อทิสมานกาย ๘ พอพ้นจากประตูวัดมาสักหน่อย เขานึกถึงแม่นางรูปงามได้ก็เลยปั่นจักรยานแวะไปเยี่ยม ระหว่างทางนั้น สาวอ้อยก็เอ่ยขึ้นว่า น้าคงจะคิดถึงแม่นางรูปสวยล่ะซิ ถึงได้วกกลับไปทางโน้น????..... กล่าวจบก็หยิกหลังชายหนุ่มทันที เล่นเอาชายหนุ่มสะดุ้งโหยง หันไปกล่าวขึ้นว่า อ้อยทำไมพูดเช่นนั้น ก็เขามีคุณแก่น้านี่จ๊ะ???.... ชายหนุ่มนึกแปลกจริงๆเด็กสาวนี่ จริงๆนะอ้อยคนสวย ฮ่าๆๆ ??... อีกหน่อยก็จะมาอยู่ด้วยกันแล้ว อ้อย ก็รู้ไม่ใช่เหรอ???.... จ๊ะใช่จ๊ะ.... ถามจริงๆเถอะน้า ระหว่าง อ้อยกับแม่นางแสนสวยคนนั้นน่าสนใจใครมากกว่าใครหรือ???... ก็สนใจทั้งคู่แหละ อ้อย ด้วยต่างมีคุณแก่น้าจะไม่ให้น้าวางเฉยๆได้อย่างไร????...... แล้วเขาก็ไม่กล่าวอะไรอีกรีบปั่นจักรยาน เพื่อไปยังต้นตะเคียนต้นนั้นทันที อากาศที่เยือกเย็นด้วยเป็นเนินเขาสูง ตอนนี้มืดครึ้มปกคลุมไปทั่ว สมพัดแรงโชยมาต้องกายชายหนุ่มจนรู้สึกว่าเย็น ปกติแล้วเขาเป็นคนไม่กลัวความเย็นแต่แปลกกลับรู้สึกว่า มันช่างเย็นสบายๆมากนัก ลมโชยแผ่วเบาๆ....... แสงของนวลจันทร์ยังส่องประกายสวยงามอยู่ สาดแสงไปทั่วบริเวณนั้นเป็นบางแห่ง ตอนนี้จิตใจเขาไม่ เหมือนเดิมเสียแล้ว ความรู้สึกบอกว่าความหวาดกลัวแต่ก่อนหายไปหมด จิตใจเขาเข้มแข็งขึ้นอย่างไม่น่าจะ เป็นไปได้ หรือว่าด้วยอำนาจของการฝึกสมาธิของเขา แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจนักด้วยเพราะพึ่งจะฝึกมาได้ไม่กี่ ชั่วโมงเท่านั้น เขาคิดพลางทบทวนวิชาต่างๆที่หลวงพ่อให้เขาท่องไว้ เลยทำให้ไม่ได้สนใจหญิงสาวที่นั่ง อยู่ข้างหลังเขาที่กอดเอวเขาแล้วซบร่างบนแผ่นหลังเขา เพียงรู้สึกว่ามันช่างอบอุ่นนุ่มนิ่มดีเท่านั้น สักครู่ใหญ่เขาก็มาถึงโคนต้นตะเคียน เขานำรถไปวางพิงไว้ที่ต้นไม้ค่อนข้างจะเล็กแต่ก็พออาศัยได้ แล้ว ก็เดินเคียงคู่กับหญิงอ้อยที่คอยแต่จะเกาะแขนเขาแจ เมื่อเดินมาถึงใต้ต้นตะเคียนที่ชายหนุ่มต้องการ นั่นแหละสาวอ้อยถึงหันหลังกลับไปยืนอยู่เคียงข้างรถไว้ เพียงแค่หันไปมองว่าเขาจะทำอะไรบ้าง เขาเดินไปที่ยังใต้ต้นตะเคียนพลางลูบและกล่าวเบาๆ เอ่ยปากเพื่อจะบอกเรื่องท่อนไม้ที่หล่อนให้ไว้... แม่นางท่อนไม้ที่แม่นางให้นั่นแม่ฉันเขากำลังแกะสลักอยู่ คงอีกไม่นานก็คงจะได้ไปอยู่ด้วยกันนะ แม่นาง จะว่าอย่างไรบ้างล่ะ???.... เขากล่าวลอยๆ ต้นตะเคียนสั่นไหวทั้งต้นเสมือนจะรับรู้ ในการกระทำของเขาแต่นางหาได้ปรากฏร่างไม่ เขามองไปบนยอด ต้นไม้ที่สั่นไหว แต่ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น เขายืนซึมด้วยความเศร้า หรือว่าเขาจะทำล่วงเกินไปหรือเปล่า เขานึกว่า หากเขาล่วงเกินไป โดยให้แม่แกะสลักนางไว้ก็จะได้ไปให้แม่ไม่ต้องทำอีกแล้ว เขาคิด ทันใดนั่นก็มีเสียงแว่วๆล่องลอยมากกระทบหูเขา ฉันทราบอยู่แล้วล่ะจ๊ะ....จ๊ะฉันจะไปอยู่ด้วยจ้าต่อไปวิมานนี้ ก็จะหายไปเองแหละ ด้วยท่านพ่อรู้แล้วว่าฉันได้ที่อาศัยอยู่แล้ว ท่านยังกล่าวว่าคงจะสุขสบายไม่เหมือนก่อนนะ เขาพลางกล่าวลอยๆว่า ความสบายนั้นอาจจะไม่เหมือนวิมานก็จริง แต่ฉันจะพยายามหาความสุขให้แก่เธอจ้า ฉันขอรับรองเรื่องนั้น ส่วนอาหารการกินสำหรับเธอคงไม่เป็นปัญหาหรอก ฉันเชื่อเช่นนั้น คราวนี้เขาได้ยิน เสียงแผ่วเบาๆพร้อมกับเสียงห่อร่อ เธอไม่ต้องห่วงหรอกแต่ในกาลต่อไปขอให้ดูแลฉันให้ดีๆ ก็เพียงพอแล้วจ้า แล้วเสียงนั้นก็จางหายไป ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันลาไปก่อนนะ นี่ก็ค่อนข้างจะดึกมากแล้วเขากล่าว พร้อมกับไปโอบต้นตะเคียนต้นนั้นแต่ ไม่สามารถโอบรอบได้ ด้วยต้นตะเคียนใหญ่เกินกว่าเขาจะโอบ แล้วกล่าวว่าฉันไปก่อนนะเธอไม่ต้องส่งฉันอีก แล้วล่ะ เสียงแว่วๆผ่านมาเข้าหูเขาพร้อมเสียงหัวร่อเบา แต่ก็ต้องระวังตัวหน่อยนะเพราะจะมีคนมาลองดีกับเธอจ๊ะ อย่างนั้นหรือขอบใจเธอมากนะ แต่คิดว่าคงไม่เป็นไรหรอก เธอพักผ่อนเธอนะ แต่ฉันจะคอยดูให้ห่างๆก็แล้วกัน แต่ไม่เข้าไปก้าวก่ายเธอหรอก เสียงหวานๆสดใสกล่าวขึ้นลอยๆตามสายลม พอกล่าวจบเขาก็หันหลังมายังที่รถจักรยานเพื่อขี่กลับบ้าน ส่วนสาวอ้อยรู้สึกว่าสีหน้าไม่ค่อยสู้จะดีนักแต่เขาก็ ไม่สนใจ พลางกล่าวว่า ไปเธอ อ้อย อย่าคิดมากอะไรเลย พวกเราทั้งนั้นแหละ จ้าน้า.....แต่คราวนี้หล่อนไม่ได้ช่างพูดเหมือนเดิมเสียแล้ว เขานำรถจักรยานมาขี่ด้วยความรวดเร็ว มันค่อนข้างจะดึกมากด้วย อาศัยมีเพื่อนสาวนั่งมาด้วยทำให้ใจชื้น ไม่เหมือนก่อนนั้นที่เขามาคนเดียว ผิดกันมากมายเพราะรู้สึกจิตใจเข้มแข็งมากกว่าแต่ก่อน เขาขี่ผ่านเนินเขาไปแต่ ทว่าพอเลยป่าช้าไปสักพักใหญ่ๆ ก็รู้สึกในใจว่ามีสิ่งแปลกประหลาดแฝงรอบติดตามเขามา ตอนแรกเขาไม่คิดอะไร มากนัก คงคิดว่าเป็นแม่นางรูปงามคงจะตามมา แต่ไม่ใช่กลับรู้สึกได้กลิ่นเหม็นสาปสางลอยตามลมมาด้วย ทันใดนั้นสาวอ้อยก็กระซิบบอกเขาว่า....... น้า จ้าน้า.....มันมาเล่นงานเราแล้วแต่ไม่ใช่พวกในป่าช้าบ้านเราหรอกจ้า ไม่รู้มันมาจากไหนท่าทางมันดุร้ายมาก จริงๆเป็นผู้หญิงอุ้มเด็กมาด้วยล่ะ???..... คราวนี้เขาชะงักเมื่อได้ยินคำพูดของสาวอ้อย พลางรำลึกนึกถึงพระพุทธคุณและบทที่หลวงพ่อสอนให้ เขาเริ่ม ตั้งสมาธิแต่ไม่มั่นคงเหมือนอยู่กับหลวงพ่อ ด้วยกำลังปั่นจักรยานอยู่ นอกจากภาวนาคาถาที่หลวงพ่อสอนไว้ไป ด้วยเท่านั้น สักพักเสียงลมพัดอู้ๆมา บรรดาต้นไม้ต่างๆเอนไหว แกว่งไกวไปมา สายลมนั้นกลับพุ่งมาทางเขา เขามองเขม่น ไปทางอื่นหรือกับไม่เห็นไหวเอนเหมือนเลย เขานึกถึงคำของแม่ตะเคียนรูปงามได้ก็บอกสาวอ้อยทันที อ้อยๆๆ....น้าจะหยุดรถก่อนนะ อ้อยไม่ต้องทำอะไรหรอก เดี๋ยวน้าจะจัดการเองแหละ จ๊ะน้า....ฤทธิ์มันแรงมากจริงๆ แรงกว่าฉันเสียอีกหากสู้ก็คงจะสู้เขาไม่ได้หรอก มันเป็นผีตายท้องกลมและยัง มีผีอาคมเสียด้วย อ้อ...ตอนนี้มันมากันอีกสองตัวแล้วล่ะจ้า เป็นชายร่างดำทะมึนทั้งคู่เชียว หญิงสาวกล่าวเตือนเขา เมื่อลมพัดมาจนจะถึงเขาก็หยุดชะงักลงไม่เข้ามากระทบร่างเขา แต่หูเขาก็ได้ยินเสียงร้องกล่อมลูกดัง อยู่บนต้นไม้ใหญ่ริมทาง เอ....เอ๋....เอ.... อย่างอแงแม่นะ เดี๋ยวแม่จะหาของเล่นมาให้หนูเล่นนะ เสียงเยือกเย็นแต่ยานเย็นยิ่งนักร้องขึ้นมา เขาแหงนหน้ามองไปบนต้นไม้ใหญ่ บนคาคบเห็นหญิงคนหนึ่งกำลังอุ้มเด็กแกว่งแขนไปแกว่งแขนมาเหมือนจะอุ้ม เด็กให้หายร้องงอแง เขาสะดุ้งครั้นยามเห็นเด็กที่หญิงนั้นอุ้มโผล่หน้ามาจากวงแขนแม่ แต่หัวมันช่างใหญ่โตมาก นัก ดวงตาหรือแม้แต่อากาศจะมืดแต่เขากลับเห็นมันช่างเป็นดวงตากลมใหญ่โตสีออกแดงมาก แม่จ้าๆๆๆ....ทำไมแม่ไม่ลงไปเอามันมาให้หนูล่นล่ะจ๊ะ.... เสียงเด็กกล่าวกับแม่ หนูจะได้มีเพื่อนเล่นจ้า.... คอยลุงเขากำลังมาก่อนนะลูก แต่เมื่อลูกต้องการงั้นแม่จัดการก่อน ผู้เป็นแม่พูดจบเอื้อมมืออันยาวเหยียดจากบน ต้นไม้มาหวังเพื่อจะคว้าร่างชายหนุ่มมาให้ลูกเล่น มือของมันช่างน่าเกลียดน่ากลัวอะไรเช่นนี้ อุดมไปด้วย น้ำเหลืองออกสีเหลืองไหลหยดเป็นทางลงมา แขนเป็นตะปุ่มตะปั่มเม็ดเล็กบ้างใหญ่บ้าง ชายหนุ่มมองดูแต่เขามิได้เกิดความกลัวเหมือนก่อน หรือว่าเนื่องจากเขาคลุกคลีและเห็นมาแล้วก็ได้ จึงได้ รวบรวมสตินึกถึงคุณพระรัตนตรัย ขออาศัยบารมีของพระพุทธเจ้าเป็นที่พึง เขาภาวนา พุทธังสรณังคัจฉามี ไปพลางๆ มืออันน่าเกลียดน่ากลัวเมื่อใกล้เข้ามายังร่างเขาห่างกันประมาณสองสามวาก็หยุดชะงักมิอาจจะ เข้ามาใกล้ๆเขาได้อีก เสียงร้องอุทานดังลั่นจากหญิงแม่ลูกอ่อนทันที แล้วมันหันไปกล่าวกับลูกว่า เอ๊ะแปลกจ๊ะลูกแม่เข้าไปต้องตัวมันไม่ได้เสียแล้วล่ะ เสียงลูกมันร้องว่างั้น หนูไปจัดการเองก็ได้แม่หนูไม่กลัวมันหรอก พูดพลางมันกระโดดจากตักแม่มัน โผลงจากต้นไม้เข้ามาหาเขา แต่มันก็ต้องชะงักทันที มันร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด เสียงร้องมันช่างโหยหวนก้องกังวานไปทั่วขุนเขา เนื่องจากอากาศและบริเวณแถวนั้นเงียบสงบ แม้แต่เสียงจิ้งหรีดจักจั่นตลอดสัตว์อื่นๆก็ไม่ได้ยินเสียงเหล่านั้นเลย แม่ๆๆๆช่วยลูกด้วยๆๆๆๆ มันร้องเต้นเร่าๆ เสียงดังฉาดๆๆๆไปบนใบหน้าเด็กหัวโตแต่ร่างกายมันเล็ก มากเหมือนเด็กอ่อนทั่วๆไป ใบหน้ามันสะบัดไปตามแรงตบไปๆมาๆ พร้อมร่างมันก็กระเด็นไปปะทะต้นไม้ ใหญ่ที่แม่มันนั่งอยู่ มันร้องไห้ใหญ่ตะโกนเรียกแม่มันให้มาช่วยทันที การทำนี้หาใช่ใครอื่นทำกลับเป็นสาว อ้อย เข้าไปขวางร่างชายหนุ่มไว้ แล้วเอื้อมมือตบใบหน้าเจ้าเด็กหัวโต เสียงฉาดๆดังสนั่นแล้วถีบร่างมันกระเด็นไป เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ สร้างความตกใจให้แก่แม่ของมัน มึงเองหรืออีเด็กสาว หน๋อยแน่ชักเอาใหญ่แล้วมาทำ ลูกกูได้ ว่าแล้วแม่มันก็ย่างเท้าลงจากยอดต้นไม้ ก้าวขาอันยาวๆลงมา พุ่งร่างมันไปประคองร่างผีเด็กหัวโตทันที เจ็บมากไหมลูก????.....มันถามด้วยความห่วงใย เจ็บมากเสียด้วยซิแม่ ซ้ำยังโดนถีบอีก มันเป็นผีเหมือนพวกเราแหละแม่ เด็กผีหัวโตฟ้องแม่มันทันที คราวนี้แม่มันโอ๋ลูกมันสักพัก แล้ววางลูกมันลง หันมาทางสาวอ้อย พลางชี้หน้าด่าทันที อีสัตว์.....มึงเป็นผีเหมือนกูทำไมมึงจึงไปช่วยมันล่ะ??..... อ้าวๆๆ....ก็ลูกมึงและมึงมารังครวญน้ากูก่อนนี่หว่า กูก็ต้องช่วยเขาซิว๊ะ???....หญิงสาวตอบ ดีล่ะมึงกับกูจะได้เห็นดีกัน.... ฉับพลันร่างมันก็สูงใหญ่ยกเท้าหมายกระทืบหญิงสาว แต่หญิงสาวหาเกรงกลัวไม่ พลางหลบหลีกและถีบไปยังเอวของผีแม่ลูกอ่อนทันที ถึงแม้ว่าจะตัวไม่สูงใหญ่เท่าผีแม่ลูกอ่อน ดังที่ชายหนุ่มเห็น แต่ที่แท้จริงนั้นร่างของสาวอ้อยสูงใหญ่พอๆกับผีแม่ลูกอ่อนเพียงแค่บังตาเขา มิให้ชายหนุ่มตกใจเท่านั้น ร่างของผีแม่ลูกอ่อนกระเด็น ซ้ำยังถูกสาวอ้อย ถลกผ้าถุงเตะเข้าใส่ไปอีกหลายๆครั้ง จนร่างนั้นพลิกไปพลิกมา เสียงมันร้องอย่างโหยหวน มันสู้สาวอ้อยไม่ได้ก็ด้วยสาวอ้อยเรียนรู้วิชาอาคมมาจากหลวงพ่อเสมอ ยามท่านท่องมนต์ และเรียกบรรดาเด็กๆมาอบรมและมอบวิชชาบางอย่างใช้ป้องกันบริเวณวัดจากพวกผีในป่าช้า จึงได้จำไว้และมีเกราะกำบังตัวเอง พละกำลังก็เหนือกว่ากันมาก ส่วนผีแม่ลูกอ่อนนั้นไม่ได้มีวิชาความรู้อาศัยฤทธิ์เดช ที่เป็นผีเฮี้ยนด้วยแรงตายท้องกลมเท่านั้นเอง มันกุมท้องและคว้าลูกมันมากอดไว้ พลางหันไปกล่าวกับหญิงสาวชายหนุ่มว่า.... ดีล่ะ...มึงอย่าหนีไปไหน แม้กูจะสู้มึงไม่ได้ เดี๋ยวเถอะจะมีคนมาช่วยกู อย่าเสือกหนีไปก่อนล่ะ อ้าวๆๆๆเขามาแล้ว แล้วมึงจะได้เห็นดีว่าคนของอาจารย์ดำเป็นอย่างไร????..... เสียงผีแม่ลูกอ่อนกล่าวขึ้น ทันใดนั้นเองเสียงพายุพัดกระหน่ำอย่างหนัก จนผ้าขาวม้าปลิวไหวและจักยานที่เขาจอดวางไว้ล้มลง ชายหนุ่มมองไปเห็นเป็นร่างทะมึนๆสองร่างก้าวข้ามเนินเขา เสียงหัวร่อของผีแม่ลูกอ่อนดังลั่น เสียงมันช่างบาดหูเขานักทั้งเสียงหวีดแหลมเล็ก เสียงห้าวๆ เสียงดังเด็กๆ มันทั้งสองแม่ลูกหัวร่อต่อกระซิกกันใหญ่ ที่จะได้มีพวกมาช่วยเหลือแก้แค้นแทนมัน จึงกล่าวเยาะเย้ยว่า คราวนี้ล่ะมึงเอ๋ย???...มึงจะได้สำนึกว่ามึงจะเก่งอีกหรือไม่เมื่อคนของอาจารย์ดำมาแล้ว มันกล่าวไปหัวร่อไป พลางหันมาแลบลิ้นอันยาวเหยียดส่ายไปส่ายมา พร้อมทั้งแหกอก ทำนัยน์ตาถลนทั้งแม่และลูก หัวร่อไป กล่าวไป มึงคอยดูหุ่นพยนต์ของอาจารย์ดำว่าร้ายกาจร้ายแรงขนาดไหน เขาไม่เหมือนกูนะโว้ยเป็นผีอาคมที่ปราบผีในป่าช้ามึงหมดสิ้นและยอมเป็นพวกเขาไปแล้วล่ะ??..... ชายหนุ่มหันไปเรียกสาวอ้อยทันที อ้อยๆๆ...มาอยู่ข้างกายน้านะอย่าออกไปจากบริเวณที่น้าทำไว้นะ.... กล่าวแล้วชายหนุ่มก็หยิบไม้เล็กๆที่หาได้แถวบริเวณนั้น แล้วมากรีดเป็นวงกลมทีละชั้นๆจนครบเจ็ดชั้น แต่ละวงเขาพึมพรำไปด้วยทุกๆวง ภายในวงนั้นมีบริเวณกว้างพอสมควร เขาเข้าไปนั่งโดยเรียกสาวอ้อยมานั่งข้างๆ สาวอ้อยเห็นดังนั้นก็ทราบทันทีว่าชายหนุ่มจะทำอย่างไรบ้าง จึงเดินมานั่งห่างจากชายหนุ่มเล็กน้อย เขานั่งหลับตา ทันทีเมื่อเห็นร่างทะมึนดำมะเลื่อมสองร่างย่างสามขุมเข้ามาหาเขา เขาสำรวมจิตใจภาวนาคาถาที่หลวงพ่อทองพึ่งสอน สำรวมจิตให้มั่นคงทันที พลางล้วงมือหยิบสิ่งของมากำไว้ในฝ่ามือของเขาแล้วภาวนามนต์ที่พ่อสอนไว้ใช้ ความรู้สึกบอกเขาว่าภายในฝ่ามือที่กำของไว้ดิ้นขลุกๆขลักๆอยู่ แต่เขายังไม่ได้แบมือออกเพียงแต่เมื่อเสร็จธุระ เขาก็ลืมตาขึ้น เห็นเจ้าร่างทะมึนดำมะเลื่อมก้าวขาเข้ามา พอมาถึงวงแรกมันชะงัก แต่ก็ยังยืนนิ่งคล้ายๆภาวนา อะไรบางอย่างแล้วก็ข้ามผ่านมาได้สองสามชั้น ชายหนุ่มนึกทันทีว่าไอ้เจ้าสองตัวนี้ไม่ธรรมดาเสียแล้ว หากเป็นผีอื่นคงไม่สามารถผ่านวงกลมเขาเข้ามาได้แม้สัก วงเดียว นึกถึงผีแม่ลูกอ่อนว่าเป็นหุ่นพยนต์ของอาจารย์ดำเขาจึงไม่สงสัย ด้วยเป็นวิชาอาคมนั่นเอง เมื่อเห็นว่ามัน จะก้าวผ่านวงกลมที่ห้ามาได้อีก เขาก็หลับตาภาวนามนต์ที่พ่อสอนไว้แล้วแบมือทันที เสียงหวีดหวิวๆดังลั่นหลุดพุ่งออกจากฝ่ามือเขาทันที เขาลืมตามองไปเห็นเป็นร่างของควายยักษ์สองตัวพุ่งเข้าใส่ ไปยังที่ดำทะมึนหุ่นพยนต์นั้นทันที ฉากการต่อสู้ระหว่างควายธนูของพ่อเขากับหุ่นพยนต์ของอาจารย์ดำก็เกิดขึ้น ควายธนูตัวหนึ่งร่างกายสีเป็นเงินยวงสะท้อนแสงจันทร์นวลกระจ่าง อีกตัวหนึ่งร่างออกสีน้ำตาล ทั้งสองตัวมี โหนกคอสูงชัน เขาแหลมมันโง้งปลายแหลมกว้างใหญ่ ต่างแยกกัน แยกตัวแบ่งเข้าต่อสู้กับหุ่นอาคม เจ้าตัวสีเงินมันพุ่งเข้าใส่ยังร่างหุ่นพยนต์ที่ดำมะเลื่อมรู้สึกจะใหญ่กว่าอีกตัวหนึ่ง พลางก้มหน้าสู่พื้นให้เขาแหลมคมมันเข้าหาศัตรู ลมหายใจมันเป็นทางยาว เสียงดังพรืดๆ ส่วนตัวสีน้ำตาลก็ทำแบบเงินตัวสีเงินพุ่งเข้าหาหุ่นพยนต์อีกตัวหนึ่ง เจ้าหุ่นพยนต์ก็ไม่ใช่ย่อยมัน พุ่งร่างเข้าหาควายธนูบ้างเตะบ้างพยายามจับเขาแต่ก็ไม่สามารถเข้าไปยังควายธนูเพื่อ จับเขาของเจ้าควายทั้งสองได้ กลับถูกควายธนูขวิดเอาเสียเลือดไหลนองไปตามๆกัน การต่อสู้ผ่านไปรู้สึกจะยาวนานมากก็ยังหาผู้ใดชนะกันไม่ได้ด้วยมิได้อ่อนแรงด้วยกันทั้งคู่ แต่ร่างของเจ้าหุ่นพยนต์นั้นท่าทางจะอ่อนเพลียก่อนและเสียเปรียบทางด้านพละกำลังยิ่งต่อสู้ยิ่งอ่อนแรงลงส่วน เจ้าควายธนูไม่ได้มีบาดแผลใดๆเลย ร่างกายกับรู้สึกฮึกเหิมขึ้นกว่าเก่ายิ่งสู่ยิ่งฮึกเหิมมากขึ้นเท่านั้น รู้สึกว่าจะมีพลังงานเข้ามาหนุนร่างของควายธนูเพิ่มขึ้นทุกขณะต่อสู้กัน ยิ่งต่อสู้เจ้าหุ่นพยนต์ยิ่งอ่อนแรง จนในที่สุด เขาของควายธนูก็ขวิดไปยังลำตัวของเจ้าผีหุ่นพยนต์ขาดออกจากกัน เลือดไหลทะลัก ไส้ไหลออกมาทั้งสองร่าง ร่างมันก็ค่อยๆหายวับไป เจ้าผีแม่ลูกอ่อนครั้นเห็นดังนั่นเตรียมตัวจะหนี แต่สายไปเสียแล้ว ร่างของเจ้าควายธนูตัวสีน้ำตาลวิ่ง เข้ามาถึงตัวพร้อมขวิดร่างของผีแม่ลูกอ่อน พร้อมลูกมัน เลือดนองขาดออกจากกัน เสียงร้องอย่างโหยหวน ระบมด้วยความเจ็บปวด ครวญครางดังลั่นไปทั่วบริเวณนั้น เสียงจากผีแม่ลูกอ่อนดังลั่น พร้อมกับเสียงผีเด็กหัวโตด้วย แต่มันก็กลับมารวมตัวกันใหม่ได้อีกรีบจะพยายามหนีจากไปให้พ้น ทันใดนั้นเองก็มีมือที่ลอยมาจากในอากาศมาคว้าร่างของผีแม่ลูกอ่อนกับผีเด็กหัวโตจับไว้ เสียงร้องของ ผีทั้งสองร้องลั่นอย่างโหยหวน รำพัน คร่ำครวญใหญ่ ข้ายังไม่ไปๆๆๆ....ข้าขอตัวอยู่ก่อนเถิด....อย่านำข้าไปเลยนะ เสียงล่องลอยมาแต่เขามิอาจเห็นตัวได้ เพียงได้ยินเสียงว่า มึงหมดเวลาเสียแล้วล่ะ.....ไปๆๆๆเสียดีๆก่อนข้าจะลงโทษเอ็งหนักกว่านี้ ไปรับกรรมของมึงที่สร้างไว้เถิด นี่มึงรู้ไหมมึงมาก่อกรรมเพิ่มขึ้นอีกมาก เพราะไปหลงเชื่อไอ้หมอระยำตนนั้น อีกไม่นานหรอกกูก็จะไปจับตัว มันมาอยู่รวมกับมึง แล้วร่างนั้นก็นำร่างผีแม่ลูกอ่อนและเด็กหายวับไป........ อากาศก็คืนกลับสู่ความสงบ พายุที่พัดกระหน่ำก็หายไป เสียงเงียบสงบก็บังเกิดขึ้นอีกวาระหนึ่ง ฉับพลันเสียงหัวร่อสดใสดังขึ้น กล่าวกลับชายหนุ่มได้ยินเพียงเขาเท่านั้นว่าเสด็จพ่อฉันมาช่วยจ้า ให้เขามารับมันไปเก็บไว้ ฉันไปเรียนท่าน ท่านทรงกริ้วมาก เลยใช้คนของท่านมาเก็บไปไว้รอชดใช้กรรม อีกอย่างอายุมันถึงวาระแล้วแต่ถูกปลุกด้วยอำนาจเวทมนต์จึงอยู่ได้ ฉันเห็นว่าหากปล่อยไปก็จะไป รังควาญคนอื่นอีกสร้างเวรไม่รู้จักจบ จึงไปเรียนเสด็จพ่อ พระองค์ทรงกริ้วมากสั่ง ให้ท่านพระยามัจจุราชใช้เด็กมาจับตัวไปแล้วจ้า แล้วเสียงนั้นก็ลอยหายไป............. หลังจากพ้นเหตุการณ์ไปแล้วชายหนุ่มก็รีบปั่นจักรยานกับบ้าน เมื่อเขาเก็บของเรียบร้อยแล้วก็ขึ้นไปบนบ้าน พ่อแม่เขายังไม่นอน แต่พ่อแต่งกายแปลกคือพึ่งออกจากห้องพระมายังมีผ้าคาดเฉวียงบนไหล่อยู่ ครั้นมาถึง เขาเข้าไปกราบพ่อแม่ แล้วท่านเรียกให้นั่งแล้วกล่าวว่า เห็นทีพ่อจะต้องรีบสอนเอ็งเสียแล้วเวลาไม่คอยท่าด้วย ฉันด้วยแม่เข็มกล่าวขึ้นบ้าง เออๆๆ...ดีๆแม่เข็ม ต่างคนต่างสอนกันนะ ข้าว่าจะสอนเรื่องกสิณ 10 ก่อนแล้วค่อยต่อวิชาอาคมให้ด้วยหลวงพ่อ ท่านได้สอนเรื่องฌานสมาบัติให้แล้ว เขานั่งฟังพ่อแม่พูด ถึงกับอ้าปากหวอ นี่พ่อรู้เรื่องเขาตลอดเลยหรือ เสียงกระซิบข้างหูว่าทำไมพ่อแม่จะไม่รู้ล่ะพี่ อิอิ น้าๆจ๊ะ น้าขอเรียกว่าพี่ก็แล้วกันนะๆๆ อีกหน่อยเราก็.... แล้วเสียงหล่อนหยุดชะงักไม่กล่าวอะไรอีกเลย เขาพยักหน้าหงึกๆ ตามสบายเขากล่าวเบาๆไม่ให้พ่อแม่ได้ยิน แหมดีจริง ใจดีด้วยพี่เรา อิอิ อ้อยรักตายเลยล่ะ แล้วเสียงก็หายไป เดี๋ยวเอ็งเสร็จธุระเอากันคืนนี้เลยล่ะ ไปห้องพระกับพ่อ กูจะสอนวิธีให้ พ่อกล่าว ครับๆ....กล่าวเสร็จเขาก็เดินไปกับพ่อ อดหันหน้ามามองทางแม่ไม่ได้ ไปเถอะลูก บุญของเอ็งแล้วพ่อเอ็งไม่ค่อยเหมือนใครๆเขาด้วย พรุ่งนี้มาหาแม่จะสอนวิชาที่แม่รับถ่ายทอดจากตา ให้เจ้าให้หมดไม่ยากหรอก ส่วนใหญ่เป็นวิธีแก้อาคมทั้งสิ้น แม่เข็มตอบ ครับๆ แล้วเขาก็เดินตามพ่อไปเข้าห้องพระ เมื่อเขากราบพระและ พระฤๅษีแล้ว มานั่งพ่ออธิบายวิชาอาคมให้ฟัง เขารับฟังไว้ ในเรื่องกสิณทั้งหมด แล้วให้เขาฝึก กสิณไฟก่อน คือให้นั่งเพ่งเทียนที่พ่อจุดไว้โดยให้เขาไปนั่งที่หน้า โต๊ะหมู่พระฤๅษี เพ่งเทียนไปหลับตาไป ได้ยินเสียงพ่อกล่าวว่า ให้แสงเทียนนั่นมองเห็นแล้วรวมตัวกันเป็นจุดๆเดียว ให้มันขยายใหญ่และเล็กได้ตามใจต้องการของเอ็ง พยายามทำไว้ด้วยเอ็งก็เรียนสมาธิกับหลวงพ่อมาแล้วไม่เท่าไหร่ เอ็งก็ทำสำเร็จกสิณใดกสิณหนึ่งได้แล้ว แล้วค่อยไปทำกสิณอื่นต่อ หากได้กสิณใดกสิณหนึ่งแล้วกสิณอื่นก็ไม่ยากหรอกจะคล้ายๆหรือ บางทีก็จะเหมือนๆกันแหละ สามารถนำธาตุต่างๆมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ เช่นกสิณไฟก็สามารถสร้างไฟ ให้เกิดขึ้นได้เอง ซ้ำยังมีอิทธิฤทธิ์ใช้กับอาคมได้อย่างดีแรงกล้าอีกด้วย จำเอาไว้ เขารับคำพ่อเริ่มทำตาม ที่พ่อบอก ครั้นสักพักที่พ่อควบคุมได้ยินเสียงพ่อเดินจากไป เขาทำสักพักรู้สึกว่าจะไม่ได้ยินอะไรรอบข้างเขาอีกเลย เขาเริ่มร่ำเรียนทั้งหลวงพ่อ พ่อแม่เขาไม่มีเวลาไปไหนเลย ท่านบอกว่างานเอ็งมันจวนตัวแล้วล่ะ ฉะนั้นต้อง เรียนให้จบโดยเร็ว แต่ข้าเชื่อว่าปัญญาอย่างมึง ที่หลวงพ่อท่านมาถูกทางแล้วไม่ช้าหรอกลูก ก็จะเรียนจบ เอ็งไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น ฝึกมันทั้งกลางวันกลางคืนเลย ดังนั้นเขาจึงต้องเริ่มฝึกฝนวิชาอาคมต่างๆจากหลวงพ่อและพ่อแม่เขาไม่มีเวลาว่างๆเลย พ่อแม่ไปทำไร่ก็ไม่ยอม ให้เขาไปช่วย ให้นั่งฝึกวิชาอาคม พอท่านกลับมาก็รีบมาทำการทดสอบเพื่อให้แน่แก่ใจของท่านทั้งสองเสมอๆ เวลาผ่านไปเกือบเดือนเขาก็สามารถร่ำเรียนวิชาอาคมจากหลวงพ่อและพ่อแม่เขาสำเร็จ เขาทดลองท่องให้ฟังก็ แม่นยำตลอดจนเขียนเลขอักขระขอม ยันต์ เรียกสูตรต่างๆ ด้านกสิณเขาก็ฝีกจนสำเร็จ จะด้วยสิ่งที่เขาเคยฝึกมาใน ปางก่อนก็ได้ เขาจึงผ่านพ้นมาได้ด้วยดี พ่อเขาให้เขาทดลองโดยไปเอาหินที่แกะสลักเป็นรูปสัตว์ที่ตั้งพิงไว้ข้างฝา มาจับให้นอนหงายยกเท้าขึ้นฟ้า แล้วสั่งว่าให้เขาทำให้มันตั้งขึ้นยืนเหมือนเดิมโดยไม่ต้องจับให้ใช้สมาธิและกสิณ เข้าช่วยห้ามจับต้องเด็ดขาด หากเอ็งทำได้ก็ถือว่าสำเร็จแล้ว ชั่วเวลาไม่นานพ่อนั่งมองเขา เขาเข้าสมาธิแล้วลืมตาเพ่งมองหินที่แกะสลักพลันมันพลิกตัวกลับยืนขึ้นได้เหมือน มันมีชีวิต ยืนขึ้นได้เอง เขาลองสั่งมันให้เดิน แปลกแฮะมันกลับเดินได้ทั้งๆที่เป็นหินแกะสลักแท้ๆ ฮ่าๆๆๆๆ.....เสียงพ่อเข้าหัวร่อลั่น แม่เข็มเอ๋ยเจ้าโชติมันสำเร็จแล้วล่ะแม่ มามะมาๆมาดูซิแม่ เออๆๆๆ....ข้ารู้แล้วอีชบากับไอ้แกละมันบอกให้แล้วล่ะเสียงแม่เข็มตอบอยู่ในห้อง นี่ข้าก็แกะรูปท่อนไม้นั้นเสร็จ แล้วตามภาพที่ข้านั่งเห็น ว่าจะเอาไปให้เจ้าโชติมันดูว่าเหมือนกับที่มันเห็นไหม....แม่เข็มกล่าวขึ้น พ่อหันมาถามเขาว่า เออ...แล้วหลวงพ่อท่านล่ะให้ทดลองเหมือนพ่อหรือเปล่า ทดลองจ๊ะพ่อ ท่านให้ผมเขียนในแผ่นผ้าแล้วให้ผมลงเลขยันต์ต่างๆพร้อมกับลงในตะกรุดแผ่นทองเหลืองบ้าง ตะกั่วบ้าง และแผ่นหนังบ้าง โอ้ย.....จิปาถะจ๊ะพ่อ แล้วท่านนำของทั้งหมดเหล่านี้หลายๆอย่างผูกมัดรวมกันไว้ นำไปวางยังหน้าองค์พระบูชาแล้วให้ผม เรียกของที่ผมลงไว้จ๊ะ โดยเหมือนๆกับพ่อให้ทำมิผิดกันหรอกจ้า และไม่ยอมให้ผมได้ไปวางหรือเข้าใกล้เลย ท่านนำไปวางเอง แล้วให้ผมภาวนาของที่ผมทำขึ้นจ้า แล้วเป็นอย่างไรล่ะลูก.....เสียงพ่อหัวร่อ พอผมนั่งสมาธิภาวนาทั้งๆที่ลืมตานะครับ ผ้ายันต์ที่ห่อด้วยตะกรุดมันสั่นใหญ่เชียวล่ะ แล้วก็คลายออกพร้อม ทั้งผ้ายันต์และตะกรุดมันเต้นใหญ่แล้วก็ลอยมาหาผมครับพ่อ....ชายหนุ่มกล่าว มันต้องอย่างนี้ซิอ้ายลูกรัก.....เอ็งสำเร็จแล้ว หลวงพ่อว่าอย่างไรบ้างล่ะ????... ท่านอมยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรมากหรอกพ่อ เพียงกล่าวว่าเอ็งได้วิชากูไปหมดแล้ว มึงต้องสำรวมอย่าอวดตัวเอง อย่าเหลิงตัวให้ประพฤติในทางดีและอย่าทำให้ใคร หากคนๆนั้นไม่ดีจริงๆ แล้วห้ามทำให้เด็ดขาด หากจำเป็นทำให้เขาแล้วก็เรียกของมันกลับคืนมานะ ท่านสั่งแค่นั้นจ๊ะพ่อ เออดีแล้ว ของพ่อกับแม่ เอ็งก็จงทำเหมือนกับหลวงพ่อสั่งไว้ ให้ทำตัวว่าเป็นผู้ไม่รู้วิชาอาคมใดๆทั้งสิ้น ให้ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรม ส่วนหน้าที่มึงจำเป็นแต่ควรแผ่เมตตาใส่บาตรกรวดน้ำให้เขาเสมอๆนะ ด้วย มันเป็นเรื่องเวรเรื่องกรรมของมันเอง อาจจะติดตามมาถึงเอ็งได้ ด้วยเขากำหนดมาแล้วมึงจึงต้องมีหน้าที่นี้ คราวนี้ชายหนุ่มอ้าปากหวอ แต่ไม่ได้กล่าวอะไรทั้งสิ้น สักพักแม่เขาก็ก้าวออกมาจากห้องยื่นไม้แกะสลัก ให้เขาดู พลางถามว่า เหมือนไหมลูก???.... แม่ถาม เขามองรูปที่แกะสลัก สะดุ้งสุดตัว อะไรแม่เก่งถึงปานนี้เชียวหรือ และแม่ก็ไม่เคยเห็นแต่ทำไมแกะสลักได้เหมือน จริงๆเขารำพึง พลางกล่าวว่า แม่เก่งจริงๆจ๊ะ ช่างแกะได้เหมือนจริงๆเลย จะมอบให้ผมไว้เลยหรือ???... เขาถาม ยังหรอกลูกต้องให้แม่กับพ่อและหลวงพ่อไปทำพิธีบวงสรวงก่อนถึงจะมาให้ลูกได้จ๊ะ อ้าวๆๆแล้วเมื่อไหร่ล่ะแม่?????.... เขาถามขึ้น สงสัยจะเป็นพฤหัสนี้แหละลูก แม่จะได้เตรียมของไว้ให้เสร็จสรรพ ด้วยเขาไม่ใช่ธรรมดานะเป็นถึงลูกคนใหญ่ คนโตเสียด้วยซิ ว่าคืนนี้จะขออนุญาตท่านก่อน ไม่รู้จะว่าอย่างไรพ่อเอ็งก็คงจะเหมือนๆกันแหละด้วยเขาก็รู้เหมือน กับแม่แหละ กล่าวแล้วก็หยิบพกใส่เสื้อไว้ ตั้งแต่นั้นมาเขาก็พยายามท่องมนต์ต่างๆไว้เสมอๆ คอยวันที่แม่เขาจะนำรูปแกะสลักมาให้แล้ว ก็คงจะได้เวลาที่จะ ต้องเล่าอะไรบางอย่างให้พ่อแม่เขาฟังด้วย และขออนุญาตบางอย่างแก่พ่อแม่เขา ชายหนุ่มคิด................ * แก้วประเสริฐ. *
12 พฤศจิกายน 2553 00:14 น. - comment id 119959
เห็นภาพผีสู้กับควายธนู และท่าถึบของอ้อยเลยค่ะครู รอตอนต่อไปนะคะ
12 พฤศจิกายน 2553 00:52 น. - comment id 119960
คุณ อนงค์นาง ตอนนี้ครูว่างๆก็เลยเขียนเร่งหน่อยจ้า แต่ครูว่าเพียงแค่ได้สิบหรือยี่สิบเปอร์เซ็นต์ เท่านั้นเองแหละ คอยชมตอนต่อไปนะว่า จะเริ่มอีกแล้ว นี่ก็เลยเที่ยงคืนไปแล้วล่ะ ว่าจะเขียนสักหน่อย แล้วไปตรวจทานพรุ่งนี้ รับรองว่าสนุกจะมีหลายรูปแบบล่ะทีนี้ รักศิษย์เรามากเสมอ แก้วประเสริฐ.
13 พฤศจิกายน 2553 12:46 น. - comment id 119969
สนุกจังค่ะ
13 พฤศจิกายน 2553 13:27 น. - comment id 119972
คุณ แจ้นเอง ผมรีบแต่งเพราะเอาใจคุณน่าเนี๊ยะด้วย ปกติแล้วผมมักจะให้หมดหน้าก่อนแล้่วค่อย จะมาแต่งต่อเสมอๆ แต่คุณว่าไม่ต่อเนื่อง เลย ทนหลัีงเที่ยงคืนค่อยแต่งครับ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
27 ธันวาคม 2553 15:32 น. - comment id 120810
แวะมาอ่านค่ะสนุกดี พี่ชายเขียนเก่งจัง หลายตอนยังงี้ถ้ารวมเล่มคงดีเนาะ
13 มกราคม 2554 22:13 น. - comment id 121338
แสงดาวเข้าไปศึกษาเรื่องกสิณ 10 ของ... หลวงพ่อลิงดำ..แต่ยังศึกษาไม่หมด... ขอบคุณนะคะ