เรื่องของบั้งไฟพญานาค(ไม่เชื่ออย่าลบหลู่)

สุรศรี

บนถนนเลาะเลียบชายฝั่งโขงด้านขวามือ  มองเห็นสายน้ำสีขาวยามฟ้าแลบ  ในยามค่ำคืนเช่นนี้ ที่ปัดน้ำฝนหน้ารถยังทำหน้าที่กวาดน้ำออกจากกระจกรถไม่หยุดหย่อน    ถนนโล่งตลอดนาน  ๆจะมีรถสวนมาสักคันหนึ่ง
      บ้านเรือนผู้คนยามนี้ไม่มีแม้แสงไฟเล็ดลอดออกมาข้างนอกให้มองเห็น  ไม่มีป้ายบอกถนน  บอกพิกัด บอกหมู่บ้าน หรือระยะทางแต่อย่างใด เราไม่ทราบว่าเราวิ่งมานานเท่าไรแล้วตั้งแต่ออกจากโพนพิสัยเกือบสามทุ่มจำได้ว่าเราเลี้ยวซ้ายเพื่อจะลัดไปอำเภอโซ่พิสัย  เข้าอำเภอพรเจริญ และจดหมายอยู่ที่อำเภอบึงโขงหลงระยะทางประมาณ  100  กิโลเมตร
          แต่เท่าที่วิ่งอยู่นี้เราไม่รู้ว่าเราอยู่  ณ  ตำแหน่งไหนกันแน่ เพราะมองไม่เห็นอะไรเลย นิกจากเส้นสีเหลืองขาวบนพื้นผิวถนนเท่านั้น   เพื่อนพี่น้องที่ที่นั่งอยู่ในรถด้านหน้า  3- คน ทุคนเป็นใบ้กันหมดแล้วส่วนคนนั่งข้างหลังกระบะคงเปียกปอนและเหน็บหนาวกันหมดแล้ว
           เรากำลังหลงทาง   ผมคิดคนเดียวในใจ
          จำได้ครั้งสุดท้ายเรามองเห็นป้ายด้านซ้ายมือบอกระยะทางไปอำเภอโซ่พิสัย และหลังจากนั้นเรามองไม่เห็นป้ายอะไรอีกเลย   แต่แปลกเอามาก ๆเราวิ่งออกจากถนนเลียบชายฝั่งโขงตั้งนานแล้ว  แต่ขณะนี้สายน้ำสีขาว ๆ ด้านขวามือมันยังคงวิ่งตามเราไปตลอดไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงแต่อย่างใด
              เมฆทะมึนทึนก้อนเล็ก  ๆ  ด้านทิศใต้ด้านจังหวัดหนองคาย เมื่อตอนหัวค่ำ ใครจะคิดว่ามันจะแผ่ขยายและตกได้นานกินบริเวณกว้างขนาดนี้ทั้งที่หมดหน้าฝนไปแล้ว  คลื่นมนุษย์ที่แห่มาดูปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคเต็มชายฝั่งโขง  พ่อค้าแม่ค้าต่างคึกคักขายสำรับกับข้าว  อากาศตอนนั้นร้อนอบอ้าว เพราะผู้คนเบียดเสียดกัน  เราทานข้าวเสร็จก็พากันไปปูเสื่อหาที่ถนัด ๆ รอดูปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ครั้งหนึ่งในชีวิตนี้ต้องหาโอกาสมาดูให้ได้  อากาศเริ่มมืดเข้าไปทุกที  ขณะเดียวกัน และเมฆก้อนนั้นก็ขยายอาณาบริเวณออกไปเรื่อย  ๆดูผู้คนไม่ไดกังวลกับมันเท่าใดนัก  ยังคงนั่งจับตามองออกไปยังชายฝั่งข้างหน้าเหนือผืนน้ำสีขุ่นอย่างใจจดใจจ่อ  
             ดูเหมือนสิ่งที่ทุกคนตั้งตาคอยก็มาถึง
ปิ้ววววววววววว
             พอได้ยินเสียงทุกคนก็หันไปมองลูกไฟกลมโตขนาดเท่าลูกมะนาวปรากฏแสงสีส้มเหนือฝั่งน้ำประมาณ  30  เมตร  ลูกไฟลอยขนานไปตามลำน้ำโขงประมาณ  50  เมตรก็สิ้นเสียงและแสงสีส้มก็หายแว้บไปทันใด
           เฮ้   ผู้คนส่งเสียงร้องขึ้นพร้อมกันด้วยความดีใจ
เสียงอื้ออึงของผู้คนดังขึ้นเรื่อย  ๆ บางคนเปล่งเสียงสาธุพร้อมยกมือไหว้ท่วมหัว 
          เอาอีก ๆ   เสียงผู้คนดังขึ้นเป็นระยะช่วยเชียร์ให้บั้งไฟประทุขึ้นมาอีก 
           แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเสียแล้วระยะเวลาแห่งการรอคอยยืดออกไปเรื่อย  ๆ
          เป็นเพราะหนัง 15  ค่ำ เดือน 11นี่แหละที่ทำให้บั้งไฟไม่ขึ้น  หลายเสียงบ่นให้หลายคนได้ยิน
         บั้งไฟ....าเหวอะไรวะ  ไม่เห็นมี  ใครไม่รู้ในกลุ่มของพวกเราสบถออกมาอย่างหัวเสีย
           และแล้วสิ่งที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดมันก็เกิด  เม็ดฝนเย็น  ๆ ร่วงลงมาจากฟากฟ้าปรอย  ๆ ก็ทยอยตกหนาเม็ดขึ้นเรื่อย ๆ ผู้คนต่างลุกฮือขึ้นพร้อมกันเพื่อหาที่หลบฝน แต่ก็ไม่รู้จะไปหลบที่ไหนเพราะไม่มีที่ให้หลบเมื่อต่างคนต่างลุกขึ้นยืนและพยายามจะหนีก็กลับกลายเป็นจลาจลไปในพริบตา และไม่มีใครที่จะสนใจบั้งไฟที่พุ่งเข้ามายังฝั่งอย่างไร้ทิศทาง  มันเหมือนกับโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่ที่คนดูกรูกันออกจากโรงพร้อม ๆ กัน 
           กว่าที่เราจะหนีออกมาจากมาจากฝูงชนและรวมตัวกันได้ก็ใช้เวลานานโขอยู่ แต่พอขึ้นรถได้ ก็ต้องเจอปัญหา รถติด  รถวิ่งไม่ได้ มันวิ่งได้ครั้งละประมาณ 1 เมตรเท่านั้น กว่าที่พวกเราจะหลุดออกมาจากขบวนรถติดและเลี้ยวซ้ายเข้าอำเภอโซ่พิสัยก็ใช้เวลาร่วมครึ่งชั่วโมง
             แรก ๆ  รถวิ่งตามหลังพวกเรามาก็มากอยู่  แต่นานเข้าก็ลดน้อยลงเรื่อย ๆ  และแทบจะไม่มีที่ตามมา
    ................
         รถพวกเรายังคงวิ่งไปเรื่อย  ๆ  อย่างไร้จุดหมาย  ตามถนนที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนส่วนไหนของประเทศไทย
และจะสิ้นสุดลงที่ตรงไหน  ทุกคนเริ่มเหนื่อยและหิว หนาว บางคนหลับใหล บางคนก็หลับไม่ลงกับชะตากรรมที่ทุกคนกำลังเผชิญอยู่ ทุกคนรอให้มันสว่างจะได้รู้แล้วรู้รอดซะทีว่ามันอยู่ที่ตรงไหนกันแน่
          ยังดีที่พวกเราเติมน้ำมันเต็มถังตั้งแต่หัวค่ำแล้ว ถ้าเกิดน้ำมันหมดไม่มีปั๊มป์เติมน้ำมันแบบนี้ก็คงแยแย่แน่นอนอย่างดีก็คงนอนบนรถรอให้สว่างและให้คนมาพบ
           ฉันหลับไปนานเท่าไรไม่รู้  มารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อได้ยิน เสียงจ็อกแจ็ก จอแจและแตกตื่นของผู้คนมองออกไปเริ่มสว่างแล้ว 
  ที่ไหน     เป็นคำถามแรกของทุกคนที่ถามขึ้นพร้อมกัน
   สว่างแล้วเหรอ   
   ฮือ    โชเฟอร์ทำตาปรือ  ขณะตอบคำถาม  เสียงอู้อี้ในลำคอ
   มันที่ไหนกันแน่    ผมถามขึ้นพลางมองไปตามถนนสองข้างทาง
   เห็นบ้านเรือนผู้คนทั้งสองฟากถนน  ฝนหยุดตกเมื่อไรไม่รู้ รถพวกเรายังคงวิ่งต่อไป ด้วยความเร็วปกติ  ผมมองกระจกด้านหลังเห็นเพื่อนร่วทางกอดอกหนาวสั่น
     อุดรธานี  7   กิโลเมตร    ผมรำพึงเบา  ๆ เมื่อมองเห็นป้ายข้างทาง  เป่าลมออกปาก  ทำตาโต  ทุกคนได้แต่มองตากันไปมา  เราวิ่งรถเกือบ  10  ชั่วโมง จนรุ่งเช้าถึงอุดรธานี  และอยู่คนละแห่งกับจุดหมายที่เราจะเดินทางไป  ทุกคนเริ่มสงสัยแปลกใจอีกครั้ง  แต่ก็ไม่รู้ว่าจะถามใครว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับขบวนรถของพวกเรา
      ไปถึงที่นั่นอย่าปากพล่อย  อย่าปากโป้ง ดูถูกเจ้าที่เจ้าทาง
        คำพูดประโยคนี้ยังแว่วอยู่ในโสตประสาทของผมในขณะนั้น  จำไม่ได้ว่าได้ยินจากปากของใครไม่รู้พูดก่อนที่จะออกเดินทางมา
         เราไม่กลับไปจุดหมายที่ต้องการจะไปไม่แวะบ้านญาติ ทุกคนลงความเห็นว่ากลับบ้านที่สกลนครดีกว่า  กลับถึงบ้านพวกเราต่างจับไข้ทุกคน และพากันไปรดน้ำทำบุญที่วัด  เรื่องที่เกิดขึ้นขอให้อยู่ในความทรงจำของทุกคน  ดีกว่าที่บอกเล่าให้ผู้คนทราบในสิ่งที่ไม่กระจ่าง  ลึกลับซับซ้อนเช่นนี้				
comments powered by Disqus
  • ฉางน้อย

    1 ธันวาคม 2552 18:33 น. - comment id 110755

    11.gif36.gif6.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน