อาชาดำ ตำนานชาตินักรบ ตอน สืบสวนชนวนภัย(๒)

คนกรุงเก่า

นายบุญถือดาบคู่มือของตนเดินขึ้นไปบนสนาม  ความสง่างามของนายบุญนั้นเผยออกมาจนผู้ที่ล้อมดูรอบลานนั้นต้องจ้องที่เขาเป็นจุดเดียว
     นายบุญเดินถึงกลางสนาม
     "ขออภัยด้วยเถิดพี่เหม็น"
     นายเหม็นได้ฟังดังนั้นจึงก้มลงกราบนายบุญ
     ความจริง นายบุญไม่จำเป็นต้องขออภัยนายเหม็นเลยเนื่องด้วยนายเหม็นเป็นเพียงข้าทาสของบิดาบุญธรรมของตน  แต่เนื่องด้วยทั้งสองนั้นเป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่เด็ก  นายเหม็นอายุมากกว่านายบุญเกือบรอบ  และยังเป็นผู้สอนวิชาต่อสู้เบื้องต้นให้อีกด้วย  ฉะนั้น การกระทำเช่นนี้จึงเผยให้เห็นถึงธาตุแท้ลูกผู้ชายอย่างแท้จริงของนายบุญ
     นายเหม็นหลังจากลุกขึ้นมือก็กระชับขวานคู่ในมือแน่น  นายบุญชักดาบออกจากฝักอย่างรวดเร็วจู่โจมโหมรุกนายเหม็นเป็นพัลวัน  นายเหม็นก็ปัดซ้ายป่ายขวาด้วยความคล่องแคล่ว  ชาวบ้านที่มุงดูโดยรอบส่วนใหญ่ดูเพื่อความสำราญใจเท่านั้น  มีเพียงยอดฝีมือเท่านั้นที่ดูออกว่าทั้งคู่ล้วนเป็นสุดยอดฝีมือ  เพลงดาบที่นายบุญใช้ออกนั้นล้วนร่ำเรียนมาแต่สำนักดาบวัดพุทไธศวรรย์  ส่วนนายเหม็นนั้นแม้จะดูท่าทางไม่คล่องแคล่วเท่านายบุญ แต่ทุกขวานที่จามลงนั้นก็ทรงพลังมหาศาล
     กรรมการที่นั่งอยู่ขอบสนามนำกะลาวางลงในอ่างได้ครึ่งยกแล้วทั้งคู่ก็ยังไม่ปรากฏแววแพ้ชนะ   ผู้คนที่รอบล้อมอยู่นั้นยิ่งชมดูยิ่งเมามัน
     ถึงคราคับขันของนายเหม็น   เมื่อนายเหม็นจามขวานลงบนศีรษะของนายบุญแต่ถูกปัดป่ายได้ทั้งดาบของนายบุญก็สวนกลับมาจะจ้วงแทงที่ท้องน้อยของนายเหม็นอย่างรวดเร็ว   ในระยะประชิดเช่นนี้แทบจะไม่มีผู้ใดสามารถหลบรอดดาบนี้ได้   แต่นายบุญกลับแก้ไขสถานการณ์ได้โดยการกระโดดข้ามศีรษะนายบุญพร้อมกับตวัดขวานกลับหลัง   นายบุญเห็นดังนั้นจึงตวัดดาบกลับเช่นเดียวกัน   ดาบขวานปะทะกับเป็นผลให้ข้อมือของนายบุญเกิดอาการชาด้านสะท้านสะเทือน   ส่วนนายเหม็นเมื่อตัวลงพื้นก็โงนเงนแทบจะล้มลง
     จบยกแรก   ทั้งสองต่างชมเชยซึ่งกันและกันแล้วแยกย้ายไปนั่งพักผ่อนที่สองฝากข้างลานประลอง   แต่การประลองยังไม่สิ้นสุด   เมื่อยกที่สองเริ่มขึ้นทั้งสองก็ปะทะกันด้วยความดุเดือดกว่าเดิมคล้ายกับยิ่งสู้พละกำลังยิ่งเพิ่มพูนเป็นเท่าทวี
     หวุดหวิดเฉียดคมอาวุธของฝ่ายตรงข้ามมาหลายรอบจนตะวันเริ่มตกดิน  ทั้งคู่เริ่มอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง   แท้จริงผ่านมาสิบกว่ายกแล้ว   เมื่อจบลงอีกยกทั้งคู่ก็นั่งพักที่สองฟากข้างเช่นเคย
     เสียงปรบมือดังขึ้นจากกรรมการที่นั่งอยู่บนแท่นสูงสุดข้างลาน   ทั้งคู่จึงมองไปที่กรรมการผู้ที่ปรบมือนั่น   เห็นชายผู้หนึ่งนั่งหย่อนขาอยู่บนแท่นที่นั่งที่อยู่สูงขึ้นไปราวสามศอก   ชายผู้นี้มีผิวพรรณขาวผ่อง   ใบหน้าอิ่มเอิบคล้ายมีรัศมีปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง   แต่งกายคล้ายเครื่องทรงของพระราชวงศ์     อายุรุ่งราวคราวเดียวกับนายเหม็น สองข้างมีทหารแต่งตัวคล้ายทหารหลวงยืนถือหอกอารักขา
     "ยอดเยี่ยม   เจ้าหนุ่มทั้งสองจงเข้ามาใกล้ๆเรา"
     กล่าวจบรอบข้างล้วนเงียบสงัด   ชาวเมืองทั้งปวงรวมทั้งนายเหม็นล้วนก้มลงถวายบังคมไปทางพระแท่นสูงนั้น   นายบุญไม่รู้ความจึงยืนสงบนิ่งจนนายเหม็นต้องกระตุกชายผ้า   นายบุญจึงก้มลงถวายบังคมเช่นผู้อื่น
     นายเหม็นคลานเข้าไปใกล้หน้าแท่นนั้น   นายบุญก็คลานตามหลังเข้าไปด้วยความไม่รู้เดียงสา
     แท้ที่จริงชายที่นั่งบนแท่นนั้นคือเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศรไชยเชษฐสุริยวงศ์ กรมขุนเสนาพิทักษ์   หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าเจ้าฟ้ากุ้ง  อันเป็นพระราชโอรสพระองค์โตแห่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว   พระองค์ทรงมีศักดิ์เป็นถึงวังหน้าแห่งมหาธานีกรุงศรีอยุธยา
     "เจ้าทั้งสองมีฝีมือประจักษ์เป็นที่พอใจแก่รานัก   เราจักให้เจ้าทั้งสองมาเป็นมหาดเล็กของเรา   ว่าอย่างไรเล่าเจ้าหน้าขาวเจ้าหน้าเคราทั้งสอง" เจ้าฟ้ากุ้งทรงตรัสด้วยความพอพระทัย
     "เป็นพระกรุณาต่อข้าพระพุทธเจ้าทั้งสองยิ่งแล้ว   พระพุทธเจ้าค่ะ" นายเหม็นกล่าวด้วยความปลื้มปีติ
     สมเด็จเจ้าฟ้าได้สดับดังนั้นก็ทรงพระสรวลด้วยความพอพระทัย
     เช้าวันรุ่งขึ้น   คุณพระฤทธิ์รณชัยจึงนำนายบุญและนายเหม็นทั้งสองพร้อมด้วยพานดอกไม้ธูปเทียนเข้าถวายตัวรับใช้เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร   โดยเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศรทรงแต่งตั้งให้ทั้งสองเป็นมหาดเล็ก   ทำหน้าที่รับใช้และอารักขาพระองค์อย่างใกล้ชิด
     หามีผู้ใดทราบไม่ว่านี่คือจุดหันเหชีวิตของนายบุญ  จากเด็กกำพร้าผู้ได้รับการเลี้ยงดูมาจากขุนนางฝ่ายกรมวัง   จะผันตัวกลายมาเป็นทหารเอกแห่งแผ่นดินศรีอยุธยา
     ฝ่ายคุณพระฤทธิ์รณจักรสืบสาวเรื่องของโจรแถวชานพระนครจนกระทั่งรู้แหล่งกบดานของตัวหัวหน้าซ่องโจร
     โจรเหล่านี้เป็นกลุ่มโจรที่ชาวบ้านล้วนเรียกขานว่า "โจรอาชา"   เนื่องด้วยโจรกลุ่มนี้ล้วนเชี่ยวชาญการควบม้าเป็นพิเศษ   แต่มิใช่ว่าโจรกลุ่มนี้จะขี่เป็นแต่ม้าเท่านั้น  แต่ยังเชี่ยวชาญการปล้นทางน้ำอีกด้วย
     คุณพระฤทธิ์ฯสืบทราบมาว่าโจรอาชากลุ่มนี้มักจะดักปล้นพ่อค้าวานิชที่นำสินค้ามาขายในกรุงแถบชานพระนคร   โดยปล้นทั้งทางบกและทางน้ำ   ด้วยฝีมืออันร้ายกาจของโจรอาชากลุ่มนี้จึงทำให้ทหารหลวงมิเคยจับโจรอาชาได้เลย
     คุณพระฤทธิ์ฯจึงนำความกราบบังคมทูลต่อองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมทั้งขอกำลังทหารหลวงหนึ่งร้อยนายเพื่อจะทลายซ่องโจรนี้ให้จงได้
     ค่ายใหญ่ของโจรอาชาตั้งอยู่บริเวณคลองเล็กทางเหนือแม่น้ำลพบุรี
     คุณพระฤทธิ์ฯจึงทำการวางแผนเข้าจู่โจมกลางคืน   โดยให้กำลังพลกึ่งหนึ่งข้ามแม่น้ำเข้าโจมตีค่ายด้านหน้า   ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งท่านคุมไปเองโดยพายเรือทวนลำน้ำลพบุรีเข้าคลองน้อยและโจมตีค่ายด้านหลัง
     แม้คุณพระฤทธิ์ฯจะดำเนินแผนการอย่างรัดกุมแต่กลับมองข้ามไปสิ่งหนึ่ง   การที่เข้าจู่โจมกลางคืนนั้นกลับส่งผลเสียต่อทหารหลวงเนื่องจากกลุ่มโจรอาชานั้นถนัดจัดเจนในการปล้นยามค่ำคืน  ต่างกับทหารหลวงซึ่งซ้อมรบยามกลางวันเป็นส่วนใหญ่   และอีกประการหนึ่งที่คุณพระฤทธิ์ฯหาทราบไม่ก็คือ   ค่ายโจรอาชานี้มีพรรคพวกอยู่หลายร้อยคนสลับผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าเวรยามทั้งกลางวันและกลางคืน   ด้วยเหตุนี้เอง  แผนจู่โจมของคุณพระฤทธิ์ฯจึงล้มเหลว   ตัวคุณพระฤทธิ์ฯเองก็ถูกกุมตัวไว้เพื่อประจานความล้มเหลวของทหารหลวง
     ข่าวคุณพระฤทธิ์ฯถูกโจรอาชากุมตัวไว้แพร่สะบัดอย่างรวดเร็ว   เมื่อบุญรู้ข่าวก็ถึงกับเข่าอ่อนแทบเป็นลม   เขากับนายเหม็นโศกเศร้าเสียใจและเริ่มวาแผนชิงตัวก่อนที่คุณพระฤทธิ์ฯจะถูกตัดหัวเสียบไว้หน้าค่ายโจร...				
comments powered by Disqus
  • ไร้อันดับ

    8 ตุลาคม 2553 08:32 น. - comment id 119371

    ในด้านผลงานกวี
    เจ้าฟ้ากุ้ง เป็นกวีที่มีชื่อเสียง
    
    ในด้านชีวิต ก็เป็นผู้ที่น่าสนใจ
    ท่านหนึ่งในประวัติศาสตร์
    
    ในเรื่องนี้ ใช้ช่วงเวลา
    ดำเนินเรื่องที่น่าสนใจ
    เพราะเป็นช่วงปลาย
    ของสมัยอยุทธยา 
    เป็นช่วงที่ไทยต้องเสีย
    เอกราชให้กับชนชาติอื่น
    
    รออ่านตอนต่อไปครับ 11.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน