เมฆหมอกและสายลม ตอนที่ 7 ความรัก
พ.จินดา
ตอนที่ 7 ความรัก
.........กระดาษแผ่นน้อย ร่วงหลุดลงจากมือของครูอเมอรหรือครูอ้อยที่เด็กนักเรียนเรียกกัน พร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลเคลียแก้มที่ขาวผ่องในวัยสาว 25 ปี
"เราเลิกกัน น่ะอ้อย ภาพถ่ายที่เพื่อนผมส่งมาให้มันฟ้อง ผมรับไม่ได้ที่อ้อยเป็นแบบนี้"
ประโยคนี้ต่างหากในจดหมายพร้อมภาพถ่ายที่แฟนหนุ่มส่งกลับมาให้ดู เป็นภาพที่เธอและครูราตรีนอนหนุนตักอยู่ในเรือหางยาวลำนั้น ที่ทำให้เธอต้องสะเทือนใจ ความรักที่เธอและเขาได้ฟูมฟักมาสมัยเรียนที่วิทยาลัยครูภูเก็ต ชั่วระยะเวลาเกือบ 5 ปี ต้องจบลงด้วยความที่ไม่เข้าใจ ด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ด้วยเรื่องที่มาจากความเข้าใจในแง่ที่ไม่ดีของคนในสังคมที่มักมองเห็นหรือตีค่าราคาคนด้วยความคิดของตนเองเท่านั้น
"อ้อยจะไปภูเก็ต จะไปพบเขาพูดกับเขาให้เข้าใจ"
"ไม่มีประโยชน์หรอกอ้อย ถ้าเขาจะเข้าใจอย่างนั้น ปล่อยเขาไป ไอ้ผู้ชายที่เอาแต่ได้เห็นแก่ตัว ถ้ามันรักอ้อยจริงมันไม่ปล่อยให้อ้อยมาเผชิญชะตากรรมอยู่บนเกาะแห่งนี้ ยั่วเสือยั่วตะเข้พวกตังเกหรอก" ครูราตรีอ่านเนื้อความในกระดาษแผ่นนั้นพลางโอบไหล่ครูสาวเพื่อนรักเพื่อเป็นการปลอบใจ เธอทั้งสองเป็นครูสาวอยู่ 2 คน ที่ต้องพักร่วมชะตากรรมสอนบุตรหลานของคนชาวเกาะให้มีความรู้แต่เพียงลำพัง ครูใหญ่หรือครูแดงนั้นแทบไม่ได้อยู่ร่วมบนเกาะกับพวกเธอเลย ขึ้นฝั่งแต่ละครั้งก็รว่มเดือน
"ภาพนี้ วันนั้น เราไปฝั่งกัน อาศัยเรือของพี่ณรงค์ แล้วเธอเกิดเป็นลมชักขึ้นมา พวกเราบนเรือช่วยกันปฐมพยาบาลจนเธอฟื้น แต่ยังอ่อนเพลียอยู่เราก็เลยให้เธอนอนหนุนตัก โดยมีหมอกรนั่งกางร่มให้ อยู่กันหลายคน เอใครถ่ายภาพนี้น่ะ หรือว่า" ครูราตรีกล่าวพึมพำ ครูราตรีมีอายุมากกว่าครูอ้อยเกือบ 4 ปี มีความห้าวอยู่ในตัวทะมัดทะแมงเยี่ยงชาย เพราะเธอคิดว่าการที่ต้องลงมาใช้ชีวิตอยู่บนเกาะแห่งนี้ คนที่ฉลาดและแข็งแรงเท่านั้นที่จะเอาตัวรอดได้ยามเกิดภาวะคับขัน
"คงไม่น่า" ..."พี่ราตรีคิดว่าใครหรือ" ..."ไม่รู้ซิ ช่างเถอะใครจะคิดหรือมองอย่างไรก็ช่าง เรารู้ตัวเราดี ไม่ใช่หรือ"
ครูอ้อย มองหน้าครูราตรีด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักฉันพี่น้อง ยามลำบากเดือดร้อนเธอก็มีครูราตรีนี่แหละเป็นที่พึ่งไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติ อีกคนอ่อนหวานอย่างกุลสตรีอีกคนแข็งแกร่ง ห้าวดุจบุรุษ แต่มีความเป็นเพศเดียวกันเมื่อต้องมาอยู่ร่วมชะตากรรมเดียวกัน ทำงานร่วมกัน พักที่เดียวกัน กินนอนด้วยกัน มันสมควรแล้วใช่ไหม คำว่าเพื่อนแท้ย่อมมีค่าแก่ตัวมันเมื่อยามทุกข์นี่เอง
ครูอ้อย มองกระดาษที่ร่วงลงสู่พื้นนั้น ด้วยสายตาที่เย็นชา พร้อมภาพถ่ายที่แฟนหนุ่มส่งมาให้ดูภาพที่เธอและครูราตรีประคองกันอยู่บนเรือ เธอมอบให้แก่เด็กนักเรียนชายคนหนึ่งที่อาสามาอยู่เป็นเพื่อนยามที่ครูราตรีไม่อยู่
"หนุ่ม ช่วยเอาไปทิ้งให้ครูด้วย" "ครับครู" เด็กนักเรียนรับคำ แต่ไม่กล้าถามอะไรต่อ ด้วยเห็นสีหน้าของครูอ้อยที่เคร่งขรึม ซึ่งปกติจะหัวเราะและดูอ่อนโยนเสมอกับพวกเขา
"เราลงไปชายทะเล กันดีกว่า อ้อย ตอนนี้ก็บ่าย 3 แล้ว ปล่อยเด็กกลับบ้านกันเถอะ"
แดดยามบ่ายยังร้อนอยู่แต่ไม่มากนัก ครูทั้งสองเดินลัดเลาะผ่านต้นกาหยูหรือต้นมะม่วงหิมพานต์ที่ชาวบ้านบนเกาะปลูกเป็นอาชีพ ซึงยามนี้ต่างทยอยออกลูกกันเป็นแถวอีกไม่นานก็ถึงฤดูเก็บ
"สวัสดีครับครู จะไปไหนกันหรือครับ" กรทัก เมื่อเห็นครูทั้งสองเดินผ่านสวนกาหยูหลังอนามัย มันเป็นสวนกาหยูที่เขาระดมชาวบ้านมาลงแรงช่วยกันปลูกเพื่อนำผลผลิตที่ได้มาพัฒนาสถานีอนามัย ซึ่งก็ได้ผลเพราะผลผลิตจากความคิดของเขาและความร่วมมือของชาวบ้านทำให้ได้เงินซื้อเครื่องปั่นไฟมาใช้ที่อนามัยเพื่อให้บริการผู้ป่วยในยามค่ำคืน
"น้อยกลับมาแล้ว หรือหมอ" ครูราตรีไม่ตอบ แต่ถามถึงลูกศิษย์
"ครับ แกอยู่บนบ้านพักครับ ครูมีธุระกับน้อยหรือปล่าว เดี๋ยวผมจะตามให้"
"เปล่าหรอก เออหมอ จำวันที่เราไปฝั่งแล้วอ้อยเป็นลมได้ไหม วันที่เราอาศัยเรือพี่ณรงค์ไปน่ะ"
ครูอ้อยเขย่าแขนครูราตรีเป็นการติง ไม่ให้พูดเรื่องนี้กับหมอ
"อ๋อ จำได้ ทำไมหรือครับ" จากนั้นครูราตรก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างแฟนหนุ่มกับครูอ้อยให้ฟัง
ทำไมหนอ ในสังคมทุกวันนี้คนเรามักทำลายค่าของความรักด้วยเพียงเห็นในสิ่งที่เห็นและคิดว่าใช่ในสิ่งที่ได้ยิน นั่นหรือ ทำไมไม่เอาค่าของกาลเวลาที่กว่าจะสร้างความรักความเข้าใจมาได้มาเป็นเครื่องถ่วงดุลถ่วงความคิดแบบมีเหตุผลก่อนที่ทุกอย่างจะจบด้วยการเจ็บของทุกฝ่ายละ
เสียงคลื่นทะเลที่กระทบฝั่งดังไม่ขาดสายอยู่ตลอดเวลา แม้บางครั้งทรายจะถูกเหยียบจนเป็นรอยน้ำทะเลก็ยังโอบจูบลูบไล้ทรายให้อยู่ในสภาพเดิมลบรอยเท้าบนพื้นทรายนั้นได้ แต่ใจคนถ้าถูกย่ำยี ถูกเหยียดหยามความรู้สึก อะไรล่ะที่จะมาลบล้างได้ ถ้าปราศจากความรัก
กรไม่พูดอะไร เพียงเดินมาจับบ่าทั้งสองข้างของครูอ้อย และมองด้วยสายตาที่ให้กำลังใจ และบอกผ่านสายตาไปยังครูอ้อยที่มองมาเช่นกันว่า
"ผมเองก็เช่นกัน เจ็บมาแล้วไม่ต่างอะไรกับครู"