7 กรกฎาคม 2547 16:46 น.
fatima
ใครหลายคนเคยถาม...
ไยต้องปิดกั้นตัวเอง
ไยต้องสร้างกำแพงน้ำแข็งขึ้นมาห่อหุ้มหัวใจ
.................
ฉันไม่เคยปิดกั้นตัวเอง....สำหรับมิตรภาพ
ฉันไม่เคยสร้างกำแพงน้ำแข็งขึ้นมา...สำหรับมิตรภาพ
เพราะฉันรู้ว่า...มิตรภาพนั้น...สำคัญมากแค่ไหน
.................
แต่...คนแล้วคนเล่าที่ผ่านเข้ามา...
เพียงเพราะสะดุดตา...สะดุดใจ...และต้องการจะค้นหา
สุดท้ายแล้ว...ต่างก็เดินจากไป...
เพราะคิดว่า...ไม่อาจทะลายกำแพงน้ำแข็งที่เยือกเย็นได้
นั่นเป็นเพราะ...เขาต้องการจะก้าวข้ามมิตรภาพที่ฉันขีดไว้ให้
.................
การรอคอยคือกำแพง
ใครบางคนเคยบอกฉันอย่างนั้น
ฉันรอ...ทั้งๆที่ใครบางคนไม่เคยบอก...ว่าให้รอ
แต่ฉันก็รอ...
และหวังว่า...สักวัน เราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
และ...นั่นคือกำแพง...
4 มิถุนายน 2547 16:39 น.
fatima
แต่เมื่อ 2 เดือนก่อน ประมาณ 7 โมงเช้า ฉันจะเห็นเธอขับรถกะบะสีขาว ตามฉันไปทำงานเกือบทุกเช้า
พอฉันจอดรถปุ๊บ เธอก็จะขับผ่านไป พร้อมกับบีบแตรให้ทุกครั้ง บางทีเราขับรถสวนกัน เธอก็จะเปิดไฟสูง
กะพริบให้อยู่ตลอด ก็ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองหรอกนะ ว่าเธอกำลังจีบฉันอยู่น่ะ...
จนกระทั่งวันหนึ่ง พอฉันจอดรถ แทนที่เธอจะขับผ่านไปและบีบแตรให้เหมือนทุกครั้ง เธอกลับจอดรถแล้ว
เดินมาขอเบอร์โทรฉันเฉยเลย ทั้งๆที่ไม่เคยคุยกันมาก่อน ฉันถามเธอว่า จะเอาไปทำไม เธอบอกว่าเผื่อมีธุระ
ต้องคุบกับฉัน ฉันถามธุระอะไร เธอบอกก็ธุระนั่นแหละ เบอร์อะไร... ฉันบอกเธอว่า ฉันมีโทรศัพท์ที่ไหนเล่า
เธอก็เกี่ยงจะเอาเบอร์บ้าน ฉันบอกเบอร์บ้านไม่ว่าง เล่นเน็ต เธอยังตะโกนตามหลังฉันอีก ว่าไม่มีจริงๆเหรอ
พึ่งรู้...ว่าไม่มีโทรศัพท์นี่จะดูแปลกมาก
หลังเลิกงานวันหนึ่ง ฉัน แม่ แล้วก็น้องสาว ไปเยี่ยมลุงซึ่งป่วยเป็นอัมพฤกษ์ เจอเธอกำลังกลับพอดี พี่สาวฉัน
( ลูกสาวลุง ) ซึ่งแต่งงานกับพี่ชายเธอ ก็พูดขึ้นว่า เธอชอบฉัน เธอบอกพี่สาวฉันว่า ขอเบอร์น้องเค้าให้หน่อย
พี่ฉันหัวเราะ บอกว่า น้องที่ไหนเล่า ฉันแก่กว่าเธออีก ...ต่อหน้าประชาชี ฉันทำหน้าไม่ถูกเลย ทำไมเธอต้อง
ไปป่าวประกาศด้วยเนี่ย...
หลังจากนั้นมา เธอจะขับรถผ่านหน้าบ้านฉันตลอด บางทีเจอพ่อ แม่ หรือ ย่าฉัน เธอก็จะแวะคุยด้วย และนั่น
คือเหตุผลที่เธอนำมาต่อว่าฉันเรื่องโทรศัพท์ แต่ยังไง เธอก็ยังไม่ได้เบอร์ฉันอยู่ดี
ความจริงฉันนึกว่า พอเธอรู้ว่าฉันอายุมากกว่า เธอจะถอยซะอีก ที่ไหนได้ เธอบอกไม่เป็นไร ห่างกันแค่ 2-3 ปี
เอง ไม่ยอมเรียกฉันว่าพี่อีกต่างหาก แต่กับเพื่อนฉันที่ทำงานที่เดียวกับเธอน่ะ เรียกพี่ซะเต็มปากเต็มคำเชียว
เท่าที่ดู เธอก็นิสัยดีนะ...ที่เห็นๆก็คือ มีน้ำใจมาก เวลาที่ลุงฉันต้องไปหาหมอ เธอเป็นต้องหยุดงานไปช่วย
พี่ชายเธออุ้มลุงอยู่ตลอด เพื่อนฉัยก็ยังบอก ว่าเธอน่ะ นิสัยใช้ได้เลย...
แต่น่าเสียดายนะ...เสียดายที่เธอมาชอบฉัน คนที่หัวใจมีแต่อดีตอัดแน่นเต็มไปหมด ไม่มีที่ว่างจะเก็บเธอไว้ได้
เลยกับความรู้สึกแบบนั้น
ความทรงจำไม่เคยเลือนหาย ภาพไม่เคยเลือนลาง อยากบอกเธอว่า... ตัดใจจากฉันซะเถอะนะ ..อย่าเสีย
เวลาอีกเลย เพราะฉันไม่รู้ว่า เมื่อไหร่จริงๆ...
29 พฤษภาคม 2547 09:36 น.
fatima
เราเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน เรียนด้วยกีนมาตั้งแต่ประถม-มัธยม แต่ไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่ เพราะเรียนอยู่คนละห้อง
หลังจากจบม.ปลาย ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไป
พอเรียนจบ ป.ตรี ฉันกลับมาทำงานที่บ้าน และได้เจอเธออีกครั้ง เมื่อเธอมาเป็นตำรวจอยู่ อำเภอใกล้ๆ ในงาน
แต่งงานเพื่อนคนหนึ่ง เธอขอเบอร์ฉันด้วยเหตุผลที่ว่า เผื่อมีธุระ ไม่เป็นไร เพื่อนให้เบอร์เพื่อนไม่เห็นน่าเกลียด
วันหนึ่ง เธอโทรมาคุยกับฉัน ชมว่าเสียงฉันเพราะจัง รู้สึกทะแม่งๆ ยังไงก็ไม่รู้ แต่ฉันอาจจะคิดมากไปเองก็ได้
วันเกิดฉัน ไม่รู้ใครบอกเธอ เธอเอาของขวัญมาให้ ฉันได้กลิ่นเหล้าจากปากเธอด้วย ไม่ชอบเลย แต่ไม่ได้พูดอะไร
เธอบอกฉันว่า ขอเป็นคนร่วมสร้างความฝัน ร่วมสร้างอนาคตกับฉันได้ไหม ฉันรู้แล้วว่าทำไมเธอต้องดื่มเหล้า
ฉันตอบเธอไปว่า ฉันมีคนๆนั้นอยู่แล้ว ระหว่างเรา ขอให้เป็นเพื่อนกันเหมือนที่เราเคยเป็น
วันรุ่งขึ้น เพื่อนฉันบอกว่า เจอเธอดื่มเหล้าเมามาย ถามอะไรก็ไม่ตอบ เอาแต่พูดว่า เขามีแฟนแล้วๆๆ
เธอหายไปช่วงหนึ่ง ก่อนจะกลับมาอีกครั้ง ซึ่งฉันคิดว่า คงเป็นเพราะเพื่อนไปเล่าให้เธอฟังว่า ฉันเลิกกับแฟนแล้ว
แต่ฉันก็ให้เธอได้แค่เพื่อนเหมือนเดิม ฉันบอกเพื่อนคนอื่นว่า ถ้าหวังดีต่อเธอ ก็อย่าเชียร์เธออีกเลย มันเป็นไปไม่
ได้ มีแต่จะทำให้เธอเจ็บปวดมากขึ้นเปล่าๆ
เธอส่งผู้ใหญ่มาทาบทามสู่ขอฉัน แต่ฉันปฏิเสธ พร้อมกับบอกว่า เราเป็นเพื่อนกัน แต่แล้วเธอก็ส่งผู้ใหญ่มาทาบ
ทามอีก บอกว่าคราวนี้จะเพิ่มค่าสินสอดทองหมั้นให้ ฉันเริ่มโมโห เพราะเธอพูดไม่รู้เรื่อง ฉันบอกว่าที่ปฏิเสธ
ไม่ใช่เพราะเกี่ยงเรื่องสินสอดเลย แต่เพราะฉันเห็นเธอเป็นเพื่อนจริงๆ
พ่อแม่เธอมาพูดกับพ่อแม่ฉัน บอกว่าให้ผู้ใหญ่จัดการได้ไหม แต่แม่ฉันบอกว่า ถ้าให้ผู้ใหญ่จัดการ ก็ให้ผู้ใหญ่
แต่งกันเองก็แล้วกัน
ฉันฝากไปบอกเธอว่า ให้ตัดใจจากฉันซะ มันไม่มีประโยชน์ แต่เธอกลับบอกว่า จะรอฉัน จะไม่มีใครจนกว่าฉัน
จะแต่งงาน มันจะเป็นไปได้ยังไง ก็ฉันยังไม่ลืมคนๆนั้นเหมือนกัน
เธอรักฉัน เหมือนที่ฉันรักคนๆนั้น เธอรักฉัน แต่ฉันเกิดมาเพื่อรักคนอื่น
เธอ และฉัน เราต่าง ...รัก? ...หลง?...หรืองมงาย?... กันแน่
20 พฤษภาคม 2547 16:55 น.
fatima
ช่วงเวลาที่ทำให้ฉันคิดถึงบ้านมากที่สุด คือ ช่วงสอบค่ะ เพราะมันเป็นอะไรที่เครียดมาก สอบทีก็คิดถึงบ้านที( ตอนเที่ยวไม่ได้คิดถึงเลยค่ะ อิๆๆๆ )
แต่ละวิชาที่สอบนั้น เนื้อหาก็เป็นเล่มๆ ประมาณว่า อาจารย์จะเอาอะไรออกน๊ะ...เพราะมันเยอะจริงๆ อะไรก็ดูสำคัญไปหมด..แต่ไม่ต้องห่วงคะ...เพราะฉันมีของดี ไม่ใช่เครื่องลางของขลังหรอกนะคะ แต่เป็น รุ่ง เพื่อนซี้ของฉันนั่นเอง คุณเธอมีดีกรีเกียรตินิยมอันดับหนึ่งห้อย เอ๊ย..แขวนคอด้วยนะคะ...
วิธีการใช้เพื่อนให้เป็นประโยชน์ของฉันก็คือ วิชาไหนที่อาศัยความเข้าใจ ฉันก็จะอ่านแล้วทำความเข้าใจเอง ถ้าไม่เข้าใจตรงไหน ก็จะให้รุ่งอธิบายให้ ส่วนวิชาที่ไหนที่อาศัยความท่องจำล่ะก็ ..ฉันจะให้รุ่ง คนนี้แหละ เป็นคนพูดให้ฟัง โดยมีข้อแม้ว่า ให้พูดเฉพาะที่รุ่งคิดว่าอาจารย์จะออกข้อสอบเท่านั้น ถ้าเรื่องไหนที่รุ่งคิดว่า อาจารย์ไม่ออกก็ไม่ต้องพูดเลย เนื่องจาก สมองของฉันรอยหยักค่อนข้างจะตื้นค่ะ ก็เลยเอาไว้จำเฉพาะที่จำเป็นๆก่อนล่ะกัน...อาจดูเสี่ยงนะคะ..แต่ฉันเชื่อใจเพื่อนค่ะ ส่วนเพื่อนคนอื่นๆมักจะบอกว่า ฉันฉลาดแกมโกงค่ะ...เพราะไม่ต้องงมอ่านหนังสือมากเหมือนคนอื่นๆ อันนี้ก็ช่วยไม่ได้ นะคะ มันเป็นวาสนาส่วนตัวจริงๆๆ 555
และทุกครั้งที่มีการสอบ ฉันจะเครียดมาก ผลที่ตามมาก็คือ ปวดท้องค่ะ..เหมือนจะอึ แต่ก็ไม่ใช่..ยิ่งช่วงรอเข้าห้องสอบ แล้วได้ยินเพื่อนคนอื่นพูดเรื่องโน้น เรื่องนี้ ฉันก็ใจเสีย เดินไปสะกิดรุ่งว่า " รุ่งๆ ทำไมเรื่องนี้เราจำไม่ได้เลยอ่ะ " ส่วนรุ่ง จะนิ่งมาก บอกฉันว่า จะลนไปทำไม ทำเท่าที่เราอ่านมานั่นแหละ แล้วที่คนอื่นพูดกันก็ใช่จะออกสอบซะเมื่อไหร ฉันค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย...
แต่การสอบที่ประทับอยู่ในหัวใจฉันมาตลอดก็คือ วิชา เภสัชศาสตร์ค่ะ สอบทีต้องอ่านหนังสือเป็นเล่มๆ รุ่งก็ช่วยไม่ได้เท่าไหร เนื่องจากเนื้อหาเยอะมาก ต้องอาศัยความจำของฉันเอง ซึ่งลิมิตก็ช่างน้อยซะเหลือเกิน...
วันนั้นฉันเดินเข้าห้องสอบด้วยความไม่มั่นใจเลย แล้วก็ช็อคอีกรอบเมื่อเจอข้อสอบ 100 กว่าข้อ คำถามยาว 2-3แถว เป็นอย่างต่ำ ส่วนความยาวของตัวเลือกแต่ละข้อก็ไม่ต่างกันเล้ย... เวลาสอบ 3 ชม.อ่านแล้วกายังไม่รู้จะทันหรือเปล่า บางข้อก็จำไม่ได้เลยว่าเรียนไปตั้งแต่เมื่อไหร่...
สุดท้ายพอหมดเวลา ฉันกับเพื่อนเดินออกมาด้วยสีหน้าที่บรรยายไม่ถูกจริงๆ และแล้วก็มีมือหนึ่งมาสะกิดฉัน " เมื่อกี้ ชัวร์เปล่า นี่พี่ลอกตามทุกข้อเลยนะ" พี่ฉลองนั่นเอง ถามฉันด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
" โห..มือชั้นนี้แล้วพี่ " ฉันตอบอย่างภาคภูมิใจ พร้อมกับคิดในใจว่า ลอกตามได้ทุกข้อเลยเหรอ อัฉริยะในการลอกจริงๆ
" เฮ้อ..ค่อยยังชั่วหน่อย " พี่ฉลองเดินกลับไปด้วยสีหน้าที่คลายกังวล ส่วนฉัน มองตามแล้วก็พูดว่า
" หนูก็ยังไม่รู้จะรอดรึเปล่าเลยพี่ " พร้อมกับมองหน้าแหยๆ ของสาย อ้อ ไม่เว้นแม้แต่ รุ่ง สาวน้อยเกียรตินิยม
7 พฤษภาคม 2547 16:29 น.
fatima
ตอนอยุ่ปี 4 ฉัน สาย จ๋า สายน้อย โอ๋ แล้วก็เมย์ รวม 6 คน ได้ไปฝึกงานที่รพ. เชียงรายประชานุเคราะห์
ก่อนไปฝึกงาน อาจารย์จะส่งรายชื่อนศ.ฝึกงานไปที่ รพ. แล้วก็ห้องแล็ปก่อน เพื่อเป็นการขออนุญาตในการฝึกงาน
และพวากเราก็พึ่งมารู้ทีหลังว่า พวกพี่ๆห้องแล็ป ที่นั่นเค้าดูรายชื่อพวกเราแล้วก็ให้แต่ละคนทายว่า ในจำนวนนศ.ฝึกงานที่มาเนี่ย
ใครจะเป็นคนที่สวยที่สุด
และแล้ววันที่พวกเรารอคอยก็มาถึง ...พวกเราทั้ง 6 คน ต่างเดินหน้าตั้งหลังตรงไปที่ห้องแล็ป แล้วก็รายงานตัว ว่าเป็น
นศ.ฝึกงานจากคณะเทคนิคการแพทย์ มช.
พี่หัวหน้าห้องแล็ป ก็จัดแจงแยกย้ายพวกเราไปฝึกงานในแต่ละห้อง...
หลังจากเริ่มงานได้ซักพัก นายเงาะ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานห้องแล็ปที่นั่น ก็เดินเข้ามา( มาทำงานสายค่ะ )
แล้วนายเงาะแกจะไปเดินดู นศ.ฝึกงานแต่ละคน ห้องโน้นห้องนี้ ( คือจะดูว่าใครสวยที่สุด) จนผ่านมาถึงห้องธนาคารเลือด นายเงาะ
ก็เห็น นศ.ฝึกงานคนหนึ่ง ผมซอยสั่นจู๋ ใส่แว่น นั่งอ่านเอกสารอยู่บนโต๊ะ...ด้วยความสงสัย จึงเดินเข้าไปถามพี่วิทย์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
ว่า " พี่ๆ ไหนเค้าบอกว่า นศ. ที่มาฝึกงานเนี่ย มีแต่ผู้หญิงไง "
" ฮื่อ.." พี่วิทย์รับคำ พร้อมกับทำงานต่อ
" แล้วทำไม มีผู้ชายมาด้วยอ่ะ.."
พี่วิทย์ทำหน้างงๆ แล้วก็ถามว่า " ไหน คนไหน..."
" ก็นั่นไง...คนนั้นไง "
พี่วิทย์มองตามนิ้วชี้ของนายเงาะ แล้วก็ต้องหัวเราะออกมา
" นั่นแหละ... คนนั้นแหล ะน้องอมร คนที่แกทายว่าต้องสวยที่สุดใน นศ. ฝึกงาน ไง "
พี่วิทย์พูด พร้อมกับมองนายเงาะที่กำลังอ้าปากหวอ แต่นายเงาะก็ยังไม่วายจะพูดอีกนะว่า
" ใครจะไปรู้ล่ะ...ว่าชื่ออมร จะทอมบอยขนาดนี้"
ตอนหลัง นายเงาะยังมาบอกโอ็ อีกนะว่า ถ้าโอ๋ ไม่ใส่กระโปรง นศ.เนี่ย..จะไม่มีใครรู้เลย ว่า โอ๋เป็นผู้หญิง...
...ดูปากมันพูด...