อทิสมานกาย ๗๑ ภายในห้องอาหารของเสี่ยเม้งที่ได้เปิดดำเนินกิจการบังหน้าการค้าขายของ ที่ผิดกฏหมาย ตลอดจนเครื่องอุปโภค บริโภคหลายๆร้านนั้นภายในจังหวัด ในห้องลับพิเศษที่ได้จัดทำขึ้นไว้นั้น ได้มีการสนทนาหัวร่อร่วนด้วยเสียง อันดังแต่ เสี่ยเม้งมิได้กังวลเพราะภายในห้องนี้ทั้งฝาผนังและเพดานปุด้วย ใยแก้วที่เก็บเสียงไว้ เสียงจึงไม่เล็ดรอดออกมาภายนอกเลย ได้ยินเสียงเสี่ยเม้งเอ่ยกลับบรรดาลูกน้องคนสนิท ที่ควบคุมภายในจังหวัด แบ่งออกเป็น สี่ด้านไว้หมด อันมี เจ้าเซี๊ยะ เจ้ามุ้ย เจ้าเช้ง และเจ้าสุย ต่างกิน อาหาร ซึ่งโต๊ะนั้นจัดทำแบบญี่ปุ่น คือเป็นโต๊ะเตี้ยๆสี่เหลี่ยมผืนผ้า วางด้วย เบาะสำหรับนั่ง ภายในห้องที่ประตูหน้าห้องมีชายร่างกายทะมึนน่าตาน่ากลัว ยืนคอยเฝ้ารักษาดูแล ส่วนด้านนอกก็มีชายอีกสองคนเฝ้าดูแลเหมือนกัน ทั้งหมดนี้เป็นคนคอยคุ้มครองเสี่ยเม้งทำหน้าที่อยู่ ดังนั้นพวกมันทั้งหมดปล่อยอารมณ์ได้เต็มที่หาได้เกรงกลัวสิ่งใดไม่ อีกอย่างหนึ่งสี่คนนี้ก็ยังมีคนที่คุ้มครองพวกมัน แต่ไม่ได้เข้ามาเพียงแต่ปะปน อยู่ในห้องอาหารสั่งอาหารกินกันตามโต๊ะต่างๆ แต่มิได้นั่งรวมพวกกันคอยดู แลให้ลูกพี่มันอีกทางหนึ่งด้วย “เฮ้ยๆๆ!!!....ของที่กูสั่งให้พวกมึงบัดนี้ผ่านมาเกือบเดือนแล้วเป็นอย่างไรบ้าง มึงไปตรวจสอบดูหรือเปล่าว๊ะ???...” “เรื่องนั้นเสี่ยไม่ต้องห่วงหรอก เพราะถึงจะเป็นของเสี่ยก็ตามทีแต่ข้าก็มีส่วน ในผลประโยชน์อยู่ด้วยจะมีหรือที่จะไม่เอาใจใส่มันด้วย” เสียงไอ้เซี๊ยะ กล่าวตอบ “เมื่อวานนี้ข้าเองก็ไปตรวจดูเหมือนกันเสี่ย ทุกอย่างเรียบร้อยหมดไม่มีอะไร เสียหายเลยล่ะ???...” ไอ้สุยก็เอ่ยบ้าง “แล้วไอ้มุ้ย กับไอ้เช้งล่ะ????....มึงไปดูหรือเปล่าล่ะ”... เสี่ยเม้งหันไปถามมันทั้งสอง ที่มัวแต่นั่งกินอาหารเคี้ยวปากคอตุ่ยๆอยู่ “ข้าไปตรวจมาเมื่อวานเหมือนกันเสี่ยเรียบร้อยดีไม่ต้องห่วงหรอกเสี่ย” “เมื่อวานซืนข้าก็ไปดูเหมือนกันปกติเสี่ย” ไอ้มุ้ยกับไอ้เช้งตอบเพื่อให้เสี่ยสบายใจ “ไอ้ห่าไอ้มุ้ย กูเอายาที่มึงซื้อมาจากพวกกระเหรี่ยงไปให้พวกมันช่วยจำแนกดู ว่ามีอะไรมั่ง มันตอบกูว่า เป็นยาฉุนกับปูนแดงกับน้ำฝิ่นผสมอีกเท่านั้นนี่นา ทำไมมันถึงขายแพงนักว๊ะ กูชักสงสัยว๊ะ” “ข้าจะไปรู้หรือก็ไอ้เซี๊ยะไอ้เช้งและไอ้สุยมันต่างไปหามาให้นี่นา ด้วยข้าไปบอก ว่าทางที่จะเก็บของนั้นต้องฝ่าดงทากกับพวกปลิงกระโดด มันก็เอามาให้ข้าเอง และข้าก็ใช้ได้ผลดีเสียด้วย เงินทองนะไม่สำคัญหรอกเสี่ยแต่มันใช้ได้ผลก็แล้วกัน ข้าเองไม่คิดมาก ที่สำคัญข้าคิดเรื่องของนั้นสำคัญมากกว่าเสี่ย และอีกอย่างหนึ่งมัน พวกนั้นจะได้ป้องกันพวกตำรวจได้ดีแทนพวกเราอีกด้วย ด้วยตำรวจมันคิดไม่ถึง หรอกว่าแถวนั้นจะมีปลิงทากชุกชุมเสียด้วย หากมันไม่มียานี้ยากจะเข้าไปได้นะเสี่ย แล้วหากมันเข้าไปจริงๆ ต้องร้องโวยวาย จะทำให้พวกข้าที่รักษาของไว้จะได้รู้ตัว เสี่ยด้วย หรือว่าเสี่ยจะเสียดายเงินเล็กๆน้อยนี้เสียกระมัง???....” ไอ้มุ้ยชี้แจงเหตุผลให้เสี่ยเม้งฟังทันที ซ้ำยังพูดเป็นนัยๆว่าเสี่ยไม่สปอร์ตเสียอีก คำพูดของไอ้มุ้ยทำให้เสี่ยเม้งพูดจาอะไรไม่ออก ก็จริงของมันพูดไหนของที่เก็บ ไว้สำคัญมากด้วย และยังมีพวกปลิงและทากมาช่วยเฝ้าให้ด้วยเงินแค่แสนหนึ่งแลก กับเงินเป็นล้านๆมันคุ้มค่ายิ่งนัก อีกทั้งตัวมันก็เห็นฤทธิ์พวกนี้อยู่ ก็หัวร่อลั่น “เออ?????....มึงพูดก็มีเหตุผลดีว๊ะ แล้วไอ้เซี๊ยะไอ้เช้งไอ้สุยมึงไปได้ยานี้กันได้ อย่างไรล่ะโว้ย???...” เสี่ยเม้งหันไปถาม ไอ้เซี๊ยะ ไอ้เช้ง ไอ้สุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เล่นเอาสามพระหน่อ ถึงกับสดุ้งเฮือกไปตามๆกัน ไอ้เช้ง ไอ้สุยถึงกับอ้าปากค้างทั้งๆที่ของกินมันยังอยู่ ในปากยังไม่หมดเลย ด้วยปฏิภาณไหวพริบของไอ้เซี๊ยะ จึงแก้ต่างให้พวกทันที “ตอนแรกข้าก็ไม่รู้ว่ายามันจะได้ผลเสี่ย เมื่อข้านำของโดยใช้ไอ้พวกกะเหรี่ยง มันช่วยขนนะ ต้องผ่านป่าลึก ข้าถูกทากกับปลิงมันกัดจนเลือดสาดมันแดกเสีย ตัวโตเบ้อเร่มเชียว ข้าร้องโวยวายลั่นเชียวล่ะเสี่ย ไอ้พวกกระเหรี่ยงมันเห็นเข้ามัน ก็ล้วงเอายานี้มาทาให้ข้ามันได้ผลดีชะงัด เสี่ยก็เคยใช้มาแล้วนี่นา ข้าก็เลยขอมัน มาดูแต่ดูไม่ออก แล้วถามมาว่ามึงได้มาจากไหนกันมันบอกว่าเป็นของสืบทอด กันมา ข้าจึงขอซื้อมัน มันขายข้าเม็ดล่ะร้อยยี่สิบบาทเสี่ย แล้วมันบอกว่าพวก มันทำยาก ด้วยตัวยาหาลำบากมากๆ กว่าจะได้มาก็ต้องเดินทางไปไกลๆ ผ่านข้ามเขามากมายตั้งหลายๆลูกกว่าจะได้ตัวยามา จึงแพงหน่อยเข้าเลยขอซื้อมันด้วยเป็นหัวหน้ามันจะทำเป็นงกก็ใช่ที่จึงได้ ซื้อมันมาติดตัวไว้ ครั้นไอ้มุ้ยมาบอกจึงได้ให้มันไปก็เท่านั้นเอง ต่อมาไอ้มุ้ยมันบอกข้าว่าเสี่ยต้องการให้มันช่วยหา ข้าก็เอาไอ้เช้งไอ้สุยไปเป็นเพื่อน ต่อรองกับมันแทบตายกว่ามันจะลดให้ มันบอกแก่ข้าเหมือนกันเกี่ยวกับส่วนผสม แต่ก็น่าเห็นใจมันนะเสี่ยมันหายากจริงๆ ยาฉุนแถบนั้นมันไม่มี มีแต่พวกฝิ่นทั้งนั้น ยิ่งปูนแดงด้วยแล้วหายากมากที่สุดนะ เมื่อต่อรองกับพวกมันได้ ให้มันทำให้โดยคิดเม็ดละร้อยบาทขนาดหัวแม่มือ ก็น่าเห็นใจมันหรอกมันก็จนเสียด้วย ข้าเคยไปเยี่ยมพวกมันที่หมู่บ้านมาแล้ว ไหนต้องเดินทางมาในจังหวัดซื้อยาฉุนกับปูนแดงไปจำนวนมากกว่าแล้วมาทำ จะได้ตัวยาให้เสี่ย ขึ้นเขาลงห้วยหลายๆลูกจึงจะถึงหมู่บ้านมัน ส่วนน้ำยาฝิ่นนั้น ไม่เป็นปัญหาหรอกเสี่ย มันปลูกและคั้นเอาเองได้ เสี่ยลองนึกซิกว่ามันจะทำยาได้ นั้นต้องเสียเวลาเท่าไหร่ ไหนต้องข้ามเขาเสียหลายลูกและต้องคอยระวัง ไม่ให้มันถูกน้ำและอากาศหรือก็ชื้นๆ ตอนที่เสี่ยต้องการยานั้นมันก็ช่างลำบากนัก เพราะเป็นเริ่มปลายฤดูฝนเสียสด้วยังมีฝนพรำๆอีกตลอดทั้งวัน พวกนี้โดนฝนได้ เสียเมื่อไหร่ล่ะ ยิ่งปูนแดงกินกับหมากด้วยแล้วจะจะละลายหายไปหมด มันต้องคอยหาผ้ามาคลุมของที่ใส่บนหลังลาไว้ด้วย ก็น่าเห็นใจนะเสี่ย ไม่เหมือนพวกเราหรอก ส่วนผสมนั้นขนาดเท่าไหร่มันไม่ได้บอกไว้ว่า เป็นความลับของตระกูลมัน” เมื่อเสี่ยเม้งได้ยินไอ้เซี๊ยะพูดอย่างนี้แล้วก็ถึงกับสั่นหน้าหงึกๆๆ และเห็นจริงตามที่ไอ้เซี๊ยะพูด จึงเอ่ยอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกมึงก็ขาดทุนนี่หว่า พวกมันขายเม็ดละร้อยบาท แต่มึงก็เอามาให้กูครบหมด ไหนค่ารถน้ำมันและเดินฝ่าป่าลึกเต็มไปด้วยทากปลิง ไปหาพวกกระเหรี่ยงอีก ค่าใช้จ่ายก็ไม่เบานะโว้ย???... เออๆๆๆขอบใจพวกมึงมากว๊ะที่รักกูไม่คิดค่าใช้จ่ายส่วนตัวพวกำมึง” “ก็เพราะพวกข้าคิดถึงคุณของเสี่ยนี่แหละเรื่องเล็กๆน้อยๆจึงไม่ได้คิดอะไรมาก” ไอ้มุ้ยได้ที เมื่อมันหันไปสบตากับไอ้เซี๊ยะ ไอ้เช้งและไอ้สุย ก็เอ่ยขึ้นแทนในฐานะที่ ตัวมันเอาไปขายให้เสี่ยเอง “นับว่ากูใช้คนไม่ผิดหรอกโว้ย ที่จริงไอ้เงินแค่แสนสองแสนนั้นไม่เท่าไหร่กูกลัว ว่าจะถูกคิดไม่ซื่อกินเล็กกินน้อยนะมากกว่าว๊ะ เออๆๆๆไหนๆมึงก็รักและซื่อสัตย์ กู งั้นเดี๋ยวกูจะแถมพิเศษให้มึงอีกคนละหมื่นว๊ะ อย่าคิดมากคิดว่าค่าเหนื่อยก็แล้วกัน” ว่าแล้วมันก็ล้วงกระเป๋ากางเกงควักเงินออกมานับส่งให้ทั้งสี่คนทันที เล่นเอาทั้งสี่คนหันมามองหน้ากันแล้วยิ้มแก้มแทบแตกจากกัน ทั้งสามคน ยกเว้นไอ้เซี้ยะ นึกชมเชยไหวพริบของไอ้เซี๊ยะในใจ ว่ามันฉลาดแก้ไขปัญหา เหตุการณ์เฉพาะหน้าได้ แถมยังได้เงินอีกด้วย ต่างก็พากันหัวร่อดื่มกินอย่างสบายใจ “มีลูกพี่ใจสปอร์ตแบบนี้บุญของพวกเรานะโว้ย เหมือนพ่อพระเชียวเลยะว๊ะ พวกมึง เห็นเหมือนกูไหมไอ้เซี๊ยะ ไอ้เช้ง ไอ้สุย” ไอ้มุ้ยเอ่ยเอาใจเสี่ยหลังจากมันรับเงินหมื่นจากเสี่ยมาแล้ว “จริงๆว๊ะไอ้มุ้ย อย่างนี้ไม่ให้กูรักและซื่อสัตย์กับเสี่ยเม้งได้อย่างไรกันว๊ะ ทุกวันนี้พวกเรากินดีอยู่ดีก็เพราะเสี่ยนี้ต่างหาก” พวกมันทั้งสามรับเป็นปี่เป็นขลุ่ยกัน เล่นเอาเสี่ยเม้งหน้าบาน ถึงกับหัวร่อลั่นมือลูบพุงเบาๆ “เรื่องเล็กโว้ยเงินทองแค่นี้อย่าคิดมาก แดกให้สนุกๆเพราะอีกสองสามวัน กูได้รับข่าวมาว่าทางกรุงเทพฯกำลังขาดแคลนด้านคู่แข่งหรือก็ไม่มีของด้วย เพราะตำรวจกวดขันมาก ขนย้ายทีไรถูกจับหมดทุกๆทีว๊ะทำให้ราคาสูงขึ้น เหลือแต่ทางเรานี้แหละที่ยังมีของอีกมากมายเห็นทีต้องโขกราคากัน สักเท่าสองเท่าว๊ะ” เสี่ยเม้งเอ่ยให้พวกๆฟัง ถึงเหตุการณ์ทางกรุงเทพฯที่ขาดแคลนยาเสพย์ติดมาก เรื่องของนี้ยิ่งคิดก็ยิ่งเกิดความกระหยิ่มยิ้มย่อง ว่าคราวนี้มันจะได้กำไรอย่างมหาศาลทีเดียว ในการออกทะยอยส่งไปในกรุงเทพฯ “ฉะนั้นข้านึกถึงของที่พวกมึงเก็บรักษาไว้ เพราะมันเป็นรายได้อย่างมหาศาลอีกด้วย แล้วพวกมึงก็จะได้ส่วนแบ่งเพิ่มอีกมากกว่าเดิมมากนักว๊ะ” เสี่ยเม้งเอ่ยให้ทั้งสามฟัง “เรื่องของไม่ต้องห่วงหรอกเสี่ย คนของข้าล้วนเป็นคนที่คัดและไว้ใจได้ทั้งนั้น สองสามวันทีข้าก็ไปตรวจดูเสมอๆแหล่ะเสี่ย” ทั้งสามเอ่ยให้เสี่ยเม้งฟัง ทำให้เสี่ยเม้งยิ่งกระหยิ่มในใจขึ้นอีกมาก ด้วยความพึงพอใจ ทันใดนั้นคนเฝ้าประตูการ์ดของเสี่ยก็เดินเข้ามากระซิบข้างหูเสี่ยทันที เสี่ยพยักหน้าหงึกๆแล้วบอกว่าให้คอยเดี๋ยว พลางหันไปทางทั้งสี่คนว่า “เฮ้ยกูมีเรื่องสำคัญไม่อยากจะให้เขาพบพวกมึง เดี่ยวต่อไปงานจะเสียว๊ะ???... มึงรีบไปได้แล้วไปทางประตูลับนะโว้ย เดี๋ยวนี้ด้วยเขามาคอยพบกูข้างนอกแล้วล่ะ” “ใครหรือเสี่ยสำคัญนักหรือ???.........” ไอ้มุ้ยถามด้วยความสงสัย ตลอดอีกทั้งสามคนก็หันมามองหน้าเสี่ยทันที “อ้อๆๆ...สารวัตรฝ่ายปราบปรามและฝ่ายสืบสวนว๊ะ มึงรีบไปได้แล้ว กูไม่อยากให้เขาเห็นหน้าพวกมึง เดี่ยวต่อไปจะเป็นภัยแก่พวกมึงโว้ย!!!!??....” พอทั้งสี่คนรู้ว่าเป็นตำรวจก็รีบลุกขึ้นทันที รีบเดินออกไปยังชั้นที่วางของโชว์ ทันใดนั้นเองประตูก็เปิดออกเป็นช่องทางแค่เดินเรียงกันออกไปเท่านั้น ทั้งสี่ก็เดินหายลับไปทันทีประตูช่องลับก็ปิดดังเดิม เสี่ยเม้งก็หันหน้าไปทางการ์ดพลางพยักหน้า หมายถึงว่าให้เชิญแขกมาพบได้ ส่วนอาหารต่างๆนั้นเด็กสาวที่คอยปรนนิบัติอยู่เหมือนรู้หน้าที่รีบเก็บของ ที่ทั้งสี่กินอยู่เช็ดโต๊ะให้สะอาดรวบรวมไปเก็บยังที่อื่นต่อไป จึงมีเพียงแค่อาหารบางส่วนและถ้วยตะเกียบของเสี่ยเม้งเท่านั้น สักครู่หนึ่ง ชายร่างกำยำสองนายก็ก้าวเข้ามา เสี่ยรีบลุกขึ้นยืนเดิน ออกไปต้อนรับยกมือไหว้แล้วเอ่ยปากชักชวน “เชิญครับเชิญสารวัตรทั้งสอง มีอะไรที่จะให้ผมรับใช้หรือครับ????.... ถึงได้มาถึงที่นี้ด้วยตนเอง” “ไม่มีอะไรมากหรอกเสี่ยเพียงจะมาบอกเสี่ยเท่านั้นเองแหละ” สารวัตรวิเชียรเอ่ยขึ้น “ก็เกี่ยวกับเรื่องของกำนันมั่นนั่นแหละเสี่ย ที่เสี่ยให้พวกเราช่วยเหลือ” สารวัตรอำนวยเสริมขึ้น “แต่เสี่ยก็ต้องทำใจไว้บ้างนะแต่ไม่ต้องห่วงหรอกผมได้ไปติดต่อผู้ใหญ่ ด้วยตนเองแล้ว” “ถ้าอย่างนั้นขอเชิญสารวัตรทั้งสองนั่งทานอาหารก่อนนะครับแล้วค่อยเอ่ยก็ได้” แล้วหันไปสั่งเด็กๆสาวๆให้รีบไปจัดอาหารที่ดีที่สุดในร้านนี้มาโดยเร็ว เด็กสาวรับคำพลางเดินออกไปทันทีตามที่เสี่ยเม้งสั่ง ครั้นสารวัตรทั้งสองนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เสี่ยเม้งก็รินเหล้าผสมเสร็จ ส่งให้แก่สารวัตรทั้งสอง “เรื่องเป็นอย่างไรหรือครับท่านสารวัตร????......” สารวัตรทั้งสองยกแก้วเหล้ายกขึ้นดื่มทันที พลางสารวัตรวิเชียรก็เอ่ยขึ้นว่า “ผมส่งเรื่องไปให้ท่านรองผู้กำกับซึ่งรักษาการแทนผู้กำกับนั้น ท่านอ่านแล้ว ส่งเรื่องมาให้ผมพิจารณาอีกครั้งผมกับคุณอำนวยก็ต้องเข้าไปหา อธิบายเรื่องต่างๆให้ฟัง ท่านจึงเห็นชอบด้วยล่ะ ฉะนั้นเสี่ยไม่ต้องห่วง หรอกเรื่องนี้ ที่มานี้เพื่อจะให้เสี่ยหรือลูกชายกำนันไปรีบประกันตัวได้แล้วล่ะ ก่อนที่เหตุการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปกว่านี้ได้” “ถ้าเป็นแบบนี้ต้องขอขอบคุณท่านสารวัตรทั้งสองด้วยนะครับ” “ไม่เป็นไรหรอกเสี่ย นี่ผมก็ทำสุดความสามารถแล้วนะ ด้วยมีคำสั่งห้ามเยี่ยมห้ามประกันตัวด้วย เมื่อเสี่ยขอร้องมาผมก็หาวิธีการโดย ผมต้องหาข้ออ้างต่างๆนาๆ ด้วยท่านรองโดยอ้างเวลาไม่เท่าไหร่ ต้องปลดเกษียณก็ไม่อยากให้ท่านต้องลำบากใจ ก่อนจะพ้นตำแหน่งไป มากกว่านี้เท่านั้นเอง จะได้ไม่ต้องมีเรื่องเข้ามามากมายเสี่ย” เสี่ยเม้งรับฟังสารวัตรทั้งสองแล้วก็หันหน้ายิ้มรับ แล้วก็หันไปทางการ์ดหน้าห้องพลางเรียกให้เข้ามาแล้วกระซิบ การ์ดพยักหน้ารับทราบคำสั่งแล้วเดินไปบอกอีกคนหนึ่ง ตัวมันก็เดินออกไป สักครู่หนึ่งก็หิ้วกระเป๋าขนาดหย่อมเข้ามาด้วยแล้วส่งให้เสี่ยเม้งทันที เสี่ยเม้งก็เปิดกระเป๋าแล้วหยิบสมุดเช็คออกมาเขียนสั่งจ่ายเงินสด สองใบส่งมอบให้แก่สารวัตรทั้งสองทันที พลางก็เอ่ยปากว่า “นี่เป็นแค่เพียงสินน้ำใจเล็กน้อยจากผมเท่านั้นครับท่านสารวัตร” ครั้นสารวัตรทั้งสองนำมาอ่านเห็นเป็นเช็คสั่งจ่ายเงินสด จำนวนหนึ่งแสนบาทก็ต่างยิ้มแก้มปริไปตามๆกันแล้วกล่าวขึ้นว่า “โอ้โห!!!!...ไม่ต้องก็ได้นี่เสี่ย แหม๋ให้ถึงขนาดนี้เชียวหรือเกรงใจ เสี่ยจริงๆนะ อันที่จริงผมก็ช่วยเสี่ยเท่าที่จะช่วยได้เท่านั้นเอง” กล่าวแล้วก็หยิบเช็คใส่ในกระเป๋าเสื้อทันที แล้วทำเขินหันไปคีบอาหาร ที่เด็กๆเอามาเสริฟใหม่ๆนั้นเข้าปาก พร้อมยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอีกที่เสี่ยเม้ง รินมาเสริมให้ทันที ครั้นสารวัตรอยู่สนทนากับเสี่ยเม้งไม่นานนัก ก็ขอตัวกลับด้วยอ้างว่ามี ภาระงานที่จะต้องทำอีกมาก “มาแจ้งให้เสี่ยทราบเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้ให้เสี่ยรีบไปประกันตัวนะผมอยู่ จะได้ประสานงานให้เสี่ยนะจะได้สะดวกยิ่งขึ้น” “ครับขอบคุณท่านสารวัตรมากครับ หากวันหน้าผมอาจจะต้องพึ่งพาท่าน สารวัตรอีกครับ” “ไม่เป็นปัญหาหรอกเสี่ยถ้าผมทั้งสองอยู่นะ งั้นผมไปก่อนนะ” แล้วสารวัตรทั้งสองก็ลุกขึ้นเพื่อจะออกไป เสี่ยเม้งก็ลุกขึ้นเดินไปส่งยังหน้า ปากประตู การ์ดทั้งสองก็ยกมือไหว้สารวัตรทั้งสองด้วย เมื่อสารวัตรไปแล้ว เสี่ยเม้งก็เข้ามานั่งดื่มกินอาหารคนเดียวพึมพร่ำไปพลาง “ไอ้ห่าเอ๋ย พวกเหี้ยก็แบบนี้เกือบทุกตัวแหละพอเห็นเงินเป็นไม่ได้ นี่นะหาก ไอ้กำนันมันยังซุกของไว้อีกมาก เรื่องมึงนี่ทำให้กูเสียเงินตั้งมากมายนัก นี่ดีนะที่มึงยังเก็บของซ่อนไว้ มิฉะนั้นกูก็จะไม่วิ่งเต้นถึงขนาดนี้เชียวล่ะ” ว่าแล้วมันก็ยกเหล้าเพรียวๆขึ้นดื่ม คีบกับแกล้มกิน แล้วก็หันไปดึงร่างสาว เสริฟมาจูบกอดเพื่อผ่อนคลายอารมณ์เครียดที่คั่งค้างจากเหตุการณ์เหล่านี้ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาค่อนข้างดึก จึงเลิกและออกเดินทางกลับ ไปพร้อมกับการ์ดส่วนตัวทั้งสี่ที่ขับรถและนั่งประกบคู่ออก จากร้านอาหารของมันเพื่อกลับบ้านไป ด้วยความกระหยิ่งยิ้มย่องที่สิ่งคิดสำเร็จ ในขณะที่หนุ่มโชติกำลังวิ่งออกกำลังกายในเวลาก่อนพลบค่ำนั้นอันเป็นกิจวัตร ประจำวันของเขา ครั้นวิ่งห่างออกไปจากสู่ถนนหน้าบ้านวิ่งเหยาะๆเริ่มออกห่างจาก บริเวณบ้านมาก ก็สวนทางกับชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งขี่จักรยานสวนทางมาอย่างช้าๆ ครั้นเห็นชายหนุ่มกำลังวิ่งเหยาะๆอยู่ก็ดีดกระดิ่งแจ้งสัญญาณทันที ชายหนุ่มก็หยุด มองดู ครั้นจักรยานเข้ามาใกล้ๆ แล้วพลางยื่นหนังสื่อส่งให้ชายหนุ่มทันที ชายหนุ่มหยุดเปิดผนึกเอามาอ่านแล้ว ก็พยักหน้า พลางหันไปทางชายคนนั้นทันที เอ่ยขึ้นว่า “จ่าโฉม???....คอยเดี๋ยวนะ รอคอยตรงนี้แหละเดี่ยวเอาหนังสือของผม ไปให้สารวัตรชัชวาลย์ด้วย” “ครับผ๊มหัวหน้า” จ่าโฉมเอ่ยด้วยความเคารพ แล้ว หลบจักรยานเข้าไปยังพุ่มไม้ข้างทางทันที ชายหนุ่มหันหลังกลับก็วิ่งเหยาะไปจนถึงบริเวณหน้าบ้าน เข้าไปในรั้วบ้าน แล้วล้างเท้าขึ้นไปบนบ้านเข้าห้องไป ครั้นเมื่อถึงก็รีบร่างจดหมายปิดผนึกฉบับหนึ่งเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงกีฬา นำเอกสารที่ได้รับเก็บไว้ในแฟ้มเอกสารซ่อนไว้ในตู้เสื้อผ้านำผ้ามาทับไว้อีกที ร่างเขาก็รีบเดินออกจากห้องก้าวลงไปยังข้างล่างออกวิ่งเหยาะๆอย่างเคย ไปยังจุดที่ได้นัดหมายไว้กับจ่าโฉมคนสนิทคนหนึ่งของเขา ในขณะที่เขาทำนี้ไม่ใครอยู่บนบ้านเลยสักคน พ่อแม่เจ้าชัยก็ออกไปไร่นาสวน ส่วนสาวชบาเพียงไปกวาดลานพื้นเพื่อรวบรวมเศษใบไม้ที่ล่วงหล่น นำไปใส่ถังหมัก แต่เพียงแค่หันมามองแต่ไม่ได้ทักทายอะไรเขาเลย ดังนั้นชายหนุ่มก็วิ่งออกมายังที่จุดนัดหมาย จ่าโฉมนั่งเฝ้ามองดูอยู่ตลอดเวลาเมื่อเห็น ก็เข็นรถจักรยานออกมายืนคอยริมทางอยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มแกล้งวิ่งผ่านไปพร้อมยื่นหนังสือปิดผนึกส่งให้ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ออกวิ่งต่อไป จ่าโฉมครั้นได้รับหนังสือแล้วก็รีบเอาซุกในหน้าอกเสื้อทันที แล้วแสร้งขี้จักรยาน ไปข้างหน้าสวนทางกลับชายหนุ่ม แล้ววกจักรยานกลับอีกที ก็สวนกับร่าง ชายหนุ่มที่วิ่งกลับต่างคนต่างสวนกัน พอดีมีรถยนต์กะบะ วิ่งผ่านมาบีบแตรไล่ ชายหนุ่มก็หลบเข้าข้างทางทั้งๆที่กำลังวิ่งอยู่ ส่วนจ่าโฉมนั้นขี่จักรยานหายไปกับ พุ่มไม้แล้วแยกทางกับรถกะบะหายลับตาไป........... * แก้วประเสริฐ. *
ภาพคนบ้าๆบอๆบ๊องส์ๆ