“มีคุณธรรม” “รักษาบ้านของคุณก่อนที่มันจะสาย” ผมควรจะเก็บความรู้อันนี้เอาไว้เพื่อจะได้บอกญาติมิตร เพื่อนพ้องและคนสนิทเท่านั้น อย่างน้อยก็รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้พร้อมวิธีเอาตัวรอด หรือบางทีผมน่าจะเผยแพร่มันไปให้กว้างขวางที่สุด ให้เป็นเหมือนสิ่งเตือนใจ สนับสนุนให้คนรณรงค์เพื่อช่วยกันปกป้องโลก เราจะได้หลีกเลี่ยงสถานการณ์เลวร้ายก่อนสายเกินไปซึ่งแน่นอนจะต้องมีคนบอกว่าผมเป็นคนบ้าหรือเสียสติไปแล้ว เห็นๆ อยู่แล้วว่าผมเลือกทางที่สองซึ่งเป็นการมองโลกในแง่ดีมากกว่า..... ข้อความ 2 ข้อความข้างต้นนี้ไม่ได้ถูกส่งมาจากองค์การระดับโลกหรือจากประเทศไหนๆ อย่างนาซ่า สหประชาชาติ หรือไอพีซีซี ไม่ได้ถูกส่งมาจากประธานาธิบดีหรือนายกรัฐมนตรีของประเทศใด และมันไม่ได้ถูกส่งมาจากผู้นำทางจิตวิญญาณ ผู้นำศาสนา หรือนักบวชของศาสนาใดๆ บนโลก นอกจากนั้นมันยังไม่ได้มาจากฟอร์เวิร์ดเมลล์ ที่ปลิวว่อนอยู่ในอินเทอร์เนต แต่ใครจะเชื่อว่า มันถูกส่งมาจากมนุษย์ดาวอังคาร ! ตลอดระยะเวลายาวนานมาแล้ว ที่มนุษย์พยายามมองหาชีวิตจากนอกโลก ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยที่สุด ไฮเทคที่สุด พยายามส่งสัญญาณต่างๆ ออกไปแล้วเฝ้าสังเกตฟากฟ้าและดวงดาวอยู่ตลอดเวลาเพื่อรอคอยสิ่งมีชีวิตจากนอกโลกจะตอบรับกลับมา แต่ก็ยังคงผิดหวัง พวกเขาไม่เคยพบสิ่งมีชีวิตแม้เล็กที่สุดอย่างแบคทีเรียจากนอกโลกเลย ยานอวกาศถูกส่งออกไปสำรวจดวงดาวต่างๆ แต่คงยังว่างเปล่าหรือว่าการค้นหายังไม่ดีพอ ยังไม่ครอบคลุมพอ หรืออาจเป็นเพราะว่าในห้วงอวกาศไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นอาศัยอยู่ โลกเป็นเพียงดาวดวงเดียวที่มีสิ่งมีชีวิตกระนั้นหรือ ? มนุษย์กลับมามีความหวังอีกครั้งจากการสำรวจดาวอังคาร ภายหลังจากการส่งยานอวกาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ.2508 ชื่อ ยานมารีเนอร์ 4 ของสหรัฐอเมริกา ภาพที่ถ่ายทอดกลับมาจำนวน 22 ภาพแสดงให้เห็นว่าพื้นผิวดาวอังคารมีหลุมและบ่อมากมาย ยานอวกาศมารีเนอร์อีกหลายลำต่อมา สามารถถ่ายภาพพื้นผิวรวมกันแล้วได้ครบทั่วทุกบริเวณ โดยเห็นภาพละเอียดถึง 1 กิโลเมตร ภาพถ่ายเหล่านี้ช่วยให้นักภูมิศาสตร์ทำแผนที่ของดาวอังคารได้ทั้งดวง บนพื้นผิวของดาวอังคารพบการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทางธรณีวิทยา เช่น ปล่องภูเขาไฟ หุบเหวกว้างและร่องลึกที่เหมือนกับร่องน้ำที่เคยเป็นทางน้ำไหลมาก่อน ยานที่สำรวจดาวอังคารต่อจากยานมารีเนอร์ คือ ยานไวกิง 2 ลำ แต่ละลำประกอบด้วยยานลำแม่ที่เคลื่อนรอบดาวอังคาร ในขณะที่ส่งยานลูกลงสัมผัสพื้นผิวดาวอังคาร ยานไวกิง 1 ลงที่ไครส์ พลาทิเนีย (Chryse Planitia) ซึ่งแปลว่า ที่ราบแห่งทองคำ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2519 เป็นเวลา 7 ปีหลังจากที่ นีล อาร์มสตรอง เหยียบดวงจันทร์ ต่อจากนั้นอีก 2 เดือน ยานไวกิง 2 ก็ลงในที่ราบทางเหนือชื่อที่ราบยูโทเปีย (Utopia) ยานทั้งสองมีแขนกลยื่นออกไปตักดินบนดาวอังคารมาวิเคราะห์ภายในยาน เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิต หรือซากของสิ่งมีชีวิต แต่การวิเคราะห์ไม่ยืนยันว่ามีหรือเคยมีสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร ต่อจากยานไวกิงคือ ยานมาร์สพาธไฟเดอร์ ที่นำรถโซเจนเนอร์ไปด้วย ยานได้ลงบนพื้นผิวดาวอังคารเมื่อเดือนกรกฏาคม พ.ศ. 2540 ภาพที่น่าตื่นเต้นคือการติดตามรถคันเล็กๆ เคลื่อนที่สำรวจก้อนหินใกล้ฐานซึ่ง ต่อมาได้รับชื่อว่า ฐานเซแกน ภาพก้อนหินที่เรียงในทิศทางเดียวกันชี้ให้เห็นว่าบนดาวอังคารเคยมีน้ำไหลมาก่อน ต่อมายานมาร์สโกลบอล เซอร์เวเยอร์ ซึ่งกำลังเคลื่อนรอบดาวอังคารได้ส่งภาพหุบเหวที่เป็นร่องลึกหรือที่เรียกว่า แคนยอน ซึ่งคดเคี้ยวไปมา 8 มีนาคม พ.ศ. 2550 นายเจฟเฟรย์ แอนดรูวส์-แฮนนาและเพื่อนร่วมงาน แห่งสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ พบหลักฐานสำคัญว่า ครั้งหนึ่งดาวอังคารเคยมีโครงสร้างของระบบน้ำซึม ซึ่งถือเป็นข้อพิสูจน์ชี้ให้เห็นว่าดาวอังคารเคยมีความสัมพันธ์อันสลับซับซ้อนกับองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิตมาเป็นเวลานาน 22 กันยายน พ.ศ. 2550 ยาน 2001 มาร์สโอดิสซีย์ พบสิ่งที่ดูเหมือนถ้ำ 7 แห่ง บริเวณเนินลาดของภูเขาไฟบนดาวอังคาร โดยทางยานได้ส่งภาพของพื้นบริเวณหนึ่งซึ่งมืดและมีลักษณะเป็นทรงกลมที่เชื่อ ว่าเป็นปากถ้ำ เชื่อว่าภายในเป็นพื้นที่กว้างใต้ดินและน่าจะมีอากาศเย็นกว่าพื้นที่โดยรอบ ในเวลากลางวัน และอุ่นกว่าในเวลากลางคืน ถ้ำทั้ง 7 นี้ทางนาซาได้ตั้งชื่อให้ว่า "น้องสาวทั้ง 7” จากการรวบรวมข้อมูลการสำรวจดาวอังคารอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปี โดยทั้งจากกล้อง ไอทีเอฟ (Infrared Telescope Facility) ของนาซา กล้องโทรทัศน์เคกในฮาวาย และจากกล้องเจมิไนใต้ในชิลี นักดาราศาสตร์พบมีเทนจำนวนหนึ่งเกาะกลุ่มกันอยู่ในบรรยากาศของดาวอังคาร มีเทน บางก้อนมีปริมาณถึง 21,000 ตัน ปริมาณนี้มีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล แสงอาทิตย์ทำให้มีเทนสลายไป แต่แล้วจำนวนมีเทนก็เพิ่มขึ้นมาอีก นั่นแสดงว่ามีกระบวนการบางอย่างบนนั้นคอยเติมมีเทนตลอดเวลา การค้นพบนี้จุดประกายความหวังว่าอาจมีสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอยู่บนดาวอังคาร เพราะสิ่งมีชีวิตหลายอย่างคายแก๊สมีเทน อย่างไรก็ตาม มีเทนไม่ได้เกิดจากสิ่งมีชีวิตเสมอไป เพราะอาจเกิดจากกระบวนการทางธรณีวิทยาอย่างเดียวก็ได้ เช่นน้ำทำปฏิกิริยากับหินเหลวในภูเขาไฟ ก็ทำให้เกิดมีเทนได้เช่นกัน ไม่ว่ามีเทนที่พบนี้จะเกิดจากกระบวนการทางชีววิทยาหรือธรณี วิทยา แต่การค้นพบนี้ย่อมแสดงว่าดาวอังคารยังคงมีกระบวนการต่าง ๆ ดำเนินอยู่ แตกต่างจากภาพลักษณ์เดิมที่เคยมองว่าดาวอังคารเป็นดาวที่ตายแล้วอย่างสิ้นเชิง นักวิจัยระบุว่าถ้ามีเทนมาจากจุลินทรีย์ จุลินทรีย์เหล่านั้นคงต้องอาศัยอยู่ใต้ดินห่างไกลจากพื้นดินอันหนาวเย็น ซึ่งเป็นบริเวณที่อุ่นพอสำหรับของเหลวอย่างน้ำจะยังคงมีอยู่ ของเหลวเช่นน้ำจัดเป็นหนึ่งในสิ่งจำเป็นของส่วนประกอบสิ่งมีชีวิต น้ำนั้นรู้ว่ามีอยู่บนดาวอังคาร เนื่องจากหุ่นยนต์ได้เก็บตัวอย่างน้ำแข็งได้จากพื้นดิน นักวิจัยได้พบกลุ่มของมีเทนบริเวณเสี้ยวหนึ่งของทางขั้วโลกเหนือของดาวอังคารในปี พ.ศ. 2546 และเรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ค้นพบกลุ่มก๊าซที่มากเช่นนี้บนดาวอังคาร ทางนาซ่าได้ระบุว่ามี 3 บริเวณที่ปล่อยมีเทนปริมาณมหาศาลอย่างช้า ๆ ซึ่งบริเวณเหล่านั้นแสดงหลักฐานของแหล่งน้ำใต้ดินโบราณ ซึ่งไม่มีสัญญาณว่าก๊าซอื่นที่คาดว่าถ้ามีเทนถูกผลิตจากภูเขาไฟ อย่างเช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ในอดีตเคยมีการพบกลุ่มของจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ใต้ดินลึกลงไป 2-3 กิโลเมตรที่แอฟริกาใต้มาแล้ว ซึ่งนักวิจัยคาดว่าน่าจะมีแบคทีเรียที่คล้ายคลึงกันเช่นนี้อาศัยบนดาวอังคาร เช่นกัน ปริมาณมีเทนที่พบนี้น้อยมากเพียงสิบโมเลกุลในอากาศหนึ่งพันล้านโมเลกุล เท่านั้น แม้จะน้อยนิดแต่ก็เป็นการค้นพบที่สำคัญเพราะมีเทนบ่งบอกถึงกลไกลึกลับที่ซ่อนเร้นอยู่บนดาวอังคาร โดยปรกติมีเทนจะทำปฏิกิริยากับไอออนไฮดรอกซีล (OH) ในบรรยากาศกลายเป็นน้ำและคาร์บอนไดออกไซด์ ปฏิกิริยานี้ทำให้มีเทนในบรรยากาศหมดไปภายในไม่กี่ร้อยปี แต่การที่ยังพบมีเทนอยู่แสดงว่ามีกลไกบางอย่างที่ผลิตมีเทนออกมาอย่างต่อเนื่อง นักวิทยาศาสตร์ได้เสนอทฤษฎีออกมาหลายทฤษฎีเพื่ออธิบายกระบวนการผลิตมีเทนออกสู่บรรยากาศ ทฤษฎีที่โดดเด่นและน่าเป็นไปได้มากที่สุดเกี่ยวข้องกับภูเขาไฟและกัมมันตภาพ ความร้อนใต้พิภพอย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมายานอวกาศที่สำรวจดาวอังคารจากวงโคจรหลายลำไม่เคยพบกัมมันตภาพลักษณะนี้ที่เกิดขึ้นในเวลาใกล้ ๆ นี้เลย อีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าตื่นเต้นกว่าแม้จะมีความเป็นไปได้น้อยกว่าก็คือ เกิดจากสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่อยู่ใต้พื้นดินคายก๊าซมีเทนออกมา กระบวนการนี้เกิดขึ้นบนโลกตลอดเวลา สัตว์ แบคทีเรีย และการย่อยสลายของสารอินทรีย์ล้วนคายก๊าซมีเทนสู่บรรยากาศ มีเทนในบรรยากาศโลกเกือบทั้งหมดเกิดจากกระบวนการนี้ แม้ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์จะคงยังสำรวจดาวอังคารอย่างต่อเนื่องและมีโครงการจะอพยพมนุษย์ขึ้นไปอาศัยอยู่บนนั้น ถ้าหากในอนาคตโลกไม่สามารถอาศัยอยู่ได้อีกต่อไป ดาวอังคารบางทีก็เรียกกันว่า”ดาวแดง “ เพราะผิวพื้นเป็นหินสีแดง หินบนดาวอังคารที่มีสีแดงก็เพราะเกิดสนิม ท้องฟ้าของดาวดังคารเป็นสีชมพู เพราะฝุ่นจากหินแดงที่ว่านี้ ผิวของดาวอังคารเหมือนกับทะเลหินแดง มีก้องหินใหญ่และหลุมลึก ภูเขาสูง หุบ เหว และเนินมากมาย หนึ่งปีบนดาวอังคารเกือบเท่าสองปีโลก แต่หนึ่งวันบนดาวอังคารจะนานกว่าครึ่งชั่วโมงโลกเพียงเล็กน้อย ดาวอังคารมีอากาศห่อหุ้มอยู่ไม่มากและเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลมพัดแรงจัดทำให้ฝุ่นฟุ้งไปทั้งดวงดาว ดาวอังคารมีขนาดโตประมาณครึ่งหนึ่งของโลก ดาวอังคารอยูไกลดวงอาทิตย์มากกว่าโลกจึงทำให้มีบรรยากาศหนาวเย็น อุณหภูมิบนดาวดวงนี้จะต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง ปัจจุบันมีข้อมูลเกี่ยวกับดาวอังคารค่อนข้างมาก แม้ว่าดูจากภาพถ่ายแล้ว พื้นผิวดาวอังคารมองดูคล้ายกับทะเลทราย หรือคล้ายกับภูเขาไฟบนโลก แต่สภาพบรรยากาศนั้นแตกต่างกัน เราลองสัมผัสบรรยากาศดูจะพบกับความกดดันที่ต่ำกว่าโลกเล็กน้อย ประมาณ 1% รอบๆตัว ขณะยืนอยู่บนดาวอังคาร สูดหายใจได้บ้างแต่อึดอัดเพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากถึง 95% ที่เหลือเป็นอาร์กอนและก๊าซไนโตรเจน เหตุขาดแคลนก๊าซออกซิเจนเพราะไม่มีชั้นบรรยากาศโอโซน (Ozone layer) ด้วยผลกระทบจากรังสีอุตตร้าไวโอเลทของดวงอาทิตย์ ทำให้ชั้นโอโซนของดาวอังคารเสียหายมีความผิดปกติมานาน หนึ่งวันของดาวอังคารมี 24.6 ชั่วโมง ถือว่าใกล้เคียงกับโลก ถ้าเราอยากจะสัมผัสฤดูกาลทั้ง 2 ฤดู บนดาวอังคารต้องใช้เวลา 20 เดือน ซึ่งเท่ากับโลก 1 ปี เมื่อเทียบกับเวลาโลก เพราะดาวอังคารหมุนรอบดวงอาทิตย์ช้ากว่าโลก ทำให้ทุกฤดูกาลยาวนานกว่าโลก เนื่องด้วยวงโคจรลักษณะเป็นรูปไข่และแกนเอียง 25 องศา ทำให้เกิดฤดูแตกต่างกันสองแบบ ระหว่างขั้วเหนือและขั้วใต้ โดยขณะที่ดาวอังคารเริ่มมีระยะห่างจากดวงอาทิตย์จะโคจรช้าลง ด้านขั้วเหนือเกิดฤดูร้อนที่ยาวนานมีลมเย็น -5 องศาเซลเซียส ส่วนด้านขั้วใต้ เกิดฤดูหนาวยาวนานที่จุดเหยือกแข็ง – 87 องศาเซลเซียส มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลักษณะเป็นน้ำแข็งแห้ง (Dry ice) ปกคลุมเหมือนหมวกครอบบนขั้วมีความหนา เรียกว่า Polar caps (บริเวณปกคลุมขั้วน้ำแข็ง) โดยรวมแล้ว ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 1 ใน 3 บนดาวอังคารจะเคลื่อนตัวไปมาตามกลไกอากาศระหว่างด้านขั้วเหนือและขั้วใต้ ปรากฎการณ์ดังกล่าวบางครั้งเกิดพายุฝุ่นขนาดใหญ่เข้ามาสมทบ พัดพาสิ่งต่างๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงของเนินทรายขนาดใหญ่บนพื้นผิวมีสีสันต่างกัน เพราะฉะนั้นในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา การสำรวจด้วยกล้องที่นักดาราศาสตร์โบราณมองจากโลกจึงเข้าใจผิดว่าเป็นการเปลี่ยนของพืชพันธ์ไม้และมีคลองชลประทานบนดาวอังคาร ขณะยืนอยู่ที่โล่งแจ้งบนดาวอังคารเหมือนกับทะเลทรายอันว่างเปล่าแล้ว หากเป็นเวลาเดียวกับการเกิดพายุก็มีโอกาสได้รับบาดเจ็บได้ เพราะลักษณะพายุเป็นลมหมุนแบบโทนาโด มาพร้อมกับก้อนหินมากมาย คล้ายกับพายุลูกเห็บบนโลกเรียกว่า Dust devils บนดาวอังคารเรียกว่า Wind vanes (ลมพายุใบจักร) ทั้งนี้เกิดการก่อตัวพราะความร้อนสะสมจากดวงอาทิตย์บริเวณพื้นผิว ส่วนมีลักษณะหมุนก็เพราะกระแสลมแรงพัดแบบสลับทิศทางกัน ตลอดทั้งปีบนดาวอังคารบนพื้นผิวเราจะพบแต่ลมพายุฝุ่นเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้สภาพอากาศ สะเก็ดเล็กๆของฝุ่นผงกระจัดกระจายทั่วไป เมื่อมองผ่านแสงแดดจะเห็นเป็นแสงสีฟ้ามากกว่าแสงสีแดงเหมือนบนโลก หากบริเวณที่มีแสงน้อยมองเห็นสภาพบรรยากาศเป็นสีน้ำเงินเข้มจนออกสีเทาดำ แต่ในชั้นบรรยากาศกลับตรงกันข้าม กลุ่มฝุ่นหมอกจะดูดกลืนแสงสีฟ้า เราเงยหน้ามองฟ้าบนดาวอังคารจะเห็นท้องฟ้าเป็นสีน้ำตาล ความจริงสิ่งที่เห็นเป็นการสะท้อนผงฝุ่นในอากาศ เป็นสภาพที่เราพบเห็นเหมือนท้องฟ้าในเมืองใหญ่ที่มีเขม่าพิษ จากควันไอเสีย อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับฤดูกาลของดาวอังคารด้วย โดยทั่วไปถ้าเราตื่นตอนเช้าบนดาวอังคารจะ เห็นท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินอมเขียวถึงเวลากลางวัน บรรยากาศท้องฟ้าอาจจะมีสีเหลืองอมสีน้ำตาล หรือบางครั้งก็มีสีที่ต่างๆออกไปอีก ส่วนตกเย็นบรรยากาศเป็นสีน้ำเงินอมเขียวเช่นเดียวกับตอนเช้า การสำรวจพื้นผิวทางธรณีวิทยาดาวอังคาร พบเห็นร่องรอยหลุมจากการชนปะทะของอุกกาบาตเช่นกัน ข้อแตกต่างกันของด้านขั้วเหนือและขั้วใต้ แนวด้านขั้วใต้มีลัษณะเป็นที่ราบสูงพบหลุมอุกกาบาตมีความลึกและใหญ่มากมาย ส่วนด้านขั้วเหนือเป็นที่ราบต่ำหลุมไม่ใหญ่นักพบจำนวนไม่มากรวมทั้งภูเขาไฟจำนวนน้อยกว่าด้านขั้วใต้ แผ่นเปลือกดาวอังคารมีเหมือนแผ่นเปลือกโลกเช่นกัน เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของภูเขาไฟโดยมีหุบเขาที่ยาว และลึกมากกว่าของโลกโดยเฉพาะ ภูเขาไฟ Olympus Mons มีโครงสร้างคล้ายคลึงกับภูเขาไฟฮาวาย และ Valles Marineris มีหน้าผาคล้ายเช่น Grand Canyon ในอเมริกา บนดาวอังคารนั้นพบหลักฐานบ่งชี้ชัดว่ามีจุลชีพขนาด เล็กมากอาศัยอยู่ทำให้เชื่อได้ว่าบนดาวอังคารต้องมีแหล่งน้ำ การค้นหาแหล่งน้ำในอดีตพบถึงแนวไหลของน้ำเหมือนคลองที่แห้ง รอยกัดเซาะจากปริมาณน้ำที่ล้นฝั่ง แต่ก็ยังอธิบายไม่ได้ว่า น้ำเกิดขึ้นบนดาวอังคารด้วยสภาพอากาศแบบใด หรือเกิดจากน้ำใต้ดิน การใช้เครื่องมือพิเศษทำการตรวจสอบ มีความแน่ใจว่าพื้นผิวดาวอังคารเต็มไปด้วยร่องรอยรูปแบบการกัดเซาะของน้ำเหมือนบนโลก เชื่อว่าบริเวณขั้วที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งแห้ง น่าจะเก็บร่องรอยอดีตนับพันล้านปีเอาไว้ ถ้าเช่นนั้นน้ำเหล่านั้นหายไปไหน ประการแรก ปกติน้ำมีการระเหยตัวสู่อากาศได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว ส่วนประการที่สอง บางส่วนที่ยังคงอยู่ หากมีการเปลี่ยนแปลงสถานะเป็นน้ำแข็งจมอยู่ใต้ผิวดิน แต่ถ้าน้ำแข็งเหล่านั้นยังคงมีอยู่ ความร้อนของภูเขาไฟจะทำให้ละลายไหลออกมาได้ เหล่านักวิทยาศาสตร์ยังคงถกเถียงกันเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารมาจนถึงทุกวันนี้ ท่านอาจารย์ (Supreme Master Ching Hai) ได้กรุณานำข้อมูลบางส่วนของดาวอังคารมาเปิดเผยในรายการทีวีสุพรีมมาสเตอร์(www.SupremeMasterTV.com) ซึ่งแพร่ภาพไปทั่วโลก ท่านอาจารย์กล่าวว่าข้อมูลนี้ได้จากการจดบันทึกระหว่างที่ท่านนั่งสมาธิในยามดึกดื่นคืนหนึ่ง โดยผมคัดและเรียบเรียงมาจากการถาม-ตอบระหว่างท่านอาจารย์และลูกศิษย์ เนื้อความคร่าวๆ มีดังต่อไปนี้ เมื่อ 40 ล้านปีที่แล้ว ดาวอังคารยังเป็นดวงดาวที่มีสภาพเหมือนกับโลก กล่าวคือมีอากาศ น้ำ ป่า แผ่นดิน มหาสมุทร ฯลฯ ดาวอังคารมีสิ่งมีชีวิตทั้ง คน พืช และสัตว์ ทุกสิ่งใกล้เคียงกับโลกมาก ต่างกันตรงที่มนุษย์ดาวอังคารได้พัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปไกลล้ำหน้ากว่าโลกมากเท่านั้น ดาวอังคารขณะนั้นมีจำนวนประชากรประมาณ 1,000 ล้านคน ลักษณะของมนุษย์ดาวอังคารก็มีความคล้ายคลึงกับมนุษย์โลก แม้จะมีวงโคจรที่อยู่ห่างดวงอาทิตย์มากกว่าโลก แต่ก็มีชั้นบรรยากาศที่คอยรักษาความอบอุ่นให้แก่ดวงดาว การพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่รวดเร็วเกินไปไม่สมดุลกับการพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณนำความหายนะมาสู่ดวงดาว ในที่สุดดาวอังคารเกิด”ภาวะเรือนกระจก” แก๊สเรือนกระจกจากภาคการปศุสัตว์และการเผาป่าเป็นสาเหตุหลักที่ถูกปล่อยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศจนหนาแน่นเกินกว่าที่ธรรมชาติอย่างมหาสมุทรและป่าไม้จะกำจัดส่วนเกินออกไปได้ ผลก็คืออุณหภูมิดวงดาวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 5 ปีก่อนหน้านั้นมีการเตือนเรื่องภัยพิบัติจากกูรูโดยเฉพาะผู้นำทางจิตวิญญาณที่รู้แจ้ง ซึ่ง ณ ขณะนั้นมีเพียงท่านเดียว(เป็นผู้ชาย) และบางคนที่สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าหรือล่วงรู้กฎแห่งกรรมบนดาวอังคาร แต่มนุษย์ดาวอังคารส่วนใหญ่ตอนนั้นยังคงเพิกเฉยและไม่เชื่อว่าดวงดาวของตนจะถึงจุดสิ้นสุด จึงไม่มีการเตรียมพร้อมหรือแก้ไขอะไร เมื่อภาวะเรือนกระจกขึ้นไปถึงจุดวิกฤตเข้าขั้นหายนะ การทำลายล้างครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้นภายในช่วงเวลาแค่ 2 เดือน อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ชั้นดินเยือกแข็งหรือเพอร์มาฟรอสต์ (permafrost) ละลายปล่อยแก็สมีเทนและคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นแก็สเรือนกระจกสะสมในบรรยากาศมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้อุณหภูมิของดวงดาวเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถควบคุมได้ ส่งผลให้อุณหภูมิน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น ความร้อนแพร่ลงสู่ก้นมหาสมุทรกระตุ้นให้เกิดการปล่อยแก็สไฮโดรเจนซัลไฟด์ (แก็สไข่เน่า : H2S) และแก็สไนโตรเจนออกไซด์ (NO2) ในช่วงแรกและตามมาด้วยแก็สมีเทน (CH4)ในช่วงหลัง ซึ่งส่วนใหญ่สะสมอยู่ที่ใต้พื้นมหาสมุทรและทะเลสาบต่างๆ ผลก็คือมนุษย์ดาวอังคารได้รับแก็สพิษและเกิดภาวะขาดออกซิเจน ตายอย่างช้าๆ ด้วยความทุกข์ทรมานภายในเวลา 4 วัน การที่ไม่มีการเตรียมพร้อมทำให้สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารถึง 90 เปอร์เซ็นต์สูญพันธุ์ทันทีรวมทั้งมนุษย์ในช่วงเวลาเพียง 2 เดือน ต่อมาอีก 1 เดือนสูญพันธุ์อีก 5 เปอร์เซ็นต์ 3.8 เปอร์เซ็นต์อีกหนึ่งเดือนถัดมาและอีก 1 เปอร์เซ็นต์ในเวลาต่อมา ทำให้มนุษย์ดาวอังคารเหลือเพียง 0.2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่รอดชีวิตซึ่งมีประมาณ 2 ล้านคน พวกที่รอดชีวิตกลุ่มแรกเป็นพวกที่สามารถหลบหนีลงสู่ใต้ดิน หลุมลึก อุโมงค์ หรือถ้ำได้ทัน โดยพวกเขาได้มีการเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน ด้วยการขุดอุโมงค์หรือถ้ำใต้ดินเอาไว้และบางส่วนเป็นถ้ำตามธรรมชาติ มีการกักตุนอาหาร นำอุปกรณ์เทคโนโลยี่ และนำสัตว์เลี้ยงบางส่วนลงสู่ใต้ดิน ด้วยพื้นที่แออัดคับแคบทำให้คนที่เหลือรอดพวกแรกๆ เริ่มทำการขุดอุโมงค์ขยายออกไปเรื่อยๆ เดิมทีภายหลังจากหายนะครั้งใหญ่มนุษย์ที่ลงสู่ใต้ดินมีอยู่กระจัดกระจายกันไปตามแต่ภูมิประเทศทั่วดวงดาว พวกเขาสามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้ทางโทรจิต เพราะอุปกรณ์สื่อสารทั้งหมดใช้งานไม่ได้ ระบบสาธารณูปโภคต่างๆล้มเหลว มนุษย์ดาวอังคารที่เหลือรอดจำนวนหนึ่งในสี่มีความสามารถในการใช้โทรจิตเพื่อการติดต่อสื่อสาร พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นมังสวิรัติหรือวีแกนและเป็นผู้ปฏิบัติธรรมวิถีกวนอิมแทบทั้งสิ้น อาจารย์ยังกล่าวว่าไม่เพียงที่ดาวอังคารเท่านั้นที่บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม แทบทุกดวงดาวที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ในจักรวาลล้วนบำเพ็ญวิถีนี้ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงรอดพ้นจากภัยพิบัติต่างๆ ได้ นั่นก็เป็นเพราะกฎแห่งกรรม “ทำดีย่อมได้รับผลดี” นั่นเอง ในเวลา 20 ปีต่อมา การมีความสามารถในด้านโทรจิตของมนุษย์ดาวอังคารบางส่วนนี้เอง ทำให้กลุ่มคนต่างๆ ที่เคยอยู่กระจัดกระจายกันไปในใต้ดินกลับมารวมกันได้อีกครั้งกลายเป็นประเทศเดียว ช่วงแรกๆ ที่มีการขุดขยายอาณาบริเวณภายในใต้ดินนั้นมีความยากลำบากและต้องพบกับอุปสรรคมากมาย บางส่วนก็ต้องตายไประหว่างนั้นเพราะเกิดจากการถล่มของดินทับบ้าง แก็สพิษจากข้างบนรั่วซึมลงมาได้บ้าง ขาดอากาศ อาหารและน้ำดื่มบ้าง สำหรับมนุษย์กลุ่มที่ฉลาดกว่าได้ทำการขุดถ้ำบริเวณที่อยู่ใกล้กับแหล่งน้ำใต้ดินหรือน้ำบาดาล จะขุดลึกลงไปโดยมีเพดานสูงประมาณ 10 เมตรระหว่างพื้นดิน บ้านยกพื้นเป็นอาคาร 4-5 ชั้นสร้างจากดินโคลนทั้งหลัง (เพราะไม่มีซีเมนต์) เพื่อการอยู่อาศัยและป้องกันน้ำรั่วซึมชั้นล่าง สำหรับอากาศที่ใช้ในการหายใจ พวกเขาใช้เทคนิกพิเศษในการแยกแก็สออกซิเจนจากแหล่งน้ำใต้ดินหรือแม่น้ำบริเวณใกล้เคียง นอกจากนั้นยังมีการรีไซเคิ้ลน้ำและอากาศที่ใช้แล้วซึ่งมีอยู่อย่างจำกัดนำกลับมาใช้ใหม่อีกด้วย สำหรับแก็สไอเสียต่างๆ ก็ใช้การปั๊มปล่อยออกสู่ผิวดินด้านบนและมีการกรองอากาศ นั่นอาจเป็นสาเหตุที่นักวิทยาศาสตร์โลกพบแก็สมีเทนในชั้นบรรยากาศของดาวอังคารเมื่อไม่นานมานี้ มีการควบคุมสภาพอากาศให้คงที่เพื่อให้อุณหภูมิพอเหมาะกับสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ใต้ดิน เมื่อมีการรวมกลุ่มกันก็เริ่มมีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีมากขึ้น เกิดอารยธรรมใหม่ที่มุ่งเน้นชีวิตแบบพอเพียงและเรียบง่าย โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณเป็นหลัก นั่นเพราะพวกเขาล้วนมีประสบการณ์ที่เลวร้ายมาก่อน ทานอาหารจำพวกธัญพืช ผัก ผลไม้หรือมังสวิรัติเพียง 1-2 มื้อต่อวัน คิดเป็นปริมาณหนึ่งในสี่ของอาหารของเราบนโลกต่อคนต่อวัน พวกเขาสามารถผลิตดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เทียมขึ้นเองเพื่อใช้ในการทำการเกษตร เพาะปลูกธัญพืชเพื่อใช้เป็นอาหารเส่วนใหญ่เป็นแบบไฮโดรโปนิก(ปลูกพืชในน้ำ) และให้แสงสว่างในการดำรงชีวิตภายในใต้ดิน โดยสามารถจะเปิด-ปิดมันเวลาใดก็ได้ตามต้องการ สำหรับสัตว์เลี้ยงส่วนหนึ่งเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ใต้ดินซึ่งไม่มีบนโลกเรา และบางส่วนถูกนำลงมาพร้อมกับเจ้าของเวลาเกิดภัยพิบัติ พวกเขาไม่ทานเนื้อสัตว์จึงไม่ทำการขยายพันธุ์ของพวกมัน หากแต่จะควบคุมจำนวนเอาไว้ โดยเลี้ยงเอาไว้เป็นสัตว์เลี้ยงหรือเพื่อน โดยปัจจุบันมีวัวจำนวน 32 ตัว และสุนัขอีกจำนวนหนึ่ง สัตว์ส่วนใหญ่สูญพันธุ์ไปตั้งแต่แรก ไม่มีสัตว์จำพวกนกหรือแมว สัตว์ทั้งหมดที่เหลืออยู่ถือเป็นสมบัติของชาติ หากมองไปจะพบพืช ดอกไม้ หรือต้นไม้มีความสูงไม่เกิน 3 เมตรเกือบทั้งหมด เนื่องจากพื้นที่มีจำกัดเพราะความสูงระหว่างพื้นและเพดานสูงเพียง 10 เมตร จึงมีการควบคุมการเจริญเติบโตของพวกมันเป็นอย่างดี เวลาผ่านมา 40 ล้านปี ปัจจุบันประชากรดาวอังคารมีประมาณ 5.8 ล้านคนล้วนอาศัยอยู่ใต้ดิน ประชากรมนุษย์จะอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนและเลือกผู้นำโดยใช้ระดับสติปัญญา คุณธรรมหรือระดับชั้นทางจิตวิญญาณเป็นเกณฑ์วัด ไม่ใช่ความอาวุโส และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ คนทุกสาขาอาชีพสามารถถูกเลือกมาเป็นผู้นำได้ โดยไม่ได้จำกัดอายุ การศึกษา หรือวงค์ตระกูล สำหรับคู่ครองที่อยู่ร่วมกันจะมีความรับผิดชอบและให้เกียรติกัน มีการคุมกำเนิดโดยใช้วิธีแบบธรรมชาติ ควบคุมจำนวนประชากรไม่ให้หนาแน่นเกินไปเพราะข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ เนื่องจากการเป็นวีแกนหรือมังสวิรัตินี้เองทำให้พวกเขามีสุขภาพแข็งแรงมากและแก่ช้า การไม่มีมลพิษ ไม่มีความเครียด ไม่เจ็บป่วยหรือเป็นโรคต่างๆนาๆ ทำให้เมืองใต้ดินของดาวอังคารไม่มีแพทย์ พยาบาลหรือโรงพยายาบาล มนุษย์ดาวอังคารจึงมีอายุยืนถึง 200 ปี ระบบการปกครองที่เรียบง่ายแบบรัฐสภาแตกต่างจากโลกเราอย่างสิ้นเชิง รัฐบาลจะมีผู้นำมาจากการเลือกตั้งซึ่งปัจจุบันเป็นราชินี (บางครั้งก็เป็นราชา) จะเพียงคอยให้คำปรึกษาหรือตอบคำถามเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ไม่มีการเก็บภาษี ไม่มีการควบคุมบังคับหรือบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะมนุษย์ดาวอังคารมีวินัยเป็นอย่างยิ่ง ทุกคนปรองดองกัน ไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีการปฏิวัติ ไม่มีการฉ้อโกงหรือติดสินบน ไม่มีการลักขโมย ไม่มีโจรหรือผู้ร้าย ไม่ทำลายกัน จึงไม่จำเป็นต้องมีกองทัพ ไม่มีอาวุธ ไม่มีคุกหรือเรือนจำ ไม่มีเงิน ทุกครอบครัวต่างทำงานตามความสมัครใจ ตามพรสวรรค์และความถนัดของตนแบบอิสระไม่มีนายจ้าง ไม่มีค่าจ้าง จากนั้นจะนำผลผลิตที่ได้เหล่านั้นมาแบ่งปันกัน ไม่มีตลาดค้าขาย ทุกคนต่างช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกันอย่างดีจึงไม่มีคนจนและคนรวย ทุกคนต่างเท่าเทียมกันเคารพซึ่งกันและกัน ประวัติศาสตร์การทำลายล้างดวงดาวอันแสนเจ็บปวด ทำให้ชาวดาวอังคารที่เหลือรอดตระหนักดีว่าการพัฒนาที่มุ่งเน้นด้านวัตถุจนละเลยด้านจิตวิญญาณนำพาดวงดาวไปสู่ทิศทางใด บรรพบุรุษรุ่นแรกๆที่เหลือรอดมาได้บันทึกเรื่องราวของประวัติศาสตร์เอาไว้อย่างละเอียด ทั้งยังมีการสร้างรูปปฏิมากรรมต่างๆไว้เพื่อเตือนใจให้แก่อนุชนรุ่นหลัง เป็นการส่งถ่ายบทเรียนอันมีค่าจากรุ่นสู่รุ่นมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ บางครั้งพวกเขาก็ขึ้นมาบนพื้นผิวดวงดาวพร้อมถังบรรจุแก็สออกซิเจน โดยสวมหน้ากากป้องกันแก็สพิษ และใช้รถหุ้มฉนวน เพื่อทำภารกิจบางอย่าง เช่นการขนส่ง เมืองใต้ดินของดาวอังคารจะมีประตูลับซ่อนเอาไว้มิดชิดและซับซ้อน เพื่อป้องกันผู้บุกรุก พวกเขาจะเข้าและออกอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้มนุษย์จากดวงดาวอื่นจะทันสังเกตเห็น รถยนต์และยานพาหนะส่วนใหญ่ของดาวอังคารมีลักษณะกลมแบนคล้ายจาน ซึ่งมีส่วนคล้ายกับยูเอฟโอ รถยนต์ที่หุ้มฉนวนเหล่านี้เอนกประสงค์มาก เพราะมันสามารถบินได้เหมือนเครื่องบินและวิ่งได้บนท้องถนน เหตุผลที่ยานพาหนะส่วนใหญ่ของดาวอังคารมีลักษณะกลมแบนก็เพราะมันสามารถลดแรงเสียดทานจากอากาศได้มากทำให้ประหยัดพลังงาน นอกจากนั้นยังสะดวกในการเลี้ยวเปลี่ยนทิศได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลาเดินหน้าถอยหลังเหมือนกับยานพาหนะบนโลกที่ส่วนใหญ่เป็นทรงเหลี่ยม สำหรับรถขนส่งสาธารณะจะใช้ไฟฟ้าทั้งหมด เป็นรถที่ใช้เคเบิ้ลไฟฟ้า ไม่ใช้แก็ส รถที่มีลักษณะกลมคล้ายจานมีความเร็วตั้งแต่ 100 ไมล์ต่อชั่วโมงขึ้นไป บางคันวิ่งได้ 300 ไมล์ต่อชั่วโมง สำหรับสูงสุดวิ่งได้ถึง 500 ไมล์ต่อชั่วโมง รถขนส่งสาธาณณะ รถยนต์ และจักรยานเป็นของส่วนรวมทุกคนเป็นเจ้าของสามารถนำไปใช้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เช่นเดียวกับไฟฟ้าและน้ำ ล้วนเป็นของฟรีทั้งสิ้น มนุษย์ดาวอังคารไม่ต้องการติดต่อกับโลกของเราตลอดระยะเวลายาวนานที่ผ่านมา สาเหตุเพราะว่ากลัวเชื้อโรคจากมนุษย์ ทั้งเชื้อโรคทางกายภาพซึ่งพวกเขาไม่มี และเชื้อโรคทางจิตวิญญาณ (โลภ โกรธ หลง) พวกเขาพอใจในสิ่งที่เป็นและเรียนรู้อยู่อย่างพอเพียง ดังนั้นจะซ่อนตัวเสมอมา และรู้สึกเป็นกังวลเมื่อยานอวกาศที่สำรวจดาวอังคารจากมนุษย์โลกเข้ามาใกล้ดวงดาว แต่ด้วยเทคโนโลยี่ที่สูงส่งของพวกเขาทำให้มนุษย์เราไม่เคยรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของพวกเขา ซึ่งปัจจุบันมนุษย์โลกเริ่มสงสัยดาวอังคารมากขึ้นจากการค้นพบทางวิทยาศาสตร์มากมายในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ พวกเขาจึงยิ่งวิตกกังวลมากยิ่งขึ้น มนุษย์ดาวอังคารไม่ต้องทำงานหนัก ไม่มีทำงานล่วงเวลา (O.T.) ทำให้พวกเขามีความสุขและผ่อนคลายกว่ามาก พวกเขาปลูกหญ้าและสร้างสวนดอกไม้เพื่อความเพลิดเพลิน มีความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ มากมาย มีโรงละคร(ไม่มีละครสัตว์) โรงภาพยนต์ ทีวี วิทยุ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ มีเกมกีฬามากมาย (ไม่มีกีฬาที่ใช้ความรุนแรง เช่น มวย ชนสัตว์) เช่นว่ายน้ำ แอโรบิค มีภาพยนต์ และตลก ส่วนใหญ่เล่นเพื่อความสนุก ไม่มีการแข่งขันเพื่อเอาชนะ เทคโนโลยี่ต่างๆ มีความทันสมัยล้ำหน้ากว่าบนโลกอย่างเช่น อินเตอร์เนตที่มีความเร็วสูง สามารถดาวน์โหลดหรืออัพโหลดได้ทันทีเหมือนกับการส่งแฟกซ์หรือถ่ายเอกสาร ไม่เสียเวลาเป็นชั่วโมงเหมือนอินเตอร์เนตบนโลก ทั้งยังไม่มีไวรัส ไม่เสียบ่อย เช่นเดียวกับเครื่องจักรกลทุกชนิดบนดาวอังคารที่มีคุณภาพสูง แทบจะไม่เคยเสียต้องซ่อมเลย นอกจากนั้นยังสามารถดูทีวีและเล่นอินเตอร์เนตระหว่างดวงดาวที่ห่างไกลนับล้านๆไมล์ได้อีกด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ความเป็นไปของโลกเราอย่างต่อเนื่องและกำลังเฝ้ามองดูเราอย่างเงียบๆ ตลอดมา แน่นอนการที่มนุษย์บางส่วนของดาวอังคารสามารถสื่อสารทางโทรจิตและบางส่วนล่องหนหายตัวได้ พวกเขาจึงไม่มีความจำเป็นต้องเดินทางมายังโลกหรือดวงดาวอื่นๆ โดยใช้ร่างกาย ซึ่งในความเป็นจริงพวกเขาก็แทบไม่เคยเดินทางมายังโลกเราเลยด้วยซ้ำ นอกจากการติดต่อทางโทรจิตสำหรับคนพิเศษบางคนเท่านั้น ดังนั้นเรื่องราวที่มนุษย์เข้าใจไปเองว่ามนุษย์ต่างดาวจะมายึดครองโลกจึงไม่มีมูลความจริงแม้แต่น้อย เพราะถ้าพวกเขาต้องการจริงๆ ก็คงทำไปนานแล้ว และด้วยเทคโนโลยี่ที่พวกเขามีอยู่ มนุษย์โลกคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาอย่างแน่นอน ด้วยระดับทางจิตวิญญาณที่สูงส่ง ทำให้มนุษย์ดาวอังคารไม่มีความปรารถนาจะยึดครองโลกหรือดาวดวงใดก็ตาม ถึงแม้พวกเขาจะมีความสามารถที่จะกระทำได้ ลักษณะภายนอกของพวกเขาคล้ายคลึงกับมนุษย์ของโลกเราอยู่มาก หากแต่ดูสง่างามกว่า ดูสุขภาพดีกว่า แข็งแรงกว่า มีแสงสว่างมากกว่า เยือกเย็นกว่า และดูมีเมตตามากกว่า นอกจากนั้นหากได้พบพวกเขาเราจะไม่สามารถคาดคะเนอายุของพวกเขาได้เลย เพราะพวกเขาจะดูอ่อนเยาว์กว่าอายุอยู่มาก บางคนอายุมากแล้ว แต่ยังดูเยาวัยมากเหมือนเด็กๆ การไม่มีความเครียดทำให้มนุษย์ดาวอังคารมีอายุยืนยาวถึง 200 ปี ร่างกายมีภูมิคุ้มกันสูง ดาวอังคารปัจจุบันไม่มีศาสนาพวกเขาล้วนบำเพ็ญวิถีธรรมเดียวกัน เรียบง่าย ทำสมาธิ คิดถึงพระเจ้าภายในตัวเอง บำเพ็ญวิถีแห่งแรงสั่นสะเทือนซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งก็คือธรรมวิถีกวนอิมและเกือบทั้งหมดล้วนเป็นมังสวิรัติ ในปัจจุบันมีอาจารย์ผู้รู้แจ้งระดับสูงถึง 2 ท่านซึ่งเป็นผู้นำทางด้านจิตวิญญาณ มนุษย์ดาวอังคารเรียนรู้จากหายนะที่เกิดขึ้นกับดวงดาวของตนในอดีต ซึ่งกำลังเกิดขึ้นกับโลกของเราในปัจจุบันนี้ นั่นคือ “ภาวะโลกร้อน (Global Warming)” พวกเขารู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับโลกของเราซึ่งมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตของพวกเขาเมื่อ 40 ล้านปีก่อน และรู้ว่ามนุษย์โลกสามารถจะเปลี่ยนแปลงอนาคตของตัวเองได้ มนุษย์อ่อนแอเกินไปที่จะสามารถอาศัยอยู่ใต้ดินเหมือนมนุษย์ดาวอังคาร ประกอบกับเทคโนโลยี่ที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอและไม่สามารถเทียบได้กับดาวอังคาร ทำให้โลกตกอยู่ในอันตรายหากยังไม่สามารถลดแก็สเรือนกระจกลงได้ อุณหภูมิของโลกก็อาจเพิ่มสูงขึ้นไปถึงจุดวิกฤตในเวลาอันใกล้นี้ เร็วกว่าที่นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายได้คาดการณ์กัน นั่นเองเป็นเหตุผลให้มนุษย์ดาวอังคารที่เฝ้ามองโลกอยู่รู้สึกห่วงใยต่ออนาคตของโลกโดยที่พวกเขาไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เพราะนี่เป็นกฎแห่งกรรมซึ่งมนุษย์โลกจะต้องเป็นผู้เลือกเองและได้ส่งผ่านข้อความอันเป็นเสมือนคำเตือนโดยผ่านท่านอาจารย์มา โดยข้อความแรกมาจากวุฒิสภามีความว่า “มีคุณธรรม” ส่วนข้อความที่สองมาจากประธานพลเมืองมีความว่า “รักษาบ้านของคุณก่อนที่มันจะสาย” อาจารย์ยังกล่าวอีกว่ามันเป็นเรื่องง่ายที่จะหยุดยั้งหายนะของโลกครั้งนี้นั่นคือ โยนเนื้อสัตว์ทิ้งไปทันที ปล่อยให้สัตว์อยู่ของมันอย่างนั้น เปลี่ยนมาเป็นมังสวิรัติหรือวีแกน โลกก็จะเปลี่ยนแปลงทันทีไปสู่ความสงบสันติ หากมนุษย์โลกยังเพิกเฉยเหมือนที่เป็นอยู่ ก็จะไม่มีใครรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโลกนี้ต่อไป ซึ่งอาจจะมีจุดจบเหมือนดาวอังคารเมื่อครั้งในอดีต “ตื่นขึ้น ตื่นขึ้น ก่อนจะสาย”......... ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.suprememastertv.com/bbs/board.php?bo_table=environment&wr_id=28&goto_url=
7 สิงหาคม 2553 23:35 น. - comment id 118469
แวะมาอ่าน อีกมิติ ดีค่ะ
9 สิงหาคม 2553 14:25 น. - comment id 118496
แวะมาดู ศึกษาหาความรู้ เกี่ยวกับเพื่อนต่างดาว
9 สิงหาคม 2553 15:38 น. - comment id 118502
จิงดิ ??? มีมนุษย์ดาวอังคารด้วยเร้อเนี่ย
9 สิงหาคม 2553 20:06 น. - comment id 118505
จริง ครับเนื่องจากวิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่เชื่อว่าอนาคตอันใกล้(ถ้ายังอยู่) จะสามารถเข้าใกล้พวกเขามากขึ้น แต่สำหรับเทคโนโลยีที่เรามีอยู่ยังพัฒนาไม่พอที่จะหาเขาพบได้ ต้องใช้ความสามารถทางจิตวิญญาณเข้าช่วยครับ นอกจากนั้นดาวศุกร์ที่เราเห็นก็มีหายนะแบบเดียวกันและเกิดก่อนดาวอังคารด้วย นับพันล้านปีมาแล้ว ซึ่งโลกยังไม่มีมนุษย์ "ภาวะโลกร้อน" คือมหันตภัยล้างโลกของจริงครับไม่ใช่นิยาย... ขอบคุณทุกความเห้นครับ
11 สิงหาคม 2553 17:18 น. - comment id 118554