ลุ่มลึกอิสราวดี 29

แก้วประเสริฐ


                     ลุ่มลึกอิสราวดี  29
     ภายหลังจากค้นพบสิ่งที่ต้องการแล้ว  ชายหนุ่มก็จูงลิงทั้งสองออกมาจากนอกบริเวณนั้น
หมายออกเดินทางต่อไป    แต่แล้วต้องชะงักด้วยคิดว่าหากจะปล่อยให้ปราสาทนี้อยู่ต่อไป
เจ้าเฒ่าโฉดชั่วอาจจะหวนย้อนกลับมาอีกก็ได้   จึงหยิบกระบองนาคราชออกมาบริกรรม
แล้วยกขึ้น   พลันหัวพญานาคราชก็ปรากฏลำแสงพวยพุ่งออกมาไปยังปราสาททันที กลาย
เป็นแสงไฟลุกโชติช่วงยามที่ชายหนุ่มวาดหัวกระบองไปทางใด   ไฟก็ลุกเผาผลาญไปทาง
นั้นจน  ปราสาทกลายเป็นเถ้าถ่านกองฝอยหินไปหมดสิ้น     ครั้นจัดการเรียบร้อยแล้วก็
       ออกเดินทางต่อไปลัดเลาะเลียบชายลำธารจนกลายเป็นน้ำตกไปสู่เบื้องล่าง   ครั้นจะทำ
เหมือนก่อนก็ไม่ได้ด้วยไม่มีที่หยั่งเท้าเอาเสียเลย   จำเป็นต้องปีนเขาที่อุดมไปด้วยพืชพันธุ์
ต่างๆ    ทั้งหมดก็ปีนเขาส่วนเจ้าลิงทั้งสองมันล่วงหน้าไปก่อนด้วยความชำนาญในการปีนป่าย
ส่วนเขานั้นถึงแม้จะเลียนแบบมันได้บ้าง  แต่ฝ่ามือมันไม่เหมือนกับมันจึงเกิดลื่นไหลแต่ก็
สามารถทำได้บ้างแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ยังรวดเร็วกว่าธรรมดาที่ไม่ได้ผ่านการฝึกเลียนแบบมัน
ดังนั้นอีกไม่นานเขาก็บรรลุถึงยอดเขา     
        ซึ่งเจ้าลิงมันไปรอคอยอยู่ก่อนแล้วเขามองไปอีกด้านหนึ่งเห็นเป็นท้องทุ่งกว้างใหญ่
ยาวเหยียดสุดสายตาแต่ก็ไม่ใช่ทุ่งโล่งปราศจากอะไร  มีพืชเล็กๆขึ้นและต้นไม้ขนาดต้นสน
ซึ่งผิดกับที่เขาผ่านมาในป่าลึกไม่    มันเป็นต้นสนป่าสลับกับต้นไม้ใหญ่แต่ไม่ใหญ่มากนัก
กลับกลายเป็นอีกโลกๆหนึ่งทันทีเขาหันกลับไปมองด้านหลัง      มันช่างแตกต่างกันสิ้นเชิง
ทำให้เขาเกิดสงสัยว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้แค่เพียงผ่านภูเขาลูกนี้เท่านั้นอะไรๆก็เปลี่ยนไปหมด
หรือว่าอาจจะเป็นทางไปสู่หนทางที่เขาก้าวล่วงเข้ามาก็อาจจะเป็นไปได้กระมัง      แต่เขามิได้
หวังอะไรมากนัก  การผจญภัยแทบจะเอาชีวิตไม่รอดนี้เป็นบทเรียนอันล้ำค่าของเขามากมาย
          ทำให้ร่างกายเขาแข็งแกร่งขึ้นและเรียนรู้อะไรซึ่งพิสดารในการต่อสู้   เขาคิดหากได้กลับไป
สู่สถานที่ที่เขาก่อนเข้ามายังไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้จะติดตามเขาไปอีกหรือเปล่าเขาแค่เพียงสงสัยเท่านั้น
ทันใดนั้นเขาแลไปเห็นกลุ่มควันพวยพุ่งลู่ไปตามสายลมในระยะไกลเขาจ้องมองดู    ควันเหล่านี้
มันมุ่งหน้ามาทางภูเขาที่เขายืนดูอยู่บนยอด     เหตุนี้จึงทำให้เขารีบหาทางลงไปยังตีนเขาทันทีแต่
ไม่นานนักด้วยอาศัยต้นไม้ที่เรียงรายและก้อนหินเป็นทางลงไปไม่สูงชันแต่เป็นเนินค่อยๆเป็นขั้นๆ
ลงไป         ดังนั้นเขาจึงอาศัยสิ่งเหล่านี้ทะยานตัวค่อยๆผ่านไปตามต้นไม้ที่ทอดไปสู่เบื้องล่างได้
ในเวลาไม่นานนัก
         จึงเดินค้นหาลำธารซึ่งบัดนี้มันกลายเป็นลำธารสายใหญ่จวบมองเลยไปข้างหน้ากลายเป็นแม่น้ำ
คั่นระหว่างทางสองฟากฝั่งและไหลคดเคี้ยวไปตามเขาต่างๆจนลับสายตา   เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาคิดว่า
นี่คือต้นน้ำจากน้ำตกที่เขาผ่านมา   และยืนคอยมองกลุ่มควันซึ่งเขาคิดว่าคงจะเป็นกลุ่มคนที่กำลังควบ
ม้าเข้ามาทางนี้กระมัง    แต่ความคิดเขาผิดคาดเมื่อแลเห็นชัดเจนว่าเป็นกลุ่มม้าป่าที่ต่างวิ่งคล้ายจะหนี
อะไรมาสักอย่างหนึ่ง   แต่สิ่งที่เขาสนใจที่สุดคือม้าตัวแรกที่มีรูปร่างช่างสวยงามยิ่งนักมันสูงใหญ่กว่า
ม้าอื่นๆมันวิ่งได้รวดเร็วนำหน้าทิ้งพวกมันไว้เบื้องหลัง    
         แต่มันได้หยุดรอพวกๆก่อนแล้วถึงจะวิ่งนำหน้าต่อไปเป็นเช่นนี้เป็นระยะๆ  ทำให้เขานึกถึง
การฝึกฝนการขี่ม้าในอดีตก่อนที่เขายังไม่มาสถานที่นี้เขาเป็นทหารม้ารักษาพระองค์มีหน้าที่
ควบคุมฝึกหัดม้าในพระราชพิธีต่างๆ       แม้ยามอยู่ต่างประเทศเขาก็เคยแข่งขันม้าวิบากต่างๆ
มาก็เคยได้รับรางวัลในการแข่งม้ายามศึกษายังต่างประเทศมาแล้ว  มันมีลักษณะถูกต้องตามตำรา
การดูม้าว่าเป็นม้าที่อุดมไปด้วยเกียรติยศโภคทรัพย์เป็นม้าศึกที่ใช้ในการสู้รบ  วิ่งได้เร็วปานพายุ
ในระยะไกลๆก็หาเหนื่อยเมื่อยล้าไม่   มันจะรักและซื่อสัตย์ต่อผู้ที่มันรักและเป็นเจ้าของมันด้วยชีวิต
       ถ้าหากใครได้เป็นเจ้าของถือได้ว่าเป็นคนที่ต้องมีวาสนาเสมือนได้ของวิเศษชนิดหนึ่งทีเดียว
ดังนั้นชายหนุ่มคิดจะจับเจ้าม้าตัวนี้ไว้   หากมาดแม้นว่าเขามีวาสนาต่อมันก็คงจะสามารถจับมันได้
ด้วยมันเป็นม้าที่ดุร้ายมากพละกำลังวังชามากมายมหาศาลทีเดียว    พอพวกมันวิ่งมาถึงเห็นเขาก็ชะงัก
และมุ่งหน้าเลี่ยงไปยังซอกภูเขาซึ่งเขาเองก็พึ่งจะรู้ว่ามันมีซอกเขาอยู่    พอมันลับหายไปสักครู่หนึ่งก็
มีกลุ่มควันพุ่งตลบฟุ้งติดตามมาด้วยเหล่าชายฉกรรจ์จำนวนไม่ถึงสิบคนมุ่งมาทางนี้เหมือนกัน  เขาจึง
จูงเจ้าลิงน้อยหลบไปยังหลังก้อนหินใหญ่ด้วยไม่อยากจะพบกับพวกมัน      พอมันมาถึงยังที่ไม่ห่างไกล
จากเขามากนัก   มันต่างหยุดม้าลงแล้วส่งเสียงเจรจา บัดนี้เขาฟังภาษามันออกแล้ว  มันต่างพูดกันว่าไม่
รู้เจ้าม้าป่าเหล่านี้หายไปไหนกันหมด หาร่อยรอยไม่เจอเลย 
  
          พวกมันเที่ยวค้นหากันแต่มันไม่ใกล้เข้ามาหาเขาด้วยคงคิดว่า   กำบังที่เขาอาศัยอยู่นี้จะเป็นที่
หลบซ่อนของเหล่าฝูงม้าป่าได้นั่นเอง   สักพักใหญ่ๆมันก็หันหลังขี่ม้ากลับไปทางเดิมจนลับหายไป
เมื่อเห็นมันหายไปแล้ว   เขาจึงนำเจ้าลิงทั้งสองออกจากที่ซ่อนแล้วมุ่งหน้าไปทางเหลี่ยมซอกเขาเพื่อ
ไปหาเจ้าจ่าฝูงม้าป่าทันที  หมายที่จะจับมันมาฝึกใช้งานต่อไป   ครั้นลุล่วงผ่านไปได้ไม่นานก็เป็นลาน
เล็กๆที่อุดมไปด้วยต้นหญ้าอ่อนไหว   เขาแลเห็นมันกำลังเพลิดเพลินกับการหาอาหารใบหญ้ากินกันอยู่
ดังนั้นเขาจึงตบไหล่เจ้าลิงทั้งสองให้รออยู่ที่นี่ก่อน   
        เขาค่อยๆย่องๆพร้อมกับนำเถาวัลย์มาทำบ่วงบาศเพื่อใช้จับเจ้าจ่าฝูงทันที  ตอนนี้ประสบการณ์
เขามีมากแล้วจึงนำฝุ่นมาโรยในอากาศตรวจทิศทางลมก่อนเมื่อแน่ใจแล้วว่าอยู่ใต้ทิศทางลมก็ค่อยๆ
ย่องไปหาเจ้าจ่าฝูงทันที    ทันใดเสมือนมันจะรู้มันเงยหน้าจากการกำลังกินใบหญ้าอ่อน
 หูทั้งสองมันตั้งชันส่ายหน้าไปๆมาๆเขาหยุดกับทีก้มตัวหลบยังกลุ่มต้นหญ้า
หลังต้นไม้ค่อนข้างใหญ่ทันที   เมื่อมันสอดสายตาจนแน่แก่ใจแล้วก็ก้มหน้ากินอาหารต่อไป
เมื่อเป็นเช่นนี้  เขาค่อยๆคลานไปหามันทันที   จังหวะที่มันเงยหน้าขึ้นเขารีบขว้างบ่วงบาศที่สะบัดเป็น
วงกลมๆแล้วขว้างไป   
         บ่วงบาศดังกล่าวก็เข้าคล้องคอมันพอดีมันส่งเสียงร้องก้องพร้อมกับยกขาหน้าทั้งสองขึ้น
 เสียงมันร้องดังลั่นเหมือนเตือนให้พวกมันหลบหนีไป      ทำให้พวกม้าป่าทั้งหลายพลันหยุดการ
กินอาหารแล้วต่างรีบวิ่งเผ่นหนีออกไปจากที่นั้นทันที   คงเหลือเจ้าจ่าฝูงเพียงตัวเดียว   มันดึงร่างเขา
ซึ่งตอนนี้เขามีพละกำลังมากมายนักยังถึงกับถลาไปข้างหน้าแต่ด้วยปฏิภาณไหวพริบเขา
รีบผ่อนเถาวัลย์แล้วนำปลายไปพันกับต้นไม้ทันที   
       เจ้าจ่าฝูงมันพยายามดึงเถาวัลย์เพื่อให้ขาดออกจากกัน   พร้อมกับตะกรุยดินที่ปนด้วย
หญ้ากระจุยกระจายไปแต่มันหาได้ทำให้เถาวัลย์นี้ขาดจากกันได้    มันยกขาหน้าทั้งสองร้องเสียง
ดังกึกก้อง   หากเขาเข้าไปตอนนี้ยากนักจะเข้าใกล้มันได้จึงรอเวลาสักพัก   จนเห็นมันเหนื่อยอ่อน
มากแล้วเวลาผ่านไปนานแสนนาน จนมันยืนสงบนิ่ง
      เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงนึกถึงตำราที่บันทึกไว้  จึงยกมือขึ้นหยิบไปยังกอต้นหญ้าพลางยกขึ้นจรด
หน้าผากแล้วบริกรรมพระเวทย์ทันที เขาเป่าไปยังกอหญ้าที่ถอนมาไว้   แล้วก็ร่ายพระเวทย์เป่าไป
ยังร่างเจ้าจ่าฝูงม้าป่าทันที    บัดดลเจ้าม้าป่าตัวนั้นก็มีอาการซึมเซาทันทีมันยืนนิ่ง เพียงแค่สะบัดหาง
ของมันไล่พวกแมลงเท่านั้น    เขาค่อยๆเดินเข้าไปหามันอย่างช้าๆ   เมื่อไปใกล้ตัวมันก็ร่ายพระเวทย์
เป่าไปต้องร่างมันอีกสามคาบ   ผลปรากฏว่ามันหายจากความดุร้ายทันทีแล้วหันหน้ามามองเขาด้วย
สายตาที่บ่งบอกถึงความปราศจากความดุร้าย   เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็นำต้นหญ้าที่ผ่านการปลุกเสกแล้ว
ส่งให้มันกิน  มันก็กินต้นหญ้าจากเงื้อมมือเขาทันทีหลังจากกินจนหมดสิ้นอาการพยศของมันก็หายไป
         เพื่อความแน่ใจเขาจึงเข้าไปลูบที่หัวมันสามครั้งพร้อมตบไปยังหัวของมันด้วยพระเวทย์ที่บันทึกไว้
มันยินยอมให้เขาลูบไล้ไปทั่วตัว  พลางส่งเสียงร้องเบาๆจนแน่แก่ใจเช่นนี้เขาจึงค่อยๆไปปลดบ่วงบาศ
ออกจากคอมันเพื่อทดลองดูว่ามันจะอยู่ในคำสั่งเขาอีกหรือไม่   เมื่อมันได้รับอิสระเช่นนี้มันก็โผนทะยาน
วิ่งออกไปทันที   ชายหนุ่มนึกว่าคราวนี้เห็นทีจะไม่สำเร็จสมปรารถนาเสียแล้วกระมังเขาจึงเดินไปม้วน
เถาวัลย์ไปปลดยังต้นไม้แล้วนำมาคล้องไหล่   พร้อมทั้งเดินเพื่อไปหาเจ้าลิงทั้งสองเพื่อจะหาทางออกเดิน
ทางต่อไป  
        ทันใดนั้นเองเสียงควบของม้าดังขึ้นใกล้เข้ามาอีกเขาเบี่ยงร่างกายหลบพร้อมกับเจ้าลิงทั้งสองเข้าบัง
ต้นไม้ทันที    ปรากฏว่าเป็นเจ้าจ่าฝูงมันวิ่งกลับมาหาเขาแล้วมายื่นอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมทั้งแลบลิ้นเลียไปตาม
ใบหน้าเขา   ชายหนุ่มดีใจมากว่าการครั้งนี้คงจะสมฤทธิ์ผลเป็นแน่นอนจึงค่อยลูบและจูบไปตรงหน้าฝากมัน
ทันทีเพื่อบ่งบอกถึงความรักที่มีต่อมัน  เจ้าจ่าฝูงม้าป่าร้องเบาๆแล้วก็เลียสูดกลิ่นของเขาไปพร้อมๆกันพลาง
คลอเคลียกับร่างเขา  มันหันไปมองเจ้าลิงทั้งสองแต่มันหาได้มีความดุร้ายแต่ประการใดไม่ แล้วก็หันมาหา
ชายหนุ่มคลอเคลียเสมือนยินยอมสยบต่อเขาแล้ว    ดังนั้นเขาจึงเอาเถาวัลย์มาทำเป็นห่วงร้อยรัดตามที่เคย
ปฏิบัติแก่ม้าที่เขาเคยฝึกมา  แล้วนำเอาหนังเสือมาพาดบนหลังเจ้าจ่าฝูงเพื่อใช้แทนอานสำหรับขับขี่ทันที
         เจ้าจ่าฝูงซึ่งมีรูปร่างใหญ่โตพู่มันออกสีขาว ลำตัวมันออกสีเทาๆแต่ปลายพวงหางมันกับเป็นสีขาว
ส่วนเท้าทั้งสี่ตั้งแต่ข้อเข่าลงมาเป็นสีขาวทั้งสิ้น  นับได้ว่าเป็นสีแปลกประหลาดผิดกับม้าทั่วๆไปซึ่งมักจะ
มีลักษณะเช่นน้อยๆมากทีเดียว   เมื่อเขาจัดการเรียบร้อยแล้วจึงทดลองฝึกมันดูโดยวิธีผิวปากเรียกมัน ปรากฏว่า
มันก็วิ่งมาหาเขาหลังจากที่เขาได้จัดผูกหนังสัตว์และทำเชือกด้วยเถาวัลย์เรียบร้อยแล้ว   มันได้วิ่งออกไปเสมือน
จะรำคาญต่อสิ่งที่มันต้องรองรับ  วิ่งหายไปสักพักเขาก็ผิวปากเรียกมันทันทีครั้นเจ้าจ่าฝูงม้าป่าได้ยินเสียงเรียกจาก
ชายหนุ่มมันก็วิ่งเข้ามาหาเขาด้วยความเร็วแล้วมาคลอเคลีย
          นับได้ว่ามันเป็นสัตว์ที่ชาญฉลาดมาก  ส่วนเจ้าลิงทั้งสองก็เข้าไปแสดงตัวสนิทสนมกับมัน  เวลาผ่านไป
นานพอควรทั้งสามก็สามารถเข้าใจกันได้ดี
        ชายหนุ่มมองท้องฟ้าเห็นพระอาทิตย์คล้อยต่ำลงมากแล้วแสดงว่าจวนจะค่ำจึงไม่คิดจะออกเดินทางต่อไป
ยังทุ่งกว้างเบื้องหน้า  สู้หาทางพักผ่อนที่นี่ก่อนสักคืนหนึ่งแล้วรุ่งขึ้นค่อยจะออกเดินทางไปสู่ยังโลกใหม่
ดังนั้นเขาจึงหาที่พักผ่อน ส่วนเจ้าจ่าฝูงนั้นเขาตั้งชื่อใหม่ให้มันทันทีว่า ” สีเทา”   ด้วยร่างมันออกสีค่อนข้างจะเทา
และทดลองเรียกชื่อมันแทนการผิวปาก  ปรากฏว่ามันสามารถจำชื่อมันได้อย่างรวดเร็วไม่จำเป็นต้องผิวปากเรียก
มันก็วิ่งมาหาเขาทันที     เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้เขาก็ปล่อยให้มันหากินตามสบาย ส่วนเขาและลิงได้ไปแอบพัก
ยังเหลี่ยมเชิงเขาที่สามารถกำบังลมและฝนน้ำค้างได้   คืนนี้มันมืดสลัวมากด้วยปราศจากพระจันทร์คงมีแต่
ดวงดาวส่งแสงประกายระยิบระยับเท่านั้น   จวบแม่นางพรายทั้งสองปรากฏร่างขึ้นมา
         นางพรายแสดงความยินดีต่อชายหนุ่มที่สามารถได้พาหนะคู่ใจที่ยากแก่การบังคับได้  และให้ชายหนุ่มพัก
ผ่อนได้  พวกนางจะคอยเฝ้าระวังภัยให้เอง  ชายหนุ่มก็บังเกิดความหยอกล้อต่อแม่นางทั้งสองว่า
        “อ้าว???...แล้วน้องพี่ไม่เข้ามานอนข้างพี่เช่นเคยอีกหรือ”   
        “อ้าๆ???....เห็นจะไม่แล้วล่ะจ๊ะ”   นางตอบด้วยความเอียงอาย
        “ทำไมล่ะน้องพี่.....อย่าคิดมากอะไรเลย  พี่คิดว่าที่นี่คงจะไม่มีเหตุการณ์ร้ายอะไรหรอก  อ้อๆๆขอขอบใจ
น้องพี่มากนะจ๊ะที่ช่วยพี่ไว้จากหลุมนั้น”    ชายหนุ่มกล่าว
        “ก็เป็นหน้าที่ของน้องอยู่แล้วนี่ค่ะ  ที่ต้องช่วยเหลือท่านพี่เสมอๆจ๊ะ”   หญิงสาวทั้งสองเอ่ยขึ้น
        “ หากไม่ได้น้องพี่ทั้งสองช่วย เห็นทีพี่คงจะจบสิ้นไปเสียแล้วล่ะ”   ชายหนุ่มกล่าว
        “ คนมีบุญวาสนาเช่นพี่ท่าน  ฟ้าดินย่อมคุ้มครองเสมอๆแหละจ้า”  หญิงสาวกล่าว
        “คำๆนี้พี่ฟังดูมันแสยงหัวใจชอบกล  ขอน้องพี่อย่างได้กล่าวเช่นนี้อีกเลยนะจ๊ะ”   ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
        “ก็เป็นความจริงนี่จ๊ะท่านพี่  มิฉะนั้นท่านพี่ไม่สามารถอยู่มาถึงตอนนี้ได้หรอก”   หญิงสาวคัดค้าน
        “เอาเถอะๆ....พี่เองไม่อยากได้ยินก็แล้วกันนะจ๊ะ”
         “จ๊ะๆ...หากท่านพี่มีความประสงค์เช่นนี้”
         “งั้นมานอนข้างๆพี่ได้แล้วจ๊ะ”  ชายหนุ่มเย้าอีก
     ทำให้หญิงสาวทั้งสองขวยเขินเอียงอาย  แต่ไม่อาจขัดใจชายหนุ่มได้   จึงได้เข้าไปแนบข้างทั้งสองชายหนุ่ม
ทันที   กลิ่นหอมกายสาวตลอดจนกลิ่นคล้ายบุปผาชาติโรยรินเข้าจมูกชายหนุ่ม  จนเคลิบเคลิ้มไปทันทีแต่ก็
พยายามอดกลั้นสิ่งเร่าร้อนในกายไว้อย่างยากเย็น  จนกระทั่งหลับไป
    ครั้นตะวันรุ่งเช้าย่างกรายเข้ามาเมื่อจัดการชำระล้างใบหน้าและทำความสะอาดเรือนร่างแล้วเขาก็เดินออกมา
พร้อมกับเจ้าลิงทั้งสอง  พลางร้องเรียกเจ้าสีเทาทันที   เจ้าม้าแสนรู้มันรีบวิ่งมาหาชายหนุ่มแล้วเข้าคลอเคลีย
ประจบเขา   ชายหนุ่มพร้อมสัมภาระก็กระโดดขึ้นบนหลังมันทันทีพร้อมกับเข้าลิงทั้งสองที่เกาะกันอยู่
เบื้องหลัง     เขาควบเจ้าสีเทาออกไปยังซอกไหล่เขาสู่ท้องทุ่งที่มองเห็นไกลลิบๆทันที..........
         *  แก้วประเสริฐ.  *

n016.gif				
comments powered by Disqus
  • โคลอน

    24 กุมภาพันธ์ 2553 17:01 น. - comment id 115251

    ดีจังได้เจอม้าคู่ใจแล้ว
    
    เหมือนช่วยเสริมบารมีเข้าไปอีกนะคะ 29.gif
    
    ต่อไปเดินทางก็ไม่ต้องใช้เวลามากแล้ว 46.gif
  • แก้วประเสริฐ

    24 กุมภาพันธ์ 2553 18:06 น. - comment id 115252

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ โคลอน
    
         คุณฝนครับตอนนี้ออกจากป่าแล้วล่ะครับต่อ
    ไปคงเป็นสงครามแล้วล่ะอิอิ อุ๊ยๆว่าจะไม่บอกแต่
    อดบอกไม่ได้ครับ อิอิ รักเสมอ
    
            16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • กิ่งโศก

    25 กุมภาพันธ์ 2553 12:09 น. - comment id 115263

    ตอนนี้พระเอก..น่าจะมีความพร้อมหมดแล้วนะครับครู..วิชาอาคม...อาวุธ วิเศษต่างๆ..
    
    รอติดตามตอนต่อไปครับ
  • แก้วประเสริฐ

    25 กุมภาพันธ์ 2553 13:32 น. - comment id 115264

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ กิ่งโศก
    
        ศิษย์รักเรา  นั่นซิต้องให้ได้อย่างนี้ซิ 
    เดาความคิดอ่านครูได้ออก  รักศิษย์เราเสมอ
    
            16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน