี้ทำให้น้องและพี่นางคิดไม่ออกจริงๆจ้า     เห็นทีต้องอาศัยพี่ซึ่งผ่าน
เข้าออกมาทุกๆชั้นแล้ว  ช่วยอรรถาธิบายให้ด้วย   เพื่อจะได้ประดับความรู้ไว้จ้า 
ส่วนกาลเวลาบนสรวงสวรรค์น้องและพี่เขาก็พอจะล่วงรู้ได้  คิดไม่ออกจึงไม่
สามารถตอบคำถามพี่ได้จ้า
      ชายหนุ่มหัวร่อเบาๆ  พลางเอ่ยขึ้นว่า
    ตามที่ได้ไปสนทนาธรรมกับพรหมเทพมาถึงได้รู้เหตุดังกล่าวจ้า
แม่น้องนางทั้งสอง  การเกิดง่ายที่สุดก็คือ นรกภูมิจ้า ด้วยต้องไปใช้หนี้เวรกรรม
ที่ตนเองก่อไว้จะมากหรือน้อยด้วยกรรมเป็นผู้ปรุงแต่งทั้งสิ้น  อันชั้นสรวงสวรรค์
นั้นก็เกิดง่าย เพียงก่อนจะสิ้นลมหายใยมีจิตใจที่แน่วแน่นึกถึงแต่ความดีที่สร้างไว้
ไม่สร้างเวรกรรมชั่วให้มากกว่ากรรมดี  กรรมชั่วก็จะไม่บังเกิดในนิมิตก่อนตายลง
 
       อาศัยบุญแห่งทานที่กระทำไว้เท่านั้นก็ได้ไปเกิดในชั้นสรวงสวรรค์แล้ว
ตั้งแต่ชั้นอทิสมานกายไปจนถึงชั้นสูงต่างๆ  ด้วยในขณะที่ตายตามอายุขัยนั้น
จะเป็นในรูปร่างของ โอปาติกกะซึ่งมีรูปร่างสวยงาม โปร่งใส
มีเครื่องทิพย์เกิดขึ้นเองรองรับ  จะมากน้อยก็ล้วนแล้วแต่ผลแห่งกรรมนั้นๆ 
แล้วค่อยเกิดดับๆๆ   ไปจนสิ้นสุดแห่งกรรมดีที่สร้างไว้
     หากไม่ถึงวาระอายุขัยก็จะอยู่ในสภาพของสัมภเวสีที่มีรูปร่างปกติคล้ายๆมนุษย์แต่
กรรมจะปรุงแต่งให้บังเกิด บ้างรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว บางก็สวย บ้างก็ขี้เหร่ตาม
สภาพของการปรุงแต่งแห่งกรรมที่สร้างไว้  หากครบอายุขัยจะเกิดดับเกิดเป็น โอปาติกกะ
อีกครั้งหนึ่ง แต่ทั้งหมดต้องไปรับการพิจารณาโทษ
จากท่านพระยายมราชก่อนไม่ว่ามนุษย์ทุกรูปนามที่ทิ้งร่างขันธ์ห้าไปแล้ว
ครั้นเสวยกรรมดีถึงจะมาเป็นโอปาติกกะได้  ส่วนที่ได้สร้างกรรมชั่วก็จะดับ
จากร่างโอปาติกกะ แล้วค่อยไปเสวยผลแห่งกรรมนั้นๆ  นี่พี่กล่าวเริ่มต้นของ
การจะไปสู่ภพภูมิต่างไว้  เผื่อน้องจะสงสัยจ้า
      เมื่อผลแห่งกรรมทั้งหลายที่กระทำหากกรรมดีมากกว่ากรรมชั่วก็จะต้องไปเสวยผลแห่ง
กรรมนั้นตามแต่ผลแห่งกรรม    ที่ว่านรกภูมิมีอายุยืนยาวมากรองจากชั้นสรวงสวรรค์ที่มีอายุ
ยืนยาวมากกว่าเป็นมนุษย์ ด้วยเหตุแห่งกรรมชั่วเองเป็นผู้ปรุงแต่งขึ้น
      
      ส่วนชั้นสรวงสวรรค์นั้นเกิดง่ายด้วยผลบุญแห่งกรรมดีที่สร้างไว้มากน้อยก็เรียงกันไปตาม
ผลแห่งการปรุงแต่ง   ตั้งแต่อทิสมานกายไปจนถึงชั้นยามาในชั้นสรวงสวรรค์ทั้งห้าชั้นนี้
ก็แตกต่างกันด้วย  คือพวกมีวิมานเป็นของตัวเองที่ล่องลอยไปในอากาศ
เรียกว่าพวกอากาสานัญจตนะหรือพี่อาจจะเรียกไม่ถูกก็ได้แต่ทว่ามีวิมานล่องลอยไปในอากาศ
แห่งชั้นสรวงสวรรค์   มีบริวารเป็นของเทพยดาเทพอัปสรนั้นๆ  
เช่นน้องพี่นั่นแหละ   คืออีกจำพวกหนึ่งไปผุดขึ้นในที่ต่างๆกันไม่เหมือนกันตามแต่กรรมดีที่ทำไว้
บ้างก็ผุดที่ตักของเทพอันเป็นเจ้าปกครองสรวงสวรรค์แห่งวิมานนั้นๆ ก็จะเป็นบุตรีบุตรชาย 
      หากไปผุดที่แท่นบรรทมก็จะข้าบาทบริจา   คอยสนองรับใช้ในด้านกามารมณ์มากบ้าง
น้อยบ้างแล้วแต่ผลแห่งการสร้างไว้หรืออธิษฐานจิตเอาไว้ 
     หากไปผุดในบริเวณวิมานก็จะเป็นพวกรับใช้ของเทพยาดาฤทธิ์เดชต่างๆกันไป  
      หากไปผุดในระหว่างกลางของดินแดนวิมานใดวิมานหนึ่งนั้นเขาจะถือเอารูปร่างลักษณะ
ใบหน้าเป็นสิ่งสำคัญ คือผุดแล้วหันหน้าไปทางวิมานใดก็ตกเป็นบริวารของวิมานนั้นๆ
       หากไม่หันหน้าไปทางวิมานใดก้มหน้าอยู่ก็ต้องตกเป็นบริวารของมหาราชที่ปกครอง
ชั้นต่างๆไป  นี่คือข้อแตกต่างการการผุดในดินแดนสวรรค์
       การบังเกิดในสรวงสวรรค์นั้นไม่ยากเพียงรักษาศีลห้าไว้ให้ได้  ด้วยต้องมีสัจจะวาจาและ
จากการอธิษฐานในทานที่กระทำนั้นๆเท่านั้นด้วย   ผลแห่งการอธิษฐาน หรือการถือศีลนั้น
ไม่ต้องมีมรรคผลแต่อย่างใดหรือเพียงแค่สร้างกรรมดีคือการให้ทาน สร้างวิหาร โบสถ์หรือ
สิ่งต่างๆในที่สาธารณะให้เป็นที่พักอาศัยเช่นศาลาให้คนพักผ่อนอาศัยหลบร้อน หรือสระ บ่อ
น้ำให้เป็นที่กินใช้ก็เป็นเหตุนั้น    ผลก็จะได้ไปบังเกิดในสรวงสวรรค์ตามชั้นต่างๆ
 แต่เมื่อหมดผลบุญที่สร้างไว้ จะไปบังเกิดได้สองสถานคือ มนุษย์ภูมิกับสวรรค์ภูมิ
 
      ส่วนชั้นพรหมนั้นต้องเป็นผู้ทีมีฌานสมาบัติตั้งแต่ปฐมฌานไปเรื่อยๆแต่ต้องตายในขณะ
ที่กำลังเจริญสมาธิเท่านั้นถึงจะไปสู่ชั้นพรหมได้ หรือจะมาอยู่ชั้นต่ำกว่าก็ได้ด้วยแรงแห่งการ
อธิษฐานในขณะจะไปบังเกิดหรือดับจิตมนุษย์
  จึงถือว่ายากพอสมควร อันชั้นพรหมนี้เมื่อหมดผลการเสวยบุญแล้ว
มีทางเดียวที่จะไปบังเกิดได้คือ มนุษย์ภูมิ  จึงถือว่าไม่ยากมากนัก
     ส่วนชั้นที่ยากที่สุดคือ มนุษย์ภูมิ  ซึ่งเป็นดินแดนที่อายุน้อยที่สุดล้วนแล้วแต่ปะปนทั้ง
ผลกรรมดีและผลกรรมชั่ว    เป็นที่สร้างแห่งผลกรรมดีและผลกรรมชั่ว แล้วเป็นมิติที่เชื่อม
ต่อระหว่างนรกภูมิกับสวรรค์ภูมิไว้  มีมิติรอยต่อที่น้อยนิด บุคคลใดเมื่อหมดผลกรรมดีหรือ
หมดผลกรรมชั่วแล้วย่อมจะต้องมาบังเกิดในดินแดนแห่งนี้คือ 
      มนุษย์ภูมิทั้งสิ้นไม่มีข้อยกเว้นใดๆ   จึงเปรียบเสมือนเป็นดั่งทางสามแพ่ง คือ 
นรกภูมิ มนุษย์ภูมิ และสวรรค์ภูมิอันนี้รวมถึงพรหมโลกด้วย ทั้งหมดนี้อยู่ที่การปรุงแต่ง
ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่ว  ดินแดนแห่งนี้กำหนดใช้เป็นดินแดนแห่งการสร้างผลบุญกรรม
ดีทั้งหลาย เพื่อจะได้จุติแล้วไปบังเกิดในภูมิทั้งสาม หากกรรมดีและกรรมชั่วเสมอกันก็
กลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้งหนึ่งเพื่อเริ่มต้นสร้างใหม่ผลแห่งกรรมต่อไป
      หากทำดีมากกว่ากรรมชั่วก็ไปเสวยบนดินแดนแห่งความสุข คือดินแดนสวรรค์จนถึง
ชั้นพรหม แต่การสร้างกรรมนั้นใช่ว่าจะได้มาบังเกิดในมนุษย์เพื่อสืบสานต่อก็ไม่ได้ต้อง
ไปเสวยกรรมหนักอีกด้วย แต่หากกรรมนั้นเบาบางก็จะได้บังเกิดในมนุษย์แต่ต้องอยู่ที่ว่า
ในดินแดนสรวงสวรรค์นั้นจะหมกหมุ่นในกามารมณ์มากน้อยเท่าใด จึงได้มาเกิดในดิน
แดนแห่งนี้  ยกเว้นผู้ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่ถึงเวลาจะได้ตรัสรู้
ธรรมอันวิเศษสั่งสอนเหล่ามนุษย์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวง ไม่ก่อกรรมทำชั่วไว้
 
     หากกรรมนั้นหนักเมื่อเสวยบุญที่มีมากกว่าหมดแล้ว
อาศัยกรรมนั้นปรุงแต่งก็จะเลยมนุษย์โลก  อันเป็นรอยต่อมิติตรงกลางอันน้อยนิดนี้
ลงไปยังดินแดนนรกภูมิชดใช้กรรมก่อน ถึงจะมาเกิดในมนุษย์ภูมิได้ ด้วยเหตุที่อาณาเขต
มนุษย์ภูมินั้นมีน้อยมากอยู่กึ่งกลางภพทั้งสองจึงต้องเลยลงไปตามผลแห่งกรรมนั่นเอง
     ฉนั้นดินแดนแห่งมนุษย์ภูมิจึงเป็นดินแดนที่ยากที่สุดในการมาบังเกิด มักจะเป็นทาง
ซึ่งผ่านไปผ่านมาเท่านั้น ชั้นสวรรค์จุติแล้วผลกรรมชั่วมากก็จะเลยไปเสีย ส่วนนรกภูมิ
เมื่อสร้างกรรมดีไว้รองจากกรรมชั่วก็ต้องไปเสวยกรรมดีก็จะเลยไปอีกเช่นเดียวกัน
  คนที่จะมาเกิดในดินแดนนี้ต้องพอดิบพอดีเท่านั้นจ๊ะ  แม่น้องนางทั้งสอง  
   ชายหนุ่มสาธายายให้แม่นางอัปสรฟัง
   อ้อๆๆอย่างนี้นี่เองเสด็จพ่อถึงมักจะกล่าวให้ฟังเสมอๆว่า จงพยายามสร้างกรรมดีไว้
ให้มากๆอย่าไปหลงใหลในสิ่งอันเป็นมายาทั้งสิ้น    คงจะด้วยเหตุนี้นี่เองแหละ
แม่นางรัตนาวดีอัปสรเอ่ยขึ้น
   พระองค์ท่านตรัสไว้ไม่ผิดหรอกแม่น้องหญิง เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้วก็คิดใคร่จะเอ่ยอีก
หน่อยนะน้อง
   อะไรยังมีเพิ่มอีกหรือพี่ น้องทั้งสองกำลังจะคอยรับฟังอยู่
   น้องรู้ไหมว่าอันการเป็นมนุษย์นี้นั้นประกอบด้วยธาตุที่สร้างพลังงานขึ้นทั้งสิ้นการจุติ
ก็ดีการบังเกิดก็ดีนั้น น้องพี่รู้อยู่แล้วว่าเป็นกรรมเป็นตัวเกิดขึ้น
  แต่การเกิดนั้นและการดับนั้นก็มีปัจจัยเหมือนกันนะ  คือว่า น้องคงทราบว่า ขันธ์ห้า
 อยู่แล้วว่าเป็นสิ่งที่เป็นพลังงานทั้งสิ้น 
 แต่ทำไมพระพุทธองค์ท่านจึงมักจะตรัสกล่าวถึงการปรุงแต่งของกรรมมาก ด้วยอันใด
   ไม่ทราบหรอกจ้าพี่ พี่ลองอธิบายให้ฟังหน่อยซิจ๊ะ
 
   อันมนุษย์นี้ประกอบด้วยขันธ์ห้าเป็นประกายกำเนิด คือรูปนาม รูปนั้นประกอบด้วยธาตุ
ต่างๆ อันมี ดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณและอากาสเป็นตัวคอยช่วยเหลือไว้
จึงเกิดเป็นรูปร่างขึ้นมา แต่การจะเกิดเป็นรูปร่างสวยงาม ขี่เหร่ ยากจนหรือร่ำรวยนั้น
ก็ด้วยการปรุงแต่งผลกรรมทั้งหลายทั้งสิ้น 
       ฉะนั้นการปรุงแต่งจึงสำคัญมากไม่ว่าจะไปบังเกิดในภพใดๆก็ตามทั้งสามภพนี้
ก็อาศัยการปรุงแต่งนี้แหละเป็นปัจจัยในการสร้างถิ่นกำเนิดของวิญญาณทั้งหลาย
ส่วนนามนั้นเป็นสิ่งสมมุติที่เรียกกันมิให้ผิดตัวกันเป็นนามธรรมหารูปร่างใดไม่ 
แล้วก็มีถึงเวทนาคือการเสวยอารมณ์ต่างๆของมนุษย์เรา คือ รัก เกลียด โกรธ อาฆาต
พยาบาทสู่การจองเวรต่อกัน และในทางตรงกันข้ามหรือการวางเฉย
ไม่ยินดียินร้ายใดๆทั้งสิ้น คล้ายๆกับ อุเบกขานั่นแหละน้อง
       แล้วหากเป็นมนุษย์นั้นไม่มีความจำก็เปรียบประดุจดังท่อนไม้ เขาเรียกว่า สัญญา 
คือการจำได้ หมายรู้สิ่งต่างๆไว้  แล้วมาถึงการปรุงแต่งสิ่งต่างๆให้เป็นไปตามกรรม
ที่ปรุงแต่งอารมณ์จิตที่ไปประสบพบเห็นมาไว้ เรียกว่า สังขาร ไม่ใช่สังขารทั้งหมด
ของรูปร่างนั้น  ที่คนเรามักเรียกหากันจ้า  มีหน้าที่สำหรับปรุงแต่งกรรมต่างๆนั้น
      แล้วจึงจะมาถึงวิญญาณเป็นที่อาศัยของจิต เจตสิกและใจที่เราเรียกกันว่าวิญญาณ
เข้ารวมตัวกันซึ่งก็เป็นธาตุพลังงานชนิดหนึ่งเหมือนกัน 
จิตนั้นจะมีหน้าที่เสาะแสวงหาสิ่งต่างๆแต่ไม่จำ ต้องอาศัยเจตสิกที่จะคอยเป็น
สิ่งช่วยความจำของจิตไว้แล้วส่งไปที่ใจ อันใจเรานี้เปรียบเสมือน
ดังคลังที่จะคอยเก็บรวบรวมสิ่งที่จิตได้เสาะแสวงหามานั่นเองหรือ
 ที่เราเรียกกันว่า สมอง ของมวลมนุษย์เรา
     ทั้งจิต เจตสิก และใจนั่นก็คือวิญญาณนั่นเอง เวลาดับไปแล้วสิ่งที่จะตามไปนั้นมี
แค่สองอย่างคือ วิญญาณและสังขาร เท่านั้นจ้า สองสิ่งนี้จะแนบคู่กันไปเพื่อไปปรุง
แต่งกรรมนั้นๆนั่นเอง เพื่อไปสู่ยังภพภูมิต่างๆไม่ว่าในภพภูมินั้นๆ
 
   อ้าวแล้วทำไมคนเราบางคนเห็นกล่าวไว้ว่า ทำไมระลึกชาติก่อนมาเกิดได้ล่ะพี่
หมายถึงอย่างไรจ๊ะพี่????.....................
 
                    * กิ่งโศก *				
comments powered by Disqus
  • แก้วประภัสสร

    19 มกราคม 2554 14:35 น. - comment id 121529

    ใกล้จะครบ 100 บทแล้ว
    
    ดีค่ะ พวกเราจะได้ทราบว่า ครูอยู่สบายดี
    
    ไม่ได้หายไปไหนเนาะค่ะ
    
    
    46.gif36.gif16.gif
  • ทางแสงดาว

    20 มกราคม 2554 07:03 น. - comment id 121534

    ขอบคุณคุณกิ่ง...29.gif
    
    ขอบคุณคุณชายฯ.....36.gif
  • กิ่งโศก

    20 มกราคม 2554 08:45 น. - comment id 121536

    คุณแก้วประภัสสร
    
    ผมเองหวังไว้เช่นนั้น ครับ
  • กิ่งโศก

    20 มกราคม 2554 08:47 น. - comment id 121537

    คุณทางแสงดาว
    
    ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็อยากทราบตอนจบจะเป็นอย่างไร
    
    ตอนนี้มีกล่าวถึงนรกภูมิ สวรรค์ภูมิ และโลกภูิม  ครูแก้วแทรกเรื่องเกี่ยว นรกสวรรคฺ์ ให้น่าอ่านครับ

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน