26 มีนาคม 2547 10:23 น.
~Dream Maker~
มีครอบครัวหนึ่งอยู่กันมาอย่างรักใคร่กันเป็นที่สุดซึ่งเพื่อนบ้านต่างอิจฉากับความรักใคร่กันของครอบครัวนี้
ครอบครัวนี้มีด้วยกัน 4 คน มีแม่ และลูก ๆ อีก 3 คน วันหนึ่ง แม่ ก็เกิดเป็นโรคร้ายแรงขึ้นมานั่นก็คือ เป็นโรคหัวใจร้ายแรง
จำเป็นต้องผ่าดัดเปลี่ยนหัวใจโดยด่วน
ลูกชายทั้ง 3 รักแม่มาก
และรู้ว่าตนเองนั้นต้องทำอะไรซักอย่างให้กับแม่บังเกิดเกล้าของเขา
คนโตเป็นนักธุรกิจพันล้านมีธุรกิจใหญ่โต
ได้รับผิดชอบในเรื่องของค่าใช้จ่ายในทุก ๆ ด้าน โดนยอมสละเวลาในการเซ็นสัญญาเพื่อมาคอยเฝ้าไข้คุณแม่
คนรองเป็นนายแพทย์ชั้นนำของโลก รับผิดชอบในการรักษาคุณแม่ และทำการเรียกประชุมสมาคมแพทย์ทั่วโลกเพื่อหาวิธีรักษาคุณแม่ของเขา
คนเล็กนั้น ยังไม่มีงานทำ
เนื่องจากตนนั้นมิได้มีความเฉลียวฉลาดเหมือนกับพวกพ! ี่ ๆ เขา และก็สำนึกตัวอยู่ตลอดว่าตนเองนั้นคงไม่มีกำลังพอที่จะช่วยแม่ที่เขา
เทิดทูนได้อย่างที่พี่ ๆ ทั้ง 2 ทำได้
แต่เขารู้ว่าตนเองต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อแม่ของเขา
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา การผ่าตัดหัวใจเป็นไปได้ด้วยดี และคุณแม่ก็ฟื้นขึ้นมาหลังจากหลับไปนานถึง 4 วันทีเดียว คุณแม่ได้พบหน้าลูกทั้งสองคน คือคนโตและคนรอง
แต่กลับไม่ได้พบหน้าลูกคนเล็ก คุณแม่จึงถามลูก ๆ ทั้งสองว่า
น้องไปไหน
แต่คนโตกลับบ่ายเบี่ยงไปว่าคุณแม่พึ่งฟื้น ให้ทานอาหารก่อน
แล้วเขาก็ออกไปนำอาหารมาให้คุณแม่
คุณแม่ถามคนรอง แต่คนรองก็บอกกับคุณแม่ว่า ผมต้องไปนำยามาให้แม่ทานหลังอาหาร และก็จากไป คุณแม่สงสัย เพราะอาการของลูกทั้งสองนั้นไม่ธรรมดาเลย
เมื่อทุกคนอยู่พร้อมกันคุณแม่จึงถามขึ้นมาอีกครั้ง
น้องอยู่ไหน
ทั้งสองอ้ำอึ้ง และไม่มีใครที่อยากจะตอบคำถามแม่ของเขาเลย
คุณแม่ย้ำ
บอกมานะ น้องอยู่ที่ไหนกัน
คนโตตอบคุณแม่ด้วยน้ำตาคลอเบ้า
น้องอยู่ในหัวใจคุณแม่ครับ
คุณแม่จังุงงงกับคำตอบของลูกชายคนโตมาก
! ;จึงหันหน้าไปถามคนรองซึ่งกำลังร้องไห้อยู่เหมือนกัน หมายความว่าไงลูก
คนรองตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ดวงตาเอ่อล้นด้วยหยดน้ำที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหย่อน
พวกเราสามคน พอรู้เรื่องว่าแม่ไม่สบาย ก็กระวนกระวายใจเป็นอย่างยิ่ง
ผมและพี่ ได้ทำในสิ่งที่ตนเองทำได้และควรกระทำแล้ว และน้องก็ได้ทำสิ่งที่พวกผมไม่มีความกล้าพอที่จะทำได้ให้กับแม่
แม่ไม่เข้าใจ ลูก
วันนั้นเป็นเวรของน้องที่จะมาเฝ้าไข้แม่
โดยที่พวกผมจะมาเปลี่ยนเวรกันในตอนเช้า 6 โมง เมื่อผมเข้ามาถึง
กลับไม่เห็นน้องอยู่ในห้องของแม่ แต่มีโน๊ตเขียนไว้ตรงเตียงแม่ว่า
พี่รอง ผมอยู่ในห้องน้ำ และไม่ต้องตกใจสิ่งใดทั้งสิ้น
ผมก็เดินไปที่ห้องน้ำ ปรากฏว่า
น้องได้ทำการฆ่าตัวตายโดนใช้มีดที่นำมา ปลอกผลไม้ กรีดที่ข้อมือตัวเองในอ่างน้ำ โดนให้เลือดไหล ช้า ๆ เพื่อที่หัวใจจะยังสามารถทำงานและยังจะสามารถนำมาช่วยแม่ได้
น้องเขียนจดหมายไว้ในห้องน้ำว่า
นำหัวใจผมไปช่วยแม่ ผมรักแม่ แต่ผมทำได้แค่นี้ น้องเสียแล้วเพราะเลือดไหลมากเกินไป และผมก็ได้นำหัวใจของน้องมาช่วยแม่ครับ
! ไม่จริงใช่ไหมลูก น้องออกไปหางานทำเท่านั้นใช่ไหม อย่ามาหลอกแม่เลย
ลูกคนโตปลอบโยนคุณแม่ที่ทำท่าปฏิเสธทั้งน้ำตาว่า
แม่ครับ พวกผมสองคน ให้แม่ยังไม่ได้ครึ่งของน้องเลยครับ
เราสามคนรักแม่มาก และผมก็เข้าใจน้องดีครับ แม่ทำใจนะครับ
พวกเรา จะยังคงอยู่ด้วยกัน 4 คนเหมือนเดิม ไม่มีวันใดที่พวกเราจะแยกจากกันหรอกครับ
แม่สะอื้น แต่เริ่มทำใจได้แล้ว
แม่รักลูก รักลูกทุกคน และลูกทุกคน จะอยู่กับแม่เสมอ และตลอดไป
ทั้ง 3 คน ร้องไห้ และพร่ำเรียกหาน้องคนเล็ก
แม้เขาจะไม่มีโอกาสได้ยินเสียงของแม่และพี่ชายทั้งสองคนอีกครั้งก็ตาม
อีเมล์นี้ผมได้จากเพื่อนส่งต่อมาให้อ่านแล้วผมประทับมากเลยครับเลยนำมาให้เพื่อนๆได้อ่านกัน
26 มีนาคม 2547 10:17 น.
~Dream Maker~
>>>>>คนนั่งอยู่ด้านหน้า ต่างคนต่างมา
>>>>>คนด้านซ้ายมือแต่งตัวเหมือนคุณหญิงใส่เพชรใส่ทองมากมาย
>>>>>คนด้านขวาแต่งตัวเรียบ ๆ แล้วผู้หญิง 2 คนก็เริ่มคุยกัน
>>>>>
>>>>>
>>>>>สาวเปรี้ยว :
สวัสดีค่ะมาเที่ยวคนเดียวเหมือนกันเหรอคะ
>>>>>
>>>>>สาวเรียบร้อย : ค่ะมาคนเดียว
>>>>>
>>>>>สาวเปรี้ยว : เนี่ย เดี๊ยน
ไม่ได้มาเที่ยวอย่างเดียวหรอกคะ
>>>>>กะว่าจะมาดูรถไปให้ลูกใช้ซัก 2 คัน
>>>>>
>>>>>สาวเรียบร้อย : อ๋อเหรอคะ
>>>>>
>>>>>สาวเปรี้ยว : ตอนสมัยอยู่ฝรั่งเศส ก็ขับจากัวร์
>>>>>กับเฟอร์รารี่เจ้าคุณพ่อซื้อให้ค่ะเงินสดนะคะ
>>>>>
>>>>>สาวเรียบร้อย : อ๋อเหรอคะ
>>>>>
>>>>>สาวเปรี้ยว : มานี่จะซื้อของขวัญให้ตัวเองซะหน่อย
>>>>>กะว่าจะซื้อเพชรกลับเมืองไทยซัก 50 กะรัต
>>>>>สาวเรียบร้อย : อ๋อเหรอคะ
>>>>>
>>>>>สาวเปรี้ยว : แล้วคุณน้องหล่ะคะ ชีวิตเป็นไงบ้างค่ะ
>>>>>
>>>>>สาวเรียบร้อย : ก็ไม่มีอะไรคะ ชีวิตเรียบง่าย
สมัยเรียนพ่อให้ไป
>เรียนในวัง
>>>>>ได้แต่เย็บปักถักร้อย ร้อยพวงมาลัย ทำขนม ครูห้ามพูดคำหยาบ
>>>>>ครูบอกว่าถ้าจะด่าใคร อีตอแหล ให้พูดว่า อ๋อเหรอคะ
>
26 มีนาคม 2547 10:12 น.
~Dream Maker~
ที่สนามบินนานาชาติระดับโลก มีนักธุรกิจหญิงแต่งตัวดี
>จำเป็นต้องรอเวลาถึง 3 ชั่วโมงในการเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อไปจุดหมายปลายทาง
>เธอจึงตัดสินใจเดินไปซื้อหนังสือ 1 เล่ม และคุ๊กกี้ 1 ห่อ
>และเตรียมหาที่นั่งเพื่ออ่านและกิน ฆ่าเวลาไปพลาง ๆ เธอสอดส่ายมองหาที่นั่งได้
>1 แห่ง เมื่อนั่งลงก็เตรียมหนังสือและคุ๊กกี้ เพื่ออ่านและกินไปพลาง ๆ
>เธอสังเกตเห็นว่าข้าง ๆ เธอมีชายหนุ่มซึ่งนั่งเหยียดกายอย่างไม่สนใจใคร
>ว่าจะมีใครนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา สักครู่หนึ่ง ขณะที่เธออ่านหนังสือ
>ชายหนุ่มก็หยิบขนมคุ๊กกี้ออกจากถุงซึ่งวางอยู่ระหว่างคนทั้งสอง
>แล้วกินมันอย่างละชิ้น เธอมองด้วยความโกรธ แต่ไม่ต้องการทำเรื่องวุ่นวาย
>เธอจึงทำเป็นไม่สนใจ
>เธอเริ่มรู้สึกเบื่อที่จะกินคุ๊กกี้และเฝ้ามองนาฬิกาในขณะที่ชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้ขโมยไร้ยางอาย
>กำลังกินมันให้หมดสิ้นไป เธอเริ่มโมโหและคิดในใจว่า
>ถ้าฉันไม่ใช่ผู้ดีมีการศึกษาแล้วละก็.... ฉันจะชกหน้าเจ้าหมอนี้ให้แหลกไปเลย
>ทุกครั้งที่เธอหยิบกิน 1 ชิ้น ชายหนุ่มก็หยิบมันกิน 1 ชิ้น
>ทั้งสองส่งสายตามองกัน เมื่อคุ๊กกี้เหลือเพียงชิ้นสุดท้าย
>เธอหยุดและอยากรู้ว่าชายหนุ่มจะทำอย่างไร ชายหนุ่มค่อย
>ๆหยิบคุ๊กกี้ชิ้นสุดท้ายแล้วหักออกเป็น 2
>ชิ้นส่งให้เธอครึ่งชิ้นและกินเองครึ่งชิ้น
>เธอรับจากชายหนุ่มอย่างรวดเร็วและคิดในใจว่า เขาช่างเป็นคนไร้มารยาทสุดะ ๆ
>ช่างไร้การศึกษา ไม่มีแม้แต่พูดขอบคุณสักคำธ
>เธอลุกขึ้นหยิบข้าวของทั้งหมดแล้วตรงไปยังประตูขึ้นเครื่อง
>ไม่แม้แต่เหลียวหลังกลับมามองหัวขโมยผู้ไร้มารยาทซึ่งยังนั่งอยู่ที่เดิม
>ภายหลังจากขึ้นเครื่องและนั่งประจำที่อย่างสบายแล้วเธอก็หยิบหนังสือที่อ่านค้างอยู่ขึ้นมาอีกครั้ง
>ในขณะที่หยิบหนังสือจากกระเป๋า ก็พบว่ามีขนมคุ๊กกี้ 1 ห่อ
>เธอตกใจมากถ้าคุ๊กกี้ของฉันยังอยู่ที่นี่ ก็แปลว่า.....
>คุ๊กกี้ห่อนั้นเป็นของชายหนุ่มที่แบ่งให้เธอกินเธอลุกขึ้นทันที
>แล้ววิ่งออกจากเครื่องบินไปยังที่นั่งของชายหนุ่ม
>แต่คงเหลือแต่ที่นั่งว่างเปล่า มันสายไปเสียแล้วที่จะได้ขอโทษชายหนุ่ม
>ระหว่างเดินกลับเข้าเครื่อง เธอรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ เธอนั่นเองที่ไร้มารยาท
>เป็นหัวขโมยที่ไร้การศึกษาตัวจริง **มีกี่ครั้งในชีวิตของคนเรา
>ที่ค้นพบในภายหลังว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริง
>มันเป็นการเข้าใจผิด **มีกี่ครั้งในชีวิตที่เราขาดความไว้วางใจผู้อื่น
>และทำให้เราตัดสินผู้อื่นจากความคิดเย่อหยิ่งของเราเองซึ่งห่างไกลจากความเป็นจริงมากมาย
>นี่แหละที่ทำให้เราต้องคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อนตัดสินผู้อื่น หลาย ๆ
>สิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น ควรมองผู้อื่นในแง่ดี แล้วคอยสังสัยตัวเองว่า
>"เรามองโลกในแง่ดีพอแล้วหรือยัง?
เราเคยแบ่งปันอะไรแก่คนอื่นบ้างหรือไม่????
14 มีนาคม 2547 11:22 น.
~Dream Maker~
เริ่มที่ว่ามีคนอยู่ห้าคน ชื่อ L S M B F
>L(หญิง) เป็นแฟนกับ M(ชาย)
> >ทั้งสองมีเหตุให้ต้อง
> >อยู่ห่างไกลกันมาก
> >โดยที่ L ก็ไม่รู้ว่า M อยู่ที่ไหน
> >L คิดถึง M มาก อยากไปหา M แต่ก็ไม่รู้จะไปอย่างไร
> >B บอกว่า B รู้ว่า M อยู่ที่ไหน จะอาสาพา L ไปหา M
> >แต่ L จะต้องให้เงิน B ก้อนหนึ่งถือเป็นค่าจ้าง
> >B ขอเงินมากพอสมควร
> >L ก็ไม่มีจะให้ แต่ก็อยากไปหา M ...
> >S รู้เรื่องเข้า ก็บอก L ว่า
> >S มีเงินมากพอที่จะให้ L เอาไปให้ B เพื่อให้ B พาไปหา M
> >แต่ L ต้องมีสัมพันธ์สวาท(เซ็นเซอร์)กับ S คืนนี้ก่อนแล้ว S
>จึงจะให้เงิน
> >L
>L ก็ยอมเพราะอยากไปหา M
> >F เป็นเพื่อน M F รู้เรื่องสัมพันธ์สวาทของ L กับ S
> >เข้าก็ไปบอก M พอ M รู้เข้าก็โมโหมาก เลิกกับ L ไปเลย
> >สรุปแล้ว L เจ็บปวดที่สุดเลยเสีย virgin
> >แล้วแฟนยังขอเลิกอีก
> >คำถามมีอยู่ว่า ในเรื่องนี้ใครผิดมากสุด
> >แล้วใครผิดน้อยสุด?
> >
> >อย่าพึ่งแอบดูคำตอบนะ
> >เป็นคำถามทายใจให้คิดก่อน
> >ถ้ายังไม่คิดให้กลับไปอ่านแล้วคิดก่อนนะ
> >
>ได้คำตอบหรือยัง?
> >
>
>
>
>
>
>
>
>
>
>
>
>
>
>
>
>
>
> >
> >
> >
>
>
>คำตอบก็คือ
> >
> >ถ้าคิดว่าคนไหนผิดน้อยที่สุดนั่นแสดงว่า
> >คุณให้ความสำคัญกับสิ่งนั้นมากที่สุด
> >
> >และคิดว่าคนไหนผิดมากสุด
> >ก็ให้ความสำคัญกับสิ่งนั้นน้อยที่สุด
> >
> >L=LOVE
> >M=MORAL
> >B=BUSINESS
> >S=SEX
> >F=FRIEND