แม่ฮวงข้าว
ละไมฝน
แม่ฮวงข้าว
เขียนโดย ละไมฝน
ตะวันตกค่ำคล้อย เณรน้อยแล่นขึ้นหอกลอง สองมือกำด้ามไม้ตีกลองแลงดังตุ้มๆ ตึงๆ ตุ้ม เสียงทุ้มกังวานไกลไปฮอดโคกดอนมดแดง แสงค่ำย่ำแลงเป็นสีหมากเขือขื่นสุก หว่านแสงทองส้มห่มทุ่งแม่ข้าวอุ้มท้อง ช่อดอกข้าวเหลืองงามลออตา ช่อใดเม็ดข้าวเต็มเต่งฮวงหน่วงหนัก คอต้นข้าวก็หักพับลงกับดิน ช่อใดเม็ดข้าวลีบน้ำนมน้อย ก็เอนลู่ล้อเล่นลม ยามลมโบยพัดเปลี่ยนทิศทาง จากตะวันตกไปสู่ตะวันออก
ลมฝนเปลี่ยนเป็นลมหนาว หอบอุ้มอากาศหนาวแสน มาแทนที่ลมฝนโอบกอดทุ่งข้าวอยู่ ฝนเม็ดสุดท้ายกระซิบบอกหมู่ต้นข้าวในนาว่า...
ลูกหลานแม่โพสพเอย...หมู่เมฆฝนต้องจากลาทุ่งข้าวเหลืองไปแล้วเน้อ ลมหนาวทางทิศตะวันเวินอ้อมข้าว จะพัดมาห่มคลุมทุ่งข้าวแทนเม็ดฝน หมู่แม่ข้าวตั้งท้องเอย...เจ้าจงเร่งออกเม็ดเต็มเต่งไวๆ ลมหนาวแล้งกับแสงแดดจ้า จะบ่มลูกข้าวให้สุกงอมเหลืองอร่าม ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบ้านเหนือบ้านใต้ แล้วทอดฮวงให้หมู่ชาวนาเก็บเกี่ยวเม็ดข้าวไปใส่ยุ้งฉาง...
หากสดับรับฟังเสียงสายลมได้ นางคงได้ยินสรรพสำเนียงเหงาเศร้า จากเมฆเก่าสั่งลาทุ่งข้าวบ้างดอกนะ
ยามแลงนี้หนาวนัก ลมหนาวโบกพัดหยอกเย้าฮวงข้าวอ่อนย้อย กลิ่นดอกข้าวหอมละมุน มาตามลม ปานกลิ่นแก้มก้นเด็กทารกในอ้อมอกแม่พวงแพง กลิ่นดอกข้าวได้บอกเตือนหมู่ชาวนาว่า ฤดูกาลเก็บเกี่ยวใกล้มาฮอดแล้ว...หลังออกพรรษาลาพระเจ้า หมู่ชาวนาจะเริ่มจับเคียวเกี่ยวฮวงข้าว เก็บใส่ยุ้งฉางไว้กินไว้ทาน
หมอกลงลมนิ่งหนาว ตีนฟ้าตะวันตกเป็นสีแสดแดงแกมสีหมากสุก ปุยเมฆทาบทาเป็นแนวยาวพาดผ่านไปถึงครึ่งฟ้า แสงฟ้าจางลางเลือนในเงามืดฟ้าซีกตรงข้าม ฟ้าหม่นมัวด้วยม่านหมอกขาวห่มคลุมท้องทุ่ง ปานยักษ์กุมภัณฑ์ฤทธิ์ลือเดช อ้าปากกลืนกินทุ่งข้าวอย่างกระหายหิว...
นางแหงนเบิ่งฟ้า เห็นลมบนพัดปุยเมฆสีหมากสุกล่องลอยกระจัดกระจาย กลายเป็นผ้าอ้อมน้อยหมู่ผีฟ้าผีแถน แขวนอยู่ฮาวฟ้า ฮูปงามประหลาดตานัก
บ่นานฟ้าก็มืดอึ้ง คลี่ม่านหม่นห่มทุ่งข้าว นางหวาดกลัวขึ้นมาทันใด เมื่อหวนนึกถึงคำเตือนของยาย...
ยายเฒ่าเล่าว่า... ยามแลงหมู่ผีสินำผ้าอ้อมลูกน้อยเหยี่ยวใส่ มาตากอยู่เทิงตีนฟ้าตอนค่ำแลง พวกมันสิเก็บผ้าอ้อมยามตะวันจมดินนอนหลับ แล้วออกมาจับกินตับกินไตเด็กน้อย นางอย่าเพลินเบิ่งผีตากผ้าอ้อมจนค่ำมืดเด้อ อีหล่า
นางเป็นลูกชาวนา.. .แต่ว่านางบ่มีไฮ่นาเฮ็ดอยู่เฮ็ดกิน เจ้าหนี้ยึดที่นาไปหลายปีแล้ว เงินที่ได้จากการกู้หนี้ยืมสิน ก็นำมาเยียวยารักษายายเฒ่าจนหมดสิ้น พ่อแม่จึงฝากนางไว้กับยายเฒ่า แล้วเดินทางไปทำงานก่อสร้างที่เมืองล่าง ยายสาอายุเจ็ดสิบห้าปีแล้ว หัวหงอกขาว หูหนวกหนัก ฟังเสียงระฆังบ่ม่วนคือเก่า เรี่ยวแรงอ่อนล้าลงทุกวัน กินบ่ได้ นอนบ่หลับสนิท ค่ำคืนฮ่ำฮ้องละเมอเฟ้อพก ยามดึกฝันเห็นแต่ญาติผีที่ตายจาก แห่มาขอส่วนบุญ
แต่ว่าความห่วงใยหลานสาวนั้น ต่อลมหายใจให้เฒ่ามีชีวิตอยู่สืบไป แม่เฒ่ายังตายบ่ได้ ไปเมืองผีบ่ถูก ตราบใดที่นางยังน้อยอ่อนอยู่...
นานก่อนแลงแล้ว นางเฝ้ารอผู้บ่าวอยู่เถียงนาน้อย ตั้งแต่ตะวันบ่ายก็บ่เห็นมา อีนางหล่ากลัดกลุ้มใจนัก ด้วยอยากบอกเล่าถึงความผิดปกติในร่างกาย ให้ผู้บ่าวฟัง...
ยามนี้ค่ำมืดแล้ว นางคงจะรอคอยอ้ายหำน้อยบ่ไหว...
นางย่างไปบนคันนาที่รกเรื้อด้วยหญ้าหอม อวดกลีบดอก กระจิดริดสีม่วง ยามฝ่าเท้าย่ำเหยียบผ่านไป ต้นหญ้าหอมโชยกลิ่นเย็นชื่น หอมต่างกลิ่นอันละมุนของดอกข้าวใหม่ในแปลงนา ที่ทอดฮวงหนักโน้มลงดิน บ้างก็เอนลู่เป็นระลอกคลื่นตามแฮงลมพัด ข้าวใบคมบาง บางไหวพลิ้วลม เชื้อเชิญสาวน้อยนำฮวงข้าวงาม ไปบูชาพระแม่โพสพที่หอประทีป
มือน้อยๆ ของนางเลือกต้นข้าวกำลังตั้งท้อง แล้วบรรจงตัดฮวงข้าวด้วยมีดเล่มน้อย ได้ฮวงข้าวอวบงามสามต้น เดินกลับบ้าน
ปีนี้พ่อใหญ่มิ่ง ผู้ใหญ่บ้านเลือกคำนางเป็นเทพธิดากวนข้าวทิพย์อีกปีแล้วเน้อ...
นางใจเต้นแฮง เมื่อได้รับเลือกเป็นเทพธิดาน้อย ถือไม้พายแฮกกวนข้าวทิพย์ ทุกวันนี้มีผู้สาวในหมู่บ้านบ่กี่คนดอก ที่หมู่ผู้เฒ่าชื่นชม และเชื่อมั่นในความเป็นสาวพรหมจารี นางเปรียบเหมือนช้างน้อยย่างงามเทียมยาย ยายสาเข้าวัดฟังธรรมนำฮีตนำคองอยู่บ่ขาด คำเว้านางก็อ่อนหวานจ้อยๆ นางน้อยนี้อยู่กับบ้านกับเฮือนว่านอนสอนง่าย ดุจม้อนไหมมีใยหุ้มห่อตัวนั่นแล้ว
ค่ำมืดนัก แมงอีฮ้องเอิ้นอีเกิ้งเดือนหนาว ลอยเด่นเหนือช่อฟ้าใบระกา แสงนวลอ่อนหวานอาบลานวัด ดาดาวสกาวสุกฟ้าใส หมู่เด็กน้อยแล่นเล่นหยอกล้อกันม่วนซื่น หมู่ผู้บ่าวนมแตกพาน ผู้สาวนมน้อยแข็งเป็นไต นั่งจับคู่คุยกันใต้ฮ่มไม้เงาครื้ม
เสียงลำสรภัญญะเอื้อนสำเนียงหวานปนเศร้า ดังแว่วมาจากลำโพงเครื่องกระจายเสียงข้างศาลาหอแจก(ศาลาการเปรียญ) ด้วยบทกลอนบูชาพระคุณข้าว...
มาลาดวงดอกไม้ มาลาดวงดอกไม้
นำมาถวายเพื่อบูชา....
บูชาแม่โพสพ บูชาแม่โพสพ
ที่เคารพและศรัทธา...
ขณะนั้นคนเฒ่าคนแก่ได้จูงลูกจูงหลาน ถือฮวงข้าวธูปเทียนออกมาจุดบูชาพระแม่โพสพ ที่หอประทีปด้านหน้าสิม(พระอุโบสถ)หลังเก่า ซึ่งมัคนายกวัดได้นำต้นกล้วยใบตองงาม ๔ ต้นมาทำเป็นเสา ยกพื้นสูง ปูลาดด้วยกาบกล้วยสด ตัดแต่งหัวแลท้ายรายรอบเป็นฮูปเรือหงส์งามวิจิตร เพื่อให้ชาวบ้านนำฮวงข้าวตั้งท้อง ธูป เทียน มาจุดบูชาบนหอประทีปแห่งนี้ในตอนค่ำคืน
นางแต่งกายชุดเสื้อแขนกระบอก สวมผ้าซิ่น พาดสไบผ้าผ้ายขาวสะอาด นั่งคุกเข่าอยู่ข้างยาย มือเล็กๆ กำฮวงข้าว ดอกไม้ ธูปเทียนจนชื้นเหงื่อ...
ยายเฒ่าหันมาสะกิดแขนเตือนหลานสาว ให้จุดธูปเทียนบูชา
ปีก่อน ข้อยอธิษฐานขอแม่โพสพ บ่เห็นได้ดังใจเลย
สาวอายุสิบหกเอ่ยขึ้น
นางอธิษฐานขอหยังล่ะ อีหล่า
ขอโทรศัพท์มือถือ หมู่เพื่อนมีกันทุกคนแล้ว
ก็อธิษฐานขอในสิ่งที่บ่จำเป็นนี่
แล้วอีหยังล่ะ ที่จำเป็นสำหรับเฮา อีแม่โต้น
ข้าวนั่นเด้ ขอให้เฮามีข้าวกิน มีข้าวใส่บาตรทุกมื้อ... อีนางหล่าช่วยยายอธิษฐานแน่เด้อ คำอธิษฐานของเฮาสองคน สิเฮ็ดให้ได้ในสิ่งที่หวังตั้งใจ
ดวงหน้างามงอง้ำ ปานไม้คันขอตักน้ำส่าง แต่แล้วนางก็จำใจพนมมือและหลับตาพริ้มตามยายเฒ่า
อันว่าโลกนี้ ดีงามเพราะคนสืบสร้าง ชั่วฮ้ายเพราะคนทำลายล้าง เมืองบ้านล่มจม เพราะคนมักมากมักได้ พวกหมู่คนโกงกินหอบทองเต็มสองบ่า บ่มีความเพียงพอ มีกระทอใส่ก็เต็มล้น... หากว่านางอธิษฐานขอข้าวขอปลาจากแม่โพสพ ก็คงบ่ได้ตามคำขอ แม้นว่าพระแม่โพสพจะแบ่งปันเม็ดข้าวเต็มนาเป็นแสนส่วน แต่ว่าข้าวจะเต็มยุ้งฉางได้จั๋งได ในเมื่อยายบ่มีที่นาเฮ็ดกินสักแปลง
เมื่อปักธูปหอม เทียนสว่าง วางต้นแม่ข้าวเหนียวตั้งท้องบูชาบนหอประทีปอันวิจิตรแล้ว ยายเฒ่าฟันบ่มีก็หันมายิ้มแต้
อธิษฐานขออิหยังล่ะ อีหล่า
ขอให้อีแม่ซื้อมือถือ แบบถ่ายฮูปได้ให้ซักเครื่อง... บักสี อีสา อีแพงมา มันมีกันทุกคนแล้ว ข้อยอายหมู่เพื่อนหลาย
นางยังบ่เลิกล้มความมุ่งหวังตั้งใจนั้น
ยายเฒ่าได้แต่ยิ้มเหงาๆ สองตาหม่นมัวชื้นน้ำตา ด้วยสงสารเห็นใจหลานสาว เฒ่าโอบไหล่น้อย ๆ ปลอบประโลม แล้วจูงมือนางหล่าไปยังหอแจก พ่อเฒ่าคำน้อย พราหมณ์ประจำหมู่บ้าน คนเฒ่าคนแก่กำลังช่วยกันจัดเตรียมข้าวของ ในพิธีกวนข้าวทิพย์อันศักดิ์สิทธิ์อย่างคร่ำเคร่ง ส่วนประสมสำคัญในการกวนข้าวทิพย์ ได้แก่ ข้าวเม่า น้ำนมข้าว น้ำกะทิ นม เนย น้ำผึ้ง น้ำตาลอ้อย ถั่ว และงา เป็นต้น
นางนั่งพับเพียบข้างยายเฒ่า ฟังญาครูสุขเล่าถึงมูลเหตุการกวนข้าวทิพย์ว่า
เมื่อครั้งสมัยพุทธกาลนานมา นางสุชาดาจอมศรี บุตรีคหบดีเศรษฐี ได้บนบานรุกขเทวดา ที่ปกปักฮักษาต้นไทรใหญ่ ขอให้นางแก้วได้สามีเป็นผู้สูงศักดิ์ มีชาติตระกูลเสมอดั่งกัน และได้บุตรธิดามีบุญญาธิการ ... เมื่อได้ตามสมประสงค์แล้ว นางแก้วจึงหุงข้าวมธุปายาสหอมสุกใหม่ ใส่ถาดทองนำไปถวายรุกขเทวดา พอนางสุชาดามาถึงต้นไทรใหญ่ ก็แลเห็นพระมหาบุรุษร่างสง่างาม ประทับอยู่ที่โคนต้นไทร นางคิดว่าพระองค์เป็นรุกขเทวดา จึงถวายข้าวมธุปายาส พร้อมทั้งถาดทองนั้น....
พอนางสุชาดาลากลับไปแล้ว พระมหาบุรุษก็เสด็จจากอาสนะ ถือถาดทองข้าวมธุปายาสไปยังริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ทรงปั้นข้าวมธุปายาสรวมได้เป็น ๘๙ ปั้น เสวยจนหมด แล้วทรงลอยถาดทอง อธิษฐานว่า ถ้าจะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ขอให้ถาดทองลอยทวนกระแสน้ำ.... พอพระองค์ทรงปล่อยพระหัตถ์ ถาดทองนั้นก็ลอยทวนกระแสน้ำไปไกลถึง ๘๐ ศอก...
ถ้าหากถอดความตามธรรมาธิษฐานแล้ว ถาดทองนั้นก็คือศาสนาของพระพุทธองค์ แม่น้ำก็คือมนุษย์บนโลก คำสอนของพระศาสดา จะนำพาผู้คนไหลทวนกระแสโลกไปสู่พระนิพพาน คือความพ้นทุกข์จากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย.
การกวนข้าวทิพย์เป็นบุญประเพณีบ้านเฮา ที่เฮ็ดสืบทอดกันมาตั้งแต่ปู่สังกะสาย่าสังกะสี ในวันดีขึ้นสิบห้าค่ำเดือนสิบเอ็ด ตรงกับบุญออกพรรษา พวกเฮาชาวบ้านหนองหิ่งหาย ได้ฮ่วมแฮงฮ่วมใจกันเฮ็ดกินเฮ็ดทาน ถวายผ้าจีวร จุดประทีปโคมไฟ และกวนข้าวทิพย์เป็นสิริมงคล ให้ญาติโยมมีอายุมั่นขวัญยืน ปราศจากโรคภัย ให้ฝนฟ้าตกตามฤดูกาล ข้าวออกฮวงบริบูรณ์พูนผลทุกสิ่งทุกประการ....
บรรยายธรรมจบลง ญาครูใหญ่ก็นำพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์เพื่อเป็นศิริมงคล หลังจากนั้นพ่อพราหมณ์ก็สวดสัคเค กาเม จะ รูเป... อัญเชิญเทวดามาชุมนุมร่วมพิธี นางเทพธิดาพรหมจารีทั้ง๔ ก็เข้าประจำกระทะกวนข้าวทิพย์ทั้ง ๔ ทิศ ถือไม้พาย ดอกไม้ธูปเทียน แห่รอบประรำพิธี ๓ รอบ ก่อนเริ่มกวนข้าวทิพย์
สาวน้อยทั้งสี่ในชุดผ้าขาวพิสุทธิ์ ห่มสไบเฉียงบ่า ท่าทีสงบสำรวมดูงดงามบริสุทธิ์...และใสสว่าง ท่ามกลางพระสงฆ์ และผู้เฒ่าผู้แก่ที่เฝ้ามองดูในพิธีอันศักดิ์ของหมู่บ้าน ด้วยสายตาชื่นชม...
แต่ยามนี้ ใจของนางกลับหม่นหมอง ฮุ่มฮ้อน ผิดบาปในใจหลาย ที่บ่ได้บอกความจริงกับยายว่า นางประพฤติตัวเสียหาย...และน่าอายปานใด ในการชิงสุกก่อนห่าม แม้นว่าชาวบ้านบ่มีวันล่วงฮู้ถึงฮอยมลทินเปรอะเปื้อนกายใจนาง แต่นางหล่าก็ฮู้แก่ใจดีว่า เยื่อพรมจารีนางขาดแล้ว นางได้เสียสาวให้กับอ้ายหำน้อยที่กระท่อมน้อยปลายนา...
และตอนนี้นางกำลังตั้งครรภ์ได้ห้าเดือนแล้ว คือดังฮวงข้าวตั้งท้องที่นางนำมาบูชาพระแม่โพสพในคืนนี้....