ตำนานแห่งความรัก
ผีเสื้อดำ
เรื่องเล่าในดินแดนแห่งผู้มีความรักที่นิรันดร์
แสงแดดอ่อนในยามเช้า โปรยแสงสะท้อนส่องกระทบเกล็ดเม็ดน้ำค้างที่ติดตามใบหญ้ามองเห็นเป็นประกายระยิบระยับดุจเพชรเม็ดงามที่ถูกเจียระไนมาอย่างดี
พระพายโชยแผ่วเบา
ในแววตาของพ่อเฒ่ากุมาที่นั่งเอนกายอยู่ใต้โคนไม้มะค่า ดูเม่อลอยคล้ายท้องฟ้าสีทึมในวันที่ไร้เมฆ รอยย่นและตีนกาบนใบหน้าอันแห้งหยาบดูราวกับหลุมลึกพื้นดินที่แห้งปริแตก แกจะมานั่งอยู่ตรงนี้พร้อมกับเจ้ามุ้ย-สุนัขร่างผอมสีดำ คิดถึงวันหนึ่งเมื่อเขาพึ่งจะรู้จักกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต คนสองคนที่รักกันหัวเราะมีความสุขด้วยกันจนเหมือนมีสายเลือดที่เป็นเส้นเดียวกัน เมื่อคนหนึ่งต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ คนที่เหลืออยู่ก็เหมือนมีชีวิตที่ขาดลมหายใจ
ธรรมชาติได้สร้างให้มนุษย์มีการพลัดพรากจากกัน
ไม่มีมนุษย์คนใดที่สามารถอยู่เหนือกฎเกณฑ์ธรรมชาตินั้น
หลายครั้งที่พ่อเฒ่ากุมาทอดสายตามองออกไปยังกลางทุ่งนาอย่างอ้างว้างจนบางครั้งเผลอหลับไป ฝันร้ายต่างๆนานา สะดุ้งตกใจตื่น หน้าซีดตัวสั่นดิกๆร่างชุ่มโชกด้วยเม็ดเหงื่อ ฝันเห็นคนรักตอนที่หล่อนจากไป พ่อเฒ่ากุมาอดไม่ได้ที่จะก้มหน้ามองยังมือที่กำแน่น เส้นเลือดโปนออกมาเห็นชัด เขาโกรธที่เธอทิ้งเขาให้อยู่บนโลกนี้เดียว โลกที่ครั้งหนึ่งคนรักของเขามีชีวิตนั้นช่างงดงาม เมื่อเธอจากไปโลกที่เคยงดงามโลกนี้ก็ไม่เหลือเค้านั้นอีกเลย
คนสองคนที่มีรักแท้มั่นคงต่อกันแม้อีกคนหนึ่งจากไปคนที่เหลืออยู่ก็ยังมั่นคงในรักนั้นอยู่เสมอ โดยไม่มีรักแทนรักเดิมที่มีอยู่ ต้องทนรักกับความรักที่จากไป เป็นความรักอันว่างเปล่าแม้ว่าจะไม่มีประโยชน์อันใดเลยที่จะได้รับ นอกจากความทุกข์ทรมานหัวใจ
พระอาทิตย์คล้อยข้ามศีรษะไป แดดยามบ่ายอ่อนแสง
พ่อเฒ่ากุมาตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่า แกจะมีชีวิตรอให้ความตายมาเยือนได้นานแค่ไหน แกคิดถึงวันข้างหน้าถ้าเขาแก่ลงอีก คงจะลำบากที่จะเดินจากบ้านมาอยู่ที่ตรงนี้อีก พ่อเฒ่ากุมาไม่นึกเสียใจเลยถ้าเป็นอย่างนั้นมาจริงๆแกจะยังทำ ต่อให้ไม่มีแรงเดินก็จะคลาน เพราะที่ตรงนี้ครั้งหนึ่งเคยมีหญิงงามที่สุดในโลกสำหรับสายตาของเขา นอนบนตักเขาดูพระอาทิตย์ในยามเย็นที่กำลังค่อยๆลับขอบฟ้าด้วยกัน
ถ้าโลกขาดความรักไป มนุษย์จะยังสามารถมีชีวิตให้สุขได้ไหมความรักคือสิ่งที่สร้างสรรค์ให้โลกดูมีสุขขึ้นมามีชีวิตชีวามีรสชาติ
อาทิตย์ยามทิวาเคลื่อนคล้อยต่ำลง แดดเริ่มอ่อนแสงฝูงโคกระบือทยอยกลับยังคอกโดยมีสุนัขตามหลังต้อยๆชาวนาชาวไร่หาเช้ากินค่ำกลับคืนสู่บ้านเพื่อพักผ่อนกายยังชีวิตในวันพรุ่งนี้ต่อไป
ความมืดเริ่มปกคลุม มีให้เห็นเพียงแสงพระจันทร์และดวงดาว นกกาหว่าส่งเสียงร้อง เสียงนกฮูกร้องแข่งเสียงไผ่ที่เบียดเสียดกัน ฟังดูน่ากลัวร
พ่อเฒ่ากุมายังยังนอนทอดตัวกอดกายอยู่ใต้โคนไม้มะค่าตรงสถานที่แห่งนี้ แกกับคนรักมานั่งหัวเราะมีความสุขด้วยกัน บางครั้งเธอแอบซุกนอนอยู่ในอ้อมตักของแก ราวกับลูกที่กำลังอ้อนแม่ แต่ภาพเหล่านั้นมันคงเหลือเพียงแต่ความทรงจำ
ดึกแล้วพ่อเฒ่ากุมายังไม่ขยับเขยื้อนกายใดๆยังคงนอนไปอย่างมีความสุขหลับใหลไปอย่างไร้ความทุกข์ เหมือนกับว่าคืนนี้แกจะไม่กลับไปนอนที่บ้านของตนเอง
ใบไม้ที่ร่วงลงบนพื้นดิน ย่อมมิอาจกลับคืนติดเช่นเดิม สายน้ำธาราที่ไหล ย่อมไม่ไหลย้อนทวนกลับ ร่างวิญญาณที่หลับใหลจากโลกไปก็ย่อมไม่เข้ามากลับร่างดังเดิม
โอ้...อนิจจา พ่อเฒ่ากุมากำลังจากโลกนี้ไปแล้วคืนนี้แกจะนอนหลับที่นี้จะไม่ตื่นอีกแล้ว พ่อเฒ่ากุมาไปอย่างที่ไม่มีวันกลับ ปล่อยเหลือไว้เพียงร่างที่ไร้วิญญาณนอนทอดกายอยู่ใต้โคนไม้มะค่า ปล่อยให้เสียงร่ำร้องคร่ำครวญดังกึกก้องปฐพี นับแต่เช้าพรุ่งนี้ จะไม่มีภาพของชายแก่มานั่งอยู่แล้ว
พ่อเฒ่ากุมาได้ทำหน้าที่ของการมีรักที่นิรันดร์อย่างแท้จริงโดยที่ตลอดระยะเวลากว่า50ปีเขาได้มานั่งระลึกถึงคนรักที่จากไป เขาจำสัญญาที่ให้ไว้แก่เธอในตอนที่เธอกำลังจากโลกนี้
เธอตายด้วยโรคไข้ป่าอย่างทรมานแต่ในหัวใจของเธอมีสุขยิ่งกว่าสุขใดในโลก เธอสิ้นลมหายใต้อ้อมแขนของพ่อเฒ่ากุมา
นี่หละความสุขของเธอ ที่ได้ตายใต้อ้อมแขนของคนที่เขารัก
แต่เธอปล่อยให้พ่อเฒ่ากุมาต้องทุกข์ทรมานหัวใจ เขาจะมีชีวิตเพื่อเธอ แกจำได้เสมอที่แกพูดไว้ เป็นประโยคสุดท้ายที่เธอได้ยิน แล้วเธอก็สิ้นลมหายใจจากไป
นับแต่นี้เป็นต้นไป โลกจะได้จารึกชื่อของ กุมา ไว้ในปฐพี เพื่อให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ไว้ว่า ณ ที่ตรงนี้ คือ สถานที่สุดท้ายของชายผู้มีรักนิรันดร์
จงหลับใหลไปเถอะ พ่อเฒ่ากุมา ท่านได้ทำให้โลกรู้แล้วว่าท่านคือ ชายที่มีรักนิรันดร์ตลอดกาล เราจะจำไว้เสมอว่าท่านพ่อเฒ่าคือคนในลำดับต่อไปที่ทำให้พวกเรารู้ว่าอย่างน้อยก็ยังเหลือคนเช่นท่านพ่อเฒ่าอีก
ขณะที่ร่างพ่อเฒ่ากุมาหลับใหลไปอย่างไร้ชีวิต เจ้ามุ้ยพลางส่งเสียงร้องออกมา พร้อมๆกับเสียงสะอื้นจากสายลม เป็นการไว้อาลัยในยามครั้งสุดท้าย แก่วิญญาณของผู้มีความรักนิรันดร์ ที่กำลังล่องลอยโบยบินขึ้นสู่สรวงสวรรค์ ตามคนรักที่จากไป...