หนาวสุดขั้ว...ผลจากโลกร้อน
คีตากะ
ภายหลังจากความล้มเหลวของการประชุมของบรรดาเหล่าผู้นำจากประเทศต่างๆทั่วโลกว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ณ กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ความหนาวเหน็บแบบสุดขั้วในบริเวณทวีปทางเหนือไม่ว่าจะเป็น ที่กรุงโคเปนเฮเกนเอง บริเวณทางตอนเหนือและตะวันตกของสหรัฐ ทวีปยุโรป เอเชียเหนือ อย่างจีน เกาหลี เรื่อยลงมาจนถึงอินเดียตลอดจนภาคเหนือและอีสานของประเทศไทย ก็ติดตามมา หลายประเทศต้องพบกับสิ่งที่เรียกว่าความหนาวเย็นแบบสุดขั้วจากภาวะโลกร้อน ฟังๆดูค่อนข้างจะงุนงง ความเย็นจัดกับโลกร้อนมาเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร ทั้งที่มันควรจะเป็นเรื่องที่ตรงข้ามกัน ถ้าคุณเคยดูภาพยนต์เรื่อง The Day After Tomorrow คงพอจะทราบดีว่ามันเป็นเรื่องราวใดกันแน่ บางคนเห็นหิมะตกหนักในหลายประเทศถึงกลับกล่าวว่า ภาวะโลกร้อนได้ผ่านพ้นไปแล้ว ทั้งที่ความจริงก็คือว่าปรากฏการณ์เหล่านี้ต่างก็เป็นผลมาจากโลกร้อนทั้งสิ้น รองถามกูรูต่างๆ ก็จะทราบดี ภาวะโลกร้อนไม่ใช่เรื่องที่จะมาสร้างสถานการณ์ให้ใครต้องหวาดวิตก แต่คือความจริงที่มนุษย์ทุกคนต้องรู้เพราะมันเกี่ยวข้องกับกิจกรรมของมนุษย์เองไม่ใช่การสร้างกระแสเหมือนการปั่นหุ้น เพราะนี่คือหายนะที่ต้องเข้าใจและสามารถร่วมใจกันแก้ปัญหาได้ก่อนที่มันจะสายเกิน การเพิกเฉยนั่นแสดงว่าเรายอมให้ภัยพิบัติต่างๆเกิดขึ้นกับทั้งตัวเราและญาติมิตรของเราอย่างเลือดเย็นทั้งที่สามารถยับยั้งมันได้ ด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตัวเราโดยใช้หลักเหตุและผลประกอบการพิจารณา
The Day After Tomorrow เป็นเรื่องราวที่นักวิทยาศาสตร์จำลองเหตุการณ์ขึ้นจริงจากเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือภาวะโลกร้อนนั่นเอง เมื่อน้ำแข็งทางตะวันตกของทวีปแอนตาร์กติกาบริเวณขั้วโลกใต้ ได้หลุดตกลงจากหิ้งน้ำแข็งที่ชื่อว่าลาร์เซน-บี ซึ่งมีขนาดใหญ่เท่ารัฐโรดไอส์แลนด์ของสหรัฐฯหรือใหญ่กว่ากรุงเทพฯถึง ๒ เท่า เมื่อปี ค.ศ. ๒๐๐๒ และละลายหายไปในมหาสมุทรเพียงแค่ ๓๕ วัน มันได้สร้างความตกตะลึกให้แก่นักวิทยาศาสตร์ ทั้งที่พวกเขาคิดว่ามันควรจะอยู่อย่างนั้นได้อีกนับ ๑๐๐ ปี แต่แล้วมันก็ละลายหายไปหมดเพียงพริบตา นักวิทยาศาสตร์ได้จินตนาการต่อว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมาและได้สร้างเป็นภาพยนต์โด่งดังฉายไปทั่วโลกและเงียบหายไป จนใครๆก็ต่างคิดว่ามันเป็นจินตนาการมากกว่าความจริง แต่ขณะนี้เรื่องราวในภาพยนต์เรื่องนี้กำลังเกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน การละลายอย่างรวดเร็วของน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกทำให้กระแสน้ำอุ่นชะลอตัวลง การที่กระแสน้ำในมหาสมุทรเกิดการหมุนเวียนได้ก็เพราะมีแรงขับเคลื่อนมาจากอุณหภูมิของน้ำทะเลนั่นเอง กระแสน้ำจะรับความอุ่นจากบริเวณเส้นศูนย์สูตรซึ่งอยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์มากที่สุด มันจะไหลอยู่บริเวณผิวน้ำเพื่อเดินทางนำพาความอบอุ่น ความชื้น ออกซิเจนและสารอาหารที่จำเป็นต่อสิ่งมีชีวิตแพร่กระจายไปทั่วทุกมุมโลกโดยจะไปแลกเปลี่ยนหรือคายความร้อนบริเวณขั้วโลกเหนือ-ใต้ ซึ่งมีน้ำแข็งที่เย็นจัดปกคลุมอยู่ น้ำจะเปลี่ยนกลายเป็นเย็นจัดจากน้ำแข็งและจมตัวลงสู่ก้นมหาสมุทรเรียกว่ากระแสน้ำเย็น จากนั้นจะเดินทางในทิศตรงกันข้ามกับกระแสน้ำอุ่นหมุนเวียนเป็นวัฏจักรอย่างนี้มายาวนาน จนกระทั่งเมื่อน้ำแข็งได้ละลายอย่างรวดเร็ว เมื่ออุณหภูมิฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้น ทะเลเริ่มอุ่นขึ้นกว่าเดิม ปรากฏการณ์ในภาพยนต์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะน้ำแข็งกำลังละลายและทำให้กระแสน้ำในมหาสมุทรชะลอตัวช้าลงเนื่องจากความแตกต่างของอุณหภูมิน้อยลงและเกิดการเสียสมดุลระหว่างน้ำเค็มในทะเลกับน้ำจืดจากน้ำแข็งขั้วโลกที่ละลาย ถ้ากระแสน้ำหยุดหมุนเวียนจะทำให้บางพื้นที่ร้อนเกินไปและบางแห่งหนาวเย็นเกินไปจนสิ่งมีชีวิตไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ในฤดูหนาวทางตอนบนของทวีปแกนโลกจะเอียงออกห่างจากดวงอาทิตย์ทำให้หนาวเย็น ในขณะที่บริเวณเส้นศูนย์สูตรยังคงรับความร้อนจากดวงอาทิตย์ต็มๆ มวลอากาศเย็นจากตอนเหนือของทวีปตั้งแต่ไซบีเรียลงมาจะมีกำลังแรงพัดลงสู่ทางใต้สู่บริเวณเขตร้อนนำพาอากาศที่เย็นจัดลงมาด้วย ความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิระหว่างร้อนกับเย็นบนพื้นแผ่นดินมีมากกว่าน้ำทะเล เพราะแผ่นดินจะรับความร้อนได้น้อยกว่ามหาสมุทรทำให้มันมีอุณหภูมิสูงกว่ามาก มวลอากาศร้อนจัดที่ลอยตัวสูงขึ้นจะถูกแทนที่ด้วยมวลอากาศเย็นที่ทั้งเร็วและรุนแรงทำให้สิ่งมีชีวิตปรับตัวไม่ทันและถึงขั้นหนาวตาย สภาพอากาศมีความรุนแรงจากการที่โลกร้อนขึ้นสำหรับประเทศไทยทำให้ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือทวีความรุนแรงขึ้น มันจะพัดพาความเย็นจากประเทศจีนสู่ภาคเหนือและอีสานของไทย ด้วยกลไกธรรมชาติจากแผ่นดินที่ร้อนขึ้นนี้เองมวลอากาศเย็นจึงพัดมาแทนที่อากาศร้อนอย่างรุนแรงประกอบกับภาวะโลกร้อนทำให้อากาศมีความชื้นมากจาการระเหยของน้ำทะเลและแหล่งน้ำต่างๆ รวมทั้งน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือ ในขณะที่กระแสน้ำอุ่นที่นำพาความชื้นไปบริเวณตอนบนของทวีปเริ่มจะชะลอตัวลงผลก็คือมวลอากาศเย็นปะทะกับความชื้นจากภาวะโลกร้อนทำให้เกิดหิมะตกหนักบริเวณต่ำลงมาใกล้เส้นศูนย์สูตรมากขึ้นบางประเทศที่ไม่เคยมีหิมะตกก็กลับมีหิมะตกสร้างความตื่นตกใจให้กับประชาชนในประเทศนั้นๆ ความรุนแรงของมรสุมทางตอนบนที่ปะทะกับความชื้นอย่างฉับพลันทำให้อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างรวดเร็วต่ำกว่าจุดเยือกแข็งโดยบางแห่งติดลบถึง ๓๐ องศาเซลเซียส
ภาวะโลกร้อนไม่เพียงทำให้พายุทวีความรุนแรงเท่านั้น ยังทำให้ฝนตกหนัก และหิมะตกหนักอีกด้วย ปรากฏการณ์แบบสุดขั้วเริ่มมีให้เห็นมากขึ้นทั่วโลกเมื่ออุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้นจากภาวะโลกร้อน ขณะที่ตอนบนเกิดพายุหิมะรุนแรง ทางใต้บริเวณใกล้เส้นศูนย์กลับประสบกับฝนตกหนักจนน้ำท่วม ภัยแล้ง และไฟป่าขั้นรุนแรง แม้ความหวังในการแก้ไขปัญหาการปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงและเกิดบ่อยครั้งขึ้นเรื่อยๆ จะดูริบหรี่จากการประชุมครั้งล่าสุดเกี่ยวกับสภาพอากาศที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เมื่อข้อตกลงของเหล่าผู้นำประเทศต่างๆ กำหนดขอบเขตที่กว้างมากจนยากแก่การจับต้องและไม่มีผลบังคับทางกฏหมายที่เป็นรูปธรรม แต่เราในฐานะมนุษย์ผู้มีส่วนร่วมในปัญหาโลกร้อนก็ควรได้ร่วมมือร่วมใจกันแก้ไขปัญหาเท่าที่กำลังจะทำได้ไปก็แล้วกัน ทัศนคติด้านบวกเป็นสิ่งสำคัญในห้วงเวลาแห่งวิกฤติ แต่ก็ควรมีความรอบคอบโดยอาศัยข้อมูลที่เป็นความจริงและเชื่อถือได้เพื่อที่เราจะไม่มาสำนึกเสียใจภายหลัง เมื่อเรามีโอกาสที่แก้ปัญหาแต่เรากลับเพิกเฉย.....