28 เมษายน 2551 19:23 น.
Dot...space
ฝนกำลังตกปรอยๆ
หยดน้ำพากันเคลื่อนที่
จากสูง สู่ ต่ำ
จากฟ้า สู่ ดิน
หยดน้ำเล็กๆที่หยดลงได้เริ่มสัมผัสกับผิวเนื้อ
คอนกรีตเริ่มลื่น เมื่อเม็ดฝนค่อยๆกระจายตัวลงบนพื้น
สองเท้าบอกให้ผมระวัง สิ่งที่อาจเกิดขึ้น อันตรายซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
ในวันที่ทุกอย่างดูชุ่มชื่น ธรรมชาติช่างเบ่งบาน สิ่งมีชีวิตต่างพากันร้องรำ
แต่มนุษย์นั้นกลับกำลังเดือดร้อน และร้อนรน
ผมค่อยๆเดินไปอย่างมีสติ
ในทุกก้าวที่เดิน
ผมไม่อาจปลดปล่อยความคิด
ในทุกก้าวที่เดิน
หัวใจผมเต้นอยู่ที่สองเท้า
ในทุกก้าวที่เดิน
ฝนยังคงตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย
อวยพรให้วันนี้ผ่านไปด้วยดี
ผมเฝ้าภาวนาในความมืดมิด
"ขอโทษครับ"
ผมจำต้องกล่าวคำขอโทษเล็กๆน้อยๆ
เนื่องจากไอ้ไม้ด้ามยาวที่ผมถืออยู่นี้
มันพลาดไปโดนใครเข้าซักคน
และตัวผมเองนั้นก็ล้มตึงลงไปบนพื้นที่เฉอะแฉะ
ไม่มีเสียงตอบกลับมา
ผมคิดว่าเค้าคงโกรธ
ไม่ก็คงเดินเลยผมไปอย่างไม่สนใจ
ผมค่อยๆพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น แม้มันจะไม่ใช่เรื่องยากเย็น
แต่ก็มีมือสองมือค่อยๆช่วยดึงผม และ ผยุงตัวผมขึ้นมา
"ขอบคุณนะครับ"
ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา
มันเลยกลายเป็นเพียงแค่คำพูดลอยๆของผมไปคนเดียว
ผมค่อยๆกวาดไม้ไปข้างหน้าเพื่อเดินต่อไป
เสียงรถเริ่มชัดเจนขึ้น ผมรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว
ทันทีที่ไม้แตะโดนพื้นถนน นั่นหมายความว่า
ที่นี่คือ "ทางแยก"
ในทุกวัน ผมต้องเดินไปกลับระหว่าง
ที่พัก และ ห้องสมุด ผมช่วยทางห้องสมุด
แปลตำราและหนังสือต่างๆ เป็น ภาษาเบลล์
นั่นทำให้ผมต้องเดินทางบนเส้นทางนี้ถึง สองครั้งต่อวัน
มันเป็นแค่ทางตรงสั้นๆ ระยะทางไม่ถึง ห้าร้อยเมตร
แต่สำหรับผมแล้วมันช่างยาวนานเหลือเกิน
สำหรับการเดินทางบนโลกใบนี้
ผมไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะไม่เจอทางแยกได้
ผมต้องข้ามมันทุกวัน แม้จะดูเสี่ยงเพียงใด
"ยังข้ามไม่ได้นะคะ"
"ยังข้ามไม่ได้ครับ"
เสียงเด็กๆมากมายตะโกนบอกผมจากด้านหลัง
ผมหยุดตัวเองได้ทันก่อนจะก้าวลงไปสู่โลกแห่งความตาย
"ขอบใจมากนะ"
เสียงเด็กเริ่มผ่านตัวผมไปข้างหน้า และค่อยๆเบาลง
นั่นหมายความว่า ตอนนี้ผมคงข้ามได้แล้ว
ไม่ทันที่ผมจะคิดอะไรต่อ ก็มีมือคู่หนึ่งคว้ามือผม
เดินผ่านมายังอีกฝากของถนน
แม้มันจะรวดเร็ว และเพียงชั่วครู่ แต่ผมจำสัมผัสของมือคู่นี้ได้
มือเล็กๆที่ดูบอบบาง กลิ่นน้ำหอมจางๆที่ปนไปด้วยกลิ่นไอฝน
"ขอบคุณอีกครั้งนะครับ"
เธอต้องเป็นคนเดียวกับคนที่พยุงผมขึ้นมาอย่างแน่นอน
"........"
ไม่มีเสียงใดๆ
เธอหายไปอีกแล้ว
ตั้งแต่นั้นมา ผมพยายามที่จะใช้เวลาเดินทางให้นานขึ้น
เพียงเพื่อที่จะเอ่ยคำ "ขอบคุณ"
เพียงเพื่อที่จะพักกายที่ไม่สมบูรณ์นี้
ยังที่ที่มีความเห็นใจ
หลายครั้งที่ผมพบเธอ
ใช่เธอ หรือ ไม่ ผมก็ไม่อาจบอกได้
เพียงแต่ความรู้สึกของผมบอกว่า ต้องเป็นเธออย่างแน่นอน
แม้ว่าเธอจะเข้ามาช่วยผม เวลาผมมีปัญหา
และหายตัวไปในเวลาอันรวดเร็ว
แต่ผมก็มีความสุข
แค่ทางเดินที่ ยาวไม่ถึง 500 เมตร เพียงแค่นั้น
ผมกลับได้พบและเรียนรู้สิ่งต่างๆ
รวมทั้งยังได้รับความรู้สึกดีๆอีกมากมายจากผู้คน
บนทฤษฎีความต้องการของมนุษย์ โดย อับราฮัม มาสโลว์
ซึ่งผมเคยเจอในหนังสือที่ผมแปลนั่นเอง
เค้าบอกไว้ว่า มนุษย์มีความต้องการขั้นพื้นฐานต่างๆมีการ
เรียงลำดับความสำคัญ จากน้อยไปมาก
จากเดิม ผมอาจเป็นคนที่ไร้ซึ่งสิ่งต่างๆ ซึ่งมนุษย์นั้นพึงได้รับ
แต่ ณ ตอนนี้ ผมได้ถูกหยิบยื่นสิ่งต่างๆให้
มันแทบจะครบแล้ว
และเพียงพอ
สำหรับ หนึ่ง ...ชีวิต...
วันนี้ผมเดินกลับทางเดิมอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกอิ่มเอม
แล้วก็ด้วยความบังเอิญ หรือโชคชะตา ...
ไม้ผมคงพลาดไปโดนเธออีกครั้ง
"ขอโทษครับ" ผมรีบกล่าวคำขอโทษ
ไม่มีเสียงใดๆ มีเพียงมือมือหนึ่ง จับมือของผมไว้
เธอเดินนำพร้อมจับจูงผมไป
ผมคิดว่าเธอคงจำทางเดินกลับของผมได้แล้ว
เพราะผมก็ผ่านทางนี้ทุกวัน
"ขอบคุณทุกๆครั้งเลยนะครับ"
"คุณพักอยู่แถวนี้หรือครับ"
"วันนี้อากาศดีนะครับ"
....................
ผมยังคง ถาม ถาม และก็ ถาม ในสิ่งที่ผมอยากรู้
แม้เธอจะไม่เคยตอบผมเลย
"พรุ่งนี้เจอกันอีกนะครับ"
เราต่างหยุดเดิน เพราะผมถึงที่พักของผมแล้ว
"พรุ่งนี้นะครับ ขอบคุณครับ"
ไม่ทันที่เธอจะปล่อยมือ
ก็มีเสียงเด็กแทรกเข้ามา
ผมคิดว่าเด็กคนนั้นคงเดินผ่านมาเห็นภาพของผมและเธอ
ซึ่งกำลังพูดคุยกันอยู่นั่นเอง
"พี่คะ พี่คะ ...."
"พี่ผู้หญิง เค้าไม่ตอบพี่หรอกค่ะ"
"พี่เค้าเป็นใบ้ค่ะ"
เสียงเด็กน้อยเงียบลง
ภาพตรงหน้าของผมดูมืด
ซึ่งคงไม่ต่างจากโลกของเธอ
ที่พูดคุยได้เพียงตัวเองลำพัง
ผมไม่ได้ปล่อยมือเธอ ผมดึงเธอเข้ามา
เราสองคนยืนกอดกัน
หรือบางที เราก็แค่ เอนกายพักพิงซึ่งกันและกัน
ในความมืด ภาพของเธอเริ่มก่อตัวขึ้น
เช่นเดียวกับเธอซึ่งคงกำลังเอ่ยคำพูดบางอย่างถึงผม
แม้ผมจะไม่เห็น และ เธอจะพูดมันออกมาไม่ได้
วันนี้ฝนตกปรอยๆ อีกครั้ง
ณ พื้นที่เล็กๆนี้.....
เราสองคนได้รับทุกสิ่ง ทุกความต้องการ
แม้ร่างกายของเราทั้งคู่จะขาดไปบ้าง
แต่นั่นไม่สามารถตัดสินอะไรได้เลย
คุณหล่ะ ....
มีครบเหมือนพวกเรา
....แล้วรึยัง?
12 เมษายน 2551 22:15 น.
Dot...space
สิ่งที่หลงลืม...
บางสิ่งจางหายตามกาละเวลา
ทิ้งเพียงเศษผงของความรู้สึก
ความรู้สึกก็เริ่มจางหายตามกาลเวลา
แต่ไม่ใช่สำหรับชายผู้นี้...
......................................................................
ชายหนุ่มผู้เดินทางข้ามผ่านเศษซากต้นไม้นับล้านๆต้น
ชายช่างตัดไม้ ผู้ไม่เคยแม้จะเหลียวกลับไปมองตอไม้เหล่านั้น
ที่อยู่เบื้องหลังความทรงจำของตนเอง
ทุกวันยังคงเดิม ...
ชายหนุ่มยังคงดำเนินชีวิตผ่านพ้นวันและคืน
พร้อมกับหยาดเหงื่อและความเหนื่อยล้า
แต่.....
งานที่ต้องลงแรงกาย มันช่างหนักเสียเหลือเกิน
สำหรับชายผู้ซึ่งวัยกำลังร่วงโรยไปตามวันเวลา
เมื่อแรงกายค่อยๆอ่อนลง
ความเงียบเหงาภายในใจก็เริ่มเกาะกินส่วนลึกๆในความรู้สึก...
มันลุกลาม
จนเกินกว่าที่หัวใจของคนหนึ่งคนจะรับไหว
ในที่สุด...
ชายหนุ่มหมดแรงและล้มลง
ร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวลงสู่พื้นดินอันเป็นที่ซึ่งเค้าได้เหยียบย่ำตลอดมา
มือวางเบาๆพร้อมกับปล่อยขวานด้ามใหญ่ลง
หลังค่อยๆเอนอิงกับตอไม้ใหญ่
ชายหนุ่มหวนคิด ถึงวันเวลาที่ผ่านมา
ข้างในส่วนลึกของความทรงจำและการกระทำ
อดีตคือสิ่งที่ต้องรำลึกและทบทวน
ภาพวันเก่าเล่าและบอกความเป็นจริงกับชายผู้นี้
"ต้นไม้ใหญ่หนอ เราตัดเจ้ามา เราคิดแต่ทำลาย แต่วันนี้ซากเล็กๆของเจ้า
กลับเป็นที่ให้ร่างกายที่อ่อนล้าเราได้เอนกายลงพักพิง"
"จากนี้เราจะดูแลเจ้าเอง"
ชายหนุ่มตั้งใจและมุ่งมั่นต่อความรู้สึกของตนเอง
จากนี้เส้นทางอนาคตได้ถูกขีดขึ้นทีละน้อยตามระยะทางของความคิดและจิตใจ
ทันทีที่ความนึกคิดสิ้นลง ภาพแรกตรงหน้าชายผู้นี้
คือ ต้นอ่อนที่ดูเหี่ยวเฉาท่ามกลางตอไม้ใหญ่นับพันนับหมื่นต้น
นี่อาจเป็นทางที่ได้ถูกสร้างมาเพื่อชายหนุ่ม
มือจากที่เคยถือขวาน
ตอนนี้กลับกลายเป็นถังน้ำใบใหญ่
ทันทีที่ชายหนุ่มเดินตรงไปยังต้นไม้นั้นด้วยรอยยิ้ม
ใบหน้าอิ่มเอมกับความสุขสมหวัง
ก็ปรากฏเงาของชายเดินมาอีกฝากหนึ่งพร้อมถังใบใหญ่เช่นกัน
เค้าตรงไปที่ต้นอ่อนนั้น....
พร้อมกับรดน้ำลงชโลมดินด้วยรอยยิ้มเฉกเช่นภาพในความนึกคิดของชายช่างตัดไม้
ผู้กำลังพยายามค้นหาความสุขบนความรู้สึกของคนซึ่งเป็นผู้ให้
ชายแปลกหน้านั้นนอกจากค่อยๆพรมน้ำลงอย่างตั้งใจแล้ว
สองมือยังค่อยๆหยิบเศษหิน และขุดพรวนก้อนดินพร้อมกับรอยยิ้ม
มันช่างให้ความรู้สึกที่อิ่มเอม บนใบหน้าของชายช่างตัดไม้ ยังเปื้อนไปด้วยคราบของรอยยิ้ม
หากเพียงแต่ข้างในใจลึกๆยังรู้สึกผิดหวัง
ที่ตนเองกลับไม่ได้ทำอะไรเพื่อต้นไม้นั้นเลย
ในไม่ช้า ก็ปรากฏผู้คนมากมาย คนเหล่านั้นต่างตรงเข้ามายังต้นไม้เล็กนั้น
ทุกคนต่างมาด้วยความรู้สึกที่เต็มเปี่ยม
ต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นตามเวลา
ผู้คน บ้างก็ยังอยู่
บ้างก็เดินจากไป
ผลัดไป เวียนมา
มีเพียงชายหนุ่มที่ยังคงยืนมองจากจุดเดิม
"เราแค่อยากดูแลเจ้า ก็แค่นั้น แต่จริงๆแล้วยังมีผู้คนอีกมากมาย
ที่อยากจะดูแลเจ้า และพร้อมที่จะดูแลเจ้า"
"เราทำอะไร .. ไม่ได้เลย ไม่ได้ทำอะไรเลย จนเจ้าเติบโต
แล้วความสุขมันหาได้จากที่ไหนกันหล่ะ"
ต้นไม้ยังคงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ วันนี้ต้นไม้ดูสูงใหญ่จนแทบจะลืมเลือนไปว่า
มันเคยเป็นเพียงต้นไม้เหี่ยวแห้งกลางทุ่งร้างแห่งนี้
กลับกันกับชายหนุ่มผู้ซึ่งกำลังหมดแรงลงกว่าแต่ก่อน
ร่างกายแห้งเหี่ยวไปตามสังขารของวัย
จนวันนี้ก็ยังคงมีผู้คนแวะเวียนเข้ามาดูแลต้นไม้ใหญ่อย่างไม่ขาดสาย
ต่างคนต่างหวังที่จะครอบครองต้นไม้ใหญ่นี้
ให้เป็นที่พักพิงเอนอิงร่างกายที่อ่อนล้า หัวใจที่อ่อนแรง
ไม่ต่างกับความคิดชายชราในวันก่อนนั้น
วันนี้คำถามยังคงถูกกล่าวขึ้นในอากาศ บางครั้งก็มากับสายลมเย็นๆที่พัดผ่าน
บางทีก็มาจากแสงแดดอ่อนๆที่สาดผ่านพุ่มไม้ใหญ่ลงมา
"ความสุข หาได้จากที่ไหน ในเมื่อจนถึงวันนี้ เรายังไม่ได้ทำอะไรเพื่อเจ้าเลย"
ชายชราแหงนหน้าขึ้นมองที่ต้นไม้ใหญ่
พร้อมกับค่อยๆเอนร่างกายลงอิงกับตอไม้เดิม
มือวางเบาๆ พร้อมกับวางถังน้ำลง
เสียงลมหายใจที่บางเบา แววตายังคงเหม่อมองหาคำตอบ
ต้นไม้ใหญ่
ไม่เอ่ยคำใดๆ
ไม่เคยเอ่ยคำใดๆ
มีเพียงลมเบาๆพัดผ่านพาเอาดอกไม้ดอกหนึ่งร่วงลงจากพุ่มไม้ใหญ่
ค่อยๆปลิว และตกลงมาเบาๆข้างชายชรา
ราวกับภาพถูกย้อนหวนกลับสู่อดีต
ชายผู้ชราค่อยๆกลับเป็นหนุ่มอีกครั้ง
เค้าก้มลงมองดอกไม้ดอกนั้น
พร้อมกับรอยยิ้มบางๆ
สายลมค่อยๆพัดพาคำถามในจิตใจของชายผู้นี้ให้หลุดออกไปจากหัวใจ
"ความสุข...."
.......
.......................................
"ไม่ยากเลย หาไม่ยากเลยจริงๆ"
รอยยิ้มเริ่มมากขึ้น หัวใจซึ่งถูกปิดตายมาแสนนานได้เบิกกว้างขึ้น
ก่อนชายผู้นั้นจะหลับลง.....
ชั่วนิรันดร์
5 เมษายน 2551 22:57 น.
Dot...space
ตอนนี้ผมกำลังนั่งมองต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
ความจริงแล้ว เราควรจะเรียกมันว่า ซากของต้นไม้ใหญ่เสียมากกว่า
มันเป็นเหมือนตำนานที่เล่ากันมาปากต่อปาก
บ้างก็ว่ามีใครบางคนแต่งขึ้นมาเพื่อให้คนรุ่นหลังอย่างพวกเราได้เห็นความจริงบางอย่าง
.....
........
ผมเฝ้ามองหาภาพในความทรงจำเหล่านั้น หรือมันเป็นเพียง...
จินตนาการ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เค้าเล่ากันว่า... แต่เดิมต้นไม้ใหญ่แห่งนี้มีใบที่มีสีสันสดใสปกคลุมไปตามกิ่งก้านสาขาของมัน
ผู้คนไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้เฒ่าผู้แก่ต่างมารวมตัวกันภายใต้ต้นไม้ใหญ่แห่งนี้
บางทีผมอาจจะอยากเป็นหนึ่งในผู้คนเหล่านั้นด้วยก็เป็นได้
ด้วยร่มไม้ที่ช่วยลดความร้อนจากโลกภายนอก
มันเหมือนเป็นเส้นแบ่งระหว่างโลกมนุษย์และสวรรค์เลยทีเดียว
ภายในที่แห่งนั้นมีรอยยิ้ม....
ในที่แห่งนั้นดอกไม้แห่งความสุขสามารถเบ่งบานได้ในทุกครั้งที่ต้องการ
และทุกๆคนมี.... อิสระ
ผมก็เฝ้ามองหาและหลงไหลที่จะอยู่ในห้วงของความสุขเหล่านั้น
เรื่องราวต่างๆลอยออกจากความทรงจำ ผ่านความนึกคิด และจบลงที่ภาพลวงตา
ซึ่งไม่อาจเป็นจริงได้เลยกับซากต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าของผม
คนเหล่านั้นบอกกับผมว่า....
ต้นไม้ต้นนี้ไม่เพียงแต่มีร่มเงามันยังมีผลที่ให้รสชาติราวกับว่าเราได้ข้ามผ่านไปในเขตแดนของสวรรค์แล้วจริงๆ
ด้วยความอัศจรรย์ในทุกๆอย่างหล่อรวมกันออกมาเป็นต้นไม้ใหญ่
ผู้คนมากมายจึงอดไม่ได้ที่จะมาลิ้มลองด้วย ลิ้น และ พักผ่อนด้วย กาย
ผู้คนนับไม่ถ้วนจากที่ต่างๆหลั่งไหลกันเข้ามา
เพื่อขอเข้าใกล้ความสุขของสวรรค์เท่าที่ตนเองจะพยายามเข้าใกล้ได้
....................................
ในเวลาที่ไม่นาน รอยยิ้มตัวแทนของความสุขที่ผมเฝ้าจินตนาการถึงมันก็เริ่มจะเลือนหายไป
ผู้คนมากมาย มากจนไม่เหลือที่พอให้เด็กน้อยตัวเล็กๆที่ทุกๆวันเคยมานั่งเล่นใต้ต้นไม้แห่งนี้
พื้นที่ของความสุขถูกกลืนหายไปตามกาลเวลา
ถูกกลืนหายไปด้วย ลิ้น สิ่งที่เลือนหายคือ ใจ
และไม่นาน เมื่อผลเหล่านั้นหมดลง ผู้คนก็พากันเดินจากที่แห่งนี้ไป
นั่นเพราะ มันไม่เหลืออะไรให้กับพวกเค้าอีกต่อไปแล้ว
ต้นไม้ใหญ่คงถึงเวลาของมัน
มันคงรู้สึกถึงความด้อยค่าของตนเองที่ได้แต่นิ่งเฉยเฝ้าดู ไม่สามารถจะทำอะไรได้เลย
แล้ววันหนึ่ง ทุกอย่างก็จางหายไป เหลือไว้แค่ความรู้สึกเล็กๆที่เล่าต่อกันมา
บ้างว่า..นิทานหลอกเด็ก
บ้างว่า...พวกเราแค่พยายามปลอบใจตัวเอง
แต่ผมก็ยังคงมานั่งมองต้นไม้แห่งนี้
และในทุกครั้งที่ผมนั่งมองจากตรงนี้
......
ผมเห็น....
......
เด็กคนหนึ่งภายใต้ต้นไม้ใหญ่นี้
มองมา...
และ
ยิ้มให้กับผม
..................................
อย่างอ่อนโยน
2 เมษายน 2551 18:24 น.
Dot...space
"แล้วคนอย่างมึงจะมาเข้าใจอะไร"
"มึงยังไม่เคยมีความรักเลยด้วยซ้ำ"
ผมนิ่งเงียบ ไม่สามารถโต้เถียงสิ่งที่เพื่อนของผมพูดออกมาได้
เราสองคนนั่งคุยกันอยู่นานพอสมควร
ปัญหาชีวิต มิตรภาพ และขวดเหล้าสีอำพัน
สามสิ่งนี้วนเวียนเข้าออกชีวิตของผมเป็นกิจวัตร
อาจเพราะผมอยู่เพียงคนเดียว
อาจเป็นอย่างที่เพื่อนผมพูดก็ได้
ผมคงไม่สามารถเข้าใจปัญหาเรื่องความรักของเพื่อนผมได้เลย
เพราะผม... ไม่เคยมีความรัก
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่เราเริ่มถกเถียงกันมันเริ่มมาจากเจ้าเพื่อนตัวดีของผม
"เฮ้ย มึงคิดดูดิ ตอนคบกันใหม่ๆ แม่งก็ดีทุกอย่าง แล้วตอนนี้ไมเป็นงี้วะ"
"ใจเย็นดิวะ"
"กูทำงาน กลับบ้านเหนื่อยๆ แม่งก็ยังชวนกูทะเลาะ"
"........"
"แทนที่จะทำให้กูสบายใจ อยู่ด้วยกันนะเว้ย ไม่เคยเข้าใจอะไรเลย"
"กูว่า มึงคิดไปเองรึเปล่า"
"มึงเปลี่ยนไป หรือเค้าเปลี่ยนไปกันแน่วะ"
เพื่อนผมนิ่งทันที เมื่อผมถามคำถามนี้
"แล้วเค้าให้มึงไม่พอ หรือมึงต้องการมากไปวะ"
ผมถามอีกครั้ง
ด้วยประโยคคำถามที่แสนจะธรรมดานี่แหละ
ทำให้เพื่อนผมอารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นทันที
"มึงยังไม่เคยมีความรักเลยด้วยซ้ำ!"
คำพูดสุดท้าย ก่อนที่เพื่อนของผมจะเดินออกจากร้านไป
ผมเช็คบิล แล้วก็กลับบ้าน
แม้ว่าสมองผมจะยังคงวนเวียนอยู่กับสิ่งที่เพื่อนของผมพูดออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
นี่ชีวิตของผม เป็นมายังไงนะ....
ผมเริ่มทบทวนกับสิ่งที่ผ่านเข้ามาและผ่านไป
ตลอดชีวิตที่ผมอยู่บนโลกใบนี้
ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยมีนะ แต่มันอาจจะนานมาแล้ว จนผมลืมความรู้สึกครั้งนั้นไป
ผมเคยมีคนที่พิเศษสำหรับชีวิต แต่ครั้งนั้นเราต้องแยกทางกันไป
ด้วยเหตุผลต่างๆนาๆ ความไม่พร้อมของตัวผมเอง
ผมจึงต้องปล่อยให้เธอเดินจากไป
หลังจากนั้นผมก็อยู่ตัวคนเดียว
ใช่ว่าผม ปิดกั้นความรู้สึกของตัวเอง
แต่เป็นเพราะว่า ผมยังไม่เจอ... เท่านั้นเอง
ทุกวัน...
ผมตื่นเช้าขึ้นมาดูแลความเรียบร้อยของบ้าน
ผมอยากให้บ้านของผมพร้อมที่จะรับใครซักคนตลอดเวลา
ผมเริ่มที่จะฝึกทำอาหาร
นั่นคงเพราะผมอยากให้ผมพร้อมที่จะดูแลใครซักคน
ผมเริ่มที่จะควบคุมการใช้เงินของตัวเอง แม้มันจะเป็นเรื่องยากมากก็ตาม
สำหรับคนที่ซื้อความสุขอย่างสุรุ่ยสุร่ายอย่างผม
เพราะผมอยากให้ชีวิตของผมมั่นคงมากขึ้น
ผมเริ่มที่จะทำอะไรต่อมิอะไรด้วยตัวเอง
เพราะผมเชื่อว่า ไม่มีใครจะมาดูแลเราได้ตลอดเวลา
ถ้าผมดูแลตัวเองได้เพียงพอ ผมคงสามารถดูแลคนอื่นได้บ้าง
หลายๆสิ่งที่ผมทำและพยายามทำ
แม้ผมอยู่เพียงลำพัง
แม้จะเหงาบ้างเป็นบางเวลา
แต่ผมก็มีความสุข ที่ได้ยิ้มให้กับใครซักคน
ที่ผมยังไม่เคยเห็นหน้าเค้าเลยด้วยซ้ำ
คนส่วนใหญ่มักเรียกมันว่า "ความรัก"
แต่ผมเรียกมันว่า "สิ่งดีๆ"
ผมยิ้มและทำสิ่งดีๆให้กับเค้าทุกๆวัน
--------------------------------------------------------------------------------------------
"เมื่อวันก่อน กูขอโทษหว่ะ กูอารมณ์ร้อนไปหน่อย"
วันนี้เรากลับมาเจอกันที่ร้านเดิม
"อื้ม ไม่เป็นไรหรอกหว่ะ กูเข้าใจ"
"กูรู้สึกไม่ดีหว่ะ ที่พูดไปแบบนั้น"
"ช่างมันเหอะ... กูไม่รู้สึกอะไรเลย"
เพื่อนของผมนิ่งเงียบ คงคิดว่า ผมประชด และยังโกรธกับคำพูดเมื่อวันนั้น
"ถึงตอนนี้กูจะอยู่คนเดียวนะ.."
ผมยิ้มเล็กๆ ก่อนจะหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มจนหมด
"แต่..."
ผมวางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะ
"กูหน่ะ"
"มีความรัก"
"อยู่ตลอดเวลา"
30 มีนาคม 2551 21:27 น.
Dot...space
"เราต้องเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างควรจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น"
"เราต้องสู้เพื่อจะเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ของพวกเรา"
"สงครามกำลังเกิดขึ้น และเราต้องทำสงครามเพื่อความอยู่รอด"
ประโยคจากเหล่าบรรดาผู้ปกครองประเทศถูกเผยแพร่ตามสื่อต่างๆมากมาย
ตามแต่สถานะการณ์ในประเทศของตน
การปลุกใจให้คนรู้จักรักและพร้อมที่จะต่อสู้กับความเลวร้ายนับเป็นหนทางที่ดีที่สุด
และเมื่อคุณลุกขึ้นสู้ สิ่งที่คุณอาจจะได้รับนั่นคือความหวัง
แล้วคุณก็จะมีคุณค่าบนผืนดินแห่งนี้
นี่คือสิ่งที่ผู้คนทั้งหลายเฝ้าบอกมันกับผมอยู่ทุกวัน
แต่...
ทั้งหมดนั้นอาจเป็นแค่เพียง
ฝุ่นควันเล็กๆ
หรือเสียงลมเบาๆ
ที่เด็กน้อยคนหนึ่งไม่อาจรู้สึกถึงมันได้เลย
เธอก็แค่....พยายามยืนอยู่บนโลกใบใหญ่นี้เท่านั้นเอง
ผมเดินเตร็ดเตร่อย่างไร้จุดหมาย หลังจากเกิดความผิดพลาดในภารกิจสำคัญ
สายตามองกวาดไปรอบๆ ผมอาจกำลังมองหา.... ที่หมาย ซักที่ เพื่อหยุดพัก
และแล้วภาพของเด็กผู้หญิงร่างเล็กๆคนนึงที่นั่งคุดคู้อยู่ในซอกตึก
มันทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะหยุดและเดินตรงเข้าไปหาเธอ
ผมมองเธอ...
ผมเห็นเธอ...
ถึงแม้ตอนนี้เธอจะดูปรกติดี ไม่ได้ดูผุพังในส่วนไหน แต่คราบน้ำตาบนแก้มของเธอ
มันทำให้ผมต้องเอ่ยคำพูดบางคำด้วยความสงสัย
"เธอ...เป็น...อะไร..."
เด็กน้อยมีแววตาที่เลื่อนลอย ผมค่อยๆนั่งลงข้างๆเธอ อย่างช้าๆ
...........
.......
"เธอ...ถือ....อะไร..."
ผมชี้ไปที่ก้อนผ้า ที่เหมือนจะถูกเย็บรวมกันรูปร่างคล้ายอะไรบางอย่างแต่ผมในตอนนี้ไม่อาจจะนึกถึงมันได้
"ตุ๊กตา"
เธอตอบ
"เค้าเรียกมันว่า ตุ๊กตา คุณไม่รู้จักหรอ?"
ผมส่ายหน้า แต่เธอไม่ได้หันมองมาทางนี้เลย...
ฝุ่นควันลอยฟุ้งเข้ามา พร้อมกับเสียงระเบิด ที่ดังขึ้นทุกขณะ
ผมมองจากด้านในนี้
ผู้คนมากมายต่างวิ่งกันอย่างชุลมุน
....บางคนกรีดร้อง
....บางคนสิ้นหวัง
ในสถานที่เลวร้ายแห่งนี้ ผมกลับยังสามารถนั่งได้อย่างสบายใจ
กับเด็กน้อยคนหนึ่งซึ่งดูเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับเหตุการณ์รอบๆตัวเธอเลย
"ตอน...นี้.....อันตราย..มาก........เธอ..รู้.......มั้ย"
"สง...คราม........"
"เมื่อก่อน หนูชอบวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ แล้วก็มาแอบอยู่ที่นี่เป็นประจำ"
เธอพูดแทรกผมขึ้นมา
"ตอนนั้นมันสนุกมากเลย ตอนเช้าหนูตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น ตอนเย็นหนูเล่นจนค่ำแล้วถึงกลับบ้าน"
"แม่ดุ หนูทุกวัน"
"แม่ชอบบอกว่า เราไม่มีอะไรเลย เงินทอง สิ่งของ เราไม่เคยมีอะไรเลย"
"เรา...ถึง...ต้อง...พยายาม...เปลี่ยน...แปลง...ไง .."
ผมพยายามอธิบายโลกความจริงที่ผมรับรู้มาให้เธอฟัง
"ดิ้นรนหรอคะ"
"ใช่...ดิ้น...รน"
ผมตอบเธอ
"แม่หนูก็ชอบพูดถึง คำว่า ดื้นรน"
เธอมองออกไปยังถนนที่ยังคงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
มีคนมากมายยังคงวิ่งด้วยความสับสน
ทั้งชีวิต และ จิตใจ
"ใช่ค่ะ... ตอนนี้ทุกคนกำลังดิ้นรน"
"แต่...ไม่...ใช่......กับ...เธอ...นี่..."
ผมเริ่มอยากจะรู้จักเธอให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้
ว่าทำไมเด็กหญิงตัวเล็กเพียงคนเดียว
สามารถสงบนิ่งท่ามกลางความเป็นตายที่เกิดขึ้นนี้ได้
"คงเป็นเพราะหนู... ไม่มีเวลาพอมั้งคะ"
"ทำ....ไม...หล่ะ .... เวลา....ของเธอ.....เสีย....หรือ."
เธอหันมายิ้มเล็กน้อยกับคำพูดของผม
เสียงโลหะบางอย่างดังขึ้นเป็นจังหวะ ใกล้เข้ามา ใกล้เราเข้ามาทุกที
"คุณก็รู้นี่คะ ว่าทำไมหนูถึงไม่มีเวลาอีกแล้ว"
เสียงนั้นหยุดอยู่ตรงหน้าของพวกเราแล้ว
สายตาคู่หนึ่งจ้องมองมาจากถนน
ผมค่อยๆ ผยุงร่างที่แสนจะหนักนี้ขึ้นมา แม้มันจะยากลำบาก
เพราะส่วนประกอบบางส่วนของผมได้ถูกทำลายไปแล้ว
วงจรไฟต่างๆในตัวก็หลุดออกมาอยู่ด้านนอกบอดี้
ชิ้นส่วนของแขนที่ขาดร่วงไปข้างหนึ่งทำให้การทรงตัวของผมไม่ดีนัก
ผมยืนขึ้น และมองเธอ ก่อนจะมองไปยังชายผู้หนึ่งและหุ่นทหารที่อยู่ตรงหน้า
"นั่นมันพวกต่อต้านประเทศ กำจัดเด็กคนนั้นทิ้งซะ แล้วจัดการไอ้หุ่นทหารผุพังตัวนั้นด้วย"
เสียงชายที่หนักแน่น ออกคำสั่ง
เสียงปืนนับไม่ถ้วนดังก้องสนั่น
เสียงโลหะกระทบกับลูกตะกั่วดังพร้อมๆกับเสียงกรีดร้องเล็กๆของเด็กคนหนึ่ง
ก่อนทุกอย่างจะค่อยๆมืดลง....
ผมยังได้ยินประโยคนึงจากเธอ แม้มันจะแผ่วเบามากเหลือเกิน
หรือผมอาจจะสร้างเสียงนั้นขึ้นมาเองข้างในโปรแกรมก็เป็นไปได้
คงเป็นอาการที่บอร์ดหลักที่คอยควบคุมร่างกายทั้งหมดของผมเกิดไฟลัดวงจร
"อะไรคะที่ดีขึ้น... หลังการเปลี่ยนแปลง"
"ชีวิตพวกเรางั้นหรอคะ"
"แล้วอะไรคะคือความสุข... "
"หนูแค่...อยากมีความสุข แค่นั้นเอง"
ผมก็แค่หุ่นทหารที่ใกล้จะพังเต็มที พอหมดหน้าที่ ใช้งานไม่ได้ก็ต้องถูกทำลายเป็นเรื่องปรกติธรรมดา
มนุษย์จะยอมให้เราอยู่ ก็ต่อเมื่อเรามีประโยชน์เท่านั้น
แต่ในวันนี้ก่อนผมจะสูญสิ้นไป
ความจริงบางอย่างก็ทำให้ผมเข้าใจมนุษย์มากขึ้น
ผมล้มลงอยู่ข้างๆเธอ
เด็กหญิงตัวเล็กๆเพียงคนเดียว
แม้ผมจะไม่เคยรู้สึกอะไรเลยเพราะโปรแกรมไม่ได้สั่งให้เรามีความรู้สึก
แต่ผมตอนนี้คงกำลังสัมผัสกับบางสิ่ง
ภาพสุดท้ายก่อนโลกจะหมุนต่อไป
ก่อนจะถึงบทสรุปของการเปลี่ยนแปลงต่างๆนาๆ ที่เหล่าคนใหญ่คนโตพูดจากันอย่างสวยหรู
มันคือภาพ ของเด็กน้อยและกองโลหะขนาดใหญ่ ท่ามกลางสังคมที่วุ่นวาย
สิ่งที่เกิดขึ้น แต่ไม่อาจสัมผัสมันได้
บางที คนเราร้องเรียกและเฝ้าคอยอยู่เสมอมา
------------------------------------------------------------------------------------
ณ ที่แห่งนี้....
ความอบอุ่น ได้ก่อตัวขึ้น อย่างแผ่วเบา
ระหว่างผมกับเธอ
ก่อนจะถูกลบเลือนไป
จากสังคมและโลกใบนี้
ตามกาลเวลา.......