สรรพสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แลดับไป กลายเป็นศูนย์ว่าง....อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา.... ท้องฟ้าสีดำทะมึน ละอองเมฆจับตัวเป็นกลุ่มก้อน ทะเลสีครามกำลังคลุ้มคลั่ง พายุกำลังก่อตัว มดและแมลงขนไข่ขึ้นสู่ที่สูง ชีวิตกำลังตกอยู่ในห้วงอันตราย ! ณ เหมืองแร่แห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา รายล้อมไปด้วยป่าที่ใบเริ่มแห้งเหี่ยวโกร๋น ภายหลังจากที่ภัยแล้งเข้ามาเยือนและทิ้งฝากร่องรอยเอาไว้ ... ปี พ.ศ. 2552 เดือนมีนาคม เวลา 09.45 น.ของเช้าวันหนึ่ง " ผมเป็นนักธรณีวิทยามาทั้งชีวิต ผ่านงานมาหลายต่อหลายบริษัทเกือบจะ 30 ปี แต่ยังไม่เคยเห็นสภาพสิ่งแวดล้อมของโลกที่เปลี่ยนแปลงจนเลวร้ายขนาดนี้ เลย จุดจบของโลกคงจะมาถึงในอีกไม่ช้า" คุณสมพล ผู้จัดการบริษัทกล่าวกับเลขาคนสนิท ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก " นุ้ย ก็ไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะเป็นจริง ข้อมูลต่างๆจากทั่วโลกต่างรายงานตรงกันว่า ผลจากภาวะโลกร้อน ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย และองค์การนาซายังบอกอีกว่าน้ำแข็งจะละลายหมดแน่นอนภายในฤดูร้อนของปี พ.ศ. 2555 มนุษย์จะพบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งรุนแรงที่สุด นุ้ยเลขาคนสวยออกความเห็นบ้าง รายงานล่าสุดนักวิทยาศาสตร์เพิ่งค้นพบว่า ก๊าซที่สร้างภาวะเรือนกระจกไม่ใช่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เท่านั้นแต่ยังมีก๊าซมีเทนที่เป็นตัวก่อภาวะเรือนกระจกได้รุนแรงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 23 เท่า และเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้เกิดภาวะโลกร้อนอย่างรวดเร็วจนยากจะคาดคิด ผู้จัดการกล่าวเสริม นักวิทยาศาสตร์ ยังค้นพบว่า บริเวณวงแหวนอาคติก จุดที่น้ำแข็งขั้ว โลกละลาย เคยพบช้างแมมมอธ นอนตายแช่แข็งอยู่ภายใต้ผลึกน้ำแข็ง ขนาดที่กำลังเคี้ยวหญ้าอยู่ในปาก อะไรจะทำให้มันตายเร็วฉับพลันได้ขนาดนั้นค่ะ ผู้จัดการ นุ้ยตั้งคำถาม เป็นผลจากครั้งหนึ่งแกนโลกเปลี่ยนองศาฉับพลัน ทำให้บริเวณที่เคยเป็นทุ่งหญ้าแหล่งอาศัยของสัตว์ป่าในอดีตเย็นตัวลงอย่างรวดเร็วจนมีหิมะน้ำแข็งปกคลุมบริเวณนั้น และกลายเป็นขั้วโลกปัจจุบัน ผู้จัดการอธิบาย นอกจากนั้นบริเวณวงแหวนอาคติกยังค้นพบก๊าซมีเทนซึ่งซุกซ่อนอยู่ใต้ชั้นน้ำแข็งจำนวนมากมายมหาศาล และเกิดก๊าซมีเทนลอยขึ้นมาแถวทะเลตรงไซบีเรีย คาดกาณ์ว่าต้นกำเนิดมาจากก้นมหาสมุทรแน่นอน ผู้จัดการอธิบายเสริม ก๊าซมีเทน จำนวนมหาศาลกำลังถูกปลดปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศอยู่ ขณะนี้และเป็นตัวเร่งให้เกิดภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้นอีกหลายเท่าตัว น้ำแข็งจะละลายอย่างรวดเร็ว น้ำทะเลจะสูงขึ้น ประเทศบริเวณชายฝั่งเหมือนประเทศเรากำลังจะจมน้ำ ผู้จัดการกล่าวเพิ่มเติม เมื่อเห็นนุ้ยทำตาลุกวาว ตกลงเรากำลังจะตายกันด้วยน้ำท่วมโลกและก๊าซพิษพร้อมกันเลยหรือค่ะผู้จัดการ? นุ้ยตั้งคำถามอย่างสงสัย ด้วยอาการหวาดหวั่น ไม่มีใครตอบได้ว่ามันจะเกิดเหตุการณ์ถึงขั้นรุนแรงเมื่อใด อีก 30 ปี 50ปี หรืออาจ 100ปี ก็ได้ แต่ที่แน่ๆพวกเราต้องมีมาตรการป้องกันที่ดี เราจะได้สบายใจ เราต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง เพื่อพี่น้อง ลูกหลานของเรา ต่อไปในภายภาคหน้า ผู้จัดการกล่าว เราจะเตรียมพร้อมอย่างไรดีค่ะผู้จัดการ? นุ้ยทำหน้านิ่วคิ้วขมวดตั้งคำถาม ผมเคยเรียกประชุมหัวหน้าฝ่ายทุกฝ่ายเพื่อร่วมกันออกความคิดเห็นหาแนวทางป้องกัน แต่ล้มเหลวเพราะว่าทุกคนไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นได้ และไม่มีใครออกความเห็นที่เป็นประโยชน์กับองค์กรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้จัดการกล่าวด้วยความผิดหวัง ทำไมเราไม่ลองปรึกษาวิศวกรดูล่ะค่ะ อาจมีความคิดอะไรดีๆก็ได้ นุ้ยเสนอความคิด คุณราชันย์ น่ะเหรอ? ผมว่าคงไม่ได้อะไรมากกว่าที่เรารู้กันหรอก เพราะทุกครั้งเวลาประชุมทีไร ผมไม่เคยเห็นเขาออกความคิดอะไรซักอย่าง นั่งเงียบประจำ ผู้จัดการวิจารณ์ สำหรับเรื่องนี้อาจไม่แน่นะค่ะ ทำไมเราไม่ทดลองดู เลขานุ้ยยังมีความหวัง ถ้าอย่างนั้น คุณช่วยโทรติดต่อคุณราชันย์มาพบกับผมเป็นการส่วนตัวด่วน ผมจะรออยู่ห้องด้านหลังนะ ผู้จัดการออกคำสั่ง ได้ค่ะ นุ้ยรับคำ เหมืองแร่ที่รายล้อมไปด้วยภูเขาและป่าไม้ปกคลุมตลอดปี ฤดูร้อนได้เปลี่ยนผืนป่าแห่งนี้ไปจนหมดสิ้น ใบไม้สีน้ำตาลมากมายร่วงหล่นปกคลุมพื้นดินและย่อยสลายไป ต้นไม้แห้งเหี่ยว เหลือแต่กิ่งก้านแกว่งไกวในสายลม สัตว์ป่าเริ่มขาดแคลนอาหารและน้ำ และเริ่มรุกรานที่ดินของชาวบ้าน โดยเฉพาะช้างป่า..... ช่วงนี้หน่วยงานราชการภายในจังหวัดมีการสับเปลี่ยนโยกย้ายทั้งคณะ ตั้งแต่ระดับผู้ว่าราชการจังหวัดลงมา จึงส่งผลให้วัตถุระเบิดที่ใช้เปิดหน้าดินเพื่อนำแร่เข้าสู่กระบวนการผลิต ซึ่งทางบริษัททำเรื่องส่งไปขออนุมัติจากทางราชการเกิดความล่าช้าขึ้น การผลิตจึงหยุดชะงักลงชั่วขณะ คนงานจึงมีเวลาว่างที่จะดูแลงานด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น ปลูกต้นไม้ ขุดคูคลอง และตกแต่งภูมิทัศน์ของโรงงานโดยรอบให้ดีขึ้น.. ราชันย์ เป็นวิศวกรประจำเหมืองแร่ แห่งนี้ เขาจึงต้องดูแลหน่วยงานต่างๆมากมาย งานของเขาจึงค่อนข้างยุ่ง จนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน ใครๆก็รู้ว่าเขาเป็นคนไม่ค่อยพูดจา และไม่ค่อยสมาคมกับใครมากนัก มีเสียงวิพากวิจารณ์กันหนาหูว่า เขาเป็นคนประหลาดคนหนึ่งซึ่งเขายังครองตัวเป็นโสด....ส่วนใหญ่จะคิดว่าเขาคงพูดจากับใครไม่รู้เรื่องเลยหาแฟนไม่ได้.... การจะหาตัวเขานั้นง่ายมากแค่ไปตามหาที่โรงแต่งแร่ หรือไม่ก็บ้านพักภายในโรงงานของเขา เพราะตั้งแต่เขาเข้ามาทำงานที่นี่แทบไม่มีใครเคยพบเขาที่อื่นนอกจากสองแห่งนี้ แต่วันนี้น่ากลัวจะอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ไปบ้าง !.... คงไม่เคยมีใครเคยคิดฝันหรือคาดเดามาก่อนในสิ่งที่เขากำลังกระทำอยู่ขณะนี้เป็นแน่ เพราะสิ่งที่เขากำลังกระทำอยู่คือการสะกดรอยตามช้างป่าแม่ลูกคู่หนึ่ง ที่กำลังเดินเข้าป่า ภายหลังจากที่มันลงมากินหญ้าถึงบริเวณโรงแต่งแร่ ที่ๆเขาทำงานอยู่ โอกาสที่หายากแบบนี้ เขาไหนเลยจะพลาดได้! เสียงโทรศัพฑ์ที่โต๊ะทำงานดังขึ้น ! แตงซึ่งเป็นเด็กนักศึกษาฝึกงาน เขาเพิ่งถูกส่งตัวจากอาจารย์ให้มาประจำที่นี่ เขาเรียนทางด้านวิศวกรรมเครื่องกล ชั้นปีที่ 3 ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในภาคเหนือของประเทศ แตงเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา จมูกโด่ง ผิวขาว รูปร่างสูงโปร่ง เขาถูกส่งตัวมาอยู่ภายใต้สังกัดของราชันย์ วิศวกรประจำเหมืองแร่ที่นี่ แตงรับโทรศัพท์ สวัสดีครับ ผมแตงพูดครับ นี่พี่นุ้ยน่ะ รบกวนแตงช่วยตามพี่ราชันย์มาพบผู้จัดการตอนนี้ด่วน พี่โทรเข้ามือถือแต่เขาปิดเครื่อง ช่วยตามให้หน่อยน่ะ นุ้ยขอร้องแกมบังคับ ได้ครับ เดี๋ยวผมตามให้ครับ คงอยู่แถวๆนี้แหละครับ สักครู่ แตงรับปากรับคำ ขอบใจจ้า เอ้อให้พี่เค้าไปพบผู้จัดการที่ห้องข้างหลังออฟฟิสน่ะ อย่าลืม นุ้ยกำชับ ครับผม แตงรับคำ ภายหลังจากที่แตงสอบถามจากพนักงานแทบทุกคนในโรงแต่งแร่ และบริเวณใกล้เคียง คำตอบที่ได้รับกลับเป็นเช่นเดียวกันคือ ไม่มีใครเคยพบเห็นราชันย์เลยตั้งแต่เช้า แตงเริ่มใจคอไม่ค่อยดีที่ไปเผลอรับปากกับคุณนุ้ยเอาไว้ เขาคว้ามอเตอร์ไซด์คันหนึ่งขี่ไปจนถึงฝ่ายหน้าเหมือง เขาเดินไปยืนอยู่หน้าผาสูงตระหง่านและมองลงไปเบื้องล่าง ซึ่งเป็นหุบเหวลึกที่ถูกแรงระเบิดจากการทำเหมือง แตงถึงกับรู้สึกน้ำลายในลำคอแห้งผาก สายลมที่ค่อนข้างแรงพัดผ่านช่องผาเข้ามาปะทะใบหน้าของเขา ทำเอาหัวใจเขาเริ่มเกิดความกลัวขึ้นมา สายลมบริเวณหน้าผาสูงคล้ายหยอกเย้าล่อลวงดั่งราวหญิงสาววัยแรกแย้มที่คอยยั่วเย้าเล้าโลมให้เขาก้าวเท้าเดินไปยังหุบเหวบื้องหน้า แตงเผลอตัวก้าวเดิน ทีละก้าว ทีละก้าว จนร่างของเขายืมอยู่ริมหน้าผา พลันปรากฏความคิดวูบหนึ่งเข้ามาในห้วงสมองว่า เขาเพียงแต่ก้าวเดินอีกหนึ่งก้าว ชีวิต ภาระ ปัญหา และความทุกข์ทรมานต่างๆบนโลกใบนี่คงจะจบสิ้นลง หลุดพ้นจากวังวนของความเศร้าไปตลอดกาล แต่แล้วพลันมีลมกรรโชกมาอีกวูบหนึ่งราวกับเตือนสติให้เขาตื่นขึ้นจากภวังค์นั้น แตงหยุดชะงักและเริ่มระลึกถึงภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายของเขาได้อีกครั้ง เขาหันเดินกลับไปคว้ามอเตอร์ไซด์แล้วขับจากไปทันทีจนหายลับตา..... น้าราชันย์ แกดีเกินไป เลยปกครองลูกน้องไม่ได้ ไม่มีใครเชื่อถือแก มันก็น่าแปลก ป้าคร แม่ค้าร้านอาหารในโรงงานออกความเห็น ลูกน้องยังกับลิงค่างใครจะไปปกครองได้ เดี๋ยวหลบไปทางโน้นทีทางนี้ที ใครเป็นหัวหน้าก็ต้องปวดหัว ลุงต้อย สามีป้าครซึ่งเป็นพนักขับรถประจำโรงโม่บอกกับเมีย แต่ลุงไหมซึ่งเคยทำงานมาตั้งแต่สร้างโรงงานไม่เคยเลี้ยงข้าวใครเลย กลับยอมควักเงินจ่ายเลี้ยงข้าวน้าราชันย์ มันยิ่งแปลก ลุงไหมเลี้ยงใครแสดงว่าคนนั้นมีบุญเยอะนะ ป้าครทำหน้าสงสัย ทั้งๆที่น้าราชันย์ มักชมชอบเลี้ยงข้าวลูกน้องบ่อยๆแต่กลับไม่มีใครรักแกเท่าไหร่ ยิ่งน่าแปลก ป้าครกล่าว อาจเพราะว่าแกเป็นคนแปลกประหลาดคนหนึ่ง ที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนลุงต้อยกล่าวสรุป ข้าสังเกตมานานแต่ก็ดูไม่ออก ว่าคนๆนี้เป็นอย่างไรกันแน่ ลึกลับ ป้าครเสริม คนอื่นๆก็รู้สึกแบบนี้แหละ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรา เรื่องของชาวบ้านเค้า ลุงต้อย ตัดบท เออ ว่ะ ป้าครกล่าวในที่สุด แต่ก็ยังทำหน้างงๆ หากในเหมืองจะมีที่ๆหนึ่งที่เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูล เรื่องราวความเป็นไปภายในโรงงาน ใครผัวใคร เมียใคร มีเรื่องกับใคร ทั้งข่างลือและข่าวไม่ได้กรอง รวมทั้งข่าวโคมลอย ท่านสามารถมาใช้บริการ ณ ร้านอาหารแห่งนี้ ป้าครแกจะรู้ทุกเรื่องและสามารถตอบได้ทุกคำถาม แต่ท่านต้องใช้วิจารณญาณสูง เพราะบางครั้งป้าครแกก็รู้เรื่องเกินความเป็นจริงอยู่บ้าง อันนี้เป็นการส่งเสริมการขายอย่างหนึ่ง และเป็นกลยุทธ์เรียกลูกค้าเข้าร้านได้ตลอดมา เป็นหนทางของการที่เงินทองใหลมาเทมา....กิจการค้ารุ่งเรือง แตงก็รู้เหมือนคนอื่นๆ ถ้าจะมีที่แห่งหนึ่งจะสามารถทราบเบาะแสความเคลื่อนไหวของราชันย์ คงจะมีที่นี่ที่เดียวนั่นเอง แต่น่าเสียดาย ป้าครที่เรียกว่าเป็นผู้หยังรู้ดินฟ้ากลับตอบอย่างหน้าตาเฉยว่า ป้าไม่เห็นแกเลยตั้งแต่เช้า ธรรมดาแกต้องมากินข้าวที่ร้านก่อน แต่วันนี้ไม่เห็น ไม่อยู่ที่บนโรงงานเหรอ? ป้าครกลับย้อนถาม ไม่อยู่ครับป้า แตงตอบพร้อมกับตะลึงกับคำตอบของป้าคร พลันคิดในใจว่าความซวยมาเยือนเขาแล้วคราวนี้ เขาคงต้องไปบอกกับคุณนุ้ยและผู้จัดการว่าเขาหมดปัญญาจะตามหาคุณราชันย์ได้พบ แต่แล้ว เขาพลันคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ใบหน้าของเขาแสดงความลิงโลดดีใจอย่างเห็นได้ชัด เขาคิดถึงคนๆหนึ่งได้ ถ้าในโรงงานนี้จะมีใครรู้ว่าคุณราชันย์อยู่ไหน คงต้องเป็นคนนี้นี่เอง...ช่างหนู... ช่างหนูมีใบหน้าแบนใหญ่ ดวงตากลมโต ผิวสีดำคล้ำ เวลามองไกลๆจะเห็นเพียงลูกตาขาวๆเหลือบไปมา แต่ที่น่าแปลกยิ่งกว่าคือเมียช่างหนูกลับเป็นหญิงงามคนหนึ่งที่น้อยครั้งจะพบพาน เมียช่างหนูมีใบหน้ารูปไข่ ผิวขาว ดวงตากลมโต ริมฝีปากแดงระเรื่อ ใครได้พบครั้งหนึ่ง อดที่จะหันไปมองอีกครั้งหนึ่งไม่ได้ แต่เธอมักจะมีสีหน้าเย็นชา เหมือนกับใส่หน้ากากไว้ชั้นหนึ่ง น้อยครั้งจะแสดงความรู้สึกออกมา แทบไม่เคยมีใครเห็นเมียช่างหนูแย้มยิ้ม หากเธอยิ้มคงจะงดงามกว่าเดิมอีก 10 เท่า หากจะมีคนๆหนึ่งที่ทำให้เมียช่างหนูยิ้มแย้มได้ คือ ราชันย์ นั่นเอง ช่างหนูมักรู้สึกรำคาญเมียตัวเองทุกครั้งเมื่อเวลายิ้มตอนที่ราชันย์มาสนทนาที่บ้าน ทั้งช่างหนูและเมียต่างเคารพราชันย์ทั้งในฐานะหัวหน้างาน นอกจากนั้นราชันย์ยังนำพาครอบครัวนี้ให้พบกับธุรกิจที่มีรายได้งามกว่างานที่ทำอยู่ประจำ ทั้งคู่จึงรู้สึกสำนึกขอบคุณ การที่ครอบครัวนี้มีฐานะดีขึ้นกว่าก่อนมากก็ล้วนแล้วแต่มาจากราชันย์แนะนำทั้งสิ้น ราชันย์สามารถทำให้ช่างหนูมีรายได้สูงกว่าเงินเดือนที่ทำมาถึง 4 ปี โดยใช้เวลาเพียง 6 เดือน สำหรับช่างหนูแล้วราชันย์เป็นมากกว่าหัวหน้างาน เวลาว่างช่างหนูก็มักไปช่วยทำความสะอาดบริเวณบ้านให้กับราชันย์เสมอๆ เพราะเขาสังเกตเห็นว่า ตั้งแต่เขารู้จักหัวหน้าราชันย์มานับปี ยังไม่เคยเห็นหัวหน้าเคยจับไม้กวาดหรือไม้ถูทำความสะอาดบ้านมาก่อนเลย....ช่างหนูจึงตอบแทนบุญคุณด้วยภาระหน้าที่อันนี้.....และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เมียช่างหนูมักยิ้มหยาดเยิ้มกว่าปกติเวลาพบเขา. ไม่ผิดจริงๆ แตงมาถึงบ้านช่างหนู ยืนอยู่หน้าประตูบ้าน พลันได้ยินภายในบ้านมีเสียงชายสองคนส่งเสียงดังออกมา เขาจึงหยุดชะงักและเงี่ยหูฟัง ชายคนแรกกล่าวว่า หลักการร่ำรวยก็เหมือนหลักการเดียวกับการรู้แจ้ง หากแต่เป้าหมายต่างกันเท่านั้นเอง อย่างไรครับหัวหน้า การจะทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็ว รวยเร็วๆ มันเกี่ยวยังไงกับการรู้แจ้งในทางธรรมเหรอ? ชายอีกคนกล่าว มันอาจไม่เกี่ยวกันหรอก แต่วิธีการในการมุ่งไปสู่ความสำเร็จมันใช้วิธีเดียวกัน ชายคนแรกตอบ อย่างไรครับ ชายอีกคนถาม ภาษิตว่า ถามทางดีกว่าวิ่งเร็ว หากเราหลง ถามทางดีกว่าวิ่งเร็ว หมายความว่า การจะทำสิ่งใดสำเร็จด่านแรกต้องค้นหาผู้รู้ หรือผู้นำเสียก่อน ถ้าเป็นทางธรรมก็หมายถึงการค้นหาอาจารย์ดีให้พบก่อน จากนั้นศึกษาเรียนรู้ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติให้แตกฉาน จนเกิดความชำนาญ ด้วยความมุ่งมั่นอย่างไม่มีการท้อการถอย ชายคนแรกเสริม แล้วเราจะสำเร็จได้ใช่ไหมครับ ชายอีกคนสงสัย เปล่า เราต้องอดทนยืนหยัด ทุ่มเททั้งชีวิตจิตใจทั้งสิ้นให้กับงานนี้ ที่สำคัญ สิ่งนี้เรียกว่าการนำไหวพริบปัญญาจากภายในออกมาใช้จนเกิดการพัฒนาเพิ่มมากขึ้น เมื่อเจตจำนงแน่วแน่ ความล้มเหลวจะตามไม่ทัน เมื่อปัญญาเกิด ปัญหาจะได้รับการแก้ไขและกลายเป็นเรื่องเล็ก ทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นเรื่องของจิตใจเป็นหลัก ทุกอย่างอยู่ที่ใจ ชายคนแรกอธิบาย แต่ผมมันกรรมเยอะนะซิ ทำอะไรก็มีอุปสรรคคอยถ่วงเอาไว้ทุกที ทั้งที่รู้ว่าทางนี้ถูกต้อง แต่ก็ทำได้ไม่ถนัด จะแก้อย่างไร? ชายอีกคนตั้งคำถาม อุปสรรคหรือกรรมเป็นสิ่งที่เราสร้างเอง คือความเคยชินสะสมมาตั้งแต่อดีต เริ่มจากไม่มี กลายเป็นมี และกลับสู่ความไม่มี กรรมแท้จริงเป็นศูนย์ ไม่มีใครมีกรรม ชายคนแรกตอบ มันลึกเกินกว่าสมองผมจะเข้าใจครับ หัวหน้า ชายอีกคนกล่าว กรรมส่วนกรรม ปัญญาส่วนปัญญา ไม่เกี่ยวกัน สิ่งที่ควรนำออกมาใช้คือปัญญาไม่ใช่มัวไปยุ่งกับกรรม พัฒนาปัญญา ด้วยสติ สมาธิ ปล่อยวางกรรม ซึ่งเป็นเพียงภาพลวงตาลง ชายคนแรกพยายามอธิบาย คนรวยที่มีเพียงทรัพย์ แต่ขาดปัญญา ทรัพย์นั้นจะพาความฉิบหายมาสู่ชีวิต คนจนที่วุ่นอยู่กับกรรม แต่ขาดปัญญา กรรมนั้นจะนำความฉิบหายมาให้ สรุปแล้วไม่ว่าปัญหาใดๆในโลกไม่อาจแก้ด้วยสิ่งใด ยกเว้นปัญญาอย่างเดียว ซึ่งเราทุกคนก็มีอยู่แล้วภายใน ต้องนำออกมาใช้จึงจะรู้ว่ามี เหมือนมีเงินในกระเป๋ากางเกง ถ้าลืมไปไม่ได้นำเอาออกมาใช้ก็เท่ากับไม่มี ชายคนแรกกล่าวเสริม เสียงเคาะประตูดังขึ้น ประตูถูกเปิดออก แตงมองเข้าไปด้านในพบช่างหนูซึ่งมาเปิดประตู ที่พื้นมีโต๊ะตัวเล็กๆ และมีชายคนหนึ่งกำลังนั่งจิบกาแฟอยู่ คือราชันย์นั่นเอง แตงจึงรีบแจ้งข่าวให้ราชันย์ทราบ และทำหน้าที่ขับมอเตอร์ไซด์ไปส่งที่ห้องผู้จัดการ แตงรออยู่ด้านนอกจึงไม่รู้ว่าบุคคลทั้งสองกำลังคุยกันเรื่องอะไร.... ผู้จัดการมองสำรวจราชันย์ วิศวกรประจำเหมืองแร่ที่นั่งอยู่ตรงหน้าอยู่หลายรอบ ก่อนจะเปิดประเด็นถาม ผมทราบมาว่าคุณมีความรู้ดีเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่คุณต้องมาออกความเห็นช่วยผมในการตัดสินใจ ตัดสินใจเรื่องอะไรครับ ราชันย์ถามตรงๆ คุณมีวิธีป้องกันหรือแก้ปัญหาผลกระทบที่เกิดจากภาวะโลกร้อนอย่างไรบ้าง ที่ผ่านมาผมมองข้ามคุณไป เพราะรู้ว่าคุณมักไม่ค่อยมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องราวอะไรมากนัก ผู้จัดการกล่าว แต่เวลานี้ไม่มีใครตอบปัญหาคาใจของผมได้ ผมหวังว่าคุณจะสามารถแก้ปัญหาซึ่งไม่เพียงแค่องค์กรของเราเท่านั้น แต่นี่คือปัญหาเร่งด่วนของมวลมนุษย์ชาติ ผู้จัดการกล่าวออกตัว ผมไม่มีความรู้เรื่องราวเหล่านี้เท่าไหร่หรอกครับ แต่ผมมีบางอย่างเสนอ เผื่อผู้จัดการซึ่งเข้าใจและติดตามเรื่องราวเหล่านี้มาตลอดมากกว่าผม จะนำไปคิดไตร่ตรองต่อยอดออกไป ก็จะเป็นประโยชน์ต่อองค์กรและชุมชนแถวนี้ ราชันย์กล่าว ใครๆต่างทราบดีว่าผู้จัดการสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมาเป็นอันดับหนึ่ง และห่วงใยชีวิตของเพื่อนร่วมโลก ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มีโอกาสพูดเรื่องราวที่มีประโยชน์แบบนี้ ราชันย์ เสริม จากข้อมูลจากนักวิทยาศาสตร์และจากองค์การนาซารู้ว่าโลกกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะวิกฤติจากภาวะโลกร้อน น้ำทะเลกำลังหนุนสูงขึ้น ประชากรที่อาศัยอยู่ชายฝั่งทะเลต้องอพยพเป็นการด่วน สภาพอากาศที่แปรปรวน พายุที่รุนแรง ความแห้งแล้งในหลายพื้นที่ สัตว์หลายชนิดกำลังจะสูญพันธุ์ ผลงานวิจัยมีออกมาให้เห็นมากมาย แต่ไม่มีใครยืนยันได้ว่าจะเกิดจริงๆเมื่อใด และความรุนแรงระดับไหน แท้ที่จริงเรากำลังเผชิญกับอะไรกันแน่ ราชันย์กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หยุดชะงักและกล่าวต่อ นักวิชาการบ้างครั้งก็เป็นนักวิชาเกิน ผมไม่ได้ปฏิเสธข้อมูลของเขา เพียงแต่ข้อมูลเหล่านั้นไม่ได้ช่วยเรื่องการเตรียมพร้อมในการรับมือมากนัก เท่าที่ผมประเมินแล้ว ณ จุดที่เรายืนอยู่นี้ ไม่อาจแก้ไขอะไรได้ทันแล้ว นอกจากการสวดภาวนา ราชันย์กล่าว คุณจะให้พวกเรารอคอยความตายโดยไม่ทำอะไร อย่างนั้นเลยหรือ? ผู้จัดการตั้งคำถาม ราชันย์ เงยหน้าขึ้นยิ้มให้กับผู้จัดการก่อนจะกล่าวต่อไปว่า ทุกปัญหามีทางแก้เสมอ เพียงแต่ผมกำลังชี้แจงว่าผลการวิจัยและค้นพบของนักวิทยาศาสตร์มันมีมากเกินไปจนทำให้คนสับสนไม่รู้จะไปทางไหน คุณก็เป็นนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ทำไมกล่าวหาตัวเองหล่ะ? ผู้จัดการแย้ง วิทยาศาสตร์เป็นเพียงข้อมูล แต่สิ่งที่จะใช้ในการตัดสินใจมันมีมากกว่านั้น ราชันย์โต้แย้ง คุณยกตัวอย่างให้เป็นรูปธรรมหน่อยได้ไหม? ผู้จัดการเริ่มอารมณ์ไม่ค่อยดี วิทยาศาสตร์เพียงใช้คาดการณ์ พยากรณ์ แต่ถ้าไม่สามารถฟันธงได้ชัดเจน ย่อมไม่สามารถนำมาใช้ในการตัดสินใจได้มากนัก เพราะการจะเตรียมพร้อมอาจต้องใช้งบประมาณสูง ใครจะกล้าลงทุน แล้วถ้ามันไม่เกิดขึ้นจริงหล่ะ ไม่เสียแรงงาน งบประมาณเปล่าหรอกหรือ ราชันย์อธิบาย คุณมีความคิดเห็นอย่างไรหล่ะ ผมจะเป็นคนตัดสินใจเอง ผู้จัดกล่าว เน้นเสียง ตามที่ผู้จัดการทราบแล้วว่าสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่นั้นคือก๊าซมีเทนและภาวะน้ำทะเลหนุน เพราะประเทศเราอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลเพียงแค่ 1 เมตรเท่านั้น ราชันย์กล่าว แต่เมื่อเกิดภาวะโลกร้อนจนถึงจุดหนึ่งก็อาจมีความเป็นไปได้ว่าภูเขาไฟที่ไม่เคยปะทุอาจระเบิดขึ้น ไม่มีใครทราบ เพราะนักวิทยาศาสตร์ทราบแล้วว่าความร้อนใต้พื้นพิภพเป็นสามเหตุของการระเบิดของภูเขาไฟ ราชันย์เสริม แต่นะขณะนี้ผมจะให้ความสำคัญไปที่อันตรายจากก๊าซมีเทนและน้ำท่วมโลก ราชันย์กล่าว จากที่ผู้จัดการทราบแล้วว่าทั้งในใต้มหาสมุทรและพื้นดินบางแห่งกำลังมีการปล่อยการมีเทนขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ เป็นการเร่งภาวะโลกร้อนขึ้นอย่างทวีคูณจนยากคาดเดา การคำนวณด้านเวลาของนักวิทยาศาสตร์ที่มักพยากรณ์เป็นแบบเส้นตรง สำหรับผมเป็นความผิดอย่างมหันต์ เพราะความจริงมันเป็นแบบเส้นโค้งชันขึ้น ไม่ใช่เส้นตรง เพราะฉะนั้นเวลามันต้องสั้นลงอีกมากจนน่ากลัว! ราชันย์กล่าว แล้วคุณคำนวณเวลาการเกิดจุดวิกฤติไว้อย่างไรบ้างหล่ะ และอ้างอิงจากหลักเกณฑ์อะไร ผู้จัดการเริ่มสงสัย ผมอ้างอิงจากหลักวิทยาศาสตร์เพียงแต่เป็นหลักวิทยาศาสตร์ที่การพัฒนาของโลกนี้ยังไปไม่ถึง ราชันย์เสริม ผมยิ่งงงกับคุณมากขึ้น ช่วยอธิบายให้มันกระจ่างหน่อยครับ! ผู้จัดการยิ่งสงสัยมากขึ้น หลักเกณฑ์ของผมไม่สามารถพิสูจน์ได้บนโลกใบนี้ แต่คือหลักวิทยาศาตร์ ราชันย์กล่าว คำพูดของคุณยิ่งเพิ่มความสงสัยให้ผมมากขึ้น เอาเป็นว่าเป็นหลักการของคุณเองนะกันสรุป ผู้จัดการชักเริ่มจะทนไม่ได้ แต่ก็ยังสงสัย คุณบอกว่ามนุษย์กำลังเผชิญกับก๊าซมีเทนและน้ำท่วมโลก คุณตอบผมชัดๆเลยว่าคุณจะรับมืออย่างไร ใช้เวลาเท่าไหร่ในการรับมือ ผู้จัดการยิงประเด็น ผมคำนวณว่าน้ำทะเลจะหนุนขึ้นสูงจากเดิมประมาณ 20 เมตร เพราะฉะนั้นผู้จัดการก็ไปเปิดแผนที่เอานะกันว่าบริเวณไหนบ้างที่มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเล 20 เมตรขึ้นไปก็อาจจะปลอดภัยแต่ก็ยังอันตรายอยู่ดี ราชันย์กล่าว ผมไม่เข้าใจว่าเราอยู่พ้นสูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 20 เมตรจะยังอันตรายอีกเพราะอะไร ผู้จัดการถาม เหตุผลเพราะแม้เราจะอยู่สูงจนน้ำทะเลหนุนไม่ถึง แต่อย่าลืมว่าก๊าซมีเทนจากมหาสมุทรที่จะผุดขึ้นมาแทนที่ออกซิเจนที่เราใช้หายใจสามารถที่จะแพร่กระจายไปตามลมได้ จากการที่มันมีค่าความถ่วงจำเพราะ 0.4 ซึ่งต่ำกว่าอากาศที่มีความถ่วงจำเพราะ 1 ดังนั้นก๊าซมีเทนจะลอยอยู่ในอากาศเหนือพื้นดิน ที่ปลอดภัยจึงเป็นบริเวณพื้นดินลึกลงไป เช่นเดียวกับเวลาเกิดไฟไหม้ เขาถึงให้คลานไปกับพื้นเพราะบริเวณนั้นจะไม่มีควัน เพราะควันเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งความถ่วงจำเพาะน้อยกว่าอากาศมันจะลอยในอากาศ บริเวณติดกับพื้นดินจึงเบาบาง แต่ถ้าจะปลอดภัยจริงๆต้องลึกลงไปในชั้นผิวดิน ราชันย์อธิบาย คุณหมายความว่าใต้พื้นดินเป็นที่ปลอดภัยจากก๊าซมีเทน ไม่ใช่ยอดเขา ผู้จัดการถาม เปล่าพื้นดินที่ผมหมายถึงอาจอยู่บนภูเขา เพียงแต่ขุดลึกลงไปจากผิวดินเท่านั้น ทำดังนี้จึงจะรอดพ้นทั้งก๊าซและน้ำท่วม แต่ถ้าเป็นพื้นราบ คุณขุดลงไปแล้วต้องหาวิธีป้องกันน้ำรั่วซึมเข้าไปให้ได้ก็เท่านั้น อย่าลืมทั้งก๊าซและน้ำคือโจทย์ของคุณ ราชันย์กล่าว ควรขุดลงไปลึกเท่าใดจึงจะพ้น และขุดอย่างไร? ผู้จัดการถามต่อ จากผู้รู้บอกว่าให้วัดจากผิวพื้นลงไปใต้ดิน 3 เมตรเป็นอย่างต่ำ แต่ถ้าได้ถึง 6-10 เมตรจะดีที่สุดแล้วจึงขุดทำเป็นห้องให้พออยู่อาศัย มีประตูทางเข้าที่สามารถป้องกันอากาศและน้ำซึมจากภายนอก ดังนั้นจึงควรมีชุดกรองก๊าซพิษกรองอากาศก่อน ส่วนกระแสไฟฟ้าก็สามารถใช้พลังงานจากพลังงานแสงอาทิตย์โดยติดตั้งโซล่าเซลหรือกังหันลมเพื่อสร้างกระแสไฟฟ้าใช้เองภายในห้องใต้ดิน โดยจะต้องเดินสายไฟเขาสู่ถ้ำที่ขุดอย่างดี นอกจากนั้นต้องเตรียมอาหารแห้งและน้ำดื่มให้พอเพียง หากอยู่ใกล้แหล่งน้ำ หรือขุดบ่อน้ำใช้เองจะปลอดภัยที่สุด ราชันย์กล่าวโดยละเอียด คุณแจกแจงรายละเอียดได้จนผมเห็นภาพทีเดียว ความคิดของคุณยอดเยี่ยมมาก การขุดถ้ำต้องมีการลงทุน มีวิธีที่ประหยัดกว่านี้อีกไหน ผู้จัดการสอบถาม มีครับ นั่นคือการหาแหล่งถ้ำที่เกิดตามธรรมชาติและมีคุณสมบัติตามที่ผมกล่าวคืออยู่ลึกอย่างต่ำ3 เมตรจากพื้นดินและสามารถกันน้ำและก๊าซได้ก็ใช้ได้เหมือนกัน ราชันย์กล่าว ที่คุณนำเสนอมาก็ดีนะ และผมไม่เคยได้ยินมาก่อนที่ให้ขุดถ้ำ คำถามสุดท้ายคือว่าเรามีเวลาขุดถ้ำและเตรียมการทั้งหมดนี้เท่าไหร่? ตามความคิดของคุณ ผู้จัดการถามคำถามสุดท้าย 6 เดือน ถึง 1 ปี จากนี้ ถ้าโครงการเลื่อนไปจากนี้ก็อาจจะไม่ทันการแล้ว! ราชันย์กล่าวเน้นเสียงทีละคำ ผู้จัดการถึงกับอยู่ในอาการช็อค อึ่งเงียบไป แววตาแสดงความหวาดหวั่นทางสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด
27 มีนาคม 2552 21:11 น. - comment id 104459
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
28 มีนาคม 2552 22:37 น. - comment id 104471
31 มีนาคม 2552 09:28 น. - comment id 104489
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ่งที่เห็นได้ด้วยตามักไม่เที่ยง (จำเขามาอีกที เขาไหนก็ไม่รู้จักเหมือนกัน)
3 เมษายน 2552 13:39 น. - comment id 104502
โอ้โห้ยาวมากเลยอ่ะคุณกิ่งก่า สงสัยอ่านอีกนานกว่าจะจบ