สองมือแม่ ตอนที่ ๒

ละไมฝน

๒. วัยสาว
ลมหายใจแห่งรักกลิ่นหอมกรุ่นเหมือนกลิ่นข้าวหอมดอกมะลิ ความสมหวังในรักดุจดวงตะวันอันเจิดจรัส สาดแสงสุกอร่ามอวลอุ่นในยามเช้า ค่ำคืนฟ้างามระยับพราวด้วยแสงตะเกียงเงินของดวงดาว และในคืนเพ็ญแสงโคมทองหว่านกลิ่นหอมเย็น ละไมละมุนมาสู่ดวงใจแม่ยามนิทรา
พ่อบุญถึง หอบฝันอันบรรเจิดจากเมืองยศ ( ยโสธร ) มาแบ่งปันให้แม่ครอบครองเต็มดวงใจ หลังแต่งงานแม่ได้เปลี่ยนนามสกุล พลเยี่ยม เป็นนามสกุล โคตรพันธ์ ตามสกุลพ่อ แปลกต่างจากนามสกุลคนในหมู่บ้าน ซึ่งมีเพียง พลเยี่ยม กับ แวงวรรณ เท่านั้น 
พี่ชายของแม่ ๒ คน คือ คุณลุงกูด คุณลุงรอด แต่งงานออกเรือนไปเลี้ยงพ่อตาแม่ยายเฒ่าแล้ว พี่สาว ๓ คน คือ คุณป้าบุญสวน คุณป้าปัด แต่งงานออกเรือนไปเลี้ยงปู่เลี้ยงย่าเฒ่าแล้วเช่นกัน ส่วนคุณป้าบัวแต่งงานกับคุณลุงเข็ง นาเมืองรักษ์ กำลังปลูกเรือนใหม่กลางสวนกล้วยแม่ใหญ่ทุม 
ขนบธรรมเนียมชาวอีสาน เมื่อเขยใหม่ย้ายเข้ามาอยู่เรือนกับพ่อตาแม่ยาย เขยเก่าต้องขยับขยายออกเรือนไปตามวาระ ไม่ต่างกับมดปลวกงอกปีกบินขึ้นชมปวงดาวบนฟากฟ้า พ่อแม่จะแบ่งปัน มูลมัง วัวควายไร่นาให้ลูกทำกินเลี้ยงชีพตามสมควร วิถีชีวิตชาวนา...ทุ่งนาข้าวเปรียบได้กับอ้อมอกมารดา สายฝนหลั่งดุจหยาดเหงื่อบิดาที่รวยรดท้องทุ่งชุ่มฉ่ำอุดมสมบูรณ์
รูปรอยอดีตปริเปี่ยมในห้วงทรงจำของฉันจากคำบอกเล่าของแม่...
บ้านของครอบครัวคุณตาสวงเป็นเรือนใหญ่มีเกย เครื่องเรือนสับฝากระดาน มุงหลังคาด้วยแผ่นไม้เกล็ด ชานแดดยื่นออกไปด้านหน้า ริมชานสร้างร้านแอ่งน้ำ วางโอ่งดินเรียงรายไว้ดื่มกิน ร้านแอ่งน้ำน้อยมุงหลังคาไม้เกล็ดกันแดด ด้านข้างโล่งรับลมโกรกโอบชุบน้ำในโอ่งดินเย็นฉ่ำ น้ำใสตักดื่มด้วยกระบวยกะลามะพร้าว กลิ่นหอมเย็นชื่นใจจนไม่รู้จักอิ่ม ด้านข้างชานแดดต่อเติมเรือนครัวไฟขนาดสองห้องเสาทอดออกไป 
ตอนที่ฉันฟังแม่เล่าฉันยังเด็กนัก นึกภาพไม่ออกว่า เรือนครัวไฟหน้าตาเป็นเช่นไร มีปล่องควันด้วยหรือเปล่า
แม่อธิบายว่า เรือนครัวไฟตามบ้านไม่มีปล่องควันโขมงเหมือนโรงสีไฟ แต่มี ป่องเอี้ยม ช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ เปิดแง้มออกใช้ไม้ค้ำยัน สำหรับระบายควันเวลานึ่งข้าวเหนียวและปรุงอาหาร คืนหนาวใด...หนาวเหน็บเนื้อนอนไม่หลับ คุณตาคุณยายจะชวนลูกๆ ออกมานั่งล้อมวงผิงไฟในเรือนครัวไฟ ซึ่งมี แม่เตาไฟ บันดาลไออุ่นแก่เด็กๆ บางดึกหิวข้าว คุณยายนวนจะเปิดกระติบข้าวเหนียว ปั้นข้าวโรยเกลือเสียบไม้ไผ่ อังไฟจนห่ามหอมแล้วทาไข่ไก่เหลืองนวลทั้งปั้น 
คุณตาสวงเป็นนักเล่านิทานอารมณ์ดี มีนิทานก้อมสนุกๆให้เล่าอยู่เต็มพุง เมื่อลูกหลานรบเร้าขอฟังนิทาน คุณตาจะแย้มยิ้มหยิบใบตองกล้วย ยาเส้น จากเซี่ยนหมาก มาพันบุหรี่มวนโต จุดสูบพ่นควันโขมงรื่นรมย์ก่อนเล่านิทาน ท่านชอบเล่าเรื่องสามเกลอ เพราะมีหลายตอน เช่น ตอนสามเกลอหัวขโมย คุณตาเล่าว่า มีชายสามคนเป็นเพื่อนรักกันมาก ไปไหนก็ไปด้วยกัน ชายคนแรกหูหนวก คนที่สองตาบอด คนที่สามขาเป๋เป็นใบ้ คืนหนึ่ง สามเกลอปรึกษากันว่าจะไปขโมยไก่ที่บ้านตาสีหาเหตุ โดยมอบหมายให้ชายหูหนวกปีนเข้าไปในเล้าไก่ ชายตาบอดเป็นคนบอกลักษณะไก่ ชายขาเป๋มีหน้าที่เฝ้าดูต้นทาง
 เอาไก่ตัวผู้หรือตัวเมีย  ชายหูหนวกตะโกนถาม
 ตัวผู้  
ชายตาบอดร้องตอบ ชายหูหนวกไม่ได้ยิน จึงตะโกนย้ำถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
 เอาตัวเมียแม่นบ่  
 บ่แม่น เอาตัวผู้
 เอาตัวเมียแม่นบ่ 
 อย่าเสียงดังหลาย บักหนวก 
 เอาตัวเมียแม่นบ่...เอาตัวเมียเนาะ
เสียงตะโกนโต้ตอบของชายหูหนวกกับชายตาบอด ปลุกตาสีหาเหตุตื่นขึ้นมา งัวเงียเข้าใจผิดคิดว่ามีคนลอบขึ้นมาเป็นชู้กับเมีย จึงร้องตวาดด้วยความเกรี้ยวโกรธในราตรีอันมืดมิดว่า
 พวกมึงต้องข้ามศพกูไปก่อน...
ชายตาบอดกับชายหูหนวกตกใจ อุ้มไก่ตัวเมียวิ่งเตลิดไม่คิดชีวิต ชายขาเป๋วิ่งตามเพื่อนไม่ทัน จึงถูกเจ้าของบ้านไล่จับได้
แต่ตาสีหาเหตุสอบถามเอาความกับชายใบ้ไม่ได้เรื่องเลย
นิทานก้อมก็จบลงเพียงนี้...
ฉันยอมรับว่าคุณตาสวงคงเล่านิทานสนุกกว่าฉันมากนัก พวกลูกๆ ถึงล้อมวงนั่งฟังนิทานที่คุณตาเล่าได้ทุกคืน 
กลับมาตามรอยคำของแม่ต่อไปดีกว่า 
แม่เล่าว่าพ่อทำนาไม่เป็น...
ที่เมืองยศ พ่อมีอาชีพหมักปลาร้าขาย ปลามากมายในแม่น้ำชีถูกจับขึ้นมาทำปลาร้า หมักไว้ในโอ่งลายมังกร ปลาช่อนตัวเขื่องหมักข้ามปี จนเนื้อปลาเปลี่ยนเป็นสีแดงนุ่ม กลิ่นหอม รสชาติกลมกล่อม บรรทุกใส่เกวียนขนมาขายที่เมืองแวงปีละครั้ง นอกจากขายปลาร้าแล้ว ปู่จะนำแหวนเงิน กำไล เข็มขัดนาค ติดมือมาขายด้วย 
บางปีพ่อก็เดินทางมาค้าขายกับปู่ พ่อรูปร่างบอบบางสันทัด เนื่องจากไม่เคยตรากตรำทำงานหนัก 
เมื่อพ่อมาเป็นลูกเขยคุณตาสวง พ่อไม่นิ่งดูดาย ฝึกไถคราดนา ปักดำข้าวกล้า ด้วยความขยันขันแข็ง ว่างเว้นจากฤดูทำนาก็ช่วยคุณตาขุดร้างถางพง ตัดฟืนขนมาเก็บใต้ถุนเรือน ใช้นึ่งข้าวปรุงอาหารในฤดูฝน ก่อไฟผิงในฤดูหนาว 
ทุกเช้ามืดแม่จะปลุกน้องสาวลุกขึ้นมาตำข้าวครกกระเดื่องข้างยุ้งฉาง พอฟ้าสางจึงชวนกันไปตักน้ำที่หลังวัดโพธิ์ร้อยต้น ระยะทางห่างจากบ้าน ราว ๓ กิโลเมตร บ่อน้ำกินแห่งนี้ได้ชื่อว่ารสชาติดีที่สุดในตำบล มีเรื่องเล่าขานกันว่า ครั้งหนึ่งเจ้าเมืองร้อยเอ็ดมาตรวจราชการที่เมืองแวง แล้วแวะมานมัสการหลวงปู่แพง ได้ดื่มน้ำบ่อหลังวัดที่ชาวบ้านตักมาต้อนรับ เกิดติดอกติดใจ ถึงกับขนน้ำใส่เกวียนกลับไปที่จวนเจ้าเมืองด้วย 
เรื่องที่แม่เล่าวาบขึ้นในทรงจำของฉันเป็นฉากเป็นตอน ขับเคลื่อนเรื่องราวดำเนินไปราวภาพยนตร์ย้อนยุคฉายซ้ำ
สมัยก่อนผืนดินป่ากว้างยังไม่มีกรรมสิทธิ์ ใครต้องการที่ดินตรงไหน ก็ปักเขตผูกหญ้าแฝกหมายไว้กับต้นไม้ หรืออาจใช้คมขวานถากเปลือกไม้จับจองเป็นเจ้าของ ญาติพี่น้องมักจับจองที่ดินใกล้ๆ กัน แล้วบุกเบิกแผ่ขยายออกไปกว้างไกลเท่าที่สองแขนและเรี่ยวแรงจะเอื้อมถึง ผืนป่าแล้งดินแดงไม่ค่อยมีคนจับจอง คุณตาสวงยายนวนก็ชวนลูกๆ ขุดร้างถางพงหนามเล็บแมว ต้นติ้วป่า ต้นหนามแดง ถางเผาแล้วหยอดเมล็ดข้าวโพด ฟักทอง ถั่วพุ่ม แตงค้าง จากนั้น เฝ้ารอคอยหยาดฝนชุ่มฉ่ำจากฟากฟ้า หากเป็นพื้นที่ลุ่มก็ขุดคูคันนาเป็นแปลงเล็กแปลงน้อย ปลูกข้าวเหนียวพันธุ์ฮวงช้าง รวงข้าวใหญ่เม็ดหอมหวนยามนึ่งสุกใหม่ หอมไกลจากหัวบ้านถึงท้ายบ้าน กลิ่นกรุ่นหอมยิ่งกว่าข้าวหอมมะลิ ข้าวฮวงช้างกินอิ่มท้องนานแม้เพียงลิ้มรสปั้นข้าวเปล่าโรยเกลือ
แต่ดูเหมือนพ่อไม่อยากได้อยากมีในที่ดินไร่นามากมายเหมือนลุงป้า ร่างกายพ่อไม่แข็งแรงทรหดทนแดดฝนเฉกเช่นเขยอื่น ไร่นาที่ปู่ย่าตายายบุกเบิกไว้ให้ลูกหลาน กว้างใหญ่ไพศาลเกินกำลังที่พ่อจะบุกบั่นฟันฝ่าต่อไป พ่อบอกกับแม่ว่ายามออกเรือนอย่าเรียกร้องที่ดินไร่นามากหลาย พ่อทำนาหามรุ่งหามค่ำไม่ไหว ขอแค่พื้นที่นาลุ่มเพียงพอกำลังทำกินในครอบครัวเท่านั้น 
แต่ไหนแต่ไรแล้วแม่ไม่ขัดใจพ่อ ไม่เคยว่ากล่าวให้พ่อน้อยใจสักครา แม่เคารพบูชาผู้ชายที่แม่เลือกมาเป็นสามีดุจเดียวกับพ่อบังเกิดเกล้า 
เมื่อแรกมาอยู่กับแม่ พ่อวาดฝันจะเปิดร้านตัดเย็บให้แม่รับเย็บผ้าที่เมืองแวง ส่วนพ่อจะขายของชำ ทว่าแม่ไม่เห็นด้วยที่ต้องทอดทิ้งคุณตาคุณยายไปก่อร่างสร้างตัวในเมือง แม่รักบ้านเกิด...อยากอยู่ใกล้ชิดญาติพี่น้อง 
ต่อมาพ่อจึงปรารภกับแม่ว่า จะสร้างบ้านหลังใหม่บนที่ดินของเรา สำหรับลูกๆ ที่จะเกิดมาในอนาคต
แล้วคืนหนึ่ง แม่ก็ฝันว่า พ่อนำแหวนเงินมาสวมนิ้วนางให้แม่ จากนั้นไม่นาน แม่ก็เกิดอาการแพ้ท้องคลื่นเหียนอาเจียน แม่กินมะยม มะขาม ได้ทั้งวันทั้งตะกร้า ท้องแรกของแม่เริ่มโตชัดเจนเมื่อย่างเข้าสู่เดือนที่ห้า ขณะตั้งครรภ์แม่ยังคงทำงานหนักเป็นปกตินิสัย ปฏิบัติตามความเชื่อที่คุณยายพร่ำสอนเสมอว่า อย่านั่งอยู่นอนกิน อย่านั่งขวางประตู จะคลอดลูกยาก ฯลฯ
คนที่ตื่นเต้นเป็นที่สุดก็คือพ่อนั่นเอง พ่อเฝ้านับวันนับคืนจะเห็นหน้าลูกคนแรก ทุกๆเช้าพ่อไปตัดฟืนก่อนพระออกบิณฑบาต บรรทุกใส่เกวียนมาเก็บตุนไว้ใต้ถุนเรือน 
ลมหนาวโชยผ่าน เนิ่นนานกาลฟ้า 
มิ่งขวัญมารดา อุ้มครรภ์เก้าเดือน 
ใกล้วันผันล่วง เจ็บหน่วงปวดเหมือน
สัญญาณกาลเตือน คราวคลอดลูกน้อย... 
วันครบกำหนดคลอด แม่ปวดท้องอย่างหนักหน่วง คุณตาสวงจัดเตรียมแม่แคร่เตาไฟในเรือนครัวไฟ ตัดต้นกล้วยเป็นท่อนๆ ผ่าสองซีกวางลงในแม่แคร่ ขนดินขึ้นมากลบเกลี่ยทับข้างบนแล้วยกแม่เตาไฟมาวาง คุณยายนวนลงบันไดเรือนไปล้มกองฟืนทลายลง แล้วชักฟืนไม้จิกมา ๓ ท่อน ก่อไฟต้มน้ำหม้อกรรมรอหมอตำแย คุณยายทองก้อน เรือนอยู่ใกล้ชิดติดกัน ขึ้นมาช่วยตั้งขันข้าวสาร บรรจงวางหมาก ๓ ผล พลู ๓ เรียง กล้วยน้ำหว้าสุก ๑ หวี ธูป ๓ ดอก เทียน ๓ เล่ม พ่อวางเงินติดเทียน ๙ บาท ลงในขันลงหิน เป็นค่าบูชาครู
เล่าถึงตรงนี้ ฉันรู้สึกราวกับว่า กำลังอยู่ในเหตุการณ์อันทรงค่านั้นด้วย ฉันได้ยินแม่ร้องครางอย่างเจ็บปวดทรมาน ฉันหลับตาลงด้วยความสงสารแม่ พลันเห็นภาพเด็กทารกในครรภ์วาบขึ้นมาตรงหน้า เจ้าตัวน้อยกำลังชกหมัดเตะต่อยถุงน้ำคร่ำอุตลุด คงอยากออกมาดูโลกอันสวยงามเต็มทีแล้วซินะ
ใกล้ค่ำ ขอบฟ้าหมาดหมอก ม่านมืดคลี่คลุมหมู่บ้าน บรรยากาศเยือกเย็นลง ใบไม้ไม่ไหวติงลมนิ่งงันประหลาด พ่อจุดตะเกียงเจ้าพายุสว่างนวล ไม่นานร่างผอมสูงของหญิงชราคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้น เสียงเคี้ยวหมากหยับ ๆ ดังมาแต่ไกล น้ำหมากเยิ้มสองมุมปากจนแดงเถือก แกหิ้วตะกร้าหวายใส่หมากพลูก้าวขึ้นบันได เดินเข้ามาในเรือนครัวไฟ ทุกคนนั่งบนชานเรือนต่างมีสีหน้าโล่งใจ คุณยายนวนโน้มหน้าลงมากระซิบปลอบขวัญแม่ ซึ่งนอนตะแคงบนพื้นกระดานว่า... ลูกเอ้ย หมอตำแยมาแล้ว
ยายเป้าจุดธูปเทียนบนบานเทวดา ผีบ้านผีเรือน ช่วยปกป้องวิญญาณร้ายเร่ร่อนมารบกวนแม่ มือเหี่ยวย่นหนังติดกระดูก หยิบขวดน้ำมนต์ที่ปลุกเสกโดยหลวงปู่แพง วัดโพธิ์ร้อยต้น มารินใส่ขันน้ำให้แม่ดื่ม แล้วประพรมน้ำมนต์ที่ท้องแม่ เตือนแม่หันศีรษะไปทางทิศเหนือ
คุณตาสวงนำด้ายสายสิญจน์ผูกโยงรอบเรือนครัวไฟ
ถึงคราวคลอดลูกน้อยแล้ว ยายเป้าไล่พวกผู้ชายออกไปรอข้างนอก
แม่ยิ้มอ่อนโยนพลางพูดว่า ถ้าหากลูกเกิดแล้วมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลานั้น ยายเป้าหมอตำแยปากแดง ฟันดำ คงตะเพิดลูกออกไปจากเรือนอยู่ไฟแน่เลย เหตุผลเพราะลูกเป็นเด็กผู้ชาย
แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นประสาเด็ก ฉันจึงแอบแนบหูฟังข้างฝากระดาน ใจลุ้นระทึกไปกับภารกิจอันยิ่งใหญ่ของแม่ ฉันภาวนาขอให้แม่และลูกคนแรกปลอดภัยด้วยเถิด
อากาศอบอ้าวขึ้นฉับพลัน ทั้งที่เป็นช่วงปลายฤดูหนาว ฉันได้ยินเสียงแม่ร้องครางด้วยความเจ็บปวด สลับกับเสียงแหบแห้งของยายเป้า หมอตำแยคนเดียวในหมู่บ้านร้องว่า
 อีนาง...เบ่ง...เบ่งแฮงๆ เบ่งเข้าไป ฮึดๆ เบ่ง...เบ่งแฮงๆ ฮึดๆ 
ช่วงที่แม่พยายามเบ่งลูกออกจากท้องนั้น แม่คงเจ็บและทรมานสาหัสสากรรจ์ที่สุดในชีวิต หยาดเหงื่อผุดพราวเต็มดวงหน้า ลำคอ และเรือนร่าง แค่ฉันเอาใจช่วยแม่อยู่ข้างนอก ยังสำเนียกได้ถึงความเจ็บปวดแทบขาดใจตายของแม่
นานหลายอึดใจ ฉันจึงได้ยินเสียงร้อง อุ๊แว้...อุ๊แว้...ลอดช่องกระดานออกมา
ฉันระบายลมหายใจพรู...แอบยิ้มในหัวใจ พลิกกายนั่งพิงฝากระดานอย่างโล่งอก
คราวนี้ ถึงผ่านความเป็นความตายไปแล้ว ฉันยังไม่วายอยากรู้ว่า ลูกคนแรกที่แม่คลอดออกมาเป็น ผู้หญิง หรือ ผู้ชาย...
 เป็นผู้หญิงจ้ะ แม่ตอบ เมื่อฉันถาม
ความอึดอัดหนักหน่วงคลายจางจากท้องแม่...เช่นเดียวกับคืนวันรอคอยรอยยิ้มแจ่มใส จากดวงหน้าผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ฉันเรียกว่าแม่...
ลูกหญิงตกหงาย ลูกชายตกคว่ำ
แม่นอนอยู่กรรม เหงื่อไหลไคลย้อย
อาบน้ำสรงศรี แพรดีวางคอย
ห่อหุ้มลูกน้อย ใส่กระด้งงาม
แม่รำพึงถึงการคลอดลูกคนแรก แล้วบอกเล่าแก่ฉันว่า ตอนนั้นหากไม่มียายทองก้อน ผู้ช่วยหมอตำแยนั่งหนุนอยู่ข้างหลัง เอื้อมมือมากดท้องแม่ไว้ รกคงบินขึ้นท้อง เป็นอันตรายต่อชีวิตแม่ ณ ห้วงเวลาที่สติสัมปชัญญะของแม่ยังแจ่มจ้าดุจแสงตะวัน สายตาแม่เฝ้ามองดูยายเป้าห่อตัวเด็กทารกด้วยผ้าฝ้าย แล้วดึงเอารกออกมา ใช้ด้ายดิบผูกสายสะดือ ๓ เปลาะ ปล่อยสายสะดือยาวเสมอเข่าทารกน้อย วางแง่งไพลรองรับสายสะดือ มือขวาหยิบไม้รวกคมกริบตัดฉับตรงกลางที่รัดไว้ 
ทันใดนั้น ยายทองก้อนรีบช้อนร่างเด็กทารกมาวางบนแข้งสองข้างที่เหยียดราบไปข้างหน้า ประคองศีรษะเด็กหันไปทางปลายเท้า แล้วตักน้ำอุ่นชโลมล้างเมือกคาวบนร่างน้อย ยายเป้าเอื้อมมือมาดัดแขนดัดขาเด็กทารกให้ตรง จากนั้นนำผ้าฝ้ายสี่เหลี่ยมแหวกรูตรงกลาง วางทาบสะดือเจ้าหนูน้อย ให้สายสะดือโผล่พ้นขึ้นมาบนผ้า นิ้วเรียวยาวเหี่ยวย่นดูแข็งแรงราวคีมเหล็กของยายเป้า ขดสายสะดือเป็นวงกลมเหนือผืนผ้า ฝนขมิ้นชันผสมดินสอพองพอกสะดือ จากนั้นจึงรัดท้องเด็กทารกด้วยผ้าดิบ ป้องกันไม่ให้สะดือเด็กทารกขดเคลื่อน 
สายลมเย็นพัดโชยเข้ามาเรือนไฟวูบหนึ่ง คุณตาสวงหยิบฝ้ายขาวมาผูกคอ ผูกข้อมือแม่และลูกน้อย คุณยายนวนอุ้มหลานรักไปนอนในกระด้งที่ปูด้วยผ้าห่มฝ้ายขาว ซึ่งวางเข็มเย็บผ้าและด้ายไว้ข้างกระด้ง เพื่อเป็นเคล็ดเมื่อโตขึ้นลูกสาวจะได้รู้จักเย็บปักถักร้อย เป็นแม่บ้านแม่ศรีเรือนที่ดี
ยายเป้านำไม้รวกที่ใช้ตัดสายสะดือมาซ่อนไว้ใต้กระด้ง ยกกระด้งขึ้นร่อนเบาๆ แล้ววางกระแทกกระด้งลงกับพื้นเรือน แม่หนูน้อยตกใจร้องไห้จ้าเลยทีเดียว
ไปเซ่นผีพราย ไปไหว้ผีป่า
แน่งน้อยลูกข้า สูจงเกรงขาม
ผีโพงผีเป้า อย่าเฝ้าติดตาม
ผ่านพ้นโมงยาม กลับเรือนอยู่ไฟ
ยายเป้าเริ่มยิ้มได้ หลังจากเคร่งเครียดกับการทำคลอดนานนับชั่วโมง สองมือหญิงชราคู่นี้ให้ความหวังแก่ชีวิตแม่ ชุบชีวิตลูกมามากชีวิต และยังคงดำเนินต่อไป ตราบเท่าลมหายใจยังรักษาชีวิตของแกไว้ แม้นว่าในห้วงเวลาหนึ่ง ชีวิตหนึ่งเคยดับสูญไปกับมือ ณ ช่วงเวลานั้น แม่เฒ่ารู้สึกราวแววตาเศร้าชื้นของผู้อุ้มท้องหนักนานเก้าเดือน ได้กรีดแผลลงกลางใจ บั่นทอนพลังใจให้อ่อนแอแทบวางมือจากหน้าที่รับผิดชอบอันหนักอึ้ง แล้วจะมีใครเล่าสืบทอดสองมือทำคลอดจากแก...
พ่อนำรกและสายสะดือลงไปล้างทำความสะอาด แล้วบรรจุใส่หม้อดินเผา กอบเกลือหนึ่งกำมือกลบลงไปเกือบเต็มปากหม้อ นำขึ้นมาวางริมแคร่อยู่ไฟ ยายเป้าร้องเตือนพ่อตั้งปากหม้อให้ตรง ไม่เช่นนั้นลูกสาวจะปากเบี้ยว 
ฉันฟังแม่เล่าอย่างสนใจ แม่เล่าประวัติของท่านสนุกเพลิดเพลินเหมือนฟังนิทาน วิถีชีวิตผู้คนสมัยแม่มีเคล็ดความเชื่อข้อปฏิบัติมากมาย จดจำไม่หวาดไม่ไหว บางเรื่องฟังแล้วครุ่นคิดตามมีเหตุมีผล บางเรื่องเหลวไหลไร้สาระ 
ช่วงอยู่ไฟ แม่นุ่งผ้าถุงกระโจมอก อาบน้ำต้มสมุนไพร เช่น ไพล ใบมะขาม ผิวมะกรูด และว่านไฟ แม่ดื่มร้อนหอมกรุ่นขับเหงื่อล้างเลือดเสีย พ่อคอยเติมฟืนวันละ ๓ ท่อน แม่เล่าย้อนยุคให้ฉันฟังอีกว่า สมัยคุณยายนวนอยู่ไฟนานเป็นเดือน จิบน้ำร้อนตลอดเวลา ถึงขนาดฉี่ลอดช่องกระดานเรือน ราดรดหัวหมาใต้ถุนเรือนร้องเอ๋งๆ วิ่งหนีหางจุกก้นไปเลย 
ยามหิว แม่กินข้าวกับเกลือ กระเทียมเผา และปลาแห้ง แม่ฝันอยากกินอาหารรสเผ็ดร้อน อาหารแสลงแสนอร่อยลิ้นก็กินไม่ได้ คุณยายนวนคอยเฝ้าดูแลแนะนำอยู่ตลอดเวลา ท่านฝนขมิ้นกับปูนแดงผสมเหล้าขาว ชุบสำลีทาสะดือและท้องของแม่ทุกวัน 
อยู่ไฟครบกำหนดสามวัน พ่อนำหม้อรกไปฝังไว้ใต้บันไดเรือน กลบดินวางหนามเล็บแมว หนามแดงคลุมหลุมไว้ โบราณว่าสามวันลูกผีสี่วันลูกคน ในวันนี้คุณตาสวงจัดโต๊ะหมู่บูชา วางพานบายศรีปากชาม เครื่องกระยาบวช แป้งกระแจะจันทร์ สำหรับเจิมหน้าผากหลานสาว เชิญหมอพราหมณ์มาสู่ขวัญนอนอู่
อุ้มลูกนอนอู่ ครอบสู่ขวัญเกล้า
เอิง...เอย...เลือกเอา เนานอนอู่ไหน
ผู้ดีอู่ฝ้าย ผู้ร้ายอู่ไหม
ขวัญท่องทางไกล รุ่มร้อนกายร้าง
ขวัญก่อกำเนิด ขวัญเพริศหลงทาง
ท่องในป่าร้าง ขวัญเอยจงมา
และแล้วญาติพี่น้องก็ล้อมวงเข้ามาผูกแขนรับขวัญทารกน้อย 
พ่อขอให้คุณยายนวนตั้งชื่อหลานสาวเพื่อเป็นสิริมงคล คุณนั่งนึกชื่อลูกคนแรกของแม่อยู่นานนึกไม่ออก จึงเปิดตำราตั้งชื่อตามนรลักษณ์จากผิวพรรณอันดำปี๋ว่า
 เด็กหญิงสำลี... 
(โปรดติดตามตอนต่อไป)				
........				
comments powered by Disqus
  • ฉางน้อย

    25 กันยายน 2552 21:15 น. - comment id 108346

    11.gif.....11.gif.....46.gif
  • เฌอมาลย์

    25 กันยายน 2552 22:06 น. - comment id 108358

    เพื่อนเฌอ มีชื่อ สำลี 2 คนแน่ะ อิอิ
    แต่ละคนเหมือนสำลี(เม็ดใน) จริงๆ อิอิ65.gif
  • ปรางทิพย์

    26 กันยายน 2552 01:53 น. - comment id 108366

    เรื่องราวน่าอ่านมากค่ะ
    สนุกมาก  เขียนต่ออีกนะคะ
    รออ่านต่อค่ะ
    46.gif36.gif36.gif
  • เพียงพลิ้ว

    26 กันยายน 2552 10:08 น. - comment id 108382

    คุณแม่ของคุณยายทวดของเพียงพลิ้วก็ชื่อคุณยายนวนค่ะ ใจดี แต่ไม่เคยเห็นหน้าเลยค่ะ เห็นโกฎิใส่กระดูก ที่คณแม่พาไปทำบุญให้บ่อยๆค่ะ
    
    
    36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif1.gif
  • ละไมฝน

    26 กันยายน 2552 11:37 น. - comment id 108385

    สวัสดีครับ ฉางน้อย  เฌอมาลย์ ปรางทิพย์ และเพียงพลิ้ว ที่น่ารักทุกท่าน  ที่แวะมาอ่านเรื่องเล่าของละไมฝน 
    หากมีเวลาว่างก็จะเขียนต่อแล้วกันนะ
    ขอบคุณทุกท่านที่กล่าวนามมา
    
    ละไมฝน36.gif36.gif36.gif40.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน