17 กุมภาพันธ์ 2547 19:31 น.
ET มนุษย์ต่างดาว
แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาในเต้นท์ที่เย็นยะเยือกเพราะพิษน้ำค้างเมื่อคืน ทำให้ผมมีอาการเจ็บคอขึ้นมาบ้างแล้ว ผมลุกขึ้นนั่ง บิดขี้เกียจไปสองสามทีพอเป็นพิธีแล้วค่อยๆคลานมาโผล่แค่ใบหน้าที่ด้านหน้าของเต้นท์ลายสก็อตหลังเล็กที่กางไว้พอให้นอนได้แค่นั้นเอง
" ตื่นแล้วเหรอ " พี่เต้ ช่างซ่อมบำรุงอากาศยานเฮลิคอปเตอร์ กำลังอุ่นน้ำร้อนในกาน้ำร้อนปิกนิค กล่าวทักเป็นคำแรกหลังจากที่เมื่อคืนนอนขุดขู้อยู่ในเต้นท์แคบๆกับผม
" ตื่นเช้าจังเลยพี่ " ผมค่อยๆ พยุงตัวเองออกมาจากเต้นท์ แล้วมาทำท่าทางซู๊ดปาก เอามืออังไฟที่กำลังจะมอดดับ เหลือเพียงเถ้าถ่าน และไฟแดงๆอยู่แค่นั้น
"กาแฟหน่อยมั๊ย " พี่เต้ยื่นแก้วให้ผมด้วยมือที่สั่นเทา อากาศที่นี่เย็นจัดมาก เมื่อคืนไม่มีใครได้อาบน้ำกันสักคน
"ไม่อาวววพี่ ผมไม่ดื่มกาแฟ ผมดื่มเป็นแต่แอลกอฮอร์ครับ " ผมพูดปนตลกก่อนจะลุกขึ้นยืนมองพระอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นขอบฟ้า
"หนุ่มไม่เอากล้องวีดีโอมาถ่ายพระอาทิตย์ตอนเช้าหน่อยเร้อ เดี๋ยวจะพลาดความสวยงามของทัศนียภาพบนเขาใหญ่นี่หรอก " พี่เต้ เอ่ยขึ้นหลังจากที่จ้องมองภาพวิวที่สวยงามนี่อยู่ก่อนแล้ว
"แบ็ตเตอรี่ หมดแล้วพี่ เมื่อคืนตอนอยู่บนเครื่องผมเล่นระบบไนท์ช็อตถ่ายภาพวิวของภูเขาลูกโน้นจนหมดเกลี้ยง " ผมพูดขณะแกะถุงขนมปังออกมาเคี้ยวตุ้ยๆ กอรปกับสายตาที่กวาดไปรอบๆบริเวณ
และหยุดจดจ้องอยู่ที่ เครื่องเฮลิคอปเตอร์ 6 ที่นั่ง เอนสตรอม ของโรลสรอยด์ ต้นแบบของอังกฤษซึ่งจอดสงบนิ่งอยู่ข้างหลัง เหตุการณ์เมื่อคืน ทำให้ผมต้องกลืนน้ำลายผสมขนมปังลงคออย่างฝืดๆ เราต้องตัดสินใจแลนดิ้งกระทันหัน ทั้งหมดไม่อยู่ในแผน การบินทดสอบเครื่องที่ถูกส่งมอบมาจากบริษัทอากาศยานยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ วันนี้เป็นวันที่สองของการบินในภาระกิจเที่ยวกลางคืนบนความสูง 3,500 ฟิต เจ้าหน้าที่ทั้ง 6 คน รวมทั้งผมด้วย ได้รับคำสั่งจาก ผบ.กองบินฝึกหัวหินให้เข้าร่วมทดสอบเครื่อง หลังส่งมอบแบบไม่เป็นทางการอีกครั้งหนึ่งก่อนเซ็นสัญญาซื้ออย่างเป็นทางการ ภาระกิจในครั้งนี้ เราได้นักบินหลักจากกองทัพอากาศ และนักบินสำรองจากศูนย์ฝึกการบินหัวหิน ลูกเรือก้อมี พี่เต้ซึ่งมีตำแหน่งเป็นวิศวกรเครื่องยนต์เฮลิคอปเตอร์ พี่อีกสองคนเป็นช่างเรดาร์คอนโทรลและวิทยุสื่อสารการบิน และสุดท้าย ผมในตำแหน่งช่างอิเล็คทรอนิกส์การบิน1 ดูแลรับผิดชอบระบบนำร่องที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ ทุกคนจะมีเครื่องมือในการตรวจสอบของตัวเองในแต่ละหน้าที่ ผมเองก็มีคอมพิวเตอร์โน็ตบุ๊คญี่ห้อดังที่มีไว้คอนเน็คกับฮาร์ดแวร์ในเครื่องควบคุมระบบการบินบนความสูงในสถานการณ์จริง ซึ่งโปรแกรมต่างๆนี้ พี่ๆในทีมงานของศูนย์สารสนเทศการบินได้ตระเตรียมและซักซ้อมการติดตั้งและตรวจเช็คให้กับผมมาจนชำนาญแล้ว ก่อนจะผลักให้ผมเป็นตัวแทนเสี่ยงตายของพวกเขา อีกอย่างงานนี้ก็เป็นงานที่ผมเริ่มทำตั้งแต่เข้ามาทำงานที่นี่ใหม่ๆ อีกทั้งผมยังเป็นตากล้องวีดีโอจำเป็นให้กับการปฎิบัติภาระกิจในครั้งนี้ด้วย หลังจากที่พวกเราทำการบินเหนือยอดเขา ของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ใกล้ๆเขตแดนที่ติดกับจังหวัดสระบุรีด้านทิศตะวันตก เครื่องยนต์ทุกอย่างดูปรกติ แต่สเกลน้ำมันลดลงมากกว่าที่ควรจะเป็นเมื่อคำนวณคร่าวๆแล้ว อัตราการประหยัดเชื้อเพลิงมีค่าน้อยลง นั่นหมายความว่าเครื่องยนต์ที่เพิ่งเปลี่ยนใหม่ ซดน้ำมันเหมือนรถยนต์ที่เพิ่งถอยมาจากอู่ไร้ชื่อข้างถนน นักบินแจ้งไปยัง ATF CONTROLขออนุญาติลงจอดฉุกเฉินระดับสอง เพื่อตรวจเช็คกันใหม่ทั้งระบบ พื้นที่ระแวกนี้ จากแผนที่ทางอากาศ พวกเราไม่รู้หรอกว่ามีความลาดเอียงแค่ใหน ฐานสกีของเครื่องเฮลิคอปเตอร์ อาจจะลื่นไหล ทำให้ใบพัดหลังหรือเทลโรเตอร์ตัดกับกิ่งไม้ได้ทุกเวลา อีกทั้งเป็นการบินระยะต่ำเลี่ยพื้น เฉียดใบไม้แค่ไม่กี่ฟุตเท่านั้น แสงสว่างจ้าของสปอตไลน์ที่ติดอยู่ที่ใต้จมูกของเครื่องเอนสตรอม ส่องแสงกวาดไปทั่วบริเวณ ผมเห็นนกแตกรัง บินว่อนอยู่ข้างล่าง เมื่อต้นไม้รอบๆไหวโบกเพราะแรงลมที่กระทำจากใบพัดเมนโรเตอร์ ตัดอากาศขนาดใหญ่ นักบินหลักและผู้ช่วยนักบินช่วยกันโยกคันบังคับ ฉุดเยื้อแย่งฟัดเหวี่ยงกับเจ้าเอนสตรอมที่กำลังสั่นและโคลงเคลงเชิดหน้าหน้าสลับกับยกแพนหาง คล้ายเล่นไม้กระดานชิงช้า เพื่อให้ลงจอดอย่างสงบและปลอดภัยที่สุด ความสูงลดลงทีละน้อยๆ เสียงของใบพัดเมนโรเตอร์ตัดอากาศดังพับๆ ยิ่งทวีคูณมากขึ้นเมื่อเครื่องเอนสตรอมอยู่ใกล้พื้นลงไปเรื่อยๆ ทันทีที่ฐานสกีของเครื่องแตะพื้น ผมซึ่งนั่งอยู่ที่นั่งด้านซ้ายตอนกลางติดกับประตูกระจกสำหรับมองวิวเพื่อเก็บภาพถ่ายทางอากาศของห้องผู้โดยสาร ร้องบอก " เคลียร์ " ให้ทุกคนรับทราบ มันเป็นธรรมเนียมปฎิบัติ ของคนที่มองเห็นวิวด้านหลังชัดเจนที่สุด หลังจากเครื่องแตะพื้นได้อย่างปลอดภัยแล้วนั่นเอง นักบินลดรอบของเมนโรเตอร์ ตรวจเช็คมาตรวัดต่างๆ และดับเครื่องยนต์ลงในที่สุด ผมเปิดประตูลื่นของห้องผู้โดยสารออกมาเป็นคนแรก ตามด้วยคนอื่นๆ ที่ได้ทยอยก้มศรีษะให้ต่ำเข้าไว้ แล้วออกมายืนรวมกันให้ห่างจากตัวเครื่องมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ผมบันทึกภาพวีดีโอด้วยม้วยเทป 8 มิล ที่ใช้ระบบไนท์ช็อต สำหรับบันทึกภาพตอนกลางคืน ผมบันทึกวีดีโอไปรอบๆบริเวณ โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยแสงไฟจากสปอตไลน์ของเจ้าเอนสตรอมซึ่งกำลังหรี่แสงลง เพราะเครื่องยนต์ได้ดับไปแล้ว แต่ใบพัดก็ยังหมุนอยู่เพราะแรงเฉื่อย ทันใดนั้นเองผมได้มองเห็นอะไรบางอย่างในความมืดกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ๆพวกเราทีละนิดๆ ลักษณะคล้ายมนูษย์ ที่สำคัญไม่ได้มีแค่คนเดียว ลัษณะที่เห็นเป็นเงาตะคุ่มๆขาวดำ ในช่องเลงภาพของกล้องวีดีโอของผม ผมต้องผงะและถอยออกมายืนไม่ห่างจากเครื่องเฮลิคอปเตอร์ที่เพิ่งลงจอดเมื่อไม่กี่นาทีมานี้เท่าใดนัก พี่เต้เป็นคนแรกที่สังเกตุเห็นสีหน้าของผมในตอนนั้น คนอื่นๆก็มีทีท่างุนงง และคงอยากถามว่าเห็นอะไรอยู่ในดงป่าไม้ข้างหน้า ผมไม่พูดอะไร รู้แต่ว่าความกลัวมันแล่นเข้ามาสุดขั้วหัวใจ พอได้สติ ผมก็กดปุ่มย้อนภาพวนเล่นกลับหลังไปสักครึ่งนาที แล้วส่งให้พี่เต้ดูภาพเคลื่อนไหวในกล้องวีดีโอที่ผมเพิ่งถ่ายได้เมื่อครู่ พวกเราทุกคนพร้อมใจกันถอยห่างออกมาหลังจากที่รู้ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล อยู่หลังหมู่ต้นไม้น้อยใหญ่ข้างหน้า นักบินหลักที่มียศทางทหารอากาศว่าอะไร ผมเองก็จำไม่ได้แล้ว ได้ถอดปืนพกออโตเมติกออกมาจากซองกระเป๋าฉุกเฉิน ใต้เก้าอี้นักบิน เขาเล็งปืนไปในความมืดข้างหน้า พร้อมกับสั่งให้ลูกเรือที่เหลือคนอื่นๆรีบขึ้นไปรอดูเชิงในเครื่องเอนสตรอม นักบินคนที่สองสตาร์ทเครื่องยนต์อีกครั้งหลังจากได้รับคำสั่งจากหัวหน้าทีม ใบพัดหมุนตัดอากาศแล้วเริ่มมีเสียงดังมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อความเร็วของเมนโรเตอร์ได้ที่ นักบินคนที่สองก็ดันคันบังคับให้แสงสปอตไลน์หน้าเครื่องหันไปยังฝูงอาคันตุกะผู้อยู่ในความมืด
ภาพที่ปรากฎทำให้พวกเรารู้สึกโล่งอกและหัวเราะท้องขดท้องแข็งไปตามๆกัน เพราะพวกมันคือ " ฝูงลิง " สัตว์ผู้น่ารักและขี้สงสัยบนเขาใหญ่นั่นเอง เฮ้อ!!!!!
17 กุมภาพันธ์ 2547 19:17 น.
ET มนุษย์ต่างดาว
" ตู๊ดๆๆๆ " เสียงร้องเตือนให้รับสายของมือถือยี่ห้อดังในกระเป๋าซองหนังอย่างดีร้องเตือน ทำให้ผมต้องรีบกดปุ่มรับสายเร็วจี๋ชนิดไม่กลัวนิ้วเจ็บ
"ไงเพื่อน ทำอะไรอยู่วะ ยังอยู่ที่เดิม แสดงว่ายังไม่ได้เดินทางมาเลยรึ "
เสียงตัดพ้อห้วนๆและเร็วของฝ่ายโน้นดังก้องชัดเจน เหมือนกับเจ้าตัวมายืนพูดอยู่ข้างๆผมนี่เอง
"มนตรีเหรอ รอสักครู่ก่อนนะเพื่อน เรากำลังมีเรื่องกะแฟนอยู่ว่ะ " ผมกรอกเสียงลงไปด้วยน้ำเสียงร้อนรน แต่ก้อไม่ลืมเก็กเสียงให้หล่อเข้าไว้ เดี๋ยวเพื่อนจะคิดว่าผมเป็นตัวปลอม
"เฮ้ย ใช้แฟนผิดประเภทหรือเปล่าวะ แฟนน่ะ เขามีไว้ทำอย่างอื่น ไม่ไช่มีไว้หาเรื่อง "
อีกฝ่ายพูดเย้าแหย่ปนตลก ทำให้ผมอดอมยิ้มไม่ได้
"ให้เราเคลียร์เรื่องกะแฟนแล้วเราจะไป ขอเวลาแป๊บนึงนะ"
ผมต่อรอง คิดว่าเพื่อนๆคงนั่งนินทาเรื่องที่ผมไปสายแน่ๆเลย รู้สึกคนจมูกยิกๆ
"อืมม เคลียร์เรื่องได้แน่นะ ต้องให้พวกเรายกพวกไปกันมั๊ย " มนตรียังไม่วาย
"เฮ้ยไม่ต้อง แล้วเพื่อนเราเมากันหรือยัง มีใครกลับไปก่อนหรือยัง "
ผมพูดขณะมองดูนาฬิกาเข็มออโตเมติกบนข้อมือ สองนาฬิกา สามสิบสี่นาที
"ทุกคนยังอยู่กันครบ กำลังเมาได้ที่เลยล่ะ รีบๆมาเลยละกัน อยากเจอว่ะ "
"จะรีบไปนะ ลาดพร้าวเท่าไหร่นะ อ้อ 122 อืมม จำได้'
สายตาเว้าวอนและโหยหา กำลังจดจ้องผมอยู่ หลังจากผมกดปุ่มวางสายมือถือไปแล้ว ผมหายใจเฮือกใจ ปรับอารมณ์เพื่อมาต่อกับเหตุการณ์ปัจจุบันที่กำลังดำเนินค้างไว้ให้จบ
"ไม่ต้องไป ถ้ายังตกลงกันไม่ได้ " เธอพูดขึ้นหลังจากเห็นผมนิ่งไปนาน
"ไม่ได้หรอก งานนี้พี่ต้องไป เพื่อนๆรออยู่ ค่อยมาพูดกันทีหลัง " ผมยังใจเย็น
ขณะที่ทอดสายตาออกไปยังถนนสายเดิมกับเมื่อตอนกลางวัน แทบไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้มันจะว่างชนิดแทบจะไม่มีรถวิ่ง
"ถ้าพี่ไป หนูจะกลับแล้วไม่ต้องโทรไปหาหนูอีก หนูก้อจะไม่มาที่นี่อีก พอกันที " เธอมีทีท่าและน้ำเสียงที่เอาจริง
"เฮ้อ ทำไมเป็นคนไม่มีเหตุผลยังงี้ ประเด็นไม่ใช่อยู่ที่ว่าพี่จะไปหรือไม่ไป แต่มันอยู่ที่เราตกลงกันไม่ได้ เอาไว้ค่อยคุยกันวันหลัง มันจะดีกว่ามั๊ย " ผมยังเก็กเป็นพระเอกมิวสิคอยู่ สายตายังแช่ไว้ที่ถนนกับแสงไฟนีออนโฆษณา เปรียบเสมือนแสงในฉากการแสดงยังไงยังงั้น
" ไม่รู้ล่ะ จะคุยวันนี้ ถ้าพี่ไป......... "
"พี่จะไป " ผมโพล่งออกมาแทรกคำพูดของเธอ ขณะที่เธอยังพูดไม่จบ
"งั้นเราจบกัน " เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"จบเป็นจบ " ผมก้อมีน้ำเสียงจริงจังไม่แพ้เธอ ขณะที่กวักมือเรียกแท็กซี่ให้จอด
"ลาดพร้าว 122 ครับ " ผมสั่งแท็กซี่ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นเชียบขาดที่สุดในชีวิต ปล่อยให้หล่อนยืนเก้อ มองก้นรถโตโยต้าแท็กซี่คันงามวิ่งห่างออกมาเรื่อยๆ
ผมหันไปมองขณะที่ภาวนาให้ฝนตกลงมาขณะนั้นหรือไม่ก้อเสียงคัทจากผู้กำกับดังๆสักคน ผมคิดในใจ จนแล้วจนรอด เธอก้อไม่วิ่งตามแท็กซี่คันที่ผมนั่งอยู่เลยสักก้าว ไม่เหมือนในมิวสิควีดีโอน้ำเน่าที่เห็นในทีวีเลย เฮ้ออออ ฝีมือการแสดงของเรายังไม่เข้าขั้น ไม่เป็นไร ไว้คราวหน้าละกัน จะตีบทให้แตกมากกว่านี้ ฮือๆๆ เพื่อนๆจ๋า เตรียมเหล้าไว้ให้กูด้วย ไม่เอาอีกแล้วผู้หญิง สู้ผู้ชายอย่างพวกมึงไม่ได้ฮ่า กูยังไม่ลืมรสชาติของความสุขที่วิเศษสุดที่พวกมึงหยิบยื่นและยัดเยียดให้กูสมัยก่อนเก่า เดี๊ยนจะไปซบแนบอกพวกมึงทุกคนนะฮ้าาา ฮือๆๆ
17 กุมภาพันธ์ 2547 18:59 น.
ET มนุษย์ต่างดาว
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วนะ ดูเหมือนสิ่งรอบข้างยังคงเป็นอยู่เช่นนั้น ไม่ไหวติงเลยสักนิด มีเพียงเวลาเท่านั้นกระมังที่วิ่งผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า เราจะหยุดเวลาไว้สักช่วงหนึ่งของชีวิตได้ไหม????
อยากรู้จัง เพราะถ้า..... ถ้ามนุษย์เราทำได้ แล้วคุณล่ะ คุณจะเลือกหยุดเวลาช่วงใดของชีวิต ????
ผมยังคงนั่นอยู่ตรงนี้ นานเท่าไหร่แล้วก็จำไม่ได้ คงต้องนั่งอยู่อย่างนี้ต่อไปสักพัก อารมณ์ขี้เกียจพาลให้ผมยังคงนั่งแช่สายตาออกไปยังฝาผนังที่ทำจากกระจกใสของร้านอาหารเบอเกอรี่ของต่างชาติในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
โดนัทชิ้นสุดท้ายยังคงวางอยู่ในจาน ผมอิ่มเกินกว่าจะกระเดือกขนมรูปทรงประหลาดที่มีรูตรงกลางลงคอได้ในยามนี้ วงกลมที่เกือบจะได้รูปทรงที่สมบูรณ์แบบของเส้นผ่าศูนย์กลางนั้น ได้ฉุดความคิดของผม ดำดิ่งสู่ห้วงเวลาของความ
ทรงจำที่แสนจะสวยงามในครั้งก่อน ผมอดไม่ได้ที่จะหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาเปิดดู ผมไม่ได้อยากเช็คบิลตอนนี้ หรอก แต่มีบางอย่างที่มีรูปทรงเป็นวงกลมสีเงินเก่าๆ ขนาดเท่ากับเหรียญบาท แต่ทรงไว้ซึ่งคุณค่าทางใจอย่างที่สุด
ได้ถูกเก็บไว้อย่างดี ในกระเป๋าสตางค์เก่าๆ ใบนี้ ผมได้หยิบมันออกมาจากช่องด้านในสุดของกระเป๋าสตางค์สีซีดอย่าง บรรจง คล้ายกับว่าเพิ่งเคยเจอมันครั้งแรกในชีวิตยังไงยังงั้น แหวนนี้แทนใจ
ผมเคยสวมให้เธอผู้เป็นดั่งดวงใจในวันเกิดของเธอเมื่อนานมาแล้ว เธออยู่ที่ไหนนะตอนนี้ อยากรู้จัง.............
7 ปีที่ยาวนาน ตะวันคงไม่สามารถขึ้นทางทิศตะวันตกได้สินะ คิดถึงเหลือเกินที่รัก... อยากเห็นเธออีกสักครั้ง
อีกสักครั้ง........ได้โปรด......ผมขอแค่นั้น แค่นั้นจริงๆ.....................
โอ๊ย.... ผมร้องขึ้น หลังจากมีบางอย่างจิ้มเข้าที่ข้อเท้าซ้ายอันเป็นเหตุให้ผมต้องตื่นจากภวังค์ เสียงกลั้นหัวเราะคิกคักๆ ใต้โต๊ะ ทำให้ผมต้องก้มมองลอดใต้โต๊ะอาหารที่ผมกำลังนั่งอยู่ด้วยความรู้สึกจ็บผสมกับอารมณ์โกรธานิดๆ พลัน
ความรู้สึกฉุนเฉียวคงเหลือไว้แต่ความรู้สึกฉงนเข้ามาแทนที่ ภาพตรงหน้าคือใบหน้าไร้เดียงสาของเด็กตัวกระเปี๊ยกที่กำลังนั่งคู้ตัวอยู่ใต้โต๊ะ ในมือ ยังคงกำช้อนส้อมแกว่งฉวัดเฉวียนไปมาคล้ายกับกำลังปกป้องตัวเองอยู่ในที ดวงตากลม
โต กำลังฉายแววล้อเลียนและเปี่ยมล้นไปด้วยความสนุกสนานเป็นที่สุด
ใครน่ะ ออกมานะ ผมพยายามเอี้ยวตัวให้ต่ำ แต่ก็เห็นหน้าของเจ้าหนูไม่ถนัดนัก
คิกๆ... แทนเสียงตอบรับ หนูน้อยได้ขยับตัวถอยล่นไปด้านหลัง เพื่อหนีมือของผมที่กำลังควานหาตัวเจ้าลิงจ๋อ
ลูกใครน่ะ หนูนี่ ซนจริงๆ ออกมานะ เจ้าหนูยังคงสวมบทบาทของลูกหอยสังข์ในวรรณคดี และซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะต่อไป
ออกมาสิ จับได้ เดี๋ยวตีตายเลย !!! ผมแกล้งตวาด ทำตาดุ ขณะเอี้ยวตัวก้มมองลอดใต้โต๊ะด้วยความเมื่อย หลังจากเห็นท่าทีของเด็ก กำลังจะจิ้มช้อนส้อมลงบนปลายรองเท้าขัดมันยี่ห้อดังของผมอีกครั้ง
................." ไม่มีเสียงตอบใดๆ
ออกมาเถอะน่า....นะ อาสัญญาว่าจะไม่ทำอันตรายหนูนะครับ ผมเจรจาสงบศึก ขณะหยิบโดนัทชิ้นสุดท้ายที่วางอยู่ ในจานบนโต๊ะส่งให้ หนูน้อยจ้องผมอยู่ครู่หนึ่งและหลังจากนั้นก็ค่อยๆ คลานต้วมเตี้ยมๆ ออกมาให้ผมได้ยลโฉมหน้า
ของจำเลยตัวจิ๋วนี้
อ่ะ หิวมั๊ย อร่อยนา.....ชิ้นนี้ อาชอบมาก แต่ก็ตัดใจยกให้นะเนี๊ย รู้มั๊ย !!! หนูน้อยจ้องหน้าของผมอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ยังยกมือไหว้และรับขนมไปถือไว้แต่โดยดี อืมม.....ถูกฝึกมาอย่างดีทีเดียว ผมอมยิ้มอยู่ชั่วครู่ รู้สึกถูกชะตาและรู้สึกเอ็นดูกับหนูน้อยคนนี้อย่างประหลาด ผมเพิ่งสังเกตุเดี๋ยวนี้เองว่า เด็กคนนี้ที่ผมเห็นเป็นเด็กผู้ชายตั้งแต่แรกนั้น กลับกลายเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักน่าชังเสียนี่ ผมที่ยาวถูกถักเป็นเปียผม ม้วนไว้ในหมวกผ้าด้านหลังของเสื้อกันหนาวสีแดงสด
มีรูปมิ๊กกี้เมาท์ขนาดใหญ่อยู่ตรงอกเสื้อด้านหน้า กางเกงขายาวเนื้อผ้าและสีเดียวกันกับเสื้อกันหนาว ขับให้ผิวขาวของหนู น้อยดูโดดเด่น แสดงให้เห็นถึงเชื้อชาติของผู้ดี มีเงินอยู่ไม่น้อย ผมได้อุ้มเธอมานั่งที่ เก้าอี้ข้างๆ ผม หลังจากทนเห็น แม่หนูน้อยจอมซน กำลังตะเกียกตะกายเพื่อจะขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ทรงสูงของร้านอาหารแห่งนี้ ไม่ได้ ดวงตากลมแป๋วยัง คงจ้องหน้าผมอยู่อย่างนั้น คล้ายกับว่านี่คือครั้งแรกที่เพิ่งเคยเห็นมนุษย์หน้าแปลกๆ อย่างผมซะอย่างนั้น
หล่อนจะรู้จักคำว่า หนุ่มหล่อ หรือยังนะ ผมคิดในใจ
ชื่ออะไรสาวน้อย อายุเท่าไหร่แล้ว มีแฟนหรือยังอ่ะ ผมพยายามชวนคุย อย่างเป็นมิตร แทนคำตอบ สาวน้อยร่างจิ๋ว วัยกำลังเป็นข่าวหน้าหนึ่ง ได้ใช้ช้อนส้อมจิ้มโดนัทไปมา จนโดนัทชิ้นที่โชคร้ายที่สุดในโลกพรุนไปทุกส่วน แล้วแม่
หนูน้อยจมซนก็ใช้นิ้วมือเล็กๆหยิบโดนัทชิ้นนั้น ส่งให้ผม พร้อมๆ กับพยักพเยิดหน้าให้ผมทานขนมในมือหล่อน เหมือนเป็นการต่อรอง
ถ้าอาทานแล้ว ต้องตอบคำถามอานะ เข้าใจมั๊ย ผมโน้มตัว ก้มลงกัดโดนัทในมือเด็กคำหนึ่ง แล้วก็ปั้นหน้าทำท่า ทางดัดจริต คล้ายสุดแสนจะเอร็ดอร่อยในรสชาติของโดนัทสีกาแฟชิ้นนี้เสียเต็มประดา นี่ถ้าเจ้าของร้านโดนัทมาเห็นสี
หน้าของผมในยามนี้ คงอยากชักชวนให้ผมไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ถ่ายโฆษณาโดนัทให้กับทางร้านแน่ๆ เลย
อายุเท่าไหร่จ๊ะ หือออ
อายุสอง...... สองวัน ดอกพิกุลร่วงออกมาแล้ว คำพูดตะกุกตะกักแต่ก็ยังชัดเจนฟังรู้เรื่อง หนูน้อยตอบขณะเคี้ยวโดนัทตุ้ยๆ ในปาก
อื้ออ เขาเรียกว่า สองขวบ หนูต้องบอกอาว่า สองขวบต่างหากล่ะ เข้าใจมั๊ย ผมพูดขณะเอาทิชชู่ เช็ดปากให้กับแม่หนู จอมซน
นี่เราเที่ยวเอาช้อนส้อมไปแกล้งชาวบ้านไปทั่วทุกโต๊ะเลยหรือเปล่าเนี๊ย.... ผมรำพึงเบาๆ ขณะหันหน้ามองซ้ายขวาสำรวจไปรอบๆ ร้าน เห็นผู้คนหลายคน กำลังก้มลงสำรวจเท้าตัวเอง พร้อมกับจ้องมายังแม่หนูตัวกระเปี๊ยกคนนี้
แล้วพ่อกะแม่หนูอยู่ไหนครับ บอกอาสิครับ ผมพูดขณะกวาดสายตาไปรอบๆ แต่ไม่ยักกะเห็นใครแสดงตัวออกมาว่าเป็นผู้ปกครองของเด็กคนนี้เลยสักคน ตุ๊กตาดังหนังทีวีตัวสวยในกระเป๋าเอกสาร ผมได้มาจากร้านโดนัท ซึ่งผมกิน
ประจำ เขามีไว้เพื่อเป็นสินค้าแถมให้กับลูกค้าของร้านโดนัททุกสาขา ได้ถูกผมหยิบขึ้นมา และยื่นให้กับเธอ ผมคงหมดวัยที่เล่นสิ้นค้าของแถมพวกนี้แล้ว แต่ถ้าเป็นสมัยก่อน เธอผู้เป็นสุดที่รักของผมคงดีใจมาก ถ้าผมได้มอบสิ่งนี้กับ
เธอ เพราะเธอชอบจะสะสมมัน เธอมีตุ๊กตาประเภทนี้เต็มตู้โชว์เลยล่ะ อืมมม.............. คิดถึงอีกแล้วนะ
เล่นตุ๊กตาดีกว่านะครับ อ่ะ รับไปสิ เป็นผู้หญิงต้องเล่นตุ๊กตานะ
เธอรับมันไว้ พร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างเป็นสุข ขณะเขี่ยของเล่นในมืออีกข้างด้วยช้อนส้อม
แล้วหนูชื่ออะไรล่ะครับ ผมถามขณะยื่นแก้วน้ำอุ่นให้เธอ แต่เธอส่ายศรีษะและเยื้อแย่งจะเอาช้อนส้อมในมือผมคืนไปให้ได้
บอกอาก่อน แล้วอาจะคืนช้อนส้อมให้หนูนะครับ
ชื่อ.. ชื่อ....อ้อม
ชื่อน้องอ้อมเหรอครับ อืมมม อาชื่อหนุ่มนะ เรียกอาหนุ่มนะครับ แล้วแม่น้องอ้อมอยู่ไหนล่ะ อ่ะ ไหนชี้ให้อาดูหน่อยสิครับ
ผมถาม ขณะมองตามนิ้วมือน้อยๆ ของเธอที่กำลังชี้ออกไปข้างนอกประตูกระจกของร้านโดนัท แต่สายตาของเธอกลับมองไปคนละทางกับนิ้วของตัวเอง คล้ายกับว่าหล่อนกำลังมองหาใครสักคนในร้านโดนัทแห่งนี้ ผมสังเกตุเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนคุยอยู่กับแคชเชียร์ที่หน้าเคาร์เตอร์ เขากำลังมองมาทางผมและยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร ผมได้ยิ้มตอบเขาไป พร้อมกับหันมามองหนูน้อยที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งตอนนี้เธอไม่ได้สนใจใครแล้ว เพราะเธอ ตั้งหน้าตั้งตาเล่นของเล่นไปตามประสาเด็ก ถึงเวลาที่หนูน้อยจอมซนต้องไปแล้วสินะ
ขอโทษนะครับ ลูกอ้อมคงไม่ได้ทำให้คุณปวดหัวนะครับ คือแกจะชอบก่อกวนคนอื่นไปทั่วน่ะครับ
ไม่เป็นไรครับ แกน่ารักดีครับ โตขึ้นต้องเป็นเด็กฉลาดแน่นอน
ขอบคุณครับ อ่ะ ลาคุณอาสิคะ บ๊าย เขาพูดขณะก้มลงอุ้มแม่หนูน้อยจมซนขึ้นไปหอมแก้ม ฟอดใหญ่
บ๊ายบาย ..... หนูน้อยยกมือโบกไปมา ดูน่ารักมาก
ผมเอาแกไม่อยู่น่ะครับ เผลอแป๊บเดียววิ่งหายไปใหนไม่รู้ แกซนน่ะครับ สงสัยต้องให้แม่ของแกจัดการ ผมตีลูกไม่เป็นหรอกครับ แม่ของแกขึ้นไปซื้อของบนชั้นสาม ปล่อยให้ผมดูแลจ๋อน้อยน่ะครับ เดี๋ยวเธอคงกลับมา เขาพูดด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า ขณะจ้องหน้าลูกสาว และก็อุ้มหนูน้อยเขย่าเบาๆ ขณะที่หนูน้อยซบศรีษะอยู่ใต้คางผู้เป็นพ่อ สายตาจับจ้องมายังผมเขม็ง
อย่าทำอะไรแกเลยครับ แกยังเด็ก ส่วนมาก เด็กๆ ไม่ว่าหญิงหรือชายก็ซนๆ กันทั้งนั้นแหละครับ ผมออกความเห็น
ครับผม ขอบคุณนะครับ ผมคงต้องพาจอมกวนนี่กลับแล้ว รู้สึกว่าอุ้มจะลงมาแล้ว เอ่อ..... ผมหมายถึงภรรยาของผมน่ะครับ คงซื้อของเสร็จแล้ว งั้นผมลาเลยนะครับ ลาคุณอาสิลูก แม่อุ้มของน้องอ้อมกลับมาแล้วนะ .... ไปกันเถอะ
เขาพูดยิ้มๆ กับลูกสาวขณะหันมาพยักหน้าให้ผม แล้วเดินเลี่ยงออกไปทางประตูกระจกของร้านอาหารข้างหน้า เขาพาหนูน้อยเดินไปสมทบกับสาวร่างโปร่ง ผมยาว ที่จัดว่า....สวยทีเดียว ผู้ซึ่งกำลังก้าวเดินลงมาจากบันไดเลื่อนของ
ห้างฯ น้ำตาของผมเอ่อล้นที่ขอบตา รู้สึกร้อนๆ อย่างประหลาด รู้สึกใจหาย และรู้สึก สับสนระคนกัน ลมหายใจแผ่วๆ เหมือนกับมีก้อนอะไรมาจุกที่ช่องคอ ผมหันหน้าเมินไปทางอื่น แต่ก็อดชำเลืองมองพวกเขาไม่ได้ ในขณะที่เด็กน้อยที่
น่ารักนั้น โบกมือ พร้อมกับแกว่งตุ๊กตาชี้นิ้วมาทางผม ผู้เป็นแม่ของเด็ก หันหน้ามาทางผมพักหนึ่งก่อนจะเอื้อมมือไปรับหนูน้อยมาโอบกอดไว้ในอ้อมแขน ส่วนสามีก็ช่วยถือถุงของใช้เหล่านั้นจากภรรยาสาว แล้วพากันเดินหายไปไหนฝูง
ชน ผมเองยังคงกำแหวนในมือแน่นจนนิ้วมือชา........................
ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของเรา แน่นอน...เราจะยังคงเก็บไว้ในความทรงจำที่ดีๆ รอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลาของชีวิตความทรงจำต่างๆ เหล่านั้นก็จะหวนกลับมาให้เราได้คิดถึงอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า วนเวียนไปมา คล้ายกับรูปวงกลมดั่ง แหวนแทนใจ ที่ไม่มีจุดสิ้นสุด เส้นทางจะวกวนอยู่อย่างนั้นตลอดไป.......
ผมพลิกแหวนขึ้นมาเพื่ออ่านข้อความที่ผมได้เคยให้ช่างแหวนได้แกะสลักข้อความหนึ่งลงบนแหวนวงนี้ เมื่อ 7 ปี ที่แล้ว แม้แหวนจะดูเก่าและมีคราบสีดำจางๆ ติดอยู่บนเนื้อของแหวนสีเงินอยู่บ้าง แต่อักษรที่ถูกสลักไว้นั้นยังมีข้อความ
ให้อ่านได้ ใจความสั้นๆ ว่า อุ้ม รัก หนุ่ม ข้อความนี้ จะยังคงอยู่อีกนานเท่านาน เพราะ คำขอวิงวอนของผมตั้งแต่ตอนต้นนั้น เป็นจริงแล้ว...............................
ขอให้มีความสุขกับชีวิตครอบครัวนะ....อุ้ม ผมหลุดคำนี้ออกมาให้กับตัวเอง ด้วยเสียงที่สั่นเครือและแหบแห้งเต็มทน ผมยังคงเก็บแหวนนี้ไว้ เสมอมา.......และจะเก็บมันไว้กับตัวตลอดไป.......น้ำตานี้เป็นพยาน...........