อทิสมานกาย ๗๐ ภายในห้องฝ่ายปราบปรมสถานีตำรวจในจังหวัด พตท.วิเชียร อรุณโชติ กำลังก้มหน้าก้มตาดูภาพถ่ายและรายงานของเจ้าหน้าที่ส่งมาให้ตรวจสอบ ผลของการจับกุมพ่อค้ายาเสพติดอยู่นั้น ก็ต้องเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะทำงาน “ท่านผู้ช่วยครับ มีแขกจะมาขอพบท่านครับ “ ตำรวจหน้าห้องเข้ามารายงาน “ใครหรือจ่า???...ที่จะมาขอพบผมนะ” “เขาบอกว่าชื่อ เม้ง เจริญกิจตั้งไพบูลย์ ครับท่าน” “อ้อ???...เสี่ยเม้งนั่นเอง เชิญเขาเข้ามาได้แล้วจ่า” “ครับผ๊ม...” แล้วจ่าก็ทำความเคารพเดินออกไปยังหน้าห้องทำงาน พร้อมนำร่างชาย รูปร่างท้วมผิวกายขาวเข้ามาพบ พร้อมด้วยชายอีกสองคนเดินตามหลังมา ด้วย ครั้นเห็นพตท.วิเชียรก็ยกมือไหว้ท่านผู้ช่วยรองผู้กำกับทันที “นึกว่าใครเสียเอง นั่งๆๆๆๆตามสบายนะเสี่ยมีอะไรหรือถึงได้มาถึงที่นี้นะ” เสี่ยเม้งก็นั่งลงตรงเก้าอี้ตรงกันข้ามกับโต๊ะทำงาน พร้อมหันไปทางลูกน้อง ที่ยืนถือกระเช้าผลไม้อยู่ รับมาแล้วเสี่ยเม้งก็นำมาส่งมอบให้พตท.วิเชียรทันที พลางเอ่ยขึ้นว่า “ไม่มีอะไรหรอกครับท่าน เพียงนึกถึงก็แวะมาเยี่ยมเยียนกันเท่านั้นเองครับ นี่กระเช้าผลไม้ที่ผมคัดเลือกมาเองครับใต้ผลไม้นั้นมีของพิเศษครับท่าน” “ต้องมีซิเสี่ยมิฉะนั้นเสี่ยไม่มาหาผมที่ทำงานแน่ๆเลย” ท่านผู้ช่วยรองผู้กำกับกล่าว และยิ้มแย้มแจ่มใสเมื่อเสี่ยเม้งบอกว่ามีของพิเศษอยู่ “ว่ามาได้เลยจะให้ผมช่วยอะไรได้บ้างล่ะ???...” “ไม่มีเรื่องอะไรใหญ่โตหรอกครับท่าน เพียงแต่ว่าอยากจะให้ท่านผู้ช่วยดูแล ในเรื่องกำนันมั่นสักหน่อยครับ ด้วยกำนันนั้นเป็นคนของผมครับตอนนี้ถูกจับ กุมไว้และทางนี้ก็ยังไม่ยอมให้ประกันตัวเลยครับ” เสี่ยเม้งเอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อม สารวัตรวิเชียรได้รับฟังก็สะดุ้งแต่สีหน้าก็ยังปกติ “แล้วเสี่ยไปหาสารวัตรอำนวยมาแล้วหรือยังล่ะเสี่ย???....ด้วยเขากำลังทำงาน ในเรื่องนี้อยู่พอดีเป็นหน้าที่ของเขาด้วยนาเสี่ย” สารวัตรวิเชียรถาม ด้วยทราบว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆเสียด้วยด้วยท่านรองผู้กำกับ มีหนังสือห้ามเยี่ยมห้ามประกันตัวไว้ “ไปหามาแล้วครับท่าน สารวัตรอำนวยบอกว่าให้มาปรึกษากับท่านก่อนด้วยท่าน มีอำนาจในการจัดการเรื่องนี้ก่อนเสนอไปยังท่านรองผู้กำกับครับท่าน” “อย่างงั้นหรือ???...แล้วคุณอำนวยกล่าวเพิ่มเติมอีกหรือเปล่าล่ะ???...” “เห็นรับปากว่าจะช่วยครับเท่าที่จะช่วยได้ จะทำสำนวนให้อ่อนหน่อยเมื่อไปถึง ทางอัยการครับ แต่สำนวนนี้ต้องผ่านมือท่านอีกเพื่อตรวจสอบก่อนจะรายงานครับ” “อย่างนั้นหรือ อ้อๆๆ ผมได้รับสำนวนมาแล้วล่ะนี่กำลังนั่งพิจารณาอยู่นะเสี่ย” “ผมก็อยากจะให้ท่านประสานงานกับสารวัตรอำนวยด้วยครับ ถึงอย่างไรก็มันเป็นเด็กของผมอยู่หนักก็ให้เป็นเบา หรืออาจจะขอประกันตัวได้ครับถ้าเป็นไปได้นะครับ” “เอาล่ะเรื่องนี้เสี่ยไม่ต้องเป็นห่วงอะไรหรอก เราคนกันเองแท้ๆ ผมกับคุณอำนวยจะได้ช่วยกันและจะรายงานผลนั้น ให้ท่านรองผู้กำกับพิจารณาหาทางแก้ไขให้นะ” “ครับๆๆขอบคุณมากครับ หากประกันตัวได้ผมก็จะมีสิ่งที่ดีกว่านี้ สมนาคุณท่านทั้งสองด้วยครับ” “ถ้าอย่างนั้นผมไม่รบกวนเวลาของท่านสารวัตรแล้วนะครับ จะได้รีบกลับไปก่อนครับ “เชิญตามสบายเถอะเสี่ย ไม่ต้องห่วงหรอกผมจะแก้ไขทำให้สำนวน ให้อ่อนขึ้นไปอีกนะ” “ครับดีครับขอบคุณท่านสารวัตรมากๆนะครับ” แล้วเสี่ยเม้งก็ลุกขึ้นยกมือไหว้สารวัตรวิเชียร แล้วลากเก้าอี้ให้เรียบร้อย หันไปพยักหน้ากับลูกน้องสองคน มันทั้งสองก็หันมา ยกมือไหว้สารวัตรวิเชียรเดินตามหลังเสี่ยออกจาก ประตูห้องสารวัตรทันที ครั้นเสี่ยเม้งก็นำกระเช้ายกไปวางบนหลังตู้เอกสารด้านหลัง แต่ก่อนจะนำไปวางได้ล้วงไปยังก้นตระกร้ากระเช้า ดึงซองสีขาวออกมาวางในลิ้นชักข้างหน้าโต๊ะ ครั้นวางของเสร็จ ก็มานั่งยังโต๊ะ ดึงลิ้นชักเปิดซองดูเห็นแบงค์พันปึกใหญ่ๆ คงประมาณหลายๆหมื่นก็ยิ้มแล้ว แล้วเอื้อมมือหยิบกระเป๋าเอกสารเอาซองนำมาใส่ ยังกระเป๋าเอกสารของตน ทันทีแล้วก็หันไปดูเอกสารต่อไป เอกสารนั้นเป็นสำนวนของ พตต.อำนวยฝ่ายสืบสวนและสอบสวน เสนอมายังตน อ่านแล้วเห็นว่าสำนวนมันอ่อนมากอยู่แล้ว จึงได้แก้ไขเพิ่มเติมให้อ่อนลงไปอีกเพื่อที่ท่านรองผู้กำกับพิจจารณา จะได้ไม่ต้องสงสัย พร้อมกับทำรายงานเสนอแนะเพื่อให้มีการ ประกันตัวกำนันไปเพื่อจะได้ขยายผลในการจับกุมหัวหน้าใหญ่ต่อไป ซึ่งสารวัตรวิเชียรรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าเป็นใคร เพียงเพื่อที่จะฉาบหน้าไว้เท่านั้นเอง ครั้นตรวจสอบทำรายงานแล้วก็เรียกจ่าหน้าห้องเข้ามา ยื่นหนังสือเอกสาร ทั้งหมดที่ปิดผนึกตีตราว่า “ลับที่สุด” บนซองยื่นมอบให้จ่านำไปให้ฝ่าย ธุรการเพื่อเสนอต่อไปยังท่านรองผู้กำกับทันที เมื่อธุรการนำหนังสือที่สารวัตรวิเชียรและสารวัตรอำนวยทำไว้มาส่งให้ ท่านรองผู้กำกับแล้ว ท่านก็เปิดออกอ่านเห็นสำนวนนั้นช่างอ่อนมากก็บังเกิด ความสงสัยอีกทั้งยังขออนุญาติให้มีการประกันตัวได้ก็ยิ่งสงสัยไปอีกแต่ท่าน ไม่พูดอะไรเลย พลางหันไปทาง รตต.วิชิตที่นั่งอยู่ภายในห้องให้มาหาทันที “คุณวิชิต มาหาผมหน่อยนะจะมีเรื่องขอร้องหน่อย” เมื่อ รตต.วิชิตที่กำลังก้มหน้าก้มตาเขียนเอกสารของท่านรองผู้กำกับอยู่เงยหน้า แล้วขานรับทันที “ครับผ๊ม” แล้วร่างรตต.วิชิตก็เดินเข้าไปหาท่านรองผู้กำกับทันที “นั่งลงก่อนซิคุณวิชิต” “ครับผ๊ม???....” ที่จริงแล้วรตต.วิชิตนี้เป็นคนของพล.ตต.วีระโชติผู้กำกับการนี้อยู่ ได้ส่งตัวแอบแฝงมาตรวจสอบการทำงานของตำรวจทั้งหมดในโรงพักนี้ โดยการสนันสนุนจากสารวัตรชัชวาลย์และผู้กองจรัสและผู้กองจำลอง “ท่านมีเรื่องอะไรจะใช้ผมหรือครับ” “ผมอยากจะให้คุณช่วยตรวจสอบสำนวนนี้หน่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ ด้วยผมสงสัยในบางสิ่งบางอย่างรู้สึกว่า จะไม่ชอบมาพากล คุณก็จบนิติศาสตร์ด้านนี้โดยเฉพาะจาก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มาแล้วนี่ ไหนๆลองตรวจสำนวนหน่อยนะ” “ครับท่าน” แล้วหมวดวิชิตก็นำเอาสารมานั่งเปิดอ่านบนโต๊ะของท่านรองผู้กำกับทันที เมื่ออ่านไปหน้าตาเขาเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา แต่ท่านรองผู้กำกับที่นั่งมองเฝ้าพิจารณาอยู่เห็นก็รู้พลางอมยิ้มไปด้วย เมื่อหมวดวิชิตอ่านจบก็ยื่นเอกสารทั้งหมดให้ท่านรองผู้กำกับทันที “เป็นอย่างไรบ้างหมวด ใช้ได้ไหมล่ะพอที่จะส่งอัยการสั่งฟ้องได้หรือไม่ล่ะ???...” “ในความรู้ที่ผมเรียนมานะครับเป็นสำนวนขัดแย้งกันในตัวครับท่าน ถ้าหากส่งไปให้อัยการก็จะต้องถูกตีกลับมาทำใหม่อีกครั้งครับท่าน อีกประการหนึ่งการจะให้ประกันตัวนั้นผมคิดว่ายังไม่เหมาะสม ในระยะนี้หรอกครับ อาจจะเป็นที่เพ่งเล็งของทางกรุงเทพฯก็เป็นไปได้สูงครับท่าน” หมวดวิชิตรายงานตามความเป็นจริง “อืมมม??....คุณมีความคิดเช่นเดียวกับผมเลยถึงแม้ว่าเรื่องนิติศาสตร์ ผมจะไม่เคยผ่านการศึกษาจากรั้วนี้มาก่อนก็ตามทีแต่ประสบการณ์ ในการเป็นตำรวจทั้งฝ่ายปราบปรามและสืบสวนมาแล้ว เห็นว่าทำไมสารวัตรวิเชียรและสารวัตรอำนวยถึงได้ทำเรื่องเช่นนี้ได้นะ น่าสงสัยจริงๆเสียด้วยหรือว่า???...” แล้วท่านก็ไม่กล่าวต่อไป พลางหันส่งเสียงเรียกหน้าห้องทันที “จ่าๆๆๆอยู่หรือเปล่า???...เข้ามาหาผมหน่อยซิ” “อยู่ครับท่าน” แล้วร่างจ่าซึ่งพึ่งจะได้รับการแต่งตั้งโยกย้ายมาก็เปิดประตู เดินเข้ามาหาท่านรองทันที เมื่อถึงแล้วก็ทำความเคารพวันทยาหัตถ์ “ท่านต้องการอะไรหรือครับ” “อ้อๆๆ....ผมอยากจะให้คุณไปตามสารวัตรชัชวาลย์ กับผู้กองจรัสและจำลองมาพบผมด่วนด้วยนะ ไปเดี๋ยวนี้เลย” “ครับผ๊ม” แล้วร่างจ่าคนใหม่ก็รีบเดินออกจากห้องไปทันที ชั่วเวลาไม่นานนัก ร่างตำรวจทั้งสามก็เข้ามาในห้อง ของท่านรองผู้กำกับ ต่างทำความเคารพท่านรอง พลางเอ่ยปากจะกล่าว แต่ท่านรองผู้กำกับโบกมือไม่ให้ต้องพูดอะไร แล้วกล่าวขึ้นว่า “เชิญคุณทั้งสามนั่งได้นะผมมีเรื่องจะปรึกษา อ้อๆๆๆหมวด ไม่ต้องไปหรอกนั่งอยู่ช่วยกันคิดกันหน่อยนะ” “ครับผ๊ม” ร่างหมวดจะลุกขึ้นหลีกทางให้แก่สารวัตรและผู้กอง สารวัตรกับผู้กองหันมายิ้มให้หมวดทันทีด้วยต่างรู้ใจซึ่งกันและกัน หมวดวิชิตก็ไปหาเก้าอี้โดยบอกให้จ่าชื่นนำเก้าอี้มาเสริมทันที ครั้นทุกๆคนนั่งแล้วท่านรองผู้กำกับก็ยื่นเอกสารให้ทั้งสาม อ่านดูก่อน รอฟังคำอธิบาย ทั้งสามอ่านไปต่างก็คิ้วขมวดไป ตามๆกันทันที เสร็จแล้วพลางเงยหน้าไปทางท่านรอง “เป็นอย่างไรบ้างล่ะสารวัตรผู้กอง หากไม่ได้อ่านเอกสารนี้ ผมก็ยังไม่สงสัยอะไรอีกด้วยเราสี่คนนี้รู้อะไรๆอยู่ก่อนแล้ว ผมคิดไม่ถึงจริงๆนะว่าจะเป็นไปได้” ท่านรองเอ่ยให้สารวัตรผู้กองฟัง “ท่านครับ...ที่จริงนั้นผมสามคนพอจะรู้เรื่องสารวัตร ทั้งสองอยู่เหมือนกันครับแต่ไม่อยากจะไปก้าวก่ายเท่าไหร่ ด้วยผมทั้งสามพึ่งมาใหม่ครับ” “นั่นซิ???...ตอนแรกผมก็ไว้วางใจเหมือนกันนะ แต่มาระยะหลังนี้คนของผมก็กระซิบบอกมาแต่ผมก็ยัง ไม่ปักใจเชื่อนักด้วยหลักฐานไม่มี พึ่งจะมาแสดงเจตจำนงค์ ก็คราวนี้แหละ ความสงสัยที่มีอยู่แล้วก็เลยปักใจเชื่อมั่นยิ่งขึ้น” ท่านรองผู้กำกับกล่าว “ นี่ดีนะที่ผมรู้ด้วยอีกไม่กี่เดือนผมก็จะปลดเกษียณไปแล้วสารวัตร วิเชียรซึ่งเป็นผู้ช่วยก็จะได้เลื่อนมาแทนผมแล้วอะไรจะเกิดขึ้นอีกล่ะ หากท่านผู้กำกับเข้ามาปฏิบัติหน้าที่จะคิดว่าผมบกพร่องต่อหน้าที่ ไปก็ได้เชียวนา จึงได้เรียกคุณทั้งสามมาช่วยปรึกษาขอคำแนะนำด้วย เพราะงานนี้คุณทั้งสามเป็นฝ่ายเข้าทำการจับกุม โดยข้ามหน้าข้ามตาเขาไปด้วย แต่เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหาหรอก อันที่จริงจะว่าพวกคุณก็ไม่ได้หรอกเพราะเป็นด้วยเหตุ บังเอิญมากกว่านะ” “ครับมันเป็นสิ่งบังเอิญจริงๆครับ ในระหว่างการค้นหาหลักฐานนั้น หากตำรวจไม่ค้นพบห้องใต้ดินเสียก่อนก็คงจะไม่ทราบด้วยค้นยาก ด้วยบ้านมันพังสุมทับกันไปหมด แต่ตำรวจที่มาใหม่เห็นผิดสังเกตุอะไรบางอย่างตามวิสัยตำรวจซึ่งมันไม่ น่าจะเกิดขึ้นในเรื่องนี้ รุนแรงจนบ้านทั้งหลังพังลงมาได้ต้องมีสาเหตุแน่นอน ด้วยตำรวจพวกนี้ผ่านการอบรมมาอย่างเชี่ยวชาญก่อนจะมาประจำยังที่นี่ครับ ทั้งหมดจึงได้แหวกกองไม้ดูจากการสงสัยที่ได้อบรมมาจึงพบ” สารวัตรชัชวาลย์ชี้แจง “แล้วคุณจะให้ผมทำอย่างไรซิบอกมาได้เลยนะ” ท่านรองเอ่ยขึ้น สารวัตรหันไปทางหมวดวิชิตทันทีด้วยอะไรๆก็รู้กันอยู่แล้ว อีกทางหนึ่งจะได้ส่งเสริมเขาด้วย “ว่าไงคุณวิชิต คุณมีความเห็นประการใดหรือไม่ล่ะ???...” หมวดวิชิตสะดุ้งแล้วพลันนึกขึ้นได้ ในใจก็ขอบใจสารวัตร ชัชวาลย์ทันทีด้วยเปิดหนทางให้แก่เขาไว้แล้ว “ครับท่านสารวัตรในความคิดเห็นของผมนะ ว่าควรจะส่งเรื่องกลับคืนไปให้ทางสารวัตรวิเชียรและสารวัตรอำนวย ตรวจสอบแก้ไขอีกทีหนึ่งก็จะเหมาะครับท่าน” “อืมม???....เหมือนใจผมเลยล่ะวิชิต เรื่องแบบนี้ไม่ธรรมดานะ” “เป็นความคิดที่ดีมากหมวด เอาล่ะผมจะส่งเรื่องคืนกลับไป คุณเขียนรายงานมาให้ผมลงนามไว้ก็แล้วกันและ ให้ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุดด้วย” “ครับท่าน ผมจะรีบรวบรวมเอกสารทั้งหมดแล้วทำรายงาน ส่งให้ท่านลงนามใส่ไปในซองให้สารวัตรทั้งสองต่อไปครับท่าน” “เอาล่ะเป็นอันตกลงตามนี้นะ ผมเองก็เห็นชอบด้วย อ้อๆอีกอย่างหนึ่งให้คุณชัชวาลย์ คุณจรัสและคุณจำลอง ลอบส่งคนที่ไว้วางใจได้ให้ประกบตัวสารวัตร ทั้งสองด้วยนะทั้งที่ทำงานและที่บ้าน ที่อื่นด้วยอย่าให้คลาดสายตา และอย่าให้รู้ตัวด้วยเสียล่ะ???....” “อ้าๆๆๆ!!!!....แล้วหากเขาจับได้ล่ะครับจะว่าอย่างไรครับท่าน” สารวัตรชัชวางย์เอ่ยถามเพื่อหาสิ่งคุ้มครองตนเอง “เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงหรอกผมวางแผนไว้แล้วล่ะ หมวดทำหนังสือเกี่ยวกับเรื่องของสารวัตรทั้งสองแล้วมาให้ผมเซ็นต์ ลงนามไว้ส่งมอบให้แก่สารวัตรและผู้กองด้วยนะ ไปทำได้เลยล่ะ” “ครับผม” หมวดวิชิตกล่าวพลางหันไปยิ้มกับสารวัตรผู้กอง แล้วรีบไปนั่งที่โต๊ะเขียนรายงานการสั่งงานของท่านรองผู้กำกับทันที นำเอกสารสามฉบับพร้อมด้วยซองสีน้ำตาลราชการมาด้วย พลางยื่นให้ท่านรองผู้กำกับอ่าน เห็นท่านพยักหน้าแล้วหยิบปากกาบนโต๊ะ มาลงนามพร้อมกับประทับตราประจำตำแหน่งไว้ทันที พร้อมยื่นส่งมอบให้แก่นายตำรวจทั้งสามเก็บไว้เป็นหลักฐานอ้างอิงต่อไป “ผมมีเรื่องแค่นี้แหละ งั้นเชิญทั้งสามกลับไปทำงาต่อได้แล้ว อ้อๆๆอย่าลืมแจ้งให้ผมรู้ด้วยนา” “ท่านไม่ต้องกังวลหรอกครับ ผมใช้คนของผม ซึ่งมาประจำการใหม่ๆไม่ให้คนเก่าๆได้รู้หรอกครับท่าน” “นั่นซิตอนนี้ผมเองก็ชักจะไม่แน่ใจตำรวจเก่าเข้ามาอีกแล้วล่ะ ย้ายไปหน่วยหนึ่งไหงดันเกิดหน่วยที่สองตามมาอีกก็ไม่รู้ หรือว่ามันจะเก็บหางมันไว้ก็ไม่อาจจะรู้ได้” ท่านรองผู้กำกับเปรยๆขึ้น พลางลูบคางเบาๆๆ “ถ้างั้นเชิญได้แล้วล่ะ กลางวันนี้เจอกันที่เดิมนะ” “ครับท่าน” แล้วสารวัตรผู้กองก็ทำความเคารพหันไปยิ้มกับหมวดวิชิต แล้วก้าวเดินออกจากห้องไปโดยปิดประตู แล้วเดินไปที่โต๊ะของจ่าชื่น พลางยกมือขึ้นตบไหล่เบาๆ กระซิบว่า ระวังตัวหน่อยนะจ่า จ่าชื่นที่อยู่ในท่าวันทยาหัตถ์เอ่ยรับคำทันที ร่างของนายตำรวจก็แยกย้ายกันเข้าห้องไปทำงานต่อทันที ทั้งหมดนี้หามีผู้ใดรู้เห็นแต่ประการใดไม่.............. * แก้วประเสริฐ. *
9 มกราคม 2554 15:32 น. - comment id 121209
เย้..เจ็ดสิบตอนแล้ว พี่ชายเขียนไวยังกะปากกาติดไอพ่น แต่เอ..มีไรซ่อนอยู่ในความไวอ๊ะป่าวคะ คิดถึงและห่วงใยเสมอ
9 มกราคม 2554 20:22 น. - comment id 121211
คุณ คิดถึงเสมอ น้องสาวที่รัก พี่ไม่มีอะไรหรอกจ๋านอก จากความสนุกเพลิดเพลินแก้ความเหงาใจ เท่านั้นเองแหละ อ้อ นี่พี่เอา เรื่องท่องแดน สวรรค์ กับ นรกภูมิมาลงไว้ เพื่อให้คนที่จะ คิดในสิ่งอกุึศลและกุศลกรรมได้พึงสังวรณ์ ไว้เอง เพื่อจะได้ยับยั้งในสิ่งที่จะกระทำลง ไปเท่านั้นเอง เรื่องทั้งหมดนี้พี่รับรองว่าเป็น เรื่องจริงๆที่ผู้รู้ทั้งผู้ที่ตายไปแล้วฟื้นมาด้วย ยังไม่ถึงวาระอายุขัย พี่จะไม่กล่าวมากนัก จะยาว หาไปหาอ่านในเรื่อง " กฏแห่ง กรรม" ก็จะทราบเองแหละจ้า นี่ยังไม่ได้ เอ่ยถึงชั้นพรหมนะเพราะชั้นพรหมยังแบ่ง แยกอีกเป็นชั้นๆเช่นเดียวกันจ้า เอาเฉพาะชั้นที่อยู่ในกามคุณห้าและหกเท่านั้น เองด้วยเป็นโลกียะธรรมจ้า รักน้อง สาวพี่มากเสมอจ้า แก้วประเสริฐ.