30 มีนาคม 2551 21:27 น.
Dot...space
"เราต้องเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างควรจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น"
"เราต้องสู้เพื่อจะเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ของพวกเรา"
"สงครามกำลังเกิดขึ้น และเราต้องทำสงครามเพื่อความอยู่รอด"
ประโยคจากเหล่าบรรดาผู้ปกครองประเทศถูกเผยแพร่ตามสื่อต่างๆมากมาย
ตามแต่สถานะการณ์ในประเทศของตน
การปลุกใจให้คนรู้จักรักและพร้อมที่จะต่อสู้กับความเลวร้ายนับเป็นหนทางที่ดีที่สุด
และเมื่อคุณลุกขึ้นสู้ สิ่งที่คุณอาจจะได้รับนั่นคือความหวัง
แล้วคุณก็จะมีคุณค่าบนผืนดินแห่งนี้
นี่คือสิ่งที่ผู้คนทั้งหลายเฝ้าบอกมันกับผมอยู่ทุกวัน
แต่...
ทั้งหมดนั้นอาจเป็นแค่เพียง
ฝุ่นควันเล็กๆ
หรือเสียงลมเบาๆ
ที่เด็กน้อยคนหนึ่งไม่อาจรู้สึกถึงมันได้เลย
เธอก็แค่....พยายามยืนอยู่บนโลกใบใหญ่นี้เท่านั้นเอง
ผมเดินเตร็ดเตร่อย่างไร้จุดหมาย หลังจากเกิดความผิดพลาดในภารกิจสำคัญ
สายตามองกวาดไปรอบๆ ผมอาจกำลังมองหา.... ที่หมาย ซักที่ เพื่อหยุดพัก
และแล้วภาพของเด็กผู้หญิงร่างเล็กๆคนนึงที่นั่งคุดคู้อยู่ในซอกตึก
มันทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะหยุดและเดินตรงเข้าไปหาเธอ
ผมมองเธอ...
ผมเห็นเธอ...
ถึงแม้ตอนนี้เธอจะดูปรกติดี ไม่ได้ดูผุพังในส่วนไหน แต่คราบน้ำตาบนแก้มของเธอ
มันทำให้ผมต้องเอ่ยคำพูดบางคำด้วยความสงสัย
"เธอ...เป็น...อะไร..."
เด็กน้อยมีแววตาที่เลื่อนลอย ผมค่อยๆนั่งลงข้างๆเธอ อย่างช้าๆ
...........
.......
"เธอ...ถือ....อะไร..."
ผมชี้ไปที่ก้อนผ้า ที่เหมือนจะถูกเย็บรวมกันรูปร่างคล้ายอะไรบางอย่างแต่ผมในตอนนี้ไม่อาจจะนึกถึงมันได้
"ตุ๊กตา"
เธอตอบ
"เค้าเรียกมันว่า ตุ๊กตา คุณไม่รู้จักหรอ?"
ผมส่ายหน้า แต่เธอไม่ได้หันมองมาทางนี้เลย...
ฝุ่นควันลอยฟุ้งเข้ามา พร้อมกับเสียงระเบิด ที่ดังขึ้นทุกขณะ
ผมมองจากด้านในนี้
ผู้คนมากมายต่างวิ่งกันอย่างชุลมุน
....บางคนกรีดร้อง
....บางคนสิ้นหวัง
ในสถานที่เลวร้ายแห่งนี้ ผมกลับยังสามารถนั่งได้อย่างสบายใจ
กับเด็กน้อยคนหนึ่งซึ่งดูเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับเหตุการณ์รอบๆตัวเธอเลย
"ตอน...นี้.....อันตราย..มาก........เธอ..รู้.......มั้ย"
"สง...คราม........"
"เมื่อก่อน หนูชอบวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ แล้วก็มาแอบอยู่ที่นี่เป็นประจำ"
เธอพูดแทรกผมขึ้นมา
"ตอนนั้นมันสนุกมากเลย ตอนเช้าหนูตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น ตอนเย็นหนูเล่นจนค่ำแล้วถึงกลับบ้าน"
"แม่ดุ หนูทุกวัน"
"แม่ชอบบอกว่า เราไม่มีอะไรเลย เงินทอง สิ่งของ เราไม่เคยมีอะไรเลย"
"เรา...ถึง...ต้อง...พยายาม...เปลี่ยน...แปลง...ไง .."
ผมพยายามอธิบายโลกความจริงที่ผมรับรู้มาให้เธอฟัง
"ดิ้นรนหรอคะ"
"ใช่...ดิ้น...รน"
ผมตอบเธอ
"แม่หนูก็ชอบพูดถึง คำว่า ดื้นรน"
เธอมองออกไปยังถนนที่ยังคงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
มีคนมากมายยังคงวิ่งด้วยความสับสน
ทั้งชีวิต และ จิตใจ
"ใช่ค่ะ... ตอนนี้ทุกคนกำลังดิ้นรน"
"แต่...ไม่...ใช่......กับ...เธอ...นี่..."
ผมเริ่มอยากจะรู้จักเธอให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้
ว่าทำไมเด็กหญิงตัวเล็กเพียงคนเดียว
สามารถสงบนิ่งท่ามกลางความเป็นตายที่เกิดขึ้นนี้ได้
"คงเป็นเพราะหนู... ไม่มีเวลาพอมั้งคะ"
"ทำ....ไม...หล่ะ .... เวลา....ของเธอ.....เสีย....หรือ."
เธอหันมายิ้มเล็กน้อยกับคำพูดของผม
เสียงโลหะบางอย่างดังขึ้นเป็นจังหวะ ใกล้เข้ามา ใกล้เราเข้ามาทุกที
"คุณก็รู้นี่คะ ว่าทำไมหนูถึงไม่มีเวลาอีกแล้ว"
เสียงนั้นหยุดอยู่ตรงหน้าของพวกเราแล้ว
สายตาคู่หนึ่งจ้องมองมาจากถนน
ผมค่อยๆ ผยุงร่างที่แสนจะหนักนี้ขึ้นมา แม้มันจะยากลำบาก
เพราะส่วนประกอบบางส่วนของผมได้ถูกทำลายไปแล้ว
วงจรไฟต่างๆในตัวก็หลุดออกมาอยู่ด้านนอกบอดี้
ชิ้นส่วนของแขนที่ขาดร่วงไปข้างหนึ่งทำให้การทรงตัวของผมไม่ดีนัก
ผมยืนขึ้น และมองเธอ ก่อนจะมองไปยังชายผู้หนึ่งและหุ่นทหารที่อยู่ตรงหน้า
"นั่นมันพวกต่อต้านประเทศ กำจัดเด็กคนนั้นทิ้งซะ แล้วจัดการไอ้หุ่นทหารผุพังตัวนั้นด้วย"
เสียงชายที่หนักแน่น ออกคำสั่ง
เสียงปืนนับไม่ถ้วนดังก้องสนั่น
เสียงโลหะกระทบกับลูกตะกั่วดังพร้อมๆกับเสียงกรีดร้องเล็กๆของเด็กคนหนึ่ง
ก่อนทุกอย่างจะค่อยๆมืดลง....
ผมยังได้ยินประโยคนึงจากเธอ แม้มันจะแผ่วเบามากเหลือเกิน
หรือผมอาจจะสร้างเสียงนั้นขึ้นมาเองข้างในโปรแกรมก็เป็นไปได้
คงเป็นอาการที่บอร์ดหลักที่คอยควบคุมร่างกายทั้งหมดของผมเกิดไฟลัดวงจร
"อะไรคะที่ดีขึ้น... หลังการเปลี่ยนแปลง"
"ชีวิตพวกเรางั้นหรอคะ"
"แล้วอะไรคะคือความสุข... "
"หนูแค่...อยากมีความสุข แค่นั้นเอง"
ผมก็แค่หุ่นทหารที่ใกล้จะพังเต็มที พอหมดหน้าที่ ใช้งานไม่ได้ก็ต้องถูกทำลายเป็นเรื่องปรกติธรรมดา
มนุษย์จะยอมให้เราอยู่ ก็ต่อเมื่อเรามีประโยชน์เท่านั้น
แต่ในวันนี้ก่อนผมจะสูญสิ้นไป
ความจริงบางอย่างก็ทำให้ผมเข้าใจมนุษย์มากขึ้น
ผมล้มลงอยู่ข้างๆเธอ
เด็กหญิงตัวเล็กๆเพียงคนเดียว
แม้ผมจะไม่เคยรู้สึกอะไรเลยเพราะโปรแกรมไม่ได้สั่งให้เรามีความรู้สึก
แต่ผมตอนนี้คงกำลังสัมผัสกับบางสิ่ง
ภาพสุดท้ายก่อนโลกจะหมุนต่อไป
ก่อนจะถึงบทสรุปของการเปลี่ยนแปลงต่างๆนาๆ ที่เหล่าคนใหญ่คนโตพูดจากันอย่างสวยหรู
มันคือภาพ ของเด็กน้อยและกองโลหะขนาดใหญ่ ท่ามกลางสังคมที่วุ่นวาย
สิ่งที่เกิดขึ้น แต่ไม่อาจสัมผัสมันได้
บางที คนเราร้องเรียกและเฝ้าคอยอยู่เสมอมา
------------------------------------------------------------------------------------
ณ ที่แห่งนี้....
ความอบอุ่น ได้ก่อตัวขึ้น อย่างแผ่วเบา
ระหว่างผมกับเธอ
ก่อนจะถูกลบเลือนไป
จากสังคมและโลกใบนี้
ตามกาลเวลา.......
30 มีนาคม 2551 02:26 น.
Dot...space
"จำไว้ให้ขึ้นใจ"
"หากแกทำงานผิดพลาด ทางเลือกของแกมีแค่สองทางเท่านั้น"
"หนึ่ง คือ เฉยไว้ ปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไปอย่างเงียบกริบที่สุด"
"หรือไม่...แกก็จงไปยอมรับผิดแต่โดยดี"
รุ่นพี่คนหนึ่งพยายามอธิบายทุกๆอย่างให้ผมฟัง
"โทษของการทำงานพลาด หนึ่งครั้ง ต่อ นิ้วมือ หนึ่งนิ้ว"
-------------------------------------------------------------------------------------------
ผมยอมรับเลยว่าใจนึงผมก็ยังกลัวๆเกรงๆต่อการตัดสินใจครั้งนี้
ผมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรผู้มีอิทธิพลกลุ่มหนึ่ง
มันเป็นหนทางที่ดีในการหาเงิน แต่ก็ต้องแลกกับความหวาดระแวง
ระแวงต่อความผิดพลาด
ระแวงต่อกฎหมาย
ระแวงต่อบาป ที่ค่อยๆก่อตัวมากขึ้นทุกวันๆ
แต่ผมก็ได้ตัดสินใจลงไปแล้ว
รุ่นพี่ของกลุ่มได้บอกกับผมอย่างชัดเจนถึงกฎของความผิดพลาดว่า
"ความผิดพลาดหนึ่งครั้ง แลกกับนิ้วมือหนึ่งนิ้ว"
นั่นหมายความว่า ต่อไปนี้ผมต้องรอบคอบอย่างที่สุด
"นิ่งเงียบเข้าไว้ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น"
หรือไม่ก็ ต้องเสแสร้งให้แนบเนียนที่สุด
ความผิดพลาดมักเกิดขึ้นได้กับคนเราอย่างคาดไม่ถึงจริงๆ
ผมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ได้เพียงสองเดือน
แต่นิ้วมือซ้ายของผมก็เหลือเพียง นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้
หลายคนมองว่ามันคือตราบาปของผู้ที่ผิดพลาดและล้มเหลว
แต่สำหรับพวกเรา มันคือ สัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจ
สิ่งที่แลกไปเพื่อระลึกถึงความผิดพลาด
และวันนี้ก็เป็นวันรวมตัวครั้งยิ่งใหญ่ของสมาชิกกลุ่มจากทั่วประเทศ
ไม่น่าเชื่อว่า กลุ่มราจะมีสมาชิกรวมทั้งหมดราวๆ สองสามพันคน
และไม่น่าเชื่ออีกว่า มีเพียง ไม่ถึง ยี่สิบคน ที่สูญเสียนิ้วมือของตนเอง
"ไอ้พวกที่เหลือมันใจปลาซิว"
ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายผมด้วยถ้อยคำปนความโกรธแค้น
"มึงรู้มั้ย พวกกูไปกันสิบกว่าคน โดนตำรวจมันจับ สุดท้าย มีกูคนเดียวที่ไปรับโทษ"
ผมค่อยๆก้มมองที่มือทั้งสองข้างของชายแปลกหน้า
แต่ไม่เห็นนิ้วหัวแม่มือทั้งซ้ายและขวาของเค้า
"มึงก็ไม่เลวนี่ สามครั้งเชียวหรอ มึงแน่มาก"
เค้าพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินไปยังกลุ่มคนอื่นๆต่อไป
พวกเรารวมกลุ่มคุยกันได้เพียงไม่นาน
ก็มีการประกาศเรียกสมาชิกทุกคนที่ถูกตัดนิ้ว ให้มานั่งประชุมกัน
และแสดงความให้เกียรติแก่บุคคลเหล่านั้น
รวมถึงผม ก็ได้รับเชิญในครั้งนี้ด้วย
เรานั่งเรียงกัน จากท้ายโต๊ะ คือคนที่เสียนิ้วไปเพียงนิ้วเดียว เรียงมาเรื่อยๆ
ไปจนถึงหัวโต๊ะ ซึ่งเว้นที่ว่างไว้ สำหรับใครซักคน
ชายสองคนที่นั่งด้านข้างบริเวณหัวโต๊ะนั้น มีนิ้วมือเพียงนิ้วเดียว
ทั้งยังมีบาดแผลมากมายบนตัวซึ่งเห็นได้ชัดเจน
ชายเหล่านี้ทุกคนได้ก้าวผ่านความเป้นความตายกันมา
ได้เรียนรู้ถึงความผิดพลาดต่างๆนาๆ
และได้กล้าที่จะยอมรับต่อความผิดพลาดเหล่านั้น
ต่างจากคนที่ยังสมบูรณ์และปรกติทั่วไป ที่ยืนรายล้อม
เฝ้าจับตาดูการประชุมครั้งนี้อยู่
เพียงแค่อึดใจเดียวเท่านั้น
ก็มีชายคนหนึ่งเดินมานั่งที่หัวโต๊ะที่เว้นว่างเอาไว้
ชายสวมสูทสีดำ ผิวขาวผ่อง ดวงตาที่มีความมุ่งมั่น
และรอยยิ้มเล็กๆ มันมีสเน่ห์อย่างประหลาด
เขาสะกดทุกคนเอาไว้ในวินาทีนั้นเอง
"สวัสดีครับ หัวหน้า" มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
ก่อนที่ทุกๆคนจะกล่าวทักทายตามๆกัน
ชายคนนี้นี่เอง คือหัวหน้าของเราทุกคน
เค้าค่อยๆยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ
สิ่งที่ทำให้ผมต้องตกใจ นั่นคือ
ชายผู้นี้ ไม่มีนิ้วมือเลย ซักเพียงนิ้วเดียว
อย่างนี้นี่เอง คนที่จะก้าวขึ้นไปถึงจุดสูงสุด
ต้องผ่านความผิดพลาดมานับครั้งไม่ถ้วน
เรียนรู้ และ เติบโต
การประชุมเริ่มขึ้น มีการแลกเปลี่ยนข่าวสารกันอย่างเข้มข้น
ผมได้แต่นั่งฟังเพียงอย่างเดียว
จนกระทั่งการประชุมดำเนินไปจนถึงช่วงสุดท้าย
"สุดท้ายนี้ ผมอยากจะเล่าบางสิ่งให้พวกคุณฟัง" ชายผู้ไม่มีนิ้ว
ได้กล่าวขึ้นอย่างจริงจัง
"ผมเคยมีเพื่อนที่รักกันมาก หนึ่งคน ตอนนั้นเราพึ่งเข้ามาที่นี่ใหม่ๆ"
"ช่วงนั้นทุกอย่างมีความเสี่ยง อันตรายเกิดขึ้นได้ทุกเวลา"
"ตำรวจเฝ้าจับตาดูพวกเราอย่างแทบจะไม่ได้กระดิกตัว"
หัวหน้ายังคงส่งยิ้มให้กับสมาชิกทุกคนที่กำลังตั้งใจฟังเรื่องราว
"วันนึง ผมและเพื่อน เราไปทำงานชิ้นสำคัญด้วยกัน"
"แต่แล้วด้วยความบุ่มบ่ามของมัน เลยทำให้ตำรวจไหวตัวทัน"
"มันจึงยิงตำรวจคนนั้นซะ ก่อนจะค่อยๆเดินเข้าไปเพื่อเก็บปืนจากตำรวจคนนั้น"
"ระหว่างที่มันกำลังให้ความสนใจกับปืนกระบอกสวยนั้น"
"ตำรวจคนนั้นลุกขึ้นมาและคว้ามีดที่ด้านหลังออกมา"
"ผมวิ่งตรงเข้าไป...."
ชายหนุ่มค่อยๆ ยกแขนที่ไร้นิ้วทั้งสองข้างขึ้นมาต่อหน้าพวกเราทุกคน
"ผมเอาสองมือนี้.....จับมีดนั้นไว้"
ทุกคนจับจ้องไปยังมือด้วนๆของหัวหน้า
"เราทำงานผิดพลาดก็จริง...."
"แต่ผมไม่ได้สูญเสียนิ้วมือทั้งหมดนี้ไป"
"เพียงเพราะความผิดพลาดแต่อย่างใด"
"ผมสูญเสียนิ้วมือทั้งหมดนี้ไป"
"เพียงเพื่อ....."
"ความถูกต้อง"
"เพียงครั้งเดียว"
29 มีนาคม 2551 13:15 น.
Dot...space
" 7 วัน เท่านั้นครับ อีกเพียงเจ็ดวันโลกที่เราอาศัยอยู่กันมานานแสนนาน ก็ถึงวันที่ต้องดับสลายไป"
เหล่านักวิทยาศาสตร์ผลัดเปลี่ยนหน้ากันกระจายข่าวตามสื่อต่างๆกันอย่างชุลมุน
มันคงเป็นเรื่องยากที่เราจะยอมรับความจริงอันนี้ได้
เหล่าพนักงาน บริษัท องค์กรต่างๆ
พากันทบทวนตลอดชีวิตที่พวกเค้าสูญเสียไปกับการทำสิ่งที่ซ้ำซากจำเจกันทุกๆวัน
ต่างจากพวกบรรดาเกษตรกรทั้งหลาย
ที่พักเหนื่อยจากการทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพไปวันๆ
เพราะอาหารสำหรับวันพรุ่งนี้ ....คงไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว
------------------------------------------------------------------------------------------
" อีกเพียง 6 วัน เท่านั้น..."
เสียงจากวิทยุเทคโนโลยีรุ่นใหม่ล่าสุดที่กำลังจะวางตลาดดังเล็ดลอดออกมาจากสลัมแห่งหนึ่ง
หลังจากทราบข่าวทางบริษัทก็แจกฟรีให้กับทุกคน ทำให้ในย่านสลัมต่างๆทั่วเมือง
ยกระดับชีวิตขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ
-------------------------------------------------------------------------------------------
" แม่บอกว่าอีก 5 วัน เราจะย้ายไปอยู่บ้านใหม่แล้วแหละ"
"จริงหรอ.. แต่บ้านเราเค้าบอกว่า อีก 5 วันเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกแล้ว"
เสียงเด็กกลุ่มหนึ่งจับกลุ่มคุยกันที่สนามเด็กเล่นเล็กๆในโรงเรียน
บางกลุ่มก็เตะฟุตบอลกันอย่างสนุก
บางกลุ่มก็วิ่งเล่น
บางคนก็นั่งคุยหัวเราะกันอย่างร่าเริง
นั่นเพราะ โรงเรียนได้งดการสอนเป็น เวลา 7 วัน
และไม่มีครูหรือผู้ใหญ่คนไหนโผล่หน้ามาที่โรงเรียนอีกเลย
------------------------------------------------------------------------------------------
"เหลืออีกเพียง 4 วัน แล้วใช่มั้ย ... ผมรักคุณนะ"
ประโยคที่ถูกออกเสียงมากที่สุดในช่วงเวลานี้คือ "ผมรักคุณ"
ไม่ว่าจะจากปากต่อปาก
จากปากส่งไปยังโทรศัพท์มือถือ
มีคนบางกลุ่มพากันเดินขบวนเพื่อบอกรักคนทุกคนที่เดินผ่าน ทุกคนที่เข้ามาในชีวิต
บอกรักพ่อ บอกรักแม่ บอกรักพี่ บอกรักน้อง
บอกรักเพื่อน... เพื่อนบ้าน... อาแปะร้านขายของ...
ป้าแก่ที่นั่งขอทานอยู่บนสะพานลอย...
รวมถึงบอกรัก... หมาตัวหนึ่งที่บังเอิญวิ่งมากระดิกหางและยิ้มให้
------------------------------------------------------------------------------------------
" แค่ 3 วัน บันทึกเล่มนี้ก็คงถูกปิดลง"
ลายมือที่ไม่ค่อยบรรจงนัก ค่อยๆขีดตัวหนังสือลงไปยังสมุดบันทึก
ตลอดทั้งเล่มอัดแน่นไปด้วยความทรงจำแห่งวันวาน
ความรักสมัยเด็ก
ของขวัญวันเกิดครบรอบสิบขวบ
ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อน
และอีกมากมาย
ความสุข..
ความเศร้า..
สำเร็จ..
ผิดหวัง..
หัวเราะ..
ร้องไห้..
ทุกอย่างถูกขีดเขียนด้วยความตั้งใจมาโดยตลอด
จวบจนถึงวินาทีนี้ และเวลาที่ยังเหลืออยู่...
------------------------------------------------------------------------------------------
"นายฝันอยากเป็นอะไร"
"ถามอะไรตอนนี้วะ อีกแค่ 2 วัน เราไม่มีเวลาสำหรับความฝันแล้ว"
เสียงชายหนุ่มมากมายท่ามกลางวงเหล้ากับเสียงอึกทึกดังติดต่อกันมาหลายวัน
ชายหนุ่มมักจะชอบพูดถึงความฝันของตัวเอง
ทุกคนล้วน...มีความฝัน
แต่ทุกคน ณ ตอนนี้ ขาดเพียงแค่...เวลา
"กูมีนะ ความฝัน" ชายคนหนึ่งลุกขึ้นพูด
"กูเบื่อสังคมเฮงซวย กับพวกขยะสังคมจริงๆ"
พูดจบชายผู้นั้นก็วิ่งหายไป...
ใครจะรู้ว่าชายผู้นั้นได้ไปไล่ฆ่าพวก...
นักเลงที่ชอบหาเรื่อง
นักการเมืองที่โกงกิน
และพวกนักโทษ นับไม่ถ้วน
แม้จะดูงี่เง่าไปบ้าง เพราะคนเหล่านั้นก็เหลือเวลาอีกไม่มากดังเช่นคนทุกคน
แต่ก็เป็นความฝันหนึ่งที่ลูกผู้ชายคนหนึ่งกล้าที่จะทำ
แม้จะไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "เวลา" ก็ตามที
------------------------------------------------------------------------------------------
"พรุ่งนี้แล้วสินะ" ตัวอักษรที่พึ่งถูกพิมพ์ลงไปด้วยแป้นคีย์บอร์ด ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์
เข้าสู่เครือข่ายอินเตอร์เน็ต กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว
"ไม่สิ อีกเพียงไม่กี่นาทีก็จะถึงเวลา 0.00 นาฬิกาแล้ว"
"เอาหล่ะ เรามานับถอยหลังกันดีกว่า..."
------------------------------------------------------------------
10....
ถ้าชีวิตคุณถูกกำหนดวันสิ้นสุด คุณจะทำ..อะไรกับเวลาที่เหลือ
9...
คุณจะยิ้ม...เหมือนเมื่อวานที่ยิ้มให้กับผมได้มั้ย
8...
คุณจะหัวเราะ....กับการกระทำที่ทำมาตลอดชีวิตโดยที่ไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร ได้มั้ย
7...
หรือคุณจะนั่งร้องไห้....ให้กับความไม่เป็นธรรมของอะไรซักอย่างที่ทำให้เรื่องทั้งหมดเป็นแบบนี้
6...
คุณจะรักกันเพิ่มมากขึ้นกว่าเมื่อวันวานงั้นหรอ ทั้งที่ไม่มีเวลาให้คุณแสดงความรักนั้นอีกแล้ว
5...
ทำไมคุณถึงต้องรอให้ถึงวันนี้.. เพื่อมาตอบคำถามเหล่านี้ของผม
4...
เพราะโลกนี้มันยังหมุนดีอยู่ใช่มั้ย
3...
เพราะทุกอย่างเป็นปรกติดี...ใช่มั้ย
2...
คุณเลยไม่จำเป็นต้องคิด หรือ ทำอะไร
1...
ผมเคยคิดแบบนั้น เคยคิดแบบคุณ....
มาตลอด...
ทั้งชีวิต......