ความรักอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า....
คีตากะ
หากเรายังยึดติดสิ่งใดๆ ในโลก เช่นนี้แล้วเราก็จะอยู่ในเงาแห่งการสูญเสียทุกขณะ สิ่งที่เราจะพึ่งได้เท่านั้นคือ อาจารย์ภายใน พลังอันยิ่งใหญ่ เช่นนี้แล้วเราก็จะปราศจากความกลัว สบายใจและได้รับการหลุดพ้น
ฉันได้เป็นบุตรสาวอันเป็นที่รักของพระเจ้าอยู่เสมอนับแต่ในวัยเด็ก เพราะว่าด้วยวิธีบางอย่างโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก ฉันก็ได้เป็นเจ้าของบางสิ่งซึ่งผู้อื่นไม่มี แม้ว่าพวกเขาจะมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าและได้ทำงานอย่างหนักเพื่อสิ่งนั้น พวกเขาบางคนก็รู้สึกอิจฉาฉันมาก แต่ฉันไม่ได้รู้สึกภูมิใจในสิ่งเหล่านี้เลย เพราะฉันรู้อยู่ลึกๆ ภายในหัวใจของฉันว่า สิ่งต่างๆ ทั้งหลายนี้มาจากพระเจ้าไม่ใช่มาจากฉัน ทุกครั้งถ้าฉันยึดติดมากเกินไปในสิ่งเหล่านั้นหรือพึ่งพาอามันมากเกินไป ไม่รู้สึกขอบคุณพระเจ้า หรือลืมความรักของพระองค์ เช่นนี้แล้วพระองค์ก็จะเอามันไปจากฉันเพื่อชำระล้างอุปสรรคทั้งหลายระหว่างพระองค์และฉัน พระองค์ได้สอนฉันครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความอดทนอันไม่สิ้นสุด แม้ว่าฉันจะร้องไห้และเศร้าโศกเสียใจเพื่อที่จะให้ฉันรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งสำคัญจริงๆ และทำให้ฉันได้เข้าใกล้พระองค์มากยิ่งขึ้น ไม่ใช่ว่าพระองค์เป็นผู้ที่มีความคิดคับแคบที่จะต้องการความขอบคุณจากฉัน แต่ถ้าฉันรักสิ่งใดมากกว่าพระองค์ มันก็จะเป็นอุปสรรคระหว่างพระองค์และฉัน ทำให้ฉันเหินห่างจากพระองค์
ดังนั้นทุกครั้งที่พระองค์เอาสิ่งใดๆ ไปจากมือของฉัน จะมีความกรุณาของพระองค์อยู่เสมอ มีความเมตตาและพระพรซ่อนอยู่ลึกๆ ภายในนั้น คัมภีร์ไบเบิ้ลได้กล่าวไว้ว่า “หากพระเจ้าปิดประตู พระองค์ก็จะเปิดหน้าต่างอีกบานหนึ่งให้เธอ” ท่านอาจารย์ก็ได้เคยเล่าเรื่องให้เราฟังเกี่ยวกับสุภาพสตรีและกษัตริย์ กษัตริย์บอกสุภาพสตรีนั้นว่า หล่อนสามารถเอาอะไรก็ได้ชิ้นหนึ่งจากพระราชวังของพระองค์ไปเป็นของขวัญถ้าหล่อนปรารถนา สุภาพสตรีผู้ชาญฉลาดนั้นได้เลือกที่จะเอาตัวพระราชา เพราะเมื่อหล่อนเป็นเจ้าของพระราชา หล่อนก็จะได้เป็นเจ้าของทั้งอาณาจักร ก็เหมือนกันกับถ้าเราสละทุกสิ่งทุกอย่างและพึ่งพาพระองค์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น เราก็จะมีทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ได้สร้างขึ้น
ครั้งหนึ่งท่านอาจารย์ได้บอกพวกเราว่า “แม้ว่าเธอบำเพ็ญความดีและความยุติธรรมก็จะมีพลังทางลบที่จะพยายามโจมตีเธออยู่เสมอ ที่จะพยายามทำให้เธอหันเหออกจากจุดมุ่งหมายของเธอ ล่อลวงเธอให้ไปในทิศทางต่างๆ ทำให้เธอไขว้เขว ดังนั้นจึงต้องใช้ความมุ่งมั่นอย่างมากและหลักการที่จะควบคุมตัวเราเอง ที่จะตรวจสอบวิธีการของเรา ที่จะตรวจสอบชีวิตของเรา เพื่อว่าเธอได้เติบโตในทิศทางที่ถูกต้องอยู่เสมอโดยไม่ต้องเสียใจและไม่ต้องมาพร่ำบ่นถ้าเธอไม่ได้รับผลที่ดีจากมัน แต่ทั้งๆ ที่มีอุปสรรคทั้งหลายเหล่านี้ และความไม่เป็นที่น่ายินดีในรูปแบบใดๆ เราก็ยังคงพัฒนาต่อไป เรายังคงพัฒนาตัวเราต่อไปที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง เพราะว่ามันถูกต้อง เพราะมันเป็นการท้าทายของโลกนี้ที่เราจะพูดในวิถีทางแห่งพระเจ้าอยู่เสมอ ที่เราพูดศีลแห่งความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอยู่เสมอ นั่นก็คือวิธีการที่เราจะขึ้นไปให้อยู่เหนือความแตกต่างทั้งหลายและคำสรรเสริญและการติเตียนทั้งหลาย เพื่อที่จะเป็นมนุษย์ผู้สูงส่ง” คัดจาก “กุญแจแห่งการรู้แจ้งในทันที” เล่มห้า ปราศรัยเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 1993)
ฉันเคยมีความคิดว่า ตราบใดที่เราได้รับการประทับจิตจากอาจารย์ผู้รู้แจ้ง เราก็จะปลอดภัย แต่ตอนนี้ฉันรู้ว่าถ้าเราไม่จริงจังต่อตัวเราเพียงพอในการบำเพ็ญ ถ้าเราไม่มีศรัทธาอันแรงกล้าและความจริงใจอย่างแท้จริงในหนทางการบำเพ็ญ ถ้าเราไม่มีค่าคู่ควรกับธรรมวิถีที่ท่านอาจารย์ได้ถ่ายทอดให้กับเรา เราก็จะไม่สามารถผ่านการทดสอบทั้งหลาย ฉันขอร้องพระเจ้าทั้งน้ำตาว่า “โปรดอย่าได้เข้มงวดมากนักกับสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้เพราะมันน่าเสียดายถ้าผู้นั้นต้องหลุดออกจากหนทางหลังจากประทับจิตแล้ว” แต่ฉันก็ได้รับความรักอันสูงสุดของพระองค์จากบทเรียนอันเข้มงวดและรุนแรงนี้ และด้วยน้ำตาและความโศกเศร้าฉันก็ได้รับความกล้าหาญที่จะเผชิญกับทั้งโลกถ้าฉันอยู่ในด้านที่ถูกต้อง แต่ก่อนฉันไม่คิดว่าฉันอยู่ในด้านที่ถูกต้อง แต่ก่อนฉันไม่คิดว่าฉันจะทำมันได้ ท่านอาจารย์ได้บอกพวกเราหลายครั้งว่ายุคทองกำลังใกล้เข้ามา ฉันได้เรียนรู้จากคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ว่า ผู้คนสามารถติดต่อกับพระเจ้าได้โดยตรงในยุคทอง เมื่อเราพึ่งพาพระองค์เท่านั้นจริงๆ และฟังคำสั่งจากปัญญาสูงสุดโดยตรง และเผชิญหน้ากับโลกอย่างห้าวหาญ เราก็จะอยู่ในยุคทองในขณะนี้ !
บนเส้นทางการบำเพ็ญ
โดยพี่ประทับจิตหญิง มิลินซู ฟอร์โมซา