6 กุมภาพันธ์ 2546 00:15 น.
ELITE
ความฝันเป็นสิ่งที่ไม่เลวร้าย
ดังนั้นเราจึงไม่ควรที่จะละเลยในการทำความฝันให้สำเร็จ
ความฝัน คือ สิ่งที่มนุษย์ได้คิดไว้ หรือพูดง่ายก็คือเป็นจิตนาการของมนุษย์ เป็นสิ่งที่ติดตัวคนเรามาตั้งแต่เราจำความได้ มันคือความต้องการมนุษย์ ความฝันประกอบด้วยหลายสิ่งเข้าด้วยกัน มันสามารถทำอะไรหลายอย่างให้เกิดขึ้นได้บนโลกใบนี้ ทั้งสิ่งที่ดี หรือแม้ต่างสิ่งที่เลวร้าย เช่น การที่ฮิตเลอร์ต้องการที่จะ ครองโลก ฝันนี้ทำให้มนุษย์หลายคนต้องล้มตาย บางสิ่งอาจจะเป็นประโยชน์ อาจจะช่วยคนได้หลายคน เช่น ฝันว่าอยากเป็นหมอจะได้คิดค้นยาแก้โรคต่าง แต่กว่าจะออกมาเป็นผลสำเร็จของความฝันนั้นจะต้องแลกมาความยากลำบาก
เหตุใดคนเราถึงต้องมีความฝัน เพราะว่า ความฝันมันเกิดขึ้นจาก จิตใต้สำนึกของคนเรา เนื่องจากว่า มนุษย์เรานั้นชอบสิ่งแปลกใหม่แล้วเป็นคยชั่งคิด ชั่งจินตนาการ แล้วอีกอย่างก็คือ คำว่าความฝันนั้นมันมีพลังในความหมายมากยิ่งนัก เพราะความฝันของคนๆหนึ่งสามารถทำให้มวลมนุษย์ได้มีความหลากหลายมีสิ่งต่างๆอย่างเกิดขึ้นมากมาย เริ่มตั้งแต่เราอยากบินเหมือนนก ความฝันที่มนุษย์ อยากจะบินเหมือนนกก็ได้ทำให้เราได้มีเครื่องบิน บินร่อนกันอยู่ในท้องฟ้าทุกวันนี้ ที่นี้เรามาถามกันดีกว่าว่าพวกคุณมีความฝันเป็นของตัวเองแล้วหรือยัง ถ้ายังลองถามตัวเองดูง่ายๆว่าอนาคตเราจะทำงานอะไร เราจะใช้ชีวิตยังไง อย่างงี้แหละที่เขาเรียกว่าความฝัน
เมื่อตอนนี้เราก็ได้มีความฝันเป็นของตัวเองแล้ว เราก็ควรทำความฝันที่เราได้วร้างมันไว้ให้สำเร็จดีไหม การทำให้สำเร็จด็คือ การทำให้มันเป็นความจริงนั้นแหละ ดังนั้นผมอยากจะขอตอบว่าถ้าความฝันนั้นเป็นสิ่งดีเราก็น่าจะควรทำใช่ไหม เพราะเราก็รู้อยู่แล้วว่าความฝันนั้นสามารถเกิดขึ้นง่าย แล้วมันก็มีพลังในตัวของมันเอง แล้วที่สำคัญความฝันมันสามารถทำอะไรให้ชีวิตคนเรามีพลังในการดำรงชีวิต ลองคิดดูเล่นๆ ว่าถ้าคนในสมัยก่อนปราศจากความฝันแล้วล่ะก็มนุษย์จะมีการดำรงชีวิตที่แสนสบายแบบนี้หรือ ดังนั้นความฝันทุกความฝันเป็นสิ่งสำคัญ มนุษย์เราทุกคนควรทำความฝันนั้นให้บรรลุเป้าหมายที่เราได้ตั้งเอาไว้ เนื่องจากว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงสิ่งเดียวที่สามารถมีความฝัน ไม่มีสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งของสิ่งไหนที่สามารถมีที่สามารถมีความฝันได้เหมือนมนุษย์ ดังนั้นเราจึงไม่ควรละทิ้งความฝัน
แต่เนื่องจากว่าความฝันไม่ได้มาอย่างเดียว ไอ้เจ้าความฝันมันมาพร้อม ก็คือความหวัง ไอ้เจ้าสองตัวนี้จะแยกกันไม่ได้ถ้า แยกกันไปก็จะตายทั้งคู่ เพราะการที่เรามีความฝันแล้ว เราไม่มีความหวังหวังในสิ่งที่จะทำให้ความฝันนั่นสำเร็จ ความฝันนั้นก็คงจะไร้ความหมาย เหมือนดังคำว่าฝันลมๆแล้งๆ คือฝันอย่างเดียวแล้วไม่ทำ ในทางกลับกันถ้าเรามีแต่ความหวังอย่างเดียวแต่ไม่มีความฝันแล้วล่ะก็ ชีวิตก็จะไร้จุดหมายเพราะหวังไปทุกเรื่องไม่เคยคิดว่าจริงๆแล้วเราฝันอะไรไว้เราอาจจะ ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตก็เป็นได้ แต่ความฝันนั้นไม่ได้ประกอบด้วยความหวังอยากเดียวหรอก มันประกอบด้วย ความพยายาม ความมุ่งมั่น ความตั้งใจ แล้วที่สำคัญคือความแน่วแน่ ทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ความฝันนั้นเป็นจริง ความฝันก็เปรียบเสมือน ทางที่ยาวแสนยาว มีทั้งขุระ มีทั้งเรียบ หรือ เหมือนภูเขาที่สูงเทียมฟ้า การที่เราจะไปให้ถึงนั้น ต้องมีเครื่องมือในการเดิน หรือปืน ให้ถึงนั้นแหละ ความฝันก็เหมือนกัน เราจะต้องมีเครื่องมือที่ใช้ในการทำความฝันให้สำเร็จ แต่ถึงเราจะมีเครื่องมือมากมายเท่าใด แต่ถ้าเราไม่เริ่มลงมือในการทำความฝันที่เรามีให้สำเร็จขึ้นมาเครื่องมือเหล่านี้คงไร้ประโยชน์ เหมือนกับเราอยากทำโต๊ะไม้ตัวหนึ่งมี อุปกรณ์ครบ ทั้งสิ่ว เลื่อย ค้อน ตะปู ไม้ ครบแต่ถ้าเรายังไม่เริ่มมันก็ยังคงเป็นแค่ทอนไม้นั้นแหละ อาจจะมีบางคนบอกว่าต้องการวางแผนการทำก่อน เมื่อเราวางแผนแล้วเราก็น่าจะทำมันด้วยไม่ใช่หรือ จากตัวอย่างการวางแผน หมายถึงความฝัน อุปกรณ์ครบแต่ถ้าเราไม่ลงมือที่จะกระทำเท่ากับว่าสิ่งที่เราฝันไว้มันก็คงจบ เพราะการลงมือทำมันคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง ไม้มันก็เป็นไม้อยู่วันยังค่ำ มันไม่มีทางเป็นโต๊ะขึ้นมาได้หรอกถ่าเรายังไงลงมือทำ ความฝันก็เหมือนกันฝันอย่างเดียวไม่ลงมือทำมันคงจะเป็นความจริงขึ้นมาได้
อย่างที่บอกไว้ว่า เราทำหรือการปฏิบัติตามความฝันที่เราได้มุ่งหมายไว้นั่นมันยากกว่าทุกสิ่ง เพราะการที่เราจะก้าวเดินไปตามความฝันนั้น อาจจะมีหลายคนคงมีความคิดแบบนี้ "โธ่ความฝันแบบนี้ไร้สาระ"หรือ ไม่ก็เพื่อนๆอาจจะพูดแบบนี้กับเรา ความคิดหรือคำพูดแบบนี้ในความคิดของผมแล้วคำพูดนี้เป็นคำพูดที่เป็นสิ่งเลวร้ายมากๆ เพราะมันจะเป็นสิ่งที่จะทำให้เราจะไม่ประสบผลสำเร็จในความฝันที่ตั้งไว้ มันจะทำให้เกิดความกลัวทำให้เกิดความท้อแท้ต่อฝันที่เราวาดไว้ แล้วผมคิดว่าถ้าเราฝันอย่างไร เราหวังอย่างไร เราก็ควรทำให้มันสำเร็จถึงถ้าเรา เกิดความท้อแท้และสิ้นหวังล่ะก็ ให้เราหยุดพักเอาไว้ก่อนพอมีกำลังให้ก้าวเดินตามความฝันต้องไป เหมือน กับเราเจอกำแพงอันใหญ่อยู่ตรงหน้ามีอยู่ 2 ทางให้เลือกคือ พังกำแพงนั้นกับหันหลังแล้วตั้งต้นเดินใหม่ เป็นผมจะลองพยายามพังกำแพงอันนั้น แต่ถ้ามันเหลือกำลังเราจริงๆ ให้เราหยุดพักเก็บแรงแล้วกลับมาเริ่มต้นใหม่ หรือเหมือนกับการปืนให้ถึงยอดเขาที่สูงลิบ อาจจะมีบางคนคิดว่า "เมื่อไรมันจะถึงล่ะเนี้ย เบื่อแล้วไม่อยากปืนต่อ" เมื่อเรามีความคิดแบบนี้เราควรคิดว่า เราต้องมีความพยายาม ความตั้งใจ และใจที่เต็มไปด้วยความฝัน เราก็คงจะไปถึงความฝันที่เราตั้งไว้ได้ไม่ยาก ที่สำคัญจำไว้ว่า ชีวิตเป็นของเราใครจะชี้หรือขีดไว้ไม่ได้ ดังนั้นเพื่อนว่าอะไรเราจะหัวเราะความฝันเรา จงอย่าเปลี่ยนความฝันนั้น จงคิดว่า นักวิทยาศาสตร์หลายคนโดนแบบนี้มาแล้ว เช่น 2 พี่น้องตระกลูไรท์ ที่เป็นคนคิดจะประดิษฐ์ เครื่องบิน แรกเพวกเขาทำการทดลองทำเหมือนเครื่องร่อน ใครๆก็หัวเราะพวกเขาใครๆก็หาว่าบ้า แล้วพอพวกเขาคิดได้ เป็นยังไงล่ะ ผู้คนแต่ยกย่องพวกเขา
ดังนั้นเราไม่ควรที่จะกลัวในสิ่งที่เราฝัน เราควรทำให้มันสำเร็จ
กลัวว่าจะมีคนด่า กลัวว่ามีคนแกล้ง กลัวที่จะมีคนเก็บไปล้อเก็บไปนินทา การกลัวที่จะไม่ก้าวไปเท่ากับเราก็ไม่ได้เดินไปตามทางที่ตัวเองได้มุ่งหมายไว้เท่ากับว่าเป็นการหลอกตัวเอง การหลอกตัวเอง มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรเพราะจะทำให้เราคิดอยู่เสมอว่าเราได้กระทำแล้วแต่แท้ที่จริงเรายังไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองฝันเลยด้วยซ้ำไป แล้วมันก็จะทำให้เราไปไม่ถึงทางแห่งความสำเร็จนั้น เพราะ ในส่วนตัวผมคิดว่า การที่ไม่ได้ก้าวเดินในทางที่ตัวเองใฝ่ฝันมันแย่มากๆ คือ ความฝันของคนเรานั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ก็เพราะว่า ความฝันนั้นช่วยให้อะไรหลายๆ ในสังคมเล็กจนไปถึงสังคมใหญ่และทั่วทั้งโลก ผมคิดว่าคนทั่วทุกมุมโลก ก็ฝันกันทั้งนั้น
เมื่อเราสมหวังในสิ่งที่เราฝันแล้ว แล้วถ้าเราผิดหวังในความฝันนั้นล่ะ อย่างแรกให้เราคิดว่า เราเหมือนเจอทางตันไปต่อไม่ได้ให้เราเดินกลับมาเริ่มต้นใหม่ แล้วเริ่มเดินใหม่ ให้เราคิดซะว่า ถึงก้าวไปไม่ถึงความฝันนั้น เราก็สามารถบอกกับตัวเองได้ว่า" เออ ตัวเรานี้ยังได้ทำในสิ่งที่ฝันไว้นะ" มันก็ยังดีกว่าที่ใครบ้างคนมีความฝันอยู่กับตัวแล้วแต่กลับไม่ยอมที่จะเดินในเส้นทางแห่งความฝันนั้น การที่เราไม่กล้าที่จะเดินเลย มั่วแต่ไม่กล้า มั่วแต่ไม่ทำ แล้วมันจะถึงทางแห่งเกรียติยศนั้นไหม คงถึงปลายทางที่เราฝันไว้ไหม คงไปไม่ถึงแน่ ดังนั้นให้เรากล้าที่จะทำตามความฝัน ถึงแม้มันจะไม่สำเร็จก็ตาม ดังนั้นให้ประสบการณ์ในการเดินทางบนถนนแห่งความฝันในตอนแรก เป็นพลังในการที่เราจะก้าวครั้งใหม่ ในการก้าวเดินให้คิดแบบนี้แล้วสักวันหนึ่งเราคงเจอสิ่งนั้น สิ่งที่เรียกได้ว่าสุดยอดของชีวิต คือการเดินจนถึงความฝันที่เราตั้งไว้
ความฝันนั้น ที่สามารถช่วยอะไรได้หลายๆอย่างที่ผมบอกไปนั้น ความฝันสามารถกระทำให้คนๆหนึ่งจากที่เคยเลวกับกลายเป็นคนดี ช่วยให้สังคมมีอะไรดีๆดีๆเพิ่มขึ้น เห็นไหมครับ ความฝันนั้นเป็นคำที่ยิ่งใหญ่ การที่เราจะทำให้ความฝันนั้นสำเร็จ ก็เหมือนกับการที่เราได้รางวัลชิ้นใหญ่ที่สุดในชีวิต แต่การที่จะทำให้ความฝันนั้นสำเร็จนั้นก็จะต้องแลกกับความยากลำบาก ต้องลองผิดลองถูก แต่มันก็คุ้มกันไม่ใช่เหรอ กับการที่เรายอมแลกเพื่อได้ความฝันนั้นมาอยู่กับตัวเอง จงมุ่งมั่นก้าวไปในทางนั้น ก้าวอย่างไม่หยุดยั้ง และก้าวเดินไปด้วยความมั่นใจและเต็มไปด้วยแรงใจ ถ้าเมื่อใดท้อจงหยุดพักและก้าวต่อเมื่อพร้อม สักวันจะตรงพบความสำเร็จเป็นแน่แท้ ถ้าไม่หยุดเดินครับ
จงอย่ากลัวความฝันถ้าเรายังไม่ได้เดินไปในเส้นทางแห่งความฝันนั้น