29 กันยายน 2547 15:12 น.
Evil_Dark
Chapter I แองเจอริก้า แมททิวสัน
ห้วงธาราสุดท้ายในความทรงจำ
เด็กชายมองลอดผ่านหน้าต่างเบื้องหน้าอย่างใจลอย ขณะที่ท้องฟ้ามืดครึ้มด้วยไอหมอกแห่งความหนาวเย็น ท้องฟ้าสีหม่นเช่นนี้ทำให้เขานึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ผ่านมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ภาพความทรงจำหวนกลับมาเด่นชัดในมโนคติอีกครั้ง
ตรอกแคบที่ชื้นแฉะ หนูส่งเสียงร้องกันระงม ร่างของเด็กน้อยวัยสามขวบ นั่งตัวสั่นเทาภายในตรอกที่ชื้นแฉะ ในหัวเฝ้าแต่ภาวนาว่า ขอให้เขามีครอบครัวที่อบอุ่น มีบ้านและมีเตียงนุ่มๆที่เชิญชวนให้ขึ้นไปขดตัวอยู่อย่างสบายอารมณ์ บ้านเล็กๆที่มีครอบครัวปกติเหมือนเด็กคนอื่น แต่ราวกับเสียงที่เด็กน้อยเฝ้าภาวนาเป็นเพียงแค่ เสียงที่ไม่ได้ยิน คำภาวนายังคงไม่ได้รับการตอบสนอง อีกนานแค่ไหนกันที่เด็กอย่างเค้าจะได้มีครอบครัวที่ใฝ่ฝัน ไออุ่นที่เฝ้าโหยหา ความรักที่เด็กคนนึงต้องการ เมื่อไหร่เขาจะมีโอกาสได้สัมผัส เด็กน้อยเอ่ยด้วยอาการสั่นเทาว่า
ฮือ.กุนป้อ กุนแม่ ป๋มกลัว ป๋มหนาว ช่วยด้วย ได้โปรด ฮึก.ฮึกเด็กน้อยร้องเรียกหาพ่อแม่ผู้ที่เขาไม่เคยมี บุคคลที่ไร้ตัวตนทั้งสอง ผู้ที่เด็กน้อยเฝ้าคิดถึงเสมอมา มันเป็นความฝันเล็กๆที่เด็กน้อยคนหนึ่งต้องการ มันเป็นที่ยึดเหนี่ยวเพื่อยืดเวลาแห่งการรอคอยของตนให้ยาวนานขึ้น
เด็กน้อยคอยหาเศษอาหาร หรือ อาหารที่พอจะหาได้จากคนที่ผ่านมาประทังชีวิตไปวันๆ ตลอดเวลาที่เขาหลบหนีออกจากสถานที่ๆไม่ต่างจากขุมนรก ที่นั่นทุกๆวันเด็กน้อยต้องถูกเข็มที่มีสารสารพัดสีทิ่มแทงนับสิบครั้งต่อวัน สารแปลกปลอมที่พุ่งเข้าสู่เส้นเลือดทำให้เขารู้สึก ราวร่างกายจะถูกฉีกขาดในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง
ทุกๆวันเขาเฝ้ามองดูผู้คนในชุดขาวสะอาดผ่านกระจกใส เดินผ่านมาอย่างขวักไขว่ ทุกคนจ้องมองเขาด้วยสายตาพินิจ ในมือมีกระดาษและปากกาดวงตาของคนเหล่านั้นช่างน่ากลัว เด็กน้อยไม่สามารถทนอยู่ในสภาพเช่นนั้นได้อีก จึงหนีออกมาขณะที่คนพวกนั้นจะพาตัวเขาไปยังห้อง ที่เต็มไปด้วยโหลแก้วขนาดใหญ่และมีอะไรบางอย่างลอยอยู่ สิ่งมีชีวิตในหลอดทำได้แค่ลอยเคว้งคว้างอยู่ในหลอดโดยมีสายโยงระยางตลอดเวลา เขาเกรียดหลอดแก้วพวกนี้ เขาเกรียดดวงตาที่มองไม่เห็นภายในห้องนั้นที่คอยจับจ้องด้วยความเจ็บปวด ทุกครั้งที่เข้าไปในห้องนั้นจะต้องได้ยินเสียงร้องโอดครวญดังอยู่ในโสตประสาท นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขา ฉีกพวกนั้นเป็นชิ้นๆแล้วหนีออกมา
ภาพเด็กชายทรุดนั่งกับพื้นที่มีธารน้ำสีเลือดรายล้อมอยู่ กระแสไฟฟ้ารอบกายถูกดูดมารวมกันเป็นวงกลมปกคลุมร่างของเด็กน้อยอย่างมิดชิดด้วยม่านสีใสโปร่ง เด็กชายจ้องมองเศษซากมนุษย์ที่กระจายเกลื่อนพื้น รอยยิ้มเย็นเยียบปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กชายที่เปื้อนเปราะด้วยเลือดสีแดงฉาน ดวงตาสีม่วงขลับจ้องมองอย่างเฉยชาไปยังเศษเนื้อตรงหน้า นั่นเป็นภาพที่ยังคง่ด่นชัดทุกครั้งที่เด็กน้อยประทังชีวิตอยู่ในตรอกแคบๆ ที่มีกลิ่นเน่าเหม็นอบอวลไปทั่วพื้นที่ ภาพคนในชุดขาวที่เขากลัวเกรงยังคงตามมาหลอกหลอนอยู่ตลอดยาวหลับ
แต่แล้วขณะที่เด็กชายปล่อยความคิดไหลวนในหัว ปรากฏเงาสีดำทะมึนบดบังแสงในตรอกให้น้อยลงจนแทบดำมืด ชายร่างสูงกล่าวขึ้นด้วยเสียงที่อ่อนโยน แบบที่เด็กชายไม่เคยได้รับจากใครมาก่อนว่า
เจ้าหนู ไปอยู่บ้านฉันไหม ที่นั่นเธอจะมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ ฉันมาดูเธอหลายวันแล้วเผื่อจะมีผู้ปกครองมารับ แต่เธอกลับไม่มีใครมา ถ้าไงไปอยู่บ้านฉันไหมล่ะเขากล่าวขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ พลางยื่นฝ่ามือที่ใหญ่พอที่จะเป็นที่พึ่งมาตรงหน้า ช่วงเวลานั้นเองเด็กชายคิดว่าถ้อยคำที่คอยเฝ้าภาวนาสำฤทธิ์ผล แล้ว เด็กชายยื่นมือที่เปรอะเปื้อนไปจับฝ่ามือที่ยื่นมาอย่างสั่นเทา นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบคนที่เขาหวังมาตลอดคนที่จะมาเป็นครอบครัว คนที่จะคอยมาอยู่เคียงข้าง
ช่วงเวลาผ่าไปอย่างแสนสุข เสียงหัวเราะและบทเพลงที่ผู้เป็นพ่อยังคงดีดให้ลูกชายวัยสามขวบฟังยังคงดังก้องภายในบ้านเล็กๆที่แสนอบอุ่น เด็กน้อยไม่เหลือคราบชีวิตสีเลือดอยู่บนใบหน้าอีกแล้ว ชายตรงหน้าที่เสนอตัวเข้ามาในยามคับขัน ค่อยๆรักษาแผลใจที่มีอยู่ให้เลือนหายไปช้าๆ เขาถูกชายตรงหน้าตั้งชื่อที่ไพเราะที่สุดสำหรับเข้าว่า
ต่อไปเธอจะเป็นลูกของฉันชื่อว่า อ่า. แองเจอลิก้า แมททิวสัน เป็นชื่อที่ดีใช่ไหมล่ะ ต่อไปนี้ฉันจะเป็นพ่อของเธอนะ ลูกแมทคำพูดท้ายประโยคทำให้เด็กชายตัวน้อยโผเข้ากอดชายตรงหน้าพร้อมร้องไห้อย่างไม่อดกลั้น มันเป็นความรู้สึกที่แสนวิเศษ ชื่อที่ผู้เป็นพ่อตั้งให้
ตลอดระยะเวลาสามปีที่อยู่ในสถานที่อเวจีแห่งนั้นเขาถูกเรียกว่า อดัม นัมเบอร์วัน เป็นชื่อที่ฟังดูกระด้าง และเป็นชื่อที่คนพวกนั้นไม่ได้ใช้ แต่พวกมันกลับเรียกเขาว่า ไอ้เด็กปีศาจ มากกว่าจะเรียกว่าอดัม เขาเกรียดชื่อนั้นเขาเกรียดทุกอย่างที่นั่น แต่ตั้งแต่วันนี้ไปเขาคือ แองเจอริก้า แมททิวสัน ชื่ออดัมและบุคคลในชุดขาวจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง แต่แล้วทุกอย่างไม่ราบลื่นอย่างเด็กชายคิด ในวันเกิดครบรอบ 9 ปีที่เขามาอยู่กับคุณพ่อ ท่านพาเขามาพักที่บังกะโลแถบชาญเมืองแห่งหนึ่ง ในตอนนี้ท่านดูอ่อนแรงและเหนื่อยอ่อนเพราะโรคร้ายที่กำลังลามอยู่ภายในร่างกาย เชื้อมะเร็งที่กระเพาะอาหารค่อยๆรุกรามคร่าชีวิตของท่านช้าๆ แต่ท่านยังคงยิ้มให้เขาด้วยใบหน้าที่มีริ้วรอยของกาลเวลา ที่เปี่ยมด้วยความอบอุ่นไม่ต่างกับวันแรกที่เขาได้พบกัน และริมฝีปากของท่านก็เฝ้าบอกเสมอว่า
ลูกคือสมบัติที่ทำให้พ่อมีความสุข พ่อคงนึกภาพความสุขที่จะมีไม่ออกหากไม่มีลูกมาอยู่กับพ่อ ในตอนนี้พ่อคงเป็นตาแก่ที่ตายไปอย่างหงอยเหงาคนเดียว สัญญากับพ่อนะว่า ในวันที่พ่อจากไปหรือหลังจากนั้นลูกจะไม่ร้องไห้ พ่อไม่ต้องการให้ลูกมัวเสียใจจนไปเป็นอันทำอะไร พ่อหวังว่าพ่อจะได้เจอพี่ชายของลูกสักครั้งนั่นเป็นคำพูดทีท่านมักพูดให้เขาฟังในวาระสุดท้ายของชีวิต
ตกดึกสงัดเด็กชายวัย 12 มองรอดผ่านหน้าต่างบังกะโล ที่ถูกปกคลุมด้วยต้นไม่ที่เคยเขียวคจีเมื่อยามเช้า แต่บัดนี้เมื่อราตรีที่เย็นเยียบเข้าปกคลุม ต้นไม้กลายเป็นสีดำทะมึนแลดูน่าขนลุก เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มรอยตามลมมาให้ได้ยินอย่างไกลๆ เด็กชายถามตัวเองอย่างแปลกใจ บังกะโลที่อยู่ห่างจากถนนและลับตาคนขนาดนี้ ยังมีคนเข้ามาหายามวิกาลงั้นหรือ นี่เป็นบังกะโลส่วนตัวที่คุณพ่อสร้างไว้ภายในส่วนลึกของป่าแถบชาญเมือง ต้องใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงในการเดินทางจากถนที่ตัดผ่าภายนอกเข้ามา
ภายในห้องชายผู้อ่อนแรงนอนพักอยู่บนเตียง นอนหอบเหนื่อยเนื่องจากอาการเจ็บป่วยที่ได้รับ เด็กชายเดินเข้าไปพิศดูดวงหน้าด้วยแววตาเศร้าสร้อย ชายตรงหน้าเหลือเวลาอีกเพียง 2 เดือนในการตักตวงความสุข แล้วใครกันที่มาหาท่านยามวิกาล เพื่อรบกวนการพักผ่อนของท่านตอนนี้ ทำไมกันคนดีถึงจากไปก่อนคนเลวทุกครั้งไป เด็กชายคิดอย่างเจ็บปวด น้ำใสๆไหลออกจากดวงตาอย่างห้ามไม่อยู่ เขาไม่ต้องการให้ท่านเห็นว่าเขาร้องไห้ มันจะทำให้ท่านไม่สบายใจ เขาสัญญากับตัวเองว่าช่วงเวลาที่แสนสั้นที่เหลือเขาจะทำให้ท่านมีความสุขที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทันใดนั้นบานประตูที่น่าจะล็อคอยู่เปิดผางออกอย่างแรง เผยให้เห็นชายในเครื่องแบบทหารชุดดำปรากฏขึ้นตรงประตู พูดด้วยเสียงดังสนั่นว่า
อดัมคุณต้องกลับไปกับเรา เราไม่ต้องการทำร้ายคุณ โปรดกลับไปแต่โดยดี เราตามหาพวกคุณมาถึง 9 ปีในที่สุดก็พบจนได้ คุณเสพสุขกับอิสระที่มีเพียงพอแล้ว คุณต้องกลับไปท่านผู้นั้นโกรธมากที่คุณพังฐานทัพออกมา หากคุณกลับไปท่านจะยอมยกโทษให้คุณชายคนนั้นกล่าวด้วยคำพูดสุภาพ หากแต่แต่ละถ้อยคำแฝงด้วยน้ำเสียงแห่งการข่มขู่
เด็กชายผงะถอยหลังด้วยอาการตกใจ คนของสถานที่แห่งความทรงจำที่เลวร้ายนั่น ทำไมยังตามมาลังควานทั้งๆที่เวลาล่วงเลยมาแล้ว 9 ปี เขาไม่ต้องการกลับไปที่นั่น คุณพ่อกำลังป่วยเขาต้องอยู่ดูแล เด็กชายจึงกล่าวออกไอด้วยเสียงที่สั่นเครือว่า
ไม่!!! ผมชื่อ แองเจอริก้า แมททิวสัน พวกคุณเป็นใครไปให้พ้นนะ คุณกำลังบุกลุกที่ส่วนบุคคลรู้ไว้ด้วย ออกไปไม่งั้นผมแจ้งความแน่เด็กชายพูดอย่างกลบเกลื่อนแกล้งทำเป็นว่าไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ราวกับว่าพวกกลุ่มคนชุดดำจะยอมเดินจากไปโดยดีหากเขาทำเช่นนั้น ชายร่างใหญ่ย่างสามขุมตรงมาหาเขาและพยายามลากเขาไปขึ้นรถทหารตรงด้านหน้าตัวบ้าน และปากกล่าขึ้นด้วยถ้อยคำที่กรีดแทงเขาเป็นที่สุดว่า
คุณคิดว่าจะหลอกตัวเองไปถึงเมื่อไหร่ คุณคือ อดัมนัมเบอร์วัน มนุษย์ทดลองที่ถูกขายมาให้แก่ท่านผู้นั้นเมื่อคุณแรกเกิด ชีวิตที่เหลืออยู่ทั้งหมดของคุณเป็นของท่านผู้นั้นจำไว้แล้วชายร่างใหญ่ตรงหน้าก็ลากเขาออกมาถึงชาญประตูบ้าน
ทันใดนั้นชายชราผู้อ่อนแรงพยายามเข้ามาช่วยเขา แต่ก็ถูกปัดกระแทกกับตัวบ้านอย่างจัง เลือดไหลเป็นทางติดฝาผนังเป็นทาง ด้วยความช็อคเด็กชายปล่อยกระแสไฟฟ้าสถิตที่อยู่ในส่วนลึกออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ชายร่างใหญ่โดนดีไปชนผนังอย่างแรง เลือดไหลเป็นทางจากศรีษะด้านหนึ่ง เด็กชายที่หลุดจากการเกาะกุม รีบพุ่งไปหาร่างไร้สติของชายชรา ร่างๆนั้นลมหายใจอ่อนลงเลื่อยๆ คำพูดที่หลุดรอดจากริมฝีกเผือดซีดด้วยเสียงที่สั่นเครือและขาดห้วงว่า
ระ.ระ.ราส..ไรท์แล้วชายชราก็จากไปตลอดการ ชายร่างบึกก้าวเข้ามาหาเขาอีกครั้งด้วยอาการโซซัดโซเซ และพยายามจะคว้าเขาไว้อีกครั้ง ความเศร้าและความกลัวถาโถมเข้าสู่เด็กชาย กระแสไฟฟ้าภายในบังกะโลถูกเขาดูมารวมกันรอบตัวเขา ราวกับว่าเขาเป็นแม่เหล็กดึงดูดกระแสไฟฟ้า น้ำตาที่ไหลอาบแก้มเป็นทางยาวอย่างไม่อัดอั้น ดวงตาสีฟ้าแปลเปลี่ยนเป็นสีม่วงขลับอีกครั้ง แรงแห่งความอาฆาตแค้นอัดแน่นอยู่ในอก เขาคิดเพียงว่าต้องฆ่าชายชุดดำตรงหน้าให้ตายอย่างทรมาน ปวกที่สั่นระริกของเขาเอ่ยด้วยเสียงที่สั่นเครือว่า
กะแก..ตาย ซะ เหอะ!!!เขาตะเบ็งเสียงพูด กระแสไฟหลายร้าลโวลด์พุ่งตรงใส่ร่างชายตรงหน้าและเกิดเสียงระเบิดรวมกับเสียงเนื้อแตกกระจายดังสนั่น
บึ้ม!!!! ..แผละ เลือดสีแดงฉานและเศษเนื้อ ที่แตกกระจายเปรอะไปทั่วพื้นที่ รวมถึงร่างของเด็กหนุ่มที่โชกเลือด กลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่งบังกะโล น้ำตาที่ไหลเป็นสายค่อยๆเป็นหนึ่งเดียวกับเลือดที่เปรอะเปื้อนทั่วใบหน้า ไม่มีเหลือแม้แต่เศษซากของกระดูก
ร่างของชายชราที่ถูกระเบิดไปพร้อมกับทหารชุดดำ เด็กหนุ่มใช้มือสัทผัาเศษเลือดตรงหน้าที่เคยเป็นที่ๆศพของชายชรานอนราบอยู่ พลางปล่อยเสียงร้องไห้อย่างไม่อดกลั้น กะแสไฟในบังกะโลดับวูบลง เนื่องจาไฟฟ้าที่มีอยู่ถูกใช้เกินกำลัง เปรียบเหมือนชีวิตที่ไร้แสงตะเกียงส่องทางของเด็กหนุ่มที่มอดดับลงภายในช่วงเวลาชั่วข้ามคืน หมดสิ้นแล้วไม่เหลือความอยากมีชีวิตอยู่อีกแล้ว ทำไม! ทำไม~~ เรื่องพวกนี้ต้องมาเกิดขึ้นคืนนี้ ทั้งๆที่คุณพ่อเองเหลือเวลาอีกเพียงสองเดือน เขาสัญญากับตัวเองว่าสักวันกับเจ้าคนที่ไอ้ทหารทรามคนนี้เรียกว่าท่านผู้นั้นให้ดับอนาถเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดภายในโลก เด็กชายยังคงจ้องมองกองเลือดตรงหน้าด้วยดวงตาที่ชุ่มน้ำ แสงจันท์ภายนอกสะท้อนสีเลือดให้แลดูอัญมณี ธารน้ำสุดท้ายในความทรงจำของเขาทุกครั้งเหตุใดจึงต้องเป็นสีแดงฉาน
เด็กชายหวนคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา ดวงตาสีฟ้าเต็มไปด้วยม่านน้ำตาอีกครั้ง ในใจเฝ้าคิดว่า
ลาก่อนครับคุณพ่อของผมเด็กหนุ่มจ้องมองม่านหมอกด้วยใบหน้าที่เจื่องนองด้วยน้ำตา
29 กันยายน 2547 15:04 น.
Evil_Dark
บทนำ
ต้นขั้วแห่งเผ่าพันธ์
เบื้องหน้าท้องฟ้าถูกโรยรายด้วยแสงดาว เสียงท่วงทำนองแห่งความเศร้าดังกังวาล เด็กหนุ่มสัมผัสปลายนิ้วลงบนคันไวโอลินด้วยมืออันสั่นเทา ลมเย็นพัดเสียดผิวกายหากแต่ภายในของเขาร้อนลุ่มราวถูกไฟสุม เม็ดเหงื่ออุ่นผุดขึ้นบริเวณไรผม เขาปลดปล่อยอารมณ์แห่งท่วงทำนอง ไหลผ่านปลายนิ้วที่สัมผัสเส้นสายแห่งความรู้สึก เสียงดนตรีที่เจ็บปวดดังกังวาลไปทั่ว
โดยมีแสงดาวเป็นพยานรับรู้ความรู้สึกของผู้บรรเลง เสียงดนตรีที่สั่นไหวค่อยๆทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงทำนองดังกังวาลราวกับสามารถหยุดการเคลื่อนไหวของโลก แสงดาวชะงักการแข่งขันทอแสง ไม่มีแม้แต่เสียงลมที่กรีดแทงผิวเมื่อครู่อีกแล้ว สมองโล่งและว่างเปล่ามีเพียงเสียงไวโอลินที่ดังก้องอยู่ในโสตประสาท ที่ค่อยๆลดระดับเสียงลงราวเสียงลมพัดผ่านใบหูและหยุดลง
เด็กหนุ่มทรุดลงนั่ง ณ เก้าอี้ข้างกายด้วยอาการหอบเหนื่อย บัดนี้ร่างกายที่โรมไปด้วยเหงื่อสามารถสัมผัสได้ถึงลมเย็นที่กรีดแทงอีกครั้ง เม็ดเหงื่อเย็นเยียบราวกับร่างของเขาถูกราดด้วยน้ำเย็น เด็กหนุ่มยันตัวลุกขึ้นโดยกำคันไวโอลินไว้ในมือ เดินกลับเข้ามาในห้องนอนที่สัมผัสได้ถึงกระแสความอุ่นโดยเฉียบพลัน ภายในมีเสียงไม้แตกโดยเปลวเพลิงที่โชติช่วงในเตาผิง เขาค่อยๆวางไวโอลีนสีดำสนิทลงในกระเป๋าหนังบนเตียงผ้านวมอย่างเบามือ พื้นไม้ขัดเป็นเงาสะท้อนให้เห็นโคมไฟที่ห้อยระย้าบนเพดาน อย่างสวยงามราวดอกไม้สีขาวดอกโต เด็กหนุ่มเดินตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าไม่โอ๊ก ที่มีเชิ้ตสีโทนสีอ่อนแขวนอย่างเป็นระเบียบ ด้านข้างมีผ้าขนหนูสีขาวนวลพับวางอยู่ เขาหยิบผ้าขนหนูที่อ่อนนุ่มขึ้นมาผืนนึง เป็นช่วงเดียวกับที่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เขาละจากตู้เสื้อผ้าเพื่อไปเปิดประตู เบื้องหน้าเผยให้เห็นหญิงสาวในชุดกระโปรงจีบขาวเสื้อรัดรูปสีฟ้าอ่อน เธอยิ้มอย่างเป็นมิตรด้วยนัยน์ตาแดงกร่ำในมือมีแก้วนม เมื่อเขาเปิดประตูเธอกอดเขาอย่างรักใคร่ และพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า
เทอร์นี่ เสียงไวโอลินเพราะมากจนแม่น้ำตาไหลเลยล่ะ แม่คิดว่าลูกน่าจะอยากได้นมอุ่นๆสักแก้วหลังจากสีไวโอลินเสร็จจบคำ เธอยื่นแก้วนมในมือให้เด็กหนุ่มที่ยืนอมยิ้มน้อยๆ และจ้องหน้าเธออย่างไม่วางตาจนทำให้เธอรู้สึกแปลกๆเมื่อถูกจ้องมองด้วยดวงตาสีเทาหม่น ที่ราวกับดูดกลืนเธอลงไปในนั้น เธอจ้องมองดวงตาที่สงบนิ่งนั้นราวมนต์สะกด และเสียงของเด็กหนุ่มก็ปลุกเธอตื่นจากภวังค์
เอ่อ..คุณแม่ครับ ผมว่าคุณแม่ควรเข้าไปล้างหน้านะครับเขาพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือที่เจือด้วยเสียงหัวเราะ มือข้างหนึ่งปกปิดริมฝีปากที่พยายามสะกดกลั้นเสียงหัวเราะอย่างเต็มกำลัง เมื่อเด็กหนุ่มพบว่าคุณแม่ของตนร้องไห้จนเครื่องสำอางด่างและไหลเป็นทางยาวเพราะน้ำตา
ดูเหมือนเมื่อเขาพูดเช่นนั้นเธอยังคงงงว่าเขาต้องการพูดอะไรกันแน่ เขาจึงพาท่านเข้ามาในห้องและตรงไปยังกระจกภายในตู้เสื้อผ้า เมื่อไหร่กันนะที่รู้สึกว่ามือท่านนั้นเล็กมากจนเขากลัวว่าจะหักถ้าเขาสัมผัสมันแรงเกินไป
ทั้งสองหยุดลงหน้ากระจกภายในตู้เสื้อผ้า ท่านมองเข้าไปในกระจกอย่างุนงง ท่าทางไม่เชื่อสายตาตัวเองว่า อายน์ชาโดว์ที่ปัดไว้บางๆจะไหลลงมาจากดวงตาและติดกลังไปตามแก้มที่มีคราบน้ำตา เธอรีบยกมือทั้งสองปกปิดมันอย่างมิดชิด แต่เด็กหนุ่มกลับเห็นใบหูสีขาวนวลของท่านกลายเป็นสีแดงเรื่อ และพรวดจากกระจกตรงไปยังห้องน้ำอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มอมยิ้มอย่างเอ็นดูคุณแม่ที่น่ารักของเขา หากเขาจะแต่งงานกับใครสักคน ผู้ที่จะอยู่เคียงข้างเขาตลอดไป จะต้องเป็นผู้หญิงที่น่ารักเหมือนผู้เป็นแม่ของเขาสักครึ่งนึง เขาไม่หวังจะเจอคนที่เหมือนผู้หญิงอันเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเขา เพราะท่านดีที่สุดในสายตาของเขา และไม่มีใครที่จะสามารถแทนที่ของท่านได้
หลังจากนั้นเด็กหนุ่มทรุดนั่งลงบนเตียง และปล่อยความคิดไหลวนอยู่ในหัวสักพัก เขาเอื้อมมือไปหยิบไวโอลินในกระเป๋าหนังข้างกายอีกครั้ง และเริ่มต้นบรรเลงท่วงทำนองที่อ่อนโยน อย่างสงบนิ่งโดยขาข้างหนึ่งไขว้อยู่ข้างเตียง เสียงลมหนาวที่หวีดหวิวอยู่ภายนอก รวมเป็นหนึ่งเดียวกับเสียงไวโอลิน ปลายนิ้วที่ชุ่มเหงื่อค่อยๆสัมผัสลงบนคันไวโอลินอย่างนิ่มนวล ครั้งนี้ท่วงทำนองไม่ได้เต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่สามารถหยุดการเคลื่อนไหวรอบกาย หากแต่เป็นท่วงทำนองที่ราวกับโอบอุ้ม ให้บรรยากาศรอบกายอบอุ่นและอ่อนโยน ค่อยๆผ่านไปอย่างมีความสุข ภาพความทรงจำที่แสนดีค่อยๆไหลเข้ามาในหัวทีละฉาก เสียงท่วงทำนองราวกับกระแสน้ำอุ่นที่แตะต้องผิวกาย กระแสเสียงค่อยๆลดระดับและหยุดไปในที่สุด เด็กหนุ่มใช้ผ้าขนหนูสีขาวนวลซับเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มใบหน้า และเงยหน้าขึ้นด้วยอารมณ์ที่สดใสและอ่อนแรง จึงพบว่าผู้เป็นแม่จ้องมองเขานิ่งงันด้วยสายตาเป็นประกาย มือทั่งสองประคบกันอยู่ที่อก และพูดด้วยน้ำเสียงเปล่งๆด้วยความตื้นตันว่า
ว้าว!!! เพราะจังเทอร์นี่ที่น่ารักเด็กหนุ่มทำหน้าผงะ เมื่อถูกชมด้วยถ้อยคำที่ฟังราวกับเด็กน้อย ผู้เป็นแม่ไม่จบเท่านั้น และพูดต่อด้วยนำเสียงที่เริงร่าผิดปกติว่า
เอาอีกสักเพลงสิลูก เอาทำนองที่อบอุ่นคล้ายๆเมื่อกี๊ เอาเพลงสรรเสริญพระเจ้าที่ลูกสีในโบสถ์ทุกวันอาทิตย์น่ะ น่านะแม่อยากฟังเธอพูดด้วยเสียงที่อ้อนราวกับเด็กๆ เด็กหนุ่มทำหน้าไม่ถูกได้แต่พยักหน้าหงึกๆอย่างงุนงง
ขณะที่เขาตั้งท่าจะสีไวโอลินต่อประตูห้องเปิดผางออกโดยไม่มีการเคาะก่อน เผยให้เห็นร่างชายวัยกลางคนใบหน้าและจมูกแหลม ดวงหน้าที่ไม่ได้รูป สามารถเข้ากับดวงตาที่อาฆาตมาดร้ายได้ลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ ใบหน้านั้นแดงกร่ำและพูดด้วยเสียงที่ดังก้องกัมปนาทว่า
แกเลิกเล่นทำนองสั่วๆอย่างนั้นเสียที คนจะหลับจะนอน เจ้าเด็กไร้สำนึก ฉันต้องบอกกับแก่อีกกี่ครั้งว่า แกไม่มีสิทธิส่งเสียงดังในคฤหาสน์นี้ เจ้าแกะดำชายร่างเตี้ยตะโกนก้องด้วยท่าทางราวนักเลงข้างถนน และพูดจาด้วยถ้อยคำหยาบคายจนคนทั้งสอง ที่อยู่ในห้องไม่สามารถเก็บอาการที่รังเกียจคำพูดเหล่านั้นได้เลย
เด็กหนุ่มนั่งเฉยโดยทำเป็นไม่สนใจโดยค่อยๆตรวจดูสายไวโอลินในมืออย่างพินิจ ขณะที่ผู้เป็นแม่เองก็เดินไปยังตู้เสื้อผ้าเพื่อจัดเก็บมันให้เป็นระเบียบทั้งๆที่มันเรียบร้อยอยู่แล้ว แต่เธอต้องการหาอะไรทำ เพื่อจะได้ไม้ต้องสนใจชายร่างเตี้ยตรงประตู ชายผู้หยาบกร้านเมื่อพบว่าคำพูดของตนไม่ได้รับความสนใจจากเด็กหนุ่มที่เขาหมายจะทำให้เจ็บปวดด้วยคำพูดทิ่มแทง จึงเบนเข็มไปที่เหยื่อที่น่าสงสารอีกคนซึ่งอยู่ภายในห้อง ด้วยเสียงที่เหยียดหยามขึ้นกว่าเดิม
แต่นายมันยังดีกว่าผู้หญิงที่แสร้งทำตัวเป็นผู้ดี แต่แท้จริงแล้วกลับตาต่ำไปท้องไม่มีพ่อและซมซานกลับมาเพื่อขอพึ่งใบบุญของตระกูลอาเทรนเบริกส์ หลังจบประโยคหญิงผู้เป็นแม่ใบหน้าซีดเผือดน้ำตาเริ่มเอ่อ แต่ฝ่ายลูกชายของเธอยังไม่ทันที่จะจบประโยคดีเขาทะลึ่งพรวดขึ้นจากเตียง และเข้าไปคว้าคอเสื้อของชายหน้าประตูไว้ ตอนนี้เขาตัวสูงพอที่จะยกชายร่างเล็กลอยขึ้นเหนือพื้น ตามด้วยเสียงสั่นเครือแฝงความตื่นตกใจของผู้ถูกรุก
กะแก ไม่กล้าทำอะไรฉันหรอก ไม่อย่างนั้นแกจะถูกตะเพิดออกจากตระกูลอาเทรนเบริกส์ และฉันจะโยนแกเข้าสถาบันดัดนิสัย ชายผู้ถูกยกให้ลอยขึ้นจากพื้นเล็กน้อยพยายามดิ้นรนเพื่อหลุดจากการเกาะกุม แล้วเสียงแหลมเล็กที่สั่นเครือก็เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่ซีดเผือดเจื่องนองด้วยน้ำตาว่า
หยุดพูดเสียที แคร็กสันเทอร์นี่ลูกชายของเธอเริ่มมีแววตาที่เธอไม่อยากเห็นอีกเป็นครั้งที่สอง นั่นเป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่า เด็กหนุ่มตรงหน้าพร้อมทุกเมื่อที่จะฆ่า บุคคลที่ห้อยอยู่ให้ตายคามือด้วยฤทธิ์โทสะ เธอรีบตะโกนห้ามโดยฉับพลัน
หยุดนะ!!เทอร์นี่อย่าทำอะไรเขา ปล่อยเขาลงซะเด็กหนุ่มคลายการเกาะกุมอย่างไม่เต็มใจนัก ชายล่างเล็กถอนหายใจอย่างโล่งอกและทำท่าจะพูดอะไรต่อ แต่ต้องหยุดไปเมื่อพบว่า ดวงตาสีเทาหม่นที่แปลเปลี่ยนเป็นสีหยดเลือดโดยเฉียบพลัน นั้นจ้องมองราวกับสะกดให้ขนลุกชัน
แคร็กสันสามารถสัมผัสได้ถึงกระแสบางอย่างที่ตรงมาสู่ร่างกายอย่างรุนแรง ภายในห้องที่อบอุ่น ชายร่างเล็กกลับสัมผัสได้ถึงกระแสความเย็นที่เข้าครอบคลุมร่างกายโดยเฉียบพลัน ร่างกายสั่นสะท้านตามด้วยความปวดหัวอย่างแรงกล้า เส้นเลือดภายในสมองเต้นตุบๆ เขาทรุดลงไปทุรนทุรายบนพื้นขณะที่เด็กหนุ่มจ้องมองเขาอย่างไม่วางตา ดวงตาที่เคยเป็นสีเทาหม่นสงบนิง บัดนี้แปลเปลี่ยนเป็นแววตาที่อาบด้วยสีโลหิต ในใจเฝ้าคิดว่าหากสามารถทำให้ชายตรงหน้าทรมานได้คงดีไม่น้อย
ฝ่ายแคร็กสัน ภายในกายสัมผัสได้ถึง เสียงๆหนึ่งก้องอยู่ในโสตประสาท เสียงเต้นตุบๆราวเสียงกลอง เสียงกรีดร้องที่ดังมาจากที่ไกลๆ สัมผัสสายตาเริ่มพล่าเรือน ความเจ็บปวดราวกับหัวจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ จู่ๆทุกอย่างดูผ่อนคลายขึ้น เขานอนหอบหายใจและโอดครวญด้วยความเจ็บปวด สมองยังคงปวดตุบๆ เจ้าเด็กนั่นมันทำอะไรเขา เสียงที่ได้ยินขณะที่สมองยังพร่าเลือนดังอย่างแผ่วเบาอยู่ในหัว
หยุดนะ!!!! ไม่นะ เทอร์นี่เดี๋ยวเขาตายพอดี ผู้เป็นแม่เข้ามาห้ามขณะที่เขาจ้องมองชายร่างเล็กดิ้นทุรนรายด้วยสายตาที่สงบนิ่ง ซึ่งเปลี่ยนจากสีเทาหม่นเป็นสีแดงฉานราวหยดเลือด เขาไม่สามารถรับรู้ว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ รู้เพียงว่าเขาต้องทำให้ชายตรงหน้าทรมานให้สาสมกับคำพูดที่เขาได้พ่นออกมาเมื่อครู่ ภายในหัวเต็มไปด้วยความเคียดแค้น และการฆ่าฟัน
ผู้เป็นแม่ตบหน้าลูกชายด้วยน้ำตานองหน้า ในใจไหวหวั่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างแรงกล้า สมองราวถูกหยุดด้วยคำถามว่า ลูกชายของเธอเป็นอะไรไป ร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อที่เย็นเยียบ แล้วก่อนจะรู้ตัวเธอทรุดลงนั่งกับพื้น ปล่อยให้ตัวเองละบายความรู้สึกต่างๆผ่านทางดวงตาที่ชุ่มน้ำ
ฝ่ายลูกชายที่ยังคงถูกความโกรธเข้าครอบงำ แต่แล้วความเจ็บปวดบริเวณแก้มเรียกสติของเขากลับมาอีกครั้ง เขามองชายตรงหน้าที่หอบหายใจด้วยความงุนงง และจ้องมองใบหน้าเปื้อนน้ำตาของผู้เป็นแม่อย่างตั้งคำถาม หญิงสาวตรงหน้าทรุดนั่งลงกับพื้นมือทั้งสองปกปิด ใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตาไว้มิดชิด และร้องไห้อย่างอดกลั้นอยู่ตรงหน้าเขา ชายร่างเล็กมองเขาด้วยดวงตาสั่นระริกด้วยความตื่นกลัว แว่นที่เคยสวมอยู่บัดนี้แตกกระจายอยู่บนพื้น คนในคฤหาสน์มารวมกันที่หน้าประตูจ้องมองคนทั้งสามภายในห้องอย่างงุนงง
เด็กหนุ่มผงะถอยหลังสองสามก้าวและสะดุดขาตัวเองล้มอย่างสับสน
อะไรกัน ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ คำเหล่านี้ดังก้องอยู่ในหัว เขาส่ายหัวอย่างแรงปฏิเสธความจริงที่อยู่ตรงหน้าถึงแม้ตนจะสามารถจำเหตุการณ์ได้ลางๆก็ตามที เด็กหนุ่มยกมือมือทั้งสองกุมไว้ที่ขมับสองด้านอย่างงงงวย แล้วเสียงฟังดูมีอำนาจก็ทำให้เขาสะดุ้งตื้นจากความสับสนของตัวเอง
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ใครที่สามารถบอกฉันได้บ้างห๊ะ!!ชายชราผู้ดุดันตะคอกถามด้วยแรงโทสะ แคร็กสันชายผู้หยาบกร้านไม่เหลือความทะนงและรอยยิ้มหยันไว้บนใบหน้าที่ไม่ได้รูปอีกแล้ว มันเหลือเพียงร่องรอยแห่งความตื่นกลัว ความเจ็บปวดทำให้ชายคนนี้ดูน่าสมเพช และอนาถใจ เขากองอยู่กับพื้นที่รายรอบด้วยของเสียที่ตนขับออกมา และส่งกลิ่นหืนตลบไปทั่วห้อง ใบหน้าที่บิดเบี้ยวมากกว่าเดิมด้วยความตหนกเต็มไปด้วยคราบน้ำลายและน้ำตา ปากที่แบะไปด้านข้างเฝ้าพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ ภายในห้องครอบคลุมด้วยความเงียบโดยฉับพลัน มีเพียงเสียงพึมพำของแคร็กสัน สลับกับเสียงหวีดหวิวของลมที่พัดกระหน่ำจากภายนอกเป็นระยะ
เด็กหนุ่มนั่งจมกับความสับสนอยู่พักใหญ่ ในหัวที่มีแต่ความคิดกระหน่ำซ้ำเติมตนให้สับสนยิ่งขึ้น เขาที่เคยตัดสินทุกอย่างด้วยความเยือกเย็นหายไปสิ้น แล้วจู่ๆความคิดนึงก็แล่นเข้ามาในหัว เขากระพริบตาครั้งนึงก่อนที่ค่อยๆรวมกำลังยันตัวลุกขึ้น พูดด้วยเสียงที่พยายามทำให้รื่นเริงว่า
สมควรแล้วโทษที่หมอนี่ควรได้รับแล้วเขาก็เค้นเสียงหัวเราะที่สั่นเครือดังก้องทั่วห้อง ทำให้คนที่จ้องมองอยู่มีใบหน้าซีดเผือดลงทันที คนเหล่านี้คงลงความเห็นว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเสียสติไปแล้ว ทั้งหมดพากันผงะถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว เทอร์นี่สามารถสัมผัสได้ถึงความคิดของคนเหล่านี้ก้องอยู่ในหัว ปกติแล้วเขาจะสามารถรับรู้ความคิดของคนอื่นก็ต่อเมื่อเขาสัมผัสกายเท่านั้น แต่ในตอนนี้ความคิดของคนพวกนั้นโหมกระหน่ำราวพายุภายนอกเข้าสู่มโนสัมนึก ขมับทั้งสองแปลบปลาบ แต่เขายังคงฝืนยิ้มด้วยใบหน้าที่ไร้สีเลือด ทำให้มันเหมือนพยายามแยกเขี้ยวมากว่ายิ้ม และพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือด้วยความปวดขมับอย่างรุนแรงว่า
ผมว่าพวกคุณน่าจะออกห่างจากผมซะ ไม่งั้นคุณจะไม่มีโอกาสได้เห็นตัวเองอยู่ในสภาพปกติอีกเลย ตอนนี้ผมกำลังสนุกหากคุณต้องการร่วมแจมด้วยก็เข้ามา ผมต้องการอยู่เชียวพูดจบประโยคเขาเค้นเสียงหัวเราะอีกครั้ง ใบหน้าได้รูปบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด เม็ดเหงื่อเย็นเยียบผุดขึ้นทั่วใบหน้า ในใจภาวนาว่าให้คนพวกนี้เตลิดออกไปนอกห้อง ไปแจ้งตำรวจหรือทำอะไรสักอย่างก็ได้ ช่วงนั้นเขาจะหนีไปจากจุดที่เป็นอยู่นี่ แล้วเขาก็พูดด้วยเสียงที่ฟังดูคล้ายหอบหายใจขึ้นอีกว่า
พาพวกเขาออกไปด้วย ผมทนเห็นสภาพน่าสมเพชของหมอนี่ไม่ไหว มันทำให้ผมเกิดอยากทรมานมันให้รุนแรงขึ้นกว่าเดิม อ้อ--แล้วก็เอาหล่อนออกไปด้วยคุณคงไม่อยากจะสูญเสียมากกว่านี้ใช่ไหม ถึงเธอจะไม่ใช่ลูกสาวที่ดี แต่เธอก็เป็นลูกสาวที่น่ารักของคุณ เด็กหนุ่มที่พยายามยันตัวลุกขึ้นถึงแม้จะยืนขึ้นได้ แต่ก็ต้องใช้มือข้างนึงยันเข่าตัวเองไว้ไม่ให้ล้มลง ขณะที่เหลือเพียงชายชราที่อยู่ในห้องโดยไม่ขยับไปไหน ส่วนผู้คนที่เหลือพากันถอยหลังจนชนกับชาญบรรไดนอกห้องด้วยความตื่นกลัว เด็กหนุ่มกัดฟันพูดและชี้ไปยังคนทั้งสองที่ทรุดอยู่ที่พื้น หญิงผู้เป็นแม่จ้องมองเขาด้วยน้ำตานองหน้า และพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า
ไม่นะ!!! ม่าย----เธอพูดและกรีดร้องเมื่อเธอถูกชายชราพยุงกึ่งลากออกไปนอกห้อง เขารับรู้ถึงความคิดผู้เป็นแม่ก้องอยู่ในหัวอย่างชัดเจนว่า
ไม่ฉันไม่ไป ไม่นะฉันต้องอยู่กับลูก ลูกต้องการฉันเสียงที่ก้องอยู่ในหัวทำให้รู้สึกหวั่นไหว แล้วความคิดที่เสียดแทงก็ประทังตามเข้ามา ฉันไม่ควรให้เขาเกิดมา หากฉันไม่ทุกอย่างคงไม่เกิดขึ้นกระแสความคิดของท่านไหลเข้ามาในหัวเขาอย่างไม่ขาดสาย
เด็กหนุ่มพยายามพยุงตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เขาต้องรีบจัดการทุกอย่างให้เสร็จ เขาตรงไปยังไวโอลินที่วางอยู่บนเตียงอย่างประณีต พร้อมทรุดนั่งลงและพลิกการด์วันเกิดลายการ์ตูนที่เก็บรักษาอย่างดีออกอ่าน มันมีตัวอักษรโยกโย้ตัวสีน้ำเงินเขียนว่า
สุขสันต์วันเกิดจ้า
นี่เป็นของขวัญชิ้นแรกที่แม่นำเงินที่ได้จากการเขียนหนังสือมอบให้แก่ลูก
ถึงแม้มันไม่ได้ราคาแพงเท่าไวโอลินมียี่ห้อที่ตั้งอยู่ในบ้าน แต่มันเป็นเงินที่แม่หาได้ด้วยตัวเอง
เมื่อลูกสามารถอ่านหนังสือได้ แม่จะมอบการด์นี้ให้แก่ลูก แม่หวังอย่างยิ่งว่า
ลูกจะสามารนำสิ่งนี้สร้างความสุขให้แก่คนรอบข้าง
ปล.จากแม่ผู้ไม่เอาไหน (ที่รักลูกยิ่งสิ่งอื่นใด)
ของขวัญชิ้นแรกที่ท่านให้เขา ท่านสอนเขาให้รู้ว่าการสร้างเสียงแห่งความสุขเป็นอย่างไร ภาพท่านที่สอนเขาเล่นไวโอลินเครื่องนี้แล่นเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ มันเป็นความทรงจำที่มีความสุข เสียงหัวเราะและเสียงไวโอลินที่ดังเอี๊ยดอ๊าดไม่เป็นเพลง เมื่อยามเด็กยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำ
เขาก้าวไปหามันและยกมันขึ้นมาสีด้วยมืออันสั่นเทา โดยร่างพิงพนักเตียงไว้ขาข้างหนึ่งไขว้อย่างอ่อนแรงอยู่ข้างเตียง แม้ร่างกายอ่อนแรงจนยากแม้จะพยุงตนให้ยืนขึ้น แต่เขายังคงรวบรวมแรงที่เหลืออยู่ ค่อยๆถักทอเสียงทำนองสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าที่ได้สัญญาไว้กับผู้เป็นแม่ก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้น ด้วยเสียงดนตรีที่อบอุ่นและเจ็บปวดปกคลุมทั่วห้อง
ภาพเหตุการณ์ต่างๆที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับท่านไหลวนอยู่ในหัว หยาดน้ำตาไหลลงบนไวโอลินสีดำสนิทสะท้อนแสงโคมระย้าอย่างสวยงาม ดนตรียังคงบรรเลงต่อไปอย่างไม่จบสิ้น ภายนอกห้องหญิงผู้เป็นแม่ทรุดลงหน้าประตูและปล่อยให้น้ำตาไหลเป็นทางอย่างไม่สนใจที่จะเช็ดมัน เธอพยายามขืนตัวให้หลุดจากการฉุดรั้งของผู้เป็นพ่อ เพื่อไปยังประตูที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่กลับไม่สามารถเอื้อมมือไปเปิดมันได้
เธอปล่อยเสียงร้องไห้อย่างไม่แคร์สิ่งใด แม้แต่คนอื่นภายนอกห้องยังรับรู้ได้ถึงท่วงทำนองที่แสนอบอุ่นและเจ็บปวดนี้ หยาดน้ำใสๆไหลลงจากดวงตาของคนเหล่านั้น เสียงดนตรีค่อยๆผ่อนเสียงและหยุดลงเหลือเพียงเสียงพายุที่กระแทกบานกระจกโครมคราม และเสียงกรีดของลมที่ดังหวีดหวิว หญิงผู้เป็นแม่ได้รับรู้ว่าท่วงทำนองนี้มอบให้แด่เธอเป็นครั้งสุดท้าย ลูกชายที่น่ารักของเธอได้จากไปแล้ว ภายในห้องร่างของเด็กหนุ่มนิ่งมิไหวติง ในมือยังคงกำคันไวโอลินไว้ไม่ปล่อย ดวงตาพริ้มหลับแต่ที่แปลกไปคือไวโอลินที่ถืออยู่กลายเป็นสีแดงฉานเพราะกระแสโลหิตสีแดงสด ไหลจากปากแผลที่ข้อมือซึ่งกำไวโอลินอยู่ราวธารน้ำสีเลือดไหลลงตากหน้าผายามราตรี เด็กหนุ่มได้จากไปแล้วด้วยความสงบนิ่ง จากไปโดยไม่มีวันกลับ ก่อนสติที่เลือนลางของเขาดับมอดลง ความคิดสุดท้ายที่เหลืออยู่คือ
ผมขอโทษครับคุณแม่ที่รักของผม เสียงพายุภายนอกกรีดร้องราวกับพยายามไว้อาลัยแด่เด็กหนุ่มที่บัดนี้เขาจากไปพร้อมความทรงจำแห่งท่วงทำนองเป็นครั้งสุดท้าย ในวันพรุ่งนี้หญิงผู้เป็นแม่จะได้เห็นร่างไร้วิญญาณที่หลับตาพริ้ม ราวนอนหลับของลูกชายของเธอ ข้างกายมีบัตรอวยพรวันเกิดครบรอบอายุ 3 ขวบของเขาตั้งอยู่ เขาจากไปพร้อมความทรงจำที่มีความสุขของเขาและเธอ เด็กหนุ่มที่อ่อนเยาว์จบชีวิตลงด้วยวัยเพียง 16 ปี แต่ถือเป็นการจบที่ดีที่สุดสำหรับเขา เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทางเดียวคือหายไปจากโลกนี้ซะ หารู้ไม่ตัวตนในส่วนลึกกำลังถูกปลุกให้ตื่นขึ้น สายโลหิตที่ไหลเป็นธาร เรืองแสงเป็นประกายเมื่อต้องแสงจันทร์ราวอัญมณีสีแดงสด
ใบหน้าที่เผือดซีดบนเตียงแสยะยิ้มอย่างน่ากลัว ดวงตาที่หลับพริ้มเบิกกว้างภายในถูกฉาบทาด้วยโลหิต ใบหน้าคมได้รูปที่แสยะยิ้มหากแต่ไร้เสียงการเต้นของหัวใจ เขาปล่อยมือจากไวโอลินที่รักและหวงแหนอย่างไม่ใยดี ยกมือที่อาบไปด้วยเลือดขึ้นมาจรดปาก และเริ่มเลียปากแผลด้วยใบหน้าชวนสยองนั้น ปากที่มีหยาดเลือดสีแดงฉานนั้นพึมพำด้วยเสียงทุ้มต่ำและแหบแห้ง ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเต็มไปด้วยความปีติว่า
มันเป็นจุดเริ่มต้นต่างหากเจ้าเด็กโง่ สายเลือดของข้าผู้เป็นต้นขั้วแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ แล้วเขาก็เปล่งเสียงหัวเราะที่แหลมสูงกลืนหายไปกับเสียงกรีดร้องของพายุ
หากอยากอ่านเพิ่มไปที่นี่ได้นะ ลงความเห็นไว้ด้วยจะดีใจมากๆเลย ^o^ บายๆ
http://www.dek-d.com/entertain/view.php?id=21739