30 สิงหาคม 2555 17:22 น.

ท่านอังคาร

din

Image.aspx?ID=366150
ตั้งใจจะเขียนถึงท่านอังคารมาตั้งแต่ทราบว่าท่านเสียชีวิต
เมื่อ 25 สิงหาคม 2555 แล้ว 
แต่ความที่เป็นคนช้า จึงทำให้การเขียนล่าออกไป
ประกอบกับเห็นหลายคนในบ้านกลอนเขียนถึงท่านแล้ว
เมื่อตั้งใจจะเขียน จึงขอเอาแง่มุมที่ยังไม่มีใครเขียนในบ้านกลอนของเรา 
มาบันทึกไว้ ณ ที่นี้

ท่านอังคารเรียนศิลปะจาก โรงเรียนเพาะช่าง ต่อมาได้เข้าศึกษาต่อ
ในคณะจิตรกรรมประติมากรรม และภาพพิมพ์จากมหาวิทยาลัยศิลปากร
ฟังมาว่าท่านเรียนไม่จบ เพราะถูกรีไทร์เสียก่อน
อย่างไรก็ตามท่านอังคารได้รับการยกย่องว่าเป็น กวี
ตัวท่านเองก็ยืนยันว่าจะไม่ขอทำอย่างอื่นอีกแล้วในชีวิตนี้ 
แต่จะขอทำงานด้านศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นวาดหรือปั้น 
รวมถึงการเขียนบทกวีตลอดไปจนถึงชาติหน้า 

น่าเสียดาย ที่ในระยะหลังท่านแทบไม่ได้ทำงานทางด้านการวาด หรือปั้นเลย
แต่หนักไปในทางการเขียนบทกวี
ท่านมักจะเปล่งชื่อ นามสกุลของตัวเอง ด้วยเสียงอันดังยามร่ายบทกวี
และเป็นกวีคนแรก และคนเดียวที่เปล่งวาจาว่า 

ไม่ไปนิพพาน ฉันจะเป็นกวี

r1_10.gif

ได้อ่านงานเขียนของท่านมาตั้งแต่ยังผูกคอซอง 
ก็รู้แล้วว่าเป็นงานเขียนที่ยิ่งใหญ่ และมีความอหังการ์อยู่ในเนื้องาน
ท่านอังคารไม่ยึดติดอยู่กับรูปแบบเดิมๆ 
แต่กล้าคิด กล้าเขียนอย่างชนิดที่เรียกว่า แหกกฎ
ในระยะแรกผลงานของท่านจึงไม่เป็นที่ยอมรับ 
จากคนที่ติดรูปแบบฉันทลักษณ์เดิมๆ

โดยส่วนตัวแล้ว รู้สึกว่าท่านเขียนโคลงได้ไพเราะมาก 
การใช้ถ้อยคำและภาษา รวมทั้งจังหวะของเสียง  
หาผู้เปรียบเสมือนได้ยากเหลือเกิน ลองมาอ่านงานของท่านกัน

โอ้ดึกดื่นดาวระยับย้อย....วาววับ-ห้วยเอย
ทุกซอกหินผาหลับ.......... หมดแล้ว
ตื่นอยู่แต่เรากับ..............ความโง่
อันซื่อฝันถึงแก้ว ............พี่เพี้ยง นางเดียว

กับอีกบทหนึ่งซึ่งอ่านมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแปลว่าอะไร 
แต่ก็หลงใหลในภาษาที่ไพเราะนั้น จนแทบจะจำได้ในทันทีที่อ่านจบ

วักทะเลเทใส่จาน
รับประทานกับข้าวขาว 
เอื้อมหยิบบางดวงดาว
ไว้คลุกเคล้าซาวเกลือกิน

จินตนาการนั้นเลิศล้ำขนาดหยิบดวงดาวมาคลุกเคล้าซาวเกลือกินทีเดียว

658729g1em44wifu.gif

ท่านอังคารเป็นอภิมหากวี ผู้กล้าแหวกขนบทั้งหลายทั้งปวง
จากรูปแบบฉันทลักษณ์เดิมๆ 
บทกวีของท่านนั้น กร้าวทั้งถ้อยคำและความหมาย
ท่านกล้าคิด กล้าเขียน กล้าแม้แต่เปล่งวาจาสาปแช่งผู้คน
จนถูกผู้เคร่งครัดฉันทลักษณ์ใน พ.ศ. นั้นปฏิเสธบทกวีของท่าน

แต่กาลเวลาก็ได้พิสูจน์แล้วว่าท่านเป็นกวีตัวจริง เสียงจริงคนหนึ่งทีเดียว
กวีที่กล้าประกาศว่า ฉันทลักษณ์ไม่ได้คลอดออกมาจากมดลูกของใคร  
และยังมีบทกวีอีกบทหนึ่งของท่าน ซึ่งอ่านแล้วประทับใจมาก
แต่เพิ่งมาทราบภายหลังว่า เป็นบทกวีที่ท่านอังคารเขียนขึ้น 
เพราะผิดหวังในความรักจากสตรีสูงศักดิ์ผู้หนึ่ง

อนิจจาน่าเสียดาย
ฉันทำชีวิตหายครึ่งหนึ่ง 
ส่วนที่สูญนั่นลึกซึ้ง
มีนํ้าผึ้งบุหงาลดามาลย์

ครึ่งหนึ่งหลงเหลือในอกนี้
สั่นชีวีเสียสะเทือนสะท้าน 
ซํ้าโซ่ตรวนพันธนาการ
ทรมานปานทาสจะขาดใจ

         ฯลฯ

432022s1vheyatjs.gif

ว่ากันว่าสมัยที่ท่านอังคารเรียนอยู่ที่ศิลปากรนั้น 
ท่านมักใช้ร้านมิ่งหลีเป็นที่พบปะสังสรรค์กับเพื่อนศิลปินของท่าน
อันว่าร้านมิ่งหลีนี้ เป็นที่รู้กันดีว่าเป็นที่ชุมนุมของศิลปินหน้าพระลานรุ่นใหญ่
ซึ่งศิลปินรุ่นเด็กๆ มิบังอาจล่วงล้ำเข้าไป
(ถ้าไม่ลืมเลือนไปเสียก่อนจะนำตำนานร้านมิ่งหลีมาเล่าสู่กันฟังในภายหลัง)

วกกลับมาที่ท่านอังคารก่อน 
ท่านมักนัดเพื่อนศิลปินของท่านมาชุมนุมกันที่ร้านนี้
ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์เฟื้อ หิรัญพิทักษ์ , สุวรรณี สุคนธา  , รงค์ วงษ์สวรรค์ ,
ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์ และอีกท่านหนึ่งซึ่งจะเว้นไม่กล่าวถึงไม่ได้เลยคือ
หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุพัฒน์ รัชนี ซึ่งเรียกกันสั้นๆว่า ท่านจันทร์
เมื่อมี "ท่านจันทร์"แล้ว 
ชาวศิลปากรจึงพร้อมใจกันเรียกอังคารว่า "ท่านอังคาร" ด้วยประการฉะนี้

ที่ร้านมิ่งหลีนี้เอง ยังมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเล่าถึงการต่อโคลง
ระหว่าง "ท่านจันทร์"  กับ  ท่านอังคาร ไว้อย่างตลกขบขัน
เมื่อท่านจันทร์ กล่าวขึ้นว่า  

"จันทร์จิรายุเจ้า เหนือดาว อื่นเอย" ท่านอังคาร ตอบกลับในทันทีว่า 
  
"ดาวก็ดาวไม่ยอ  กว่าข้า" 

เป็นที่สนุกสนานขบขันกันในหมู่ศิลปินอาวุโส

672414c8vxi9fnql.png

เคยอ่านพบมาว่าที่ท่านอังคารเรียนไม่จบ  ก็เพราะท่านชอบทะเลาะกับอาจารย์ 
ครั้งหนึ่งท่านเคยทะเลาะกับอาจารย์แล้วเกิดโมโห 
จึงเอาอุจาระ ซึ่งเป็นอุจจาระคนแต่ไม่ทราบว่าเป็นของผู้ใด 
มาเขียนเป็นกลอนด่าอาจารย์ที่ผนังตึกจิตรกรรม
จนเหม็นหึ่งไปทั้งคณะ 
นั่นก็เป็นอีกหนึ่งวีรกรรมเมื่อครั้งเยาว์วัยของท่าน

เมื่อท่านเสียชีวิตไปนั้น ท่าน ว.วชิรเมธี ได้เขียนบทกวีเป็นการไว้อาลัยว่า
       
       อังคาร เป็นถ่านเถ้า ธุลีดิน
       กัลยาณพงศ์ บิน บ่ายฟ้า
       เอกอัครศิลปิน ปราชญ์โลก
       กายจากหากงานท้า เทพทั้งนาครถวิล
       
       สิ้นอังคารไม่สิ้นศรีกวีแก้ว
       ยังเจื่อยแจ้วจำเรียงอยู่ไม่รู้หาย
       ทั้งกาพย์กลอนโคลงฉันท์พรรณราย
       อมรรตายตราบดินฟ้าล่มหล้าลง
       
       สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา
       พระพุทธาย้ำเตือนอย่าเลือนหลง
       สรรพสิ่งสังขาร์ว่าหยัดยง
       วันหนึ่งคงร่วงรุ้งฟุ้งกระจาย
       
       สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา
       พระพุทธาเน้นหนักจำหลักหมาย
       ประดาสิ่งผสมอย่างมงาย
       ว่าไม่ตายไม่ภินท์พังอย่าหวังเลย
       
       สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา
       พระพุทธาสอนสั่งอย่าฟังเฉย
       สรรพสิ่งสากลไม่ทนเอย
       ที่สุดเผย แก่นกลวง ทะลวงตา
       
       อังคารลับลาโลกอย่าโศกเศร้า
       กวีเก่ามิเคยแก่ลองแลหา
       หากคิดถึงท่านอังคารผ่านเวลา 
       จงเหลือบตาเริงรสบทกวี

627016o9kz570twq.gif

ท่านอังคาร จบชีวิตลงด้วยโรคชรา ในวัย 86  ปี
ปิดตำนาน จิตรกรกวี ผู้อหังการ์  จิตรกรกวีที่บอกใครต่อใครว่า

ผมหาวเป็นลายกนก และ ฝันเป็นโคลงสี่สุภาพ

น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง 
ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝัน 
ฆ่าชีวาคือพร่าค่าคืนวัน 
จะกำนัลโลกนี้มีงานใด

ด้วยความเคารพและอาลัยยิ่ง

พฤหัสที่ 30 สิงหาคม 2555 

175410yhvlipjey9.gif				
16 พฤษภาคม 2555 17:01 น.

รำลึกถึง วาณิช จรุงกิจอนันต์

din

1241670558.jpg 
วันนี้เป็นวันครบรอบสองปีของจากไปของ วาณิช จรุงกิจอนันต์ 
ขอเขียนถึงนักเขียนในดวงใจคนนี้อีกสักครั้ง
ติดตามอ่านงานเขียนของเขามาตั้งแต่รวมเรื่องสั้นชุด จดหมายถึงเพื่อน
อันเป็นเรื่องที่เขาเขียนส่งตรงมาจากสหรัฐอเมริกา เมื่อครั้งไปทำปริญญาไท
เพื่อลงในนิตยสารลลนา ในยุคที่มี  สุวรรณี สุคนธา  เป็นบรรณาธิการ
เพียงได้อ่านเรื่องแรก ก็ติดใจในสำนวน ลีลา 
และอารมณ์ขันอันเหลือเฟือของเขาเสียแล้ว

วาณิชเรียนจบจากคณะจิตรกรรม แผนกภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
ขณะที่เรียนอยู่ความสามารถในเชิงกลอนของเขา ก็ฉายแววให้เห็นแล้ว

ด้วยและโดยดอกไม้แห่งสายหมอก
รินระลอกกลิ่นตามความเงียบเหงา
นานมาแล้วดอกไม้แห่งวัยเยาว์
ได้โลมเล้าด้วยริ้วหมอกคลี่ดอกบาน

แทบจะได้กลิ่นดอกไม้แห่งสายหมอกเลยทีเดียว

flowerline024.gif

วาณิชเป็นนักเขียนคุณภาพ มีลีลาการใช้ภาษาที่น่าทึ่ง 
มีความเป็นตัวของตัวเองสูง
เป็นผู้ที่มีความสามารถรอบด้าน เขียนได้ทั้งนวนิยาย เรื่องสั้น บทความ  สารคดี
เขียนเรื่องสั้นสำหรับเด็กจนได้รับรางวัล 
แม้แต่บทละครโทรทัศน์ วาณิชก็ทำได้อย่างดีมาแล้ว 
ไม่เว้นแม้แต่บทโทรทัศน์ประเภทจักรๆวงศ์ๆ นั่นก็ด้วย

นอกจากนี้ วาณิชยังเขียนคอลัมน์ลงในหนังสือมติชน 
และหนังสือในเครือต่างๆ ของมติชน จนกลายเป็นคอลัมน์นิสต์ชื่อดัง 
ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

ความสามารถอีกอย่างหนึ่งของวาณิชคือความเป็น กวี
วาณิชเคยพูดถึงตัวเองว่า เขาไม่ใช่คนทางโคลง 
เขาไม่ถนัดในการเขียนโคลง
แต่ชั้นเชิงในการเขียนกลอนแปดของวาณิชนั้น หาตัวจับได้ยาก

ไม่ต้องคิดถึงวันที่ฉันกลับ
ไม่ต้องนับวันเวลารอท่าฉัน
ขอให้คิดถึงบ้างเพียงบางวัน
และสวดมนต์ให้กันเท่านั้นพอ

824595vgem2zpoof.gif

วาณิชเป็นนักเขียนที่มีความจริงใจในงานเขียนทุกชิ้นของเขา
และมักจะเขียนถึงตัวเอง และครอบครัวอย่างตรงไป ตรงมา
เคยเมาจนไม่รู้ตัวว่า กลับมาถึงบ้านได้อย่างไร
มาถึงบ้านแล้ว ก็หาประตูทางเข้าบ้านไม่เจอ
ได้แต่เดินคลำไปรอบๆรั้ว พึมพำแต่ว่า ประตูอยู่ไหน ประตูเข้าบ้านกูอยู่ไหน
แล้วเลยพับหลับมันอยู่หน้าประตูนั่นเอง  
เช้าขึ้นมาก็ถูกคนในครอบครัว เล่นงาน
เขายังนำมาเขียนเล่าในคอลัมน์ของเขา อย่างไม่ปิดบังอำพราง 
ไม่สนใจว่าคนอ่านจะมองภาพลักษณ์ของตัวเองอย่างไร

มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัดริดสีดวง
เขายังนำมาเขียนเล่าในคอลัมน์ของเขา 
เป็นที่สนุกสนานครื้นเครงทั้งคนเขียน คนอ่าน

วาณิชเป็นทั้งที่ปรึกษา และเป็นนักเขียนในสังกัดมติชน 
มาเป็นระยะเวลายาวนานนับสิบๆ ปี
ในขณะเดียวกัน ก็เป็นกรรมการคนหนึ่งของบริษัท จีเอ็มเอ็มแกรมมี่ 
ซึ่งมีอากู๋ (ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม) เป็นเจ้าของ

ดังนั้นเมื่อแกรมมี่ซื้อหุ้นมติชน วาณิชจึงตกเป็นผู้ต้องสงสัย
ประมาณว่า รู้เห็นเป็นใจที่จะให้แกรมมี่ takeover  มติชน
เขาจึงประกาศขอพักงานเขียนในมติชนชั่วคราว แต่.....
สำนักพิมพ์มติชน และบริษัทในเครือได้ ถอด งานเขียนทุกประเภทของวาณิช
รวมทั้งคอลัมน์อาหารที่เขียนโดย คุณนายติ่ง (ทอรุ้ง จรุงกิจอนันต์) ภรรยาของวาณิชด้วย

926586czt859z0ts.gif

ระหว่างนั้นวาณิชพยายามขอเข้าพบขรรค์ชัย บุญปาน (ผู้บริหารมติชน) 
เพื่อปรับความข้าใจ แต่ไม่ได้รับการตอบรับ
ขรรค์ชัย บุญปาน นั้น เป็นผู้ที่วาณิชนับถือว่า เป็นทั้ง "พี่" และ"ผู้มีพระคุณ"
และเป็นผู้ที่ดึงวาณิชเข้ามาสู่ค่ายมติชน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าขรรค์ชัย คิดอย่างไร
และมีความรู้สึกต่อวาณิชอย่างไร
เคยคิดว่าน่าจะมีนักข่าวไปสัมภาษณ์ขรรค์ชัยบ้าง แต่ก็ไม่มี
หรือมี....แต่ขรรค์ชัยไม่ให้สัมภาษณ์ ก็สุดจะเดา

เรื่องราวบานปลาย ใหญ่โตนั้น คงทำให้วาณิชรู้สึกสะเทือนใจไม่น้อย
เขาให้สัมภาษณ์ในหนังสือฉบับหนึ่งว่า 
ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องเป็นอย่างนี้  ไม่คิดว่าจะตัดญาติขาดมิตรกันอย่างนี้
ทั้งนี้เพราะวาณิช สังกัดอยู่ในค่ายมติชนมาเป็นเวลายาวนานต่อเนื่องนับสิบๆปี 
จนมีวงเหล้าถาวรทุกวันศุกร์ ผู้ร่วมวงส่วนใหญ่ก็เป็นคนในแวดวงมติชนนั่นเอง 
เมื่อเกิดเรื่องขึ้น วาณิชเคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาไม่ได้ไปในวงเหล้านั้นอีกเลย
และเรียกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนั้นว่าเป็น รอยหมองของชีวิต

เคยมีผู้ถามวาณิชว่า เมื่อชีวิตของเขาหายไปจากวงเหล้าวันศุกร์ 
เมื่อถูกถอดออกจากมติชน ก็เหมือนเพื่อนหายไปจากชีวิตครึ่งหนึ่ง
วาณิชรู้สึกอย่างไร 
วาณิชตอบว่าความรู้สึกของเขาเหมือนบทกวีของ" อังคาร กัลยาณพงศ์" ที่ว่า 

 อนิจจาน่าเสียดาย
ฉันทำชีวิตหายไปครึ่งหนึ่ง 
ส่วนที่สูญนั้นลึกซึ้ง 
มีน้ำผึ้งบุหงาลดามาลย์

hh86.gif

บันทึกไว้ตรงนี้อีกนิด เมื่อพิเชียร คุระทอง เขียนคอลัมน์ ทวนน้ำ ขวางโลก
ในมติชนรายวัน ในหัวเรื่องที่ชื่อ  มิตรแท้-มิตรเทียม  กล่าวถึงวาณิชว่า 
เป็นผู้ไม่มีความกตัญญู กินบนเรือน ขี้บนหลังคา
กระทำตัวเองดั่งหนอนบ่อนไส้ ไม่ใช่มิตรแท้ แต่เป็นมิตรเทียม
วาณิชจึงฟ้องผู้เขียนคอลัมน์นี้  และบริษัทมติชน 
แต่ศาลไม่รับคำฟ้อง เนื่องด้วยเห็นว่าข้อความนั้นไม่ยืนยันข้อเท็จจริง
ให้เห็นว่าวาณิชเป็นคนเนรคุณแต่อย่างใด 

โดยส่วนตัวแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องที่เกิดขึ้นเท่าใดนัก
เพราะเมื่อมติชน นำหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์
นั่นย่อมหมายความว่า มติชนพร้อมที่จะเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอก
ซื้อหุ้นของตนมิใช่หรือ และตามกลไกแล้ว หากผู้ใดถือหุ้นเกินกว่ากึ่งหนึ่ง 
ผู้นั้นย่อมมีสิทธิ์ มีเสียงในบริษัทฯ มากกว่ามิใช่หรือ
เมื่อแกรมมี่ ซื้อหุ้นมติชน เหตุใดมติชนต้องโกรธ 
จากการตามข่าวในหนังสือพิมพ์ ก็ยิ่งไม่เข้าใจกันใหญ่
มีการเจรจากันระหว่าง ขรรค์ชัย กับ ไพบูลย์
ผลการเจรจาเป็นอันตกลงกันได้ว่า ไพบูลย์จะคืนหุ้นที่ซื้อนั้นให้แก่มติชน
ทำให้เกิดความฉงนว่า เมื่อซื้อแล้ว ทำไมต้องคืน 
และหากคนที่ซื้อหุ้นมติชน ไม่ใช่แกรมมี่ล่ะ???
หรือมันมีสายสนกลในอะไร  ที่คนอย่างเราๆ ไม่รู้

เมื่อแรกที่เกิดเรื่องนั้น ยังหวังได้ว่าเมื่อเวลาผ่านไป
และความขึ้งเครียดจางลง มติชน กับ วาณิช น่าจะปรับความเข้าใจกันได้
แต่เมื่อวาณิช ฟ้องมติชน ก็รู้เลยว่า
วันข้างหน้าระหว่างวาณิช กับมติชนนั้น เป็นเหมือนเส้นขนาน 
ที่ไม่มีวันจะมาบรรจบกันได้เสียแล้ว
เหตุการณ์ลุกลามใหญ่โต จนยากจะแก้ไขความรู้สึกที่สูญเสียไปเสียแล้ว

และไม่ว่าจะอย่างไร วาณิชจะรู้เห็นเป็นใจกับแกรมมี่หรือไม่
หากตัดประเด็นนี้ออกไปแล้ว 
ในฐานะนักอ่านที่เป็นแฟนพันธ์แท้คนหนึ่งของวาณิช
รู้สึกสลดใจไปกับเหตุการณ์ในครั้งนั้นด้วย
เสียดายความสัมพันธ์อันดี ที่มีมายาวนาน ระหว่างวาณิช กับ มติชน
ต้องมาจบลงด้วยเหตุการณ์ อันไม่น่าจะเป็น

1115023nhxhf2sc0s.gif

ในปลายปี 2552 วาณิชก็เริ่มมีอาการป่วย 
อาการของโรคทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
วาณิชอยากให้ เพกา บุตรสาวคนโต ซึ่งเป็นทันตแพทย์ 
แต่งงานกับแฟนหนุ่ม ซึ่งเป็นทันตแพทย็ เช่นกัน
ทางครอบครัวเองก็รู้ดีว่า เวลาของวาณิชมีเหลืออีกไม่มากนัก
งานมงคลสมรสของ เพกา จึงถูกจัดขึ้น
ฟังมาว่าวาณิชมีความสุขมาก ในงานแต่งงานของลูกสาว

หลังงานแต่งงาน "เพกา" เพียงวันเดียว 
วาณิชก็จากไปด้วยโรคลูคิเมียเฉียบพลัน เมื่อ 16 พฤษภาคม 2553
ปิดตำนานนักเขียนผู้มากความสามารถ อย่างยากที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือน

เสียงหัวเราะเคยล้อต่อกระซิก
รินระริกดังน้ำรินก็สิ้นเสียง
เคยสำเหนียกลำนำถ้อยสำเนียง
จะเหลือเพียงลำนำในสำนึก 

175410yhvlipjey9.gif

ด้วยความระลึกถึง

พุธที่ 16 พฤษภาคม 2555				
3 พฤศจิกายน 2554 11:44 น.

จิตอาสาที่อาคารจันทนยิ่งยง

din

รัฐบาลเขาให้หยุดงานตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม จนถึง 31 ตุลาคม 2554
ฉันก็เริ่มตื่นตูม เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่น้ำทะเลหนุน...
น้ำคงจะท่วมบ้านเป็นแน่แล้ว .....ของจริงกำลังจะมาถึงเสียที
การป้องกันทุกการป้องกันของฉันจะสำเร็จไหมหนอ
ตั้งแต่การซื้อไดโว่ อาการตื่นตูมของน้องสาวที่กระหน่ำซื้อแต่กระสอบทราย
จนต้องถามว่า ถ้าน้ำลด จะเอากระสอบทรายกองมหึมานี่ไปเก็บไว้ที่ตรงไหน

มาตื่นเต้น ตื่นตูมกันอีกครั้ง ก็เมื่อผู้คนที่คลองสามวา  
เขาทุบทำลายเขื่อนนั่นแหละจ้ะ..เขาบอกว่าน้ำท่วมทางฝั่งเขานานแล้ว 
แต่ฝั่งตรงข้ามที่เป็นบ้านจัดสรร ยังอยู่กันสบายดี 
เก๊าะเลยรวมตัวกันพังเขื่อน และปิดถนน
ส่วนที่เขาทุบทำลายไป ขณะที่เขียนอยู่นี้ กทม.กำลังซ่อมอยู่
เมื่อเข้าไปในเวปรู้ทันน้ำ ก็พบว่าน้ำจะท่วมประมาณ 2.5 เมตร
แต่จากการสอบถามข้อมูลจากกรมชลฯ เขาว่าระดับน้ำแถวบางกะปิ
อยู่ที่ประมาณ 1 เมตร ถึง 1 เมตร 20  เนื่องจากเป็นที่ลุ่ม...ฟังแค่นี้ก็ใจเสียแล้ว


h4.gif


ก็เห็นใจผู้คนละแวกคลองสามวาอยู่หรอก 
แต่การที่จะเข้าทุบทำลายน่าจะไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง
เห็นภาพข่าวชาวบ้านที่นั่นทางทีวี กันไหม 
ดูอาการแล้วกำลัง เลือดขึ้นหน้า ด้วยกันทุกคน
ในเบื้องต้นชาวบ้านขอให้ระบายน้ำออก 1 เมตร แต่ตกลงกันได้ที่ 75 ซม. 
นึกว่าจะจบเรื่อง แต่คงเป็นเพราะน้ำไม่ลด
ก็เลยมีการต่อรองให้ระบายน้ำออกอีกเป็น 1.50 เมตร   
แต่ผู้ว่า กทม.เป็นห่วงนิคมอุตสาหกรรมบางชัน จึงขอให้อยู่ที่ 80 ซ.ม. 
สส.ที่ดูแลเขตคลองสามวา เป็นใครไม่อยากเอ่ยชื่อ 
คงอยากได้ใจชาวบ้านโดยไม่คิดถึงผลกระทบได้เสนอให้อยู่ที่ 1 เมตร 
ท้ายที่สุดนายกยิ่งลักษณ์ มีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร 
ให้ระบายน้ำออกที่1 เมตร ฟังข่าวจากทีวี แล้วสะดุดใจมาก 
ทำไมต้องสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร 

เช้ามาถึงที่ทำงาน เสียงวิจารณ์ก็เซ็งแซ่  
ผู้วิเคราะห์การเมืองฉมังนักให้เหตุผลว่า
ต้องเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น เพราะถ้าสั่งด้วยวาจา 
หากเกิดอะไรขึ้นกับนิคมอุตสาหกรรมบางชัน
คุณชายผู้ว่าคงโดนด่าจนอ่วมอรทัย  ยังงี้เขาเรียกว่า...คนมันทันกัน555...

image.php?id=6E0F_4B888A9B&gif

อยู่แต่บ้าน เฝ้าแต่หน้าจอทีวีจนเบื่อ... ฉันควรจะยุติการเสพย์ข่าวเสียที 
ก็พอดีเห็นตัวหนังสือวิ่งในทีวี เขาว่า ศปภ. ต้องการจิตอาสา บรรจุถุงยังชีพ
เดิมศูนย์แห่งนี้อยู่ที่ดอนเมือง ซึ่งกว้างขวางมาก ฉันเคยไปช่วยมาแล้วครั้งหนึ่ง
ต่อมาเมื่อศูนย์ถูกน้ำท่วม งานส่วนนี้ได้ย้ายมาอยู่ที่อาคารจันทนยิ่งยง  
สนามศุภชลาศัย ที่นี่แม้จะคับแคบกว่าที่ดอนเมืองมาก  
แต่บรรดาจิตอาสาก็ยังมากันเยอะ
มีทั้งคนหนุ่ม-สาว คนสูงอายุ และเด็ก ซึ่งติดตามพ่อแม่มาช่วยด้วย
ฉันไม่รู้ว่าเขาเก็บของบริจาคไว้ที่ไหน 
แต่จะมีรถบรรทุกนำของมาส่งทีละหลายคันรถ
เมื่อรถมาถึงอาคาร บรรดาจิตอาสาก็จะยืนเรียงแถวหันหน้าเข้าหากัน
จากนั้นก็จะเป็นการลำเลียงของลงจากรถส่งต่อๆกันเป็นสายพานทั้งสองแถว
ของจะปะปนกันไปหมด ตั้งแต่บะหมี่สำเร็จรูป นม ยาสีฟัน น้ำตาล เกลือ  ฯลฯ

เมื่อลำเลียงของลงจากรถหมดแล้ว ก็ถึงเวลาคัดแยกของเป็นหมวดหมู่
ข้าวสารจะถูกเทรวมกันแล้วตักใส่ถุงพลาสติก 
แปรงสีฟันและยาสีฟันจะถูกนำมามัดหนังยางคู่กัน
ผ้าอนามัยจะถูกห่อไว้ด้วยถุงดำ กันไม่ให้น่าเกลียด เมื่อบรรจุลงในถุงยังชีพ 
และผู้ประสบภัยจะได้นำถุงดำมาใช้ประโยชน์ด้วย 
น้ำปลาจะถูกบรรจุใส่ถุงพลาสติก รัดหนังยางให้แน่น
เพราะบางคราบบางคราเมื่อถุงยังชีพหลุดมือ ขวดน้ำปลาแตก 
ข้าวของในถุงยังชีพจะเสียหายหมด 
ข้อมูลเหล่านี้ถูกส่งมาจากผู้นำถุงยังชีพไปแจกให้ผู้ประสบภัยตามจุดต่างๆ  
ทางศูนย์จึงปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

การทำงาน จะนั่งล้อมวงกันตามประเภทของงาน เช่นงานข้าวสาร
จิตอาสาจะนั่งล้อมวงกันรอบกะละมัง ตักข้าวสารวางไว้ 
ผู้มีหน้าที่รัดหนังยางก็จะทำไป  
งานน้ำปลาและงานอื่นๆก็ประมาณนี้
งานเหล่านี้เมื่อทำเสร็จ จะมีเจ้าหน้าที่เก็บใส่ถุงปุ๋ยตามประเภทของสิ่งของ

d91-1.gif

ขั้นตอนต่อไป จิตอาสาจะนั่งเรียงแถวหันหน้าชนกัน 
และแล้วงานบรรจุของทั้งหมดใส่ถุงยังชีพก็จะเริ่ม
ของหนักจะถูกบรรจุลงถุงก่อน ซึ่งแน่นอนว่าหัวแถวจะต้องเริ่มที่ข้าวสาร 
แล้วผลักถุงให้ผู้นั่งถัดมาบรรจุปลากระป๋องลงถุง 
แล้วผลักให้คนถัดมาบรรจุนม เรียงกันไปจนถึงคนสุดท้าย มัดปากถุง
ที่ศปภ.จะมีกระดาษ บรรจุลงไปในถุงยังชีพด้วย เพื่อให้ทราบว่าถุงยังชีพนี้
มีผู้นำมาบริจาคที่ศปภ.

และแล้วก็มาถึงขั้นตอนสุดท้าย 
จิตอาสาจะยืนเรียงแถวหันหน้าชนกันเหมือนเดิม
ถุงยังชีพจะถูกส่งต่อกันไปเป็นทอดๆ จนถึงเจ้าหน้าที่ที่อยู่บนรถนำไปจัดเรียง
เพื่อเตรียมส่งต่อไปยังผู้ประสบภัย

d112-1.gif


ที่ศูนย์มีการตั้งครัวทำอาหารเลี้ยงจิตอาสา 
วันที่ไปมีข้าวต้มไก่ ข้าวเหนียวส้มตำ ผัดมาม่า ก๋วยเตี๋ยวราดหน้ามันฝรั่ง 
ซึ่งเกิดมาฉันก็เพิ่งเคยกินนี่แหละ  ของหวานเป็นเฉาก๊วยใส่น้ำแข็ง

สิ่งที่เห็นในวันนี้คือความมีน้ำใจของคนไทย 
การช่วยเหลือผู้อื่น การช่วยเหลือกันเองระหว่างจิตอาสา
เช่นผู้สูงอายุบางคน นั่งนานๆ  ลุกไม่ขึ้น 
จิตอาสาที่เป็นคนหนุ่ม-สาว ก็จะช่วยประคอง
สิ่งเหล่านี้เห็นแล้วน่าชื่นใจมาก

ดีใจที่ได้มีส่วนร่วม แม้มันจะเล็กน้อยแค่ปลายก้อยก็ตาม


bb15.gif				
17 ตุลาคม 2554 15:34 น.

รักเธอไม่ถึงบาท

din

บ้านฉันอยู่แถบแถวบางกะปิ ซึ่งอยู่ในแนวคันกั้นน้ำ ดังนั้นน้ำจึงยังไม่ท่วม
แต่เนื่องจากเป็นเขตชานเมือง ไม่ใช่กรุงเทพฯชั้นใน  จึงใจตุ๊มๆต่อมๆ 
เกรงน้ำท่วมบ้านอยู่เหมือนกัน 
ในละแวกบ้านมีพื้นที่ว่างๆ มีต้นไม้รกเรื้อย เป็นกระหย่อมๆ  
แสดงให้เห็นว่าบริเวณนี้เคยเป็นท้องนา  แม้ปัจจุบันนี้บางกะปิจะเจริญมาก
แต่ก็ยังมีที่ว่างลักษณะนี้ให้เห็นอยู่ทั่วไป ฉันมองออกไปที่พื้นที่ว่างนั้น
วันนี้มีปริมาณน้ำสูงกว่าเมื่อวาน จะรอดจากน้ำท่วมไหมหนอ 

และแล้วฉันก็เห็น.ตัวอะไรไม่รู้ กำลังตะกายขึ้นจากน้ำ  
มันพยายามกระโดดเกาะต้นไม้ใหญ่  แต่ก็ไม่สำเร็จ ตกลงมาทุกครั้ง 
ในระยะไกล ฉันเขม้นมอง จึงเห็นว่ามันมีลักษณะเหมือนจรเข้ 
หรือจะเป็นตัวเงิน ตัวทอง แต่ถ้าขืนปล่อยให้มันทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
สงสัยคงขาดใจตายไปเสียก่อน 

ฉันคิดขณะเดินออกจากบ้าน ไปเรียกจันทร์  ซึ่งเป็นแม่ค้าขายส้มตำในซอยบ้าน
จันทร์เป็นคนอิสาน น่าจะคุ้นเคยกับสัตว์ชนิดนี้ พอจะช่วยเหลือมันได้
เมื่อทราบเรื่องจากฉัน ทั้งจันทร์และสามีพากันเดินมาดู  จันทร์เรียกมันว่า ตัวแลน

g48.gif

สามีของจันทร์ทำบ่วงคล้อง ลากมันเข้ามา  เมื่อเห็นในระยะใกล้ ตัวมันใหญ่มาก
มันพยายามดิ้นรนให้พ้นจากบ่วงที่กลายเป็นเชือกรัดมันไว้ แต่ดูว่ามันยังอิดโรยอยู่
ทั้งจันทร์และสามีดูจะดีใจมาก เมื่อเห็นขนาดตัวของมัน  ส่งภาษาลาวใส่กัน 
ถอดความเป็นไทย ได้ความว่า คงจะทำอาหารกินกันไปได้หลายมื้อ อร่อยกันทั้งครอบครัว

ชะรอยเจ้าตัวแลนมันคงได้ยินจันทร์กับสามีพูด เพราะมันแหงะหน้าขึ้นมองฉัน
ทำนัยน์ตาตัดพ้อ แล้วครวญด้วยเสียงของดาวใจ ไพจิตร 
ซึ่งต้องเป็นคนรุ่นฉันเท่านั้นถึงจะรู้จัก
ทำไมถึงทำกับฉันได้   มันติดพ้ออย่างนี้จริงๆ

ฉันฟังจันทร์กับสามีพูดแล้วใจไม่ดี 
นี่ฉันกลายเป็นต้นเหตุให้ตัวแลนมันกลายเป็นอาหารของครอบครัวนี้หรือ

เพิ่งจะออกพรรษาเอง จะฆ่ามันจริงๆหรือ ตัวมันใหญ่อยู่นะ   
คำพูดของฉันทำให้จันทร์กับสามีชะงัก มองหน้ากันเอง แล้วหันมามองฉัน
และแล้วโดยมิได้นัดหมาย เราสามคนก็พร้อมใจกันมองดูตัวแลน
มันนอนทำตาปริบ ๆ อยู่บนพื้นถนน

ในที่สุดสามีของจันทร์ก็โพล่งออกมาว่า  ปล่อยครับ เดี๋ยวผมจะอามันไปปล่อย
ว่าแล้วก็เดินกลับไปยังบ้านของตัวเอง เดี๋ยวเดียวก็กลับมาพร้อมกะละมังใบเขื่อง
เขาจับตัวแลนใส่ลงไปในกะละมังที่มีความสูงไม่มากนัก  
เจ้าตัวแลนพยายามดิ้นรน แต่มันคงเหนื่อยมาก 
ประกอบกับถูกมัดไว้ เรี่ยวแรงจึงมีไม่มากพอ

สามีของจันทร์มีรถกระบะเก่าๆคันหนึ่ง  เขาขับมาจอดตรงบริเวณที่เรายืนกันอยู่
จันทร์ทำท่าจะยกกะละมังใส่รถ แต่ดูจะหนักเอาการ  ฉันขยับจะเข้าไปช่วย
แต่สังเกตเห็นว่า เจ้าตัวแลนมันเอาหน้าเกยมือจันทร์ ถ้าฉันจับกะละมัง
มันก็คงเอาหน้ามาเกยมือฉัน แล้วคงครวญเพลง  ทำไมถึงทำกับฉันได้ ให้ฉันฟังอีก
ฉันยังไม่อยากฟังเพลงตอนนี้  แล้วขอสารภาพเลยว่ากลัวมัน 
จึงปล่อยให้จันทร์จัดการไปคนเดียว

สามีของจันทร์ลงมาช่วยด้วยอีกแรง 
เราปรึกษากันว่าจะเอาตัวแลนไปปล่อยที่ไหนดี
ฉันเสนอให้เอาไปปล่อยยังที่ว่างๆ
ซึ่งอยู่ไกลออกไปมาก คนละฝั่งถนน

แต่สามีของจันทร์ท้วงว่า หากเอาไปปล่อยแถวนั้น
เจ้าแลนก็คงตกเป็นอาหารของคนงานก่อสร้าง
ครอบครัวใด ครอบครัวหนึ่งเป็นแน่

"เอาไปปล่อยที่มีนบุรีดีกว่าครับพี่" สามีของจันทร์บอก
แถวนั้นท้องนาเยอะ หาทำเลที่ยังไม่มีการก่อสร้าง ก็น่าจะหาได้
เจ้าแลนจะได้ปลอดภัย...เราตกลงกันตามนั้น

g83.gif

สามีภรรยาคู่นี้ไม่ได้มีฐานะดีนัก สามีทำงานก่อสร้าง ส่วนจันทร์มีรถเข็นขายส้มตำ
ฉันเสนอจะช่วยค่าน้ำมัน แต่สามีจันทร์บอกว่า 
คิดว่าช่วยกันทำบุญดีกว่า บาทเดียวผมก็ไม่เอา

ฉันสบตาเจ้าตัวแลน แล้วครวญเพลงของสวลี ผกาพันธุ์ ให้มันฟัง
เออมันจะเกิดทันพอจะรู้จักเพลงนี้หรือเปล่าน๊า   รักเธอไม่ถึงบาท  555
ฉันทำหน้าสะใจใส่มัน  แต่มันคงไม่ชอบเพลงนี้ เพราะมันทำหน้ามู่ทู่ตอบฉัน

เมื่ออยู่บนรถกระบะ เจ้าตัวแลนพยายามตะกายออกจากกะละมัง
จันทร์ก็เลยตัดสินใจมานั่งท้ายรถ เพื่อคอยระแวดระวังเจ้าตัวแลน
เพราะถ้ามันเกิดตะกายจนตกรถไป ประเดี๋ยวจะแบนแต๊ดแต๋ติดถนนไปเสียก่อน

ฉันมองตามรถกระบะจนลับตาไป  คิดถึงความมีน้ำใจของสามีภรรยาคู่นี้
แล้วเลยครวญเพลงของแจ้ ดนุพล  ขอมอบดอกไม้ในสวน นี้ให้จันทร์กับแฟน
อย่างน้อยออกพรรษานี้ แม้ไม่ได้ไปวัด แต่ก็ได้ทำบุญแล้ว


g79.gif				
18 มิถุนายน 2554 16:19 น.

บนเส้นทางที่สวนกัน

din


สายฝนหล่นพรำ
ดอกไม้งามสดใส
เขายังคงดุ่มเดินไปข้างหน้า
มิเห็นความงามของธรรมชาติ
มิรับรู้ความร้อนเย็นของอากาศ
นอกเสียจาก...ความร้าวรอนแห่งหัวใจตน

"ร้านเหล้าอยู่ที่ใด"

"ลิบๆโน้น" ผู้ที่ก้าวสวนมาตอบ

เขาก้มหน้าก้าวต่อไป
ที่หมายคือ ร้านเหล้าที่เห็นอยู่...อีกไกลโพ้น

ผู้ที่ก้าวสวนมา สูดลมหายใจเข้าปอดลึก
กระไอดินหอมกรุ่น...ผีเสื้อบินว่อนทักทายกลีบดอกไม้
ดอกหญ้าเอนลู่ตามแรงลม
ไกลออกไป แม้เจ้ากาดำยังโผบินเริงร่า

ลมกรรโชก พาเอาหยาดฝนหล่นจากยอดไม้สูง
เขาเงยหน้าขึ้น รับหยาดน้ำเย็นฉ่ำนั้น
ความร้าวรอนแห่งหัวใจผ่อนคลายลง...แม้เพียงชั่วขณะ
อารามที่เห็นอยู่ลิบๆ...คือจุดหมายพักพิงใจอันอ่อนล้า

*****************
				
  din
ไม่มีข้อความส่งถึงdin