วันดวล

ราม ลิขิต

อากาศบ่ายควายกำลังดี รวยรินของลมทุ่งเย็นชื่นฉ่ำ ส้มสลับแดงของผีตากผ้าอ้อมดูเลื่อมพราย  แว่วเสียงวิหคนกการ้องกันเซ็งแซ่อยู่บนยอดไม้สูง..ถ้าไม่ติดกลิ่นคละคลุ้งของขี้หมูที่อวลปะทะฆานประสาทอยู่เป็นระยะๆแล้ว ผมว่ามันคือสวรรค์บนดินดีๆนี่เอง
         สวัสดีลุงเผย ทำอะไรง่วนเชียว
         ผมถาม ก่อนเสือกหัวมอเตอร์ไซด์เข้าใต้ต้นขนุน 
         ถ้าหมอมาเรื่องนั้นละก็ ไม่ต้องมาคุยกับผม
         แกพูดโดยไม่หันหน้ามามอง คงเห็นผมตั้งแต่ตอนเลี้ยวรถเข้ามาแล้ว
         เรื่องอะไรหรือ 
         ผมกล่าวกลั้วหัวเราะ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนแคร่อย่างไม่ต้องเชื้อเชิญ
         ก็ที่ไอ้คนแถวนี้ มันไปร้องเรียนที่อำเภอนะซิ
         ร้องเรียนเรื่องอะไรล่ะ
         คราวนี้แกหันมาจ้องหน้า
         หมอไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งไม่รู้
         ผมจะมาชวนลุงกินเหล้า ผมพูดไปคนละทิศละทาง นี่อุตส่าห์ข้ามคลองไปซื้อไอ้นี่ของตาหลอมาเลยนะ 
         ผมชูถุงพลาสติคที่บรรจุน้ำใสอย่างตาตักแตนสองถุงใหญ่ให้แกดู เห็นลูกกระเดือกของแกวิ่งขึ้นวิ่งลงอยู่ไหวๆ
         ได้ข่าวมานานแล้วว่า ลุงน่ะคอทองแดง ตัวผมเองก็อย่าหาว่าคุยเลยนะ ไม่เคยแพ้ใครเหมือนกัน จะขอประชันฝีมือกับนักเลงตัวจริงดูสักหน่อย
         คราวนี้สีหน้าแกดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
         ถ้าเรื่องนี้ละก็ คุยกันได้
         แล้ววงของเราก็ตั้งขึ้นอย่างง่ายๆบนแคร่หน้าเล้าหมูนั่นเอง แดดร่มลมตกอย่างนี้เหมาะนักกับการร่ำสุรา ตาเผยตะโกนเรียกลูกชายวัยรุ่นที่กำลังให้อาหารหมู ให้ออกมามาจัดสำรับกับแกล้ม
         ตามมีตามเกิดนะหมอ มียำกบ ต้มยำตะพาบแล้วก็ผัดเผ็ดกระจง ทำไว้แต่วาน คงพอกินได้กระมัง
         แกพูดเรื่อยๆ ขณะเทสุราเถื่อนใส่แก้วเปื้อนคราบขุ่น ผมยิ้มแหยๆ เพราะไม่ค่อยถูกชะตากับเหล่าสัตว์ประหลาดสักเท่าไร
         แค่นี้ก็หรูแล้วล่ะลุง ผมกินได้
         การสนทนาของเราเป็นไปได้ด้วยดี ออกรสออกชาติและสนุกสนานเพิ่มขึ้นทุกขณะ  น้ำเมาของหลอ สุรารินนับว่ายอดเยี่ยมกระเทียมดองสมคำร่ำลือจริงๆ นับว่าไม่เสียยี่ห้อที่ดังกระหึ่มโรงพักมาหลายครั้ง 
         กินกันกลางทุ่งกลางเถื่อนอย่างนี้ ต้องไม่เรื่องมาก แก้วก็ใช้มันใบเดียวเวียนกันไป กับแกล้มก็ใช้ช้อนกลางเก่ากลางใหม่คันเดียวกันเหวี่ยงเข้าปาก บาดคอนักก็ซดน้ำฝนในขันใบใหญ่ตบตูด สุโขสโมสรอย่างนี้ ผมถึงกับเห็นขนุนใหญ่ส่ายสะโพก ยิ้มแฉ่งให้เลยล่ะครับ
         ปีนี้เงาะเป็นไงมั่งลุง 
         ผมถามก่อนกระดกเหล้าครึ่งแก้วหายวูบลงคอ ยกแขนเสื้อขึ้นป้ายปาก และผายลมหายใจออกมาดังฮ่าอย่างเอร็ด
         ไม่เป็นไงหรอก ดกดีทุกต้น
         แกพูดหน้าตาย ผมถึงกับหัวร่อร่า 
         แล้วราคาล่ะดกดีด้วยหรือเปล่า
         ถุย แกถ่มน้ำลายลอยไปไกลสามวาสี่ศอก ดีกะผีอะไรหมอ ถูกยิ่งกว่าขี้ไอ้ลูกๆผมเสียอีก ปากบุ้ยไปที่เล้าหมู โลละหกสลึง แพงกว่าสายสองหลึงผมหน่อยเดียว
         เอาแล้วไง พอหน้าเริ่มแดง ปากก็เริ่มดีด
         สายสองสลึงลุงยังอยู่อีกเหรอ ผมแหย่บ้าง
         ยังอยู่ หมอจะดูหรือเปล่าล่ะ แล้วแกก็ยงโย่ยงหยก ทำท่าทำทาง จนผมต้องโบกไม้โบกมือห้ามเสียงหลง
         เชื่อแล้วๆ นั่งลงเหอะ 
         ค่ำลงคาตา ชายทุ่งบริเวณนั้นเลือนสลัว ชาวบ้านที่กลับจากเรือกสวนไร่นา เดินคุยงึมงำเป็นกลุ่มๆ มาตามทางลูกรังเพื่อกลับคืนเคหสถาน เห็นเป็นเงาตะคุ่มๆเป็นระยะ  บางคนตะโกนโหวกเหวกทักทายเข้ามาที่ก๊วนของเรา ซึ่งเปิดไฟแดงโร่เห็นเด่นอยู่ในความมืด บางคนก็วิสาสะเข้ามานั่งโจ้ด้วย ครั้นได้คนละกรึ๊บสองกรึ๊บก็จากไป ชีวิตคนบ้านนอกก็เป็นเช่นนี้เอง รู้จักกันแต่หัวบ้านยันท้ายบ้านและไม่มีพิธีรีตรอง
         ได้ยินเสียงคนรดน้ำดังซู่ๆ ตาเผยซึ่งแก่ดีกรีพอสมควร หันไปตะโกนถาม
         อ้าว! ไอ้ผุยเอ็งจะไปไหนแต่หัวมืดเชียววะ
         วันนี้มีงานวัดไง ฉันนัดกับเพื่อนไว้
         อ้อเหรอะ! งั้นเอ็งแวะไปบอกแม่เอ็งที่บ้านในทีนะว่าข้าค้างที่นี่ แล้วก็เวียนไปบอกไอ้พวกลูกคู่ข้าให้มานี่ด้วย
         เอากี่คนล่ะพ่อ
         เอามาหมดนั่นแหละ 
         ไม่ถึงสิบนาทีเจ้าผุยก็หล่อออกไปกับมอเตอร์ไซด์ค้นเก่ง จากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมงก็มีคนสี่ห้าคนเดินเข้ามาร่วมวง ส่วนใหญ่รู้จักกับผมแทบทั้งนั้น เพราะเห็นหน้าค่าตาตอนเจ็บไข้ได้ป่วยที่สถานีอนามัยอยู่บ่อยๆ
         เอ้า-นั่งๆ ว่ากันคนละจิบก่อน 
         ตาเผยกระดืบก้นเบี่ยงให้มีที่ว่าง ผมก็ขยับร่นออกไป 
         วันนี้นึกไงล่ะไอ้เผย ถึงนั่งเฉิ่มเหล้าอยู่กะหมอเขานี่ ใครคนหนึ่งเอ่ย
         ข้าไม่ได้นึก หมอต่างหากแกนึก แกว่าตามตรง 
         แล้วให้พวกข้ามาทำไมล่ะ
         มาเป็นพยาน..หมอจะดวลกะข้า
         เสียงร้อง ฮ้า จากชายห้าคนดังขึ้นพร้อมกัน
         จะไหวเร้อไอ้เผย เอ็งแก่งั่กปานนี้ หมอเตะทีเดียวก็งอขี้กล้องแล้ว
         ตาเผยทำคอย่น
         ไอ้บ้า ดวลเหล้าโว๊ย ไม่ใช่ต่อยกัน
         ทั้งวงเฮกันครืน ผมเองซึ่งออกจะมึนอยู่ไม่ใช่น้อย ชักนึกสนุกไปด้วย
         ใช่! ผมได้ยินกิตติศัพท์ว่าลุงเผยแกคอแป๊บ เลยอยากท้าชนแก้วหน่อย จะได้รู้กันว่าแป๊บเหล็กหรือแป๊บเดียว
         จะดีรื้อหมอ ใครอีกคนทำเสียงปราม ไอ้เผยนี่ก่อนมาเลี้ยงหมูมันก็แอบต้มเหล้าขายแข่งกะไอ้หลอ เพิ่งจะเลิกไปเมื่อนี่ๆเอง
         ฮะ-งั้นวันนี้ก็สวยซิ ผมก็กินเหล้าเป็นแต่ออกมาจากท้องแม่เหมือนกัน
         ตาเผยเหลือบมองมาที่ผมแว่บหนึ่ง ดวงตาฉายแววครุ่นคิดลึกซึ้ง
         เอางี้มั้ยหมอ น้ำเสียงของแกแจ่มชัด ไม่ส่อแสดงว่าจะมึนเมาแต่ประการใด ดวลกันทั้งทีมันต้องมีเดิมพันติดปลายนวมกันหน่อย ม่ายงั้นไม่สนุก 
         ผมหรี่ตามองไปที่เผย พิสดารอย่างคาดคะเน นึกในใจว่าเสือเฒ่าตัวนี้จะมาไม้ไหน แต่ปากก็หลุดออกไปว่า
         เอ้า-ว่ามาเลยลุงเผย ผมได้ทั้งงั้นแหละ
         พวกเอ็งเป็นพยานนะ ตาเผยพูดกราดไปทั่ววง ก่อนหันมาทางผม ผมรู้ว่าหมอมาทำไม แกกระทุ้งตรงนี้ลงไปแบบเน้นๆ คนชอบๆกันก็ไม่อยากให้เสียน้ำใจ เอาเป็นว่าคืนนี้ถ้าหมอแพ้ผม หมอพาผมกะไอ้พวกนี้ไปเลี้ยงที่คาราโอเกะตรงเนินนี่ แต่ถ้าผมแพ้หมอจะให้ผมทำอะไรก็ว่ามา
         ประโยคง่ายๆประโยคเดียว แต่พาลให้ผมคิดได้ร้อยสีพันอย่าง แบบไม่คิดอะไรเลยก็คิอ ทำไมมันง่ายอย่างปอกกล้วยเข้าปากปานนี้ แต่แบบคิดจนหัวแทบผุก็คือ เอ็งจะเอายังไงกะข้าแน่หวาตาเฒ่า แต่หลังจากคิดสะระตะจนรอบด้านดีแล้ว ผมก็ตัดสินใจ
         ได้เลย-กติกาว่ายังไง
         ไม่มีอะไรมากหมอ ผลัดกันซดเหล้าไอ้หลอครั้งละครึ่งแก้ว ใครอ้วกก่อนแพ้
         แค่นี้เอง
         แค่นี้แหละ
         แค่นี้ก็คือแค่นี้ เป็นประสาซื่อแบบเราชาวลูกทุ่ง ห้าพยานปากเอกต่างขยับตัวให้วงกว้างขึ้น หนึ่งในนั้นอาสาเป็นคนรินสุราให้ 
         หลังจากโยนหัวก้อย ปรากฏว่าผมต้องเป็นคนดวดคนแรก 
         ผมยื่นมือไปรับแก้วที่มีเจ้าน้ำใสปานกระจกมาถือในมือ ตามองไปที่ตาเผยเขม็ง ใจก็นึกไปถึงทฤษฎีการขับถ่ายแอลกอฮอลล์ออกจากร่างกายที่ว่า ส่วนใหญ่จะถูกขับออกทางปอด ฉะนั้นคนที่กินสุราหากยิ่งพูดมากจะยิ่งเมาน้อย นอกจากนั้นการกินกับแกล้มให้มากเข้าไว้ ก็จะยิ่งยับยั้งการดูดซึมของแอลกอฮอลล์ให้ช้าลงอีกโสตหนึ่งด้วย 
         นี่แก้วที่หนึ่ง-ลุงเผย
         ผมเทเจ้าน้ำตาตั๊กแตนวาบเดียวลงคอ โดยไม่ให้มันแตะลิ้นแม้แต่น้อย ใจก็นึกถึงคุณพระคุณเจ้าไปต่างๆนาๆ  ความร้อนแรงของดีกรีผ่าววูบลงไปเป็นทาง ตั้งแต่ริมฝีปาก จนจรดกระเพาะ 
         ตาลุงแล้ว
         ผมวางแก้ว มือเอื้อมไปตักยำกบใส่ปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย แผนกเติมเหล้ารีบรินสุราลงไปดังโจ๊ก ตาเผยไม่พูดพล่ามทำเพลง คว้ามาเทกร้วมเข้าปากหน้าตาเฉย
         เอ้า-ตาหมอ
         เราถ้อยทีถ้อยรินกันไปอย่างนี้ กระทั่งเข้ารอบที่ยี่สิบ ความรู้สึกอึดอัดแน่นท้อง และความคลื่นเหียนที่โคนลิ้น ก็เข้าจู่โจมผมจนแทบตั้งตัวไม่ติด เพียงแค่มือแตะแก้วเท่านั้นผมก็อาเจียนโอ้ก พุ่งเป็นลำออกไปอย่างเหลือกลั้น 
         หมอแพ้ ตาเผยเอ่ยออกมาอย่างผู้ชนะ
         ถ้าถามผมว่าเมาหรือยัง หัวเด็ดตีนขาดก็ต้องตอบว่ายัง แต่เหล้าตาหลอดีกรีมันเหลือร้ายจริงๆ ขณะกำลังนึกเสียใจที่เสียงานเสียแล้ว สิงห์เล้าหมูก็พูดขึ้นมาว่า
         เอาเถอะ เหล้าป่าอาจจะไม่คุ้นเคยคอของหมอ เดี๋ยวไปที่คาราโอเกะ ผมให้หมอแก้ตัวใหม่ ดวลกันด้วยเหล้าโรงอีกรอบก็ยังไหว ม่ายจะหาหาว่าคนบ้านนี้เอาเปรียบ ว่าแต่หมอยังจะสู้อยู่หรือเปล่า กติกาเดิม ถ้าหมอแพ้พรุ่งนี้มาเลี้ยงพวกผมต่อ ถ้าผมแพ้อยากให้ผมทำอะไรก็ว่ามา
         ผมตาสว่างขึ้นมานิด เอาวะ! ยังพอมีทาง 
         ไปเลย-เราไปกัน
          
          คาราโอเกะสถานแห่งนั้นตั้งอยู่ริมทางหลวงแผ่นดิน ไกลจากที่เรานั่งก๊งกันโขอยุ่ เป็นโรงเรือนเล็กๆหลังคามุงด้วยจาก บนแนวหลังคาด้านหันออกนอกถนน พาดไฟราวหลากสีให้กระพริบวูบวาบยั่วสายตา ในคอกที่ตีกรอบด้วยไม้ระแนงแบบง่ายๆ ตั้งโต๊ะและเก้าอี้พับไว้ ๕-๖ ชุด ตู้เพลงขนาดเขื่องตระหง่านอยู่ข้างเคาน์เตอร์แคชเชียร์ แม้มันอาจไม่หรูเลิศอลังการเหมือนอย่างในตัวเมือง ไม่เย็นฉ่ำจนสะท้านผิวหนังด้วยแอร์คอนดิชั่น แต่ก็ชื่นหัวอกหัวใจด้วยลมทุ่งยามดึก ที่โชยพัดมาเป็นระยะ 
         คืนนี้ลูกค้าคงจะน้อย เพราะตอนที่เจ็ดคนเราเดินเข้าไป คำนวณเวลาไม่น่าจะต่ำกว่าสี่ทุ่ม เห็นโต๊ะทุกตัวว่างไปหมด
         สาวใหญ่หุ่นบึ้บบั้บนางหนึ่งปรี่ออกมาต้อนรับ ทว่าครั้นเห็นหัวขบวนเป็นใครหล่อนก็ถึงกับผงะ แต่พอเหลือบสายตามาพบผมซึ่งเดินอยู่รั้งท้าย ยิ้มปานกระดังงาแย้มก็สยายขึ้น เธอคือเจ้าของกิจการแห่งนี้..พริ้ง ระทวยพี่
         สวัสดีค่าคุณหมอ วันนี้ลมอะไรพัดมาถึงที่นี่ได้ค้า หวานปานจะหยดฉอเลาะเข้าใส่
         ก็ลมคิดถึงพี่พริ้งน่ะแหละ..วันนี้คนน้อยจัง
         ฮื่อ..เด็กชุดก่อนมันโยกไปที่อื่น ชุดใหม่ที่ย้ายเข้ามา มันไม่ค่อยตรงสะเป๊ค ต้องรอดูอีกชุดว่าแต่วันนี้เอาถุงยางมาแจกอีกหรือเปล่า  
         วันนี้ตั้งใจมาหาพี่อย่างเดียวไม่ได้มาเรื่องงาน ผมสาดน้ำตาลกลับบ้าง "ยังไงพี่พริ้งก็ปรามๆน้องๆไว้มั่งนา ว่าให้อยู่ร้องเพลงที่นี่กันมั่ง อย่ามัวแต่ออกไปร้องกับแขกข้างนอกกันหมด"
         ขณะที่จะสาวเท้าเข้าไปนั่งโต๊ะ เธอก็เอื้อมมือยุดแขนผมไว้ กระซิบกระซาบว่า
         ไงๆหมอต้องดูไอ้แกงค์นี้ให้พริ้งด้วย เกลียดขี้หน้าจริงๆ วันก่อนแทบจะมีเรื่องมาทีแล้ว เด็กๆไม่มีใครอยากเข้าใกล้สักคน
         ผมหันหน้ามองเชิงตั้งคำถาม ด้วยไม่รู้เรื่องมาก่อน ยังไม่ทันจะว่ากระไร เสียงของตาเผยก็ดังขึ้น
         น้องพริ้ง เอาไอ้นั่นมากลมซิ ชุดใหญ่เลยนะ แกเอ่ยชื่อบรั่นดีไทยยี่ห้อหนึ่ง  วันนี้หมอเขาถูกหวย 
         ผมแยกเขี้ยว นึกในใจว่านี่มันปากเสือหรือปากอะไรกันแน่วะ
         สาวพริ้งส่งสายตาขี้เล่นสบผมแว่บหนึ่ง ก่อนจะสะบัดก้นงอนๆ เดินไปที่เคาน์เตอร์ ปากก็ขานหวานแหววว่า
         เอาแบบลงนะหน้าท้อง..เอ๊ย!ทองด้วยหรือเปล่า
         เราเริ่มร่ำสุรากันต่อ ผมสังเกตว่า นับตั้งแต่มาที่นี่ตาเผยดูจะสลัดความสุขุมคัมภีรภาพครั้งอยู่ที่เล้าหมูทิ้งไปเสียสิ้น ดูแกจะสนุกสนานเฮฮาแบบหมดเปลือก เหล้าก็เดี๋ยวกรอกเดี๋ยวกรอก จนย่างเข้ากลมที่สี่ กับแกล้มกิน
หมดเป็นจานๆอย่างกับปอบหรือไม่ก็กระหัง 
         แล้วเราก็เริ่มร้องเพลง เขาคิดอัตราเพลงละ ๕ บาท โดยเลือกเพลงจากสมุดอัลบั้ม จดใส่เศษกระดาษ ส่งให้บริกร แล้วก็คอยวาดลวดลาย
         หลังจากผ่านไปหลายเพลงติดต่อกันจนไมโครโฟนแทบระเบิด ผมก็ออกจะฉงนเสียไม่ได้ว่า เสียงคนบ้านนอกนี่ทำไมมันดีอย่างนี้ เพลงแต่ละเพลงที่ร้องซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพลงลูกทุ่ง ไม่เพี้ยน ไม่พลาด ไม่ขาด ไม่เกิน ฟังแล้วช่าง
สบายหูเสียนี่กระไร
         จนเกือบเที่ยงคืน ตาเผยก็เริ่มอ้อแอ้ 
         เดี๋ยวนาหมอ เดี๋ยวค่อยดวล
         ผมเองความจริงก็ร่ำๆ จะสะกิดอยู่หลายครั้ง บังเอิญที่แกออกปากมาเสียก่อน
         เฮ้ย! เอาไอ้นั่นมานี่
         ตาเผยแย่งไมค์มาจากสหายคนหนึ่ง แล้วแกก็กรอกเสียงเซๆลงไปดังลั่น
         แม่พริ้งคนสวย ช่วยปิดเพลงให้เผยก่อนนะ เผยอยากจะทำอย่างอื่นมั่ง
         แล้วโดยไม่ฟังอีร้าค่าอีรม เสียงโย้หน้าโย้หลังขอแกก็กระหึ่มขึ้น
         สุนทรภู่หรือจะสู้สุนทรเผย
         จะเฉลยให้รู้ดูสักหน
         มิใช่แกล้งเป็นไม่รู้ท่านครูคน
         แต่กลอนกลเผยก็ไม่ย่อใคร
         เผยทำสวนเลี้ยงหมูรู้ไหมเหนื่อย
         ตัวแทบเปื่อยอย่ามาว่าเผยสาไถย
         ราคาต่ำจริงหนอเผยท้อใจ
         รอแม่พริ้งปลอบให้สบายตัว
                        ฯลฯ
         ผมหัวเราะหึๆออกมา อย่างอดขำเสียไม่ได้ ชายตาไปที่สาวใหญ่ เห็นกวักมือเรียกผมอยู่หยอยๆ ขณะขยับตัวให้พ้นจากเก้าอี้ ตาเผยก็เปลี่ยนแนว คราวนี้พรรคพวกที่มาต่างก็ปรบมือเป็นจังหวะร่วมวงไปกับเขาด้วย
          ชาละวันกุมภีร์   ชะหน่อละน้อล่ะหน่อล่ะน้อน้องเอยชะเอ่อเอ๋ย
          กุมภีร์ใหญ่          ชะชะชะชะ
          สถิตถ้ำอำไพ       เออเอ่อเออ
          สบายอุรา            ชะหน่อล่ะนอหน่อล่ะน้อนองเอย
                                      ฯลฯ
         นี่หมอต้องห้ามไอ้บ้าเผยนะ" พริ้งหน้างอเป็นจวัก "มันร้องยังงี้แล้วใครที่ไหนจะเข้าร้าน" 
         ทำไมล่ะ  ผมฉงน  ก็เพราะดีออก
         เพราะน่ะเพราะหรอก แต่เขาเอาไว้ร้องหน้าศพ มาร้องที่นี่ พริ้งก็เจ๊งกันพอดี
         ผมอ้าปากหวอ รีบเดินกลับมาที่โต๊ะทันที พอมีจังหวะผมก็ก็รีบยื้อไมค์ 
         พี่พริ้งและน้องๆที่รักทุกคน ผมกรอกเสียงมึนๆตัดบทลงไป จากนี้จะเป็นการประลองเหล้าระหว่างผมกับลุงเผย ขอให้ทุกคนช่วยเป็นพยานด้วยนะจ๊ะ แล้วอย่าลืมใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง เพื่อยับยั้งเอดส์ด้วยจ้ะ
         แต่ตาเผยกำลังจะไป ดูท่าทางแล้ว สงสัยว่าแกจะเอาโต๊ะเป็นที่วางหัว ทว่าผมยังไงก็ไม่ยอมให้แกหนีการดวล
         ลุงเผย เงยหน้าขึ้นมา ทำงี้เสียชื่อนักเลงหมู่สี่หมด
         แกปรือตาขึ้นมองผมอย่างง่อกแง่กเต็มที
         ผมยอมแพ้แล้วหมอ ไม่ไหวกินน้ำ..เหล้าที่เล้าหมูซะพุงกาง พรุ่งนี้ค่อยมาว่ากันว่าหมอจะให้ผมทำอะไร
         ผมตื่นขึ้นมาอีกทีประมาณเที่ยงของอีกวันหนึ่ง รีบตาลีตาลานอาบน้ำอาบท่า แล้วแต่งเนื้อแต่งตัวลงมาที่สถานีอนามัย รู้สึกหัวยังมึนงงด้วยอาการเมาค้าง  
         พี่ผู้หญิงหัวหน้าสถานีทักว่า
         ไง-เมื่อคืนได้ข่าวว่า โต้กับตาเผยหลายยกเลยหรือ
         แหม! ข่าวเร็วดีจริงนะครับ
         เขาลือกันให้แซดหมดแล้ว ตาเผยแกก็เที่ยวคุยฟุ้งไปหมดว่า ที่แกยอมปรับปรุงเล้าหมู ไม่ให้กลิ่นเหม็นลอยไปรบกวนคนอื่น เป็นเพราะดวลเหล้าแพ้หมอผู้ชาย  ผมยิ้มแก้มแทบแตก รู้สึกภาคภูมิเหมือนหัวใจพองคับอก 
         แต่เธอรู้ไหม ความจริงตาเผย แกยังไงๆก็ต้องทำอยู่แล้ว มีคนไปร้องเรียนท่านนายอำเภอเรื่องเหตุรำคาญจากกลิ่นขี้หมู ท่านก็ให้ปลัดลงไป เห็นเอาตำรวจมาด้วยนี่ ทางหนึ่งท่านก็ให้สาธารณสุขเข้าไปดูแล ใช้ทั้งไม้นวมไม้แข็ง เมียตาเผยบอกว่าหลังจากคุยกับปลัดอำเภอ แกก็ขอเวลาแก้ไข ๗ วัน ถึงเราไม่ลงไปยังไงๆแกก็ต้องทำอยู่ดี เหตุรำคาญมันผิดกฏหมาย อีกอย่างแกกลัวชาวบ้านแอบเผาเล้าหมูของแกด้วย
         ผมถอนหายใจออกมาดังเฮือก ปฏิบัติงานคลาดกับทางปกครองนิดเดียว เสียเงินไปตั้งหลายพัน แสบจริงๆ..สมิงเฒ่าแห่งบ้านทุ่ง-เผย พิสดารคนนี้/.				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน