18 สิงหาคม 2549 13:27 น.
Dr.FreaK
สถานที่ซึ่งนาฬิกาหมุนช้าลง
เขานั่งจิบกาแฟอยู่ในห้อง
กลิ่นกาแฟทำให้เขาวิงเวียน
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม
ทั้งๆที่เขาไม่เคยชอบกลิ่น
แต่รสชาดนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธ
เขาเคยคิดว่าพักหนึ่งคงจะชินไปเอง
แต่การสู้รบระหว่างประสาทสัมผัสทั้งคู่
ไม่เคยเลิกรา
"เกลียดและรักในเวลาเดียวกัน"
ตัวหนังสือปรากฎอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์
ซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะเดียวกับถ้วยกาแฟ
ซึ่งยังมีไอร้อยลอยขึ้นมาจากถ้วย
ซึ่งเขาหยิบยกขึ้นมาประทับกับริมฝีปาก
ซึ่งบ่งบอกถึงสุขภาพอันย่ำแย่
ซึ่งเขาไม่ได้ใส่ใจมันมากว่า 10 ปี
สมองกำลังทำงานอย่างหนัก
ทั้งๆที่ควรเป็นเวลาพักผ่อน
แต่นาฬิกาของโลกไม่ใช่เวลาสากล
เมื่อเปรียบเทียบกับร่างกาย
และยิ่งเป็นร่างกายของเขา
ความไม่เป็นสากลของนาฬิกาโลกดูชัดเจนขึ้นอีก
"รักและเกลียดในเวลาเดียวกัน"
ถูกแทนที่ประโยคแรก
ด้วยเหตุผลบางประการ
มันฟังดูมีน้ำหนักมากกว่า?
มันฟังดูสดใสมากกว่า?
มันฟังดูขัดแย้งมากกว่า?
เขาไม่อาจตอบได้
เพียงแค่สลับที่คำสองคำ
จะมีความหมายมากกว่าหรือเปล่า
หรือเพราะเขาเป็นคนเขียน
ผู้อ่านจะล่วงรู้ถึงความหมายของมัน
ก่อนที่มันจะถูกเปลี่ยนแปลงได้หรือเปล่า?
ไม่ใช่หน้าที่ของเขาที่ต้องหาคำตอบ
หน้าที่ของเขาคือเขียนมันให้เสร็จ
ประโยคเปิดสำหรับหนังสือเล่มใหม่
ที่ได้มาจากความรู้สึก
ระหว่างกาแฟและตัวเขา
ระหว่างกลิ่นและรส
สรรหาคำที่ดูดีและมีความหมาย
โดยที่แท้จริงอาจไม่มีความหมายใดๆเลย
คนหลงไปกับความงามทางภาษาได้
ความสละสลวยของการร้อยเรียง
แน่นอน
ทั้งหมดอยู่ในหนังสือเล่มใหม่ของเขา
คุกรุ่นไปด้วยอารมณ์
เวิ้งว้างดั่งขอบเขตแห่งรัตติกาล
คำหรูหราฟู่ฟ่าเขียนไม่ยาก
และผู้อ่านก็ชอบเหลือเกิน
ด้วยบริบทของความหมาย
ความไพเราะซึ่งสังเคราะห์ได้
"รัก/เกลียด ในเวลาเดียวกัน"
การใช้สัญลักษณ์
ทำให้มันดูห่วยแตก
เขารู้สึก
อันที่จริงแล้วหนังสือเล่มนี้
ไม่ได้เกี่ยวกับความรัก
เขารู้สึก
คนอ่านบางคนคงจับได้
ว่ามันไม่ได้มีความหมาย
เขารู้สึก
แต่มันเป็นคำเปิดหนังสือที่ดูดี
ขาดเพียงอะไรเล็กน้อย
เขารู้สึก
เขาเกาหัว
ทำไมเขาถึงคิดไม่ออก
ทำไมเขาต้องใช้เวลานานขนาดนี้
ทำไมนาฬิกาในห้องหมุนช้าลง
ทำไมเขาจึงอยากใช้คำง่ายๆแทนคำหรู
ทำไมเขาจึงไม่พอใจกับมันเสียที
มือประทับปุ่มแป้นอักษรอีกสองสามครั้ง
"เกลียดและรักในเวลาเดียวกัน?"
การเติมปรัศนีย์ครั้งนี้
ไม่ใช่คำถามเพื่อตัวเอง
ทว่าเป็นคำถามเพื่อมวลชน
เพื่อคำตอบที่ไม่เป็นสากล
เพื่อบริหารสมองของผู้อ่าน
เขายิ้มพอใจ
โยกย้ายร่างกายไปยังเตียงนอน
ล้มตัวลงหลับตา
คืนนี้หมดเวลาแล้วสำหรับเขา
สำหรับเวลาที่หมุนช้าลง
เขาพร้อมกลับไปใช้เวลาโลก
ทิ้งถ้วยกาแฟ
ซึ่งบัดนี้หมดไอร้อน
ซึ่งลอยขึ้นมาจากของเหลว
ซึ่งเขาเกลียดกลิ่น
ซึ่งไม่เข้ากับรสชาด
ซึ่งเขาเพิ่งจิบไปได้คำเดียว
แต่สูดกลิ่นของมันเข้าไปนับครั้งไม่ถ้วน
เกลียดและรักในเวลาเดียวกัน?
16 กรกฎาคม 2549 11:03 น.
Dr.FreaK
หากเทียบชีวิตของคนเป็นสีแต่ละสี
สีของชีวิตอาคมคงเป็นสีเทาอ่อนๆ
อาคมเป็นน้องชายของพ่อ
ยังไม่แต่งงานแม้จะอายุเยอะแล้ว
อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน
เหมือนกับอาราม และ อาลัย
ครอบครัวเราเป็นครอบครัวใหญ่
ญาติคนไหนที่ยังไม่เป็นฝั่งเป็นฝา
ก็ยังอยู่รวมกันเป็นปกติ
อาคมทำงานเป็นจิตรกร
ทุกวัน อาคมจะตื่นตั้งแต่ตี 5
เพื่อออกมารำไทเก๊กบนดาดฟ้า
6 โมงครึ่ง อาคมจะกินข้าวเช้าเสร็จ
8 โมง จะขลุกอยู่ในห้องทำงาน
และไม่ออกมาพบปะผู้คนอีกเลยจนถึงเวลาข้าวเย็น
ทุกวัน ชีวิตของอาคมไม่เคยเปลี่ยน
มีครั้งหนึ่งตอนเด็ก
สมัยที่อาคมเพิ่งเป็นจิตรกรได้ใหม่ๆ
ผมและพี่สาวแอบเข้าไปในห้องทำงานของเขา
ซึ่งเป็นที่รู้ดีกันว่าหากใครรุกล้ำ
เป็นอัน "โดนดี"
ในห้องทำงานของอาคมมีรูปวาดมากมาย
แต่ละชิ้นเป็นผลงานที่หาคำบรรยายไม่ได้
อาจเป็นเพราะตอนนั้นผมยังเด็ก
หรือเพราะมันห่วย ผมก็ไม่แน่ใจ
ที่แน่ใจก็คือ
อาคมติดกลอนประตูห้องทำงานเพิ่มอีก 5 ชั้น
หลังจากวันที่เราแอบเข้าไป
ทุกคนในบ้านสงสัยว่าอาคมวาดอะไร
พอรู้ว่าผมกับพี่สาวเคยเปิดประตูพิศวงนั้น
ก็พากันถามถึงงานของอาคม
วาดคน? วาดวิว? วาดสิ่งของ?
วาดภาพแอ๊บสแทรก? หรือ วาดรูปโมนาลิซ่า?
ออกจะเกินความสามารถของอายุผมในตอนนั้น
แต่ผมก็ยืนยันได้ว่า
มันไม่ใช่ทุกสิ่งที่แต่ละคนเดา
อาคมกำลังวาดอะไรบางอย่าง
ที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าความคาดหมายของทุกคน
สองสามปีมานี้
อาคมสุขภาพแย่ลง
แต่ดูจะอารมณ์ดีขึ้น
เริ่มพูดจาในโต๊ะอาหารมากขึ้น
เขาเปรยถึงผลงานของเขาว่า
ใกล้จะสมบูรณ์เต็มที
และทุกคนจะได้ชื่นชมผลงานของเขา
ในวันที่เขาพร้อมเปิดตัวงาน
ทุกคนในบ้านตื่นเต้นกันมาก
อย่างกับจัดงานปาร์ตี้
พ่อซื้อแชมเปญมาขวดหนึ่ง
ทั้งๆที่ไม่มีใครในบ้านดื่ม
แต่พ่อบอกว่าอยากลองเปิดขวดแชมเปญดูสักครั้งในชีวิต
พวกเรารอให้อาคมนำงานของเขาออกมาจากห้อง
แต่อาคมก็ไม่ลงมาเสียที
เราทุกคนเริ่มกระวนกระวาย
พ่อตะโกนเรียกอาคม
แต่ไม่มีเสียงตอบกลับ
พ่อคิดว่าอาคมคงอยู่ในห้องทำงาน
อาสาขึ้นไปตามด้วยตัวเอง
หลายนาทีผ่านไป
พวกเราทุกคนก็ตามขึ้นไป
เพราะพ่อไม่ยอมกลับลงมาเสียที
ที่หน้าห้องทำงานของอาคม
กลอนทุกชั้นถูกถอดออก
พ่อยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
สายตาจ้องเข้าไปในห้อง
มันเหมือนกับในหนังที่เราเคยดู
ไม่มีใครพูดอะไร
ทุกคนเดินช้าๆไปที่หน้าห้อง
แล้วมองไปทางเดียวกับที่พ่อมอง
"ชีวิต... นี่คือชีวิตของคม"
พ่อพูดขึ้นมาเบาๆ
งานชิ้นสุดท้ายในชีวิตของอาคม
คือภาพชีวิตของเขาเอง
อาคมไม่ได้ตาย
ไม่มีใครในบ้านพูดหรือแม้แต่จะคิด
ว่าอาคมตายแล้ว
อาคมแค่หายตัวไปเฉยๆ
อาจจะไปนั่งวาดรูปที่อื่น
สักแห่งในประเทศ
สักที่ในโลก
สักมุมในจักรวาล
ไม่มีใครรู้ได้
รูปสีเทาบนผืนผ้าใบ
เรานำมันมาตั้งในห้องอาหาร
เป็นรูปสีเทาอ่อนๆทั้งผืน
เรียบ เนียน เหมือนสีคอนกรีต
ไม่มีใครในบ้านสักคนเข้าใจ
ว่าทำไมพ่อถึงบอกว่ามันคือชีวิตของอาคม
ยกเว้นผม
พ่อบอกกับผมว่า
สีเทาเป็นสีที่ผสมกันระหว่างขาวและดำ
สีเทาอ่อนๆหมายความว่าเจือขาวมากกว่า
และนั่นคือบทสุดท้ายของชีวิตอาคม
ส่วนผสมของ ขาว และ ดำ
หลายปีต่อมา
พ่อจากเราไป
ในงานศพ
ผมแอบหวังเล็กๆว่าอาคมจะกลับมา
แต่ก็ไม่มีวี่แวว
ผมไม่เคยบอกพ่อว่า
ผมเชื่อว่ารูปนั้นเป็นรูปชีวิตของอาคม
แต่ผมไม่เชื่อ
ว่ามันเกิดขึ้นจากสีขาวและสีดำ
ผมเชื่อว่าชีวิตสีเทาของอาคม
เกิดจากการรวมกันของสีทุกสี
แล้วค่อยย้อมสีขาวเข้าไปทีหลัง
เพื่อให้มันกลายเป็นสีเทาอ่อน
ผมเชื่อ
ว่าชีวิตของอาคมไม่ได้มีแค่สีขาวและสีดำ
แต่คงไม่มีใครไขปริศนานี้ได้
นอกจากอาคม
30 เมษายน 2549 23:26 น.
Dr.FreaK
เธอไม่หัวเราะกับมุกตลกของเด็กชาย
และตัดสินใจเดินจากไปเงียบๆ
สำหรับเธอแล้ว
ความเหงาหมายเลข 42
ไม่ใช่เรื่องตลก
เธอเดินทางกลับที่พักของเธอ
วางความเหงาหมายเลข 42 ลงข้างๆหมายเลข 41
ครุ่นคิดว่าความเหงาทั้งสองหมายเลขนี่ต่างกันอย่างไร
อันที่จริงเธอถามผิดคำถาม
เธอควรจะถามว่า
"ความเหงาคืออะไร"
เพราะเธอไม่เคยเหงา
ที่นี่ ไม่มีความรู้สึกเหมือนข้างบนหรอก
เธออยากรู้ว่าคนข้างบนทิ้งมันลงมาที่นี่
เพราะเหงาเป็นเรื่องแย่
หรือเรื่องดีกันแน่
เธอเหลียวมองไปรอบตัว
ไม่มีใครอยู่แถวนี้
เธอไม่มีเพื่อน
เธอนึกถึงเสียงของหมายเลข 5
"ฉันไม่มีเพื่อน"
บางทีเธออาจจะเหงาก็ได้
เธอยกหมายเลข 42 ขึ้นแนบหู
ปกติแล้วความเหงาที่เธอเคยพบจะมีเสียง
เสียงแห่งความเหน็บหนาว
แต่เสียงของหมายเลข 42 นั้นแปลก
มันเหมือนเสียงของความอบอุ่นมากกว่า
แปลกดี
หรือความจริงแล้วหมายเลข 42 ไม่ใช่ความเหงา
งั้นทำไมเธอถึงเห็นเป็นความเหงาล่ะ?
หรือคนข้างบนเข้าใจผิด
หมายเลข 42 น่าจะเป็นอย่างอื่นมากกว่า
เด็กหญิงวางหมายเลข 42 ลง
แล้วเดินกลับไปยังสถานี
รอรถไฟขบวนถัดไป
บางทีเธออาจจะเข้าใจความเหงา
เมื่อเธอพบหมายเลข 43
30 เมษายน 2549 09:00 น.
Dr.FreaK
"รถไฟมาแล้ว!"
และนั่นไม่ใช่คำโกหก
เพราะพาหนะไฟท่วมขบวนนั้น
กำลังเคลื่อนตัวเข้ามายังสถานี
มันจอดสนิท
เปลวไฟลุกโชนก่อให้เกิดความสว่างไปทั่วบริเวณ
ครู่หนึ่งก่อนจะเคลื่อนขบวนไปยังสถานีถัดไป
ทิ้งกองวัตถุที่ทุกมาไว้กองหนึ่ง
เมื่อขบวนรถวิ่งออกไปพ้นทาง
เงาดำที่ซ่อนตัวอยู่
(รวมถึงเจ้าของเสียงแรก)
ก็โผล่ตัวออกมาจากที่ซ่อน
ดังร่ายมนตร์
เพียงไม่กี่วินาที
บนกองวัตถุนั้นก็เต็มไปด้วยเด็กน้อยมากมาย
"อันนี้ของกระผมขอรับ"
"ดิฉันเจอก่อนนะเจ้าคะ"
"คุณไปค้นที่อื่นดีกว่าไหม"
ภาษาที่ใช้ดูมีมารยาทผิดกับการกระทำ
เด็กๆแย่งกันหาสมบัติของตัวเอง
กลัวว่าใครจะแย่งของที่ตนอยากได้ไป
ในมุมหนึ่งของความวุ่นวาย
เด็กหญิงมองดูวัตถุในมือเธออย่างมีความหมาย
มันส่งแสงเป็นประกายสะท้อนนัยน์ตาของเธอ
ซึ่งคงไม่มีใครมองเห็น
เพราะประกายนั้นเป็นของเธอคนเดียว
เป็นประกายในห้วงคำนึงของเธอเท่านั้น
"คุณได้อะไรมาบ้างครับ"
เด็กชายที่อยู่ใกล้ๆถาม
"ความเหงาหมายเลข42"
เธอตอบอย่างภาคภูมิใจ
"ใยต้องหมายเลข 42"
"ข้างบนนั้นเขานิยมนับเป็นตัวเลข"
"จริงหรือ"
"ท่านอาจารย์บอกมา"
"น่าขัน"
"แล้วคุณล่ะคะได้อะไรบ้าง"
"คำสัญญา.......หมายเลข517ครับ"
เด็กชายหัวเราะ
แต่เด็กหญิงไม่หัวเราะ
ไกลออกไป
ชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่ท่ามกลางสายฝน
"นานเท่าไหร่แล้วนะที่ฝนไม่ตก"
เขาคิดในใจ
"เมื่อไหร่ฝนจะตกสักที...."
เขายังคงคิดอยู่
"น่ารำคาญไอ้เม็ดน้ำบ้านี่"
เขาลืมไปแล้วว่าฝนเป็นอย่างไร
สายฝนยังคงตกอยู่ในความมืด
บัดนี้รถไฟได้เดินทางไปไกลแล้ว
พวกเด็กน้อยก็แยกย้ายกันไป
เหลือเพียงรางรถไฟ
กับเศษซากสิ่งของจาก"ข้างบน"
3 ธันวาคม 2548 21:47 น.
Dr.FreaK
น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างเกียจคร้าน ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าสิ่งที่มันควรทำไม่ใช่การกลิ้งอยู่บนผ้าห่ม แต่คือการซึมลงไปในเนื้อผ้า ทะลุไปทักทายปุยนุ่นก่อนที่จะแห้งระเหยกลายเป็นไอ วนเวียนอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมใบยักษ์นี้จนกว่าจะมีใครสักคนเปิดช่องข้างๆกล่องนั้น
จิ้งจกที่เกาะอยู่บนเพดานก้มลงมองเจ้าของหยดน้ำตาอย่างสงสัย มันมีคำถามมากมายที่อยากจะถามแต่จิ้งจกน้อยเข้าใจดี ไม่มีใครเข้าใจภาษาของมันหรอก โดยเฉพาะพวกมนุษย์ ไม่ว่าจิ้งจกน้อยจะพูดอะไรมนุษย์ก็ทึกทักไปเองว่ามันเตือนไม่ให้ออกจากบ้าน
"ไม่มีใครเข้าใจฉันหรอก
ไม่มีเลย
ไม่มีสักคน"
สิ้นเสียงของหญิงสาวจิ้งจกขมวดคิ้วของมันเข้าหากัน เจ้าของน้ำตาเพิ่งสร้างคำถามใหม่ ทำไมล่ะ ในเมื่อมันเองก็ไม่มีคนเข้าใจเหมือนกัน แต่มันกลับไม่รู้สึกอยากจะขับของเหลวออกมาจากกระบอกตา มนุษย์นี่แปลก คิดได้ดังนี้แล้วเจ้าตัวเกาะผนังก็วิ่งรี่กลับไปยังที่อยู่ของมัน
แสงดาวเองก็ยังแอบมองเจ้าของน้ำตาผ่านทางช่องของกล่องสี่เหลี่ยม แต่มันมองเพียงครู่หนึ่งแล้วก็หนีจากไปยังกล่องอื่น แสงดาวอยากรู้ว่าในค่ำคืนนี้มีคนปล่อยหยดน้ำตากี่คน และมันต้องรีบทำเวลาก่อนที่รุ่งเช้าจะตอกบัตร
ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศกำลังตัดสินใจว่าจะพัดเข้าไปปลอบมนุษย์ผู้นี้ดีไหม อันที่จริงลมเย็นตัดสินใจเสร็จแล้วแต่มันยังนึกคำสวยงามไม่ออก มันไม่แน่ใจว่าจะใช้สรรพนามแทนตัวเองว่าอะไร และแน่นอน สรรพนามแทนมนุษย์ผู้นั้นด้วย ในที่สุดลมเย็นก็ตัดสินใจได้ในจังหวะเดียวกับที่มนุษย์ผู้นั้นเดินไปปิดเครื่องปรับอากาศ
หยดน้ำตาชุดที่สองถูกไล่ออกมาจากร่างกายอีกครั้ง พวกมันค่อยๆทิ้งไหลไปตามโหนกแก้มพลางตื่นเต้น มันไม่อยากหล่นลงบนพื้นไม้ปาร์เก้เพราะมันอาจจะถูกเหยียบ ถูกเช็ด ถูกทำร้ายก่อนที่จะได้ระเหย หยดน้ำตาเกาะปลายคางของหญิงสาวไว้แน่นแต่พรรคพวกที่พรั่งพรูออกมาจากนัยน์ตาหญิงสาวตามมาสมทบจนกระทั่งเกือบจะต้านแรงโน้มถ่วงไม่ไหว แล้วอยู่ดีๆหญิงสาวก็ปาดทีมน้ำตาเสี่ยงตายให้ไปติดอยู่ตามมือแทน
เธอเดินเข้าห้องน้ำแล้วจ้องมองเงาตัวเองในกระจก เช่นเดียวกับที่เงาในกระจกจ้องมองเธอ เงากำลังอารมณ์เสีย ก่อนที่เธอจะมาส่องกระจกนั้นเงากำลังเล่นโป๊กเกอร์อยู่กับเงาเพื่อนสนิทของเธอ เงากำลังมีความสุข แล้วอยู่ดีๆก็ถูกเรียกมาทำหน้าเศร้าเปื้อนรอยน้ำตา เงาภาวนาให้เธอเดินลับกระจกไปเร็วๆหรืออย่างน้อยก็เบี่ยงสายตาไปทางอื่น แต่ไม่ ... หญิงสาวจ้องเงาของตัวเองตาไม่กระพริบ เงาพยายามอ่านความคิดของเธอ แต่พยายามเท่าไหร่ก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในที่สุด หญิงสาวก็ละสายตาจากกระจกก้มลงไปล้างหน้า
คราบน้ำตาบางส่วนที่ไม่ถูกปาดไปอยู่ที่มือหรือทิ้งให้ซึมอยู่กับผ้าห่มถูกชะออกไปรวมกับกระแสน้ำประปาเชี่ยวกราด ทั้งสองฝ่ายทักทายกันพอเป็นพิธีแล้วจับมือกันไหลลงไปตามท่อประปา
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองกระจก เงาตกใจสะดุ้งตามขึ้นมา คราวนี้ความเศร้าบนใบหน้าของเธอหายไป เงารู้สึกได้ถึงความรู้สึกใหม่ มันเป็นครั้งแรกที่เงาอยากจะเอ่ยปากถามหญิงสาว ละเมิดกฎของเงาที่ต้องทำตามเจ้าของ แต่หญิงสาวหันหลังกลับเข้าห้องไปเสียก่อน เงาจึงเดินแกร่วกลับไปเล่นโป๊กเกอร์เหมือนเดิม
เธอปิดไฟแล้วเดินกลับไปยังเตียง ห่มผ้าและหลับตาลง แทบจะทันทีที่เธอหลับสนิท ความมืดซึ่งแอบดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ตามมุมต่างๆที่แสงสว่างเข้าไม่ถึง ก็รีบดิ่งไปยังผ้าห่มทันที
"นี่" ความมืดเรียกหยดน้ำตา
"อะไร" หยดน้ำตาบางส่วนเริ่มแห้งไปแล้ว ที่เหลืออยู่กำลังหยอกล้อกับปุยนุ่น
"เธอคือความเศร้าเหรอ"ความมืดถาม
"เปล่า พวกเราคือหยดน้ำตา"
"งั้น... เธอแบกความเศร้าได้เหรอ" ความมืดยังคงเซ้าซี้
"เปล่า พวกเรามาตัวเปล่า ไม่ได้แบกอะไรมาด้วย"
"เหรอ" ดูเหมือนความมืดจะไม่ค่อยพอใจกับคำตอบ "ถ้าอย่างนั้น ทำไมเจ้านายเธอถึงหายเศร้าหลังจากที่พวกเธอออกมาล่ะ"
"อย่ามาโทษพวกเรานะ" หยดน้ำตาโกรธ "พวกเราถูกสั่งให้ออกมาเราก็ออกมา แค่นั้นแหละ ถ้าอยากรู้ว่าความเศร้าหายไปในก็ไปถามความเศร้าโน่นไป!"
ความมืดสงสัย
ความมืดอยากรู้ว่าความเศร้าหายไปไหน
ความเศร้าไม่ได้อยู่กับหยดน้ำตา
ความเศร้าเองก็ไม่ได้อยู่กับความมืด
หรือว่าจะเป็นความเงียบกับความเหงา
แต่ไม่หรอกเพราะความเงียบกับความเหงาเป็นเพื่อนสนิทกับความมืด
ความมืดรู้ดีว่าเพื่อนของเขาก็ไม่ได้คบกับความเศร้า
อ้าว แล้วความเศร้าหายไปไหนล่ะ?
ความมืดคิดแล้วคิดอีกจนกระทั่งตัดสินใจได้ว่า
"รู้ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา"
แล้วความมืดก็ทำหน้าที่ของมันต่อไป