7 สิงหาคม 2555 00:52 น.
Derrida
แม่-ลูก... สองคำ หนึ่งความหมาย หนึ่งหัวใจ
วันที่ฉันท้อ... แม่นั่งมองห่างๆ ไม่ยุ่ง เพราะแม่รู้ฉันโตพอที่จะแก้ปมเงื่อนที่ถูกผูก
วันที่โดนทำร้ายจนหมดกำลังใจ... ไม่พูดกับใคร ไม่สนใจภายใน/นอก น้ำมากมายไหลจากตาโดยไม่รู้สึกตัว เช่นกันมือที่ไหนไม่รู้ดึงฉันไปกอดแล้วนั่งร้องไห้ข้างฉัน จนน้ำหยุดไหล เหลือเพียงรอยยิ้มอบอุ่น
วันที่ฉันมีทางเลือกที่ดีกว่าในชีวิต... ฉันเดินเข้าบ้าน แม่นั่งยิ้มเมื่อเห็นฉัน ไม่มีคำพูด ฉันเข้าไปกอดตักแม่ แม่ลูบหัวอวยพร ความสุขเกิดในใจ
วันนี้ ... ฉันรู้แม่กังวล ฉันก็กังวล คนละแบบ เพราะความผูกพันไม่แผกต่าง
แม่... ห่วงที่ลูกต้องเดินทางไกล แม้ไม่นาน แต่แม่ก็ยังห่วง ใครจะกอดลูกยามลูกหมดกำลัง?? ใครจะดูแลยามลูกไม่สบาย?? ลูกจะโดนใครกลั่นแกล้งไหม?? แม่ไม่น่าสอนให้ลูกมองคนในด้านดีอย่างเดียว ลูกจะทันเขาไหมนะ?
ฉัน... ห่วงที่แม่ต้องอยู่ลำพัง ใครจะช่วยแม่ซื้อของ ของหนักใครจะช่วยแม่ถือ ?? ใครจะเตือนแม่กินยา ?? ใครจะช่วยแม่จัดของ ??
ไม่มีคำพูด เพราะคำพูด "พ่อ" ดังก้อง... "เราต้องแยกกันเพื่อทำหน้าที่..."
คำสัญญา ข้างพ่อ.. วันสุดท้าย.. คือ สิ่งที่ฉันต้องทำให้ได้.. พ่อห่วงเรื่องเรียน
พรุ่งนี้... เช่นเคย ไม่ต้องมีคำพูด แต่หากฉันถาม...
แม่จ๋า... ถ้าหนูไปเรียนในกรุงแล้วไม่จบ แม่จะว่าอะไรไหม?
... แม่รู้ลูกแม่จะทำดีที่สุด เมื่อไม่ไหวเราควรถอย ชีวิตมีให้เดินหลายทาง จุดหมายไม่จำเป็นต้องอยู่หน้าเราเสมอ
ไม่จบก็ช่างมัน อย่าเรียนจนเอาใบปริญญาคลุมหน้า แม่ขอแค่ลูกมีสุขภายกาย/ใจที่ดี แม่ขอ... ขอแค่ลูกแม่คืนมา ...
ทั้งหมดคือสิ่งที่แม่แสดงให้ฉันเห็นตลอดมา... คำตอบที่ดัง"ในใจ" เรามีค่ามากกว่า "ลมปาก" ที่เย็นผ่านเพียงชั่วคราว...
... และสิ่งเหล่านี้คือ คำพูดที่ไร้เสียง แต่กลับ"ดำรง" ได้... ยาวนาน... ในความผูกพัน.
29 มิถุนายน 2555 13:40 น.
Derrida
บทเพลง
ฉันฟังเสมอ... ยามเธออยู่ที่นั้น และฉันอยู่ที่นี่
เคยหยุดฟังและลบมันออกไปนาน.. นานตั้งแต่เธอทำให้ฉันเชื่อว่าเธอมีทางเดินของเธอ
วันนี้กลับมาเปิดอีกครั้ง... ก็แค่รู้สึกตามเพลง
ภาพเดิมก่อนจากกลับมา...
คนตัวเล็กยืนข้างหน้าต่าง
คนตัวโตๆ ถือแก้วน้ำสีดำ ยืนไม่ห่าง
ระยะห่าง ถูกขีดขั้นด้วยเส้นบางๆ ของความเหมาะสม
... วันนั้นท้องฟ้าสวย แต่ใจคนๆหนึ่งหายไปไหนไม่รู้...
ใช่สิ วันนั้นคนตัวโตต้องเดินทางไกล
คุยกันไม่กี่คำ...
คนตัวเล็กมองไปไกล เธอพูดเล่าความรู้สึกมากมายผ่านยอดไม้นอกหน้าต่าง
หลายเรื่องราวผ่านสายลม ผ่านแสงอาทิตย์...
น่าเสียดาย วันนั้น วันที่ความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยม
วันที่คนตัวเล็ก มองโลกงดงาม ทุกคำพูดในวันนั้นออกมาจากใจ
เพราะเธอไม่กลัวความเจ็บปวด... เธอแค่ใช้หัวใจมอง และสื่อมันออกไป
เสียดาย... คนตัวโต ไม่ได้ยินเธอในวันนั้น
และอาจจะยังเป็นอย่างนั้นจนถึง... วันนี้
วันที่... คำพูดไม่มีอีกต่อไป
และโลก... ก็ไม่ได้สวยงามอย่างที่เคยเป็น.
20 พฤษภาคม 2555 19:45 น.
Derrida
คนโง่อย่างฉันก็เป็นแบบนี้ แค่โดนกระทบใจก็เหนื่อยอ่อน หมดแรง ฉันอ่อนแอเกินไปที่จะอดทน
วันนี้ฉันรับรู้ ... รัก ไม่ใช่ทุกอย่าง...
ธัน... สาวน้อยหน้ากลมได้แต่รำพึงกับตัวเอง
แต่ไม่ใช่เพราะรักหรือ ที่ธันยอมทำผิดความตั้งใจตัวเองในหลายๆครั้ง
ไม่ใช่เพราะรักใช่ไหม ที่ทำให้ธันไม่สามารถบังคับตัวเองให้ขับรถกลับบ้านได้... อย่างน้อยก็ในวันนี้
ปวดหัวจนแทบหมดแรง... แล้วเพราะอะไรกันนะที่สั่งให้ธันกลับไปนั่งพักหลังตึกในโรงจอดรถ... ในที่ที่เคยไปดินเล่นกันกับพี่ลม
เมื่อวานไม่มีจระเข้น้อย (สัตว์โลกที่หาได้ไม่ยากในสภา) เดินผ่านเหมือนวันนั้น
แสงจากพระอาทิตย์ก็ไม่สว่างเท่า ลม... ไม่ได้พัดเย็นสบาย
มีแค่นกน้อยบินหยอก อ่อยเล่นกับหมาน้ำตาลรูปร่างเพรียว
น้องหมา... เดินสวยไปมาหลังตึกบนลานจอดรถ
ธันยิ้มมองมันอย่างอ่อนแรง
ธันแค่เหนื่อย กับสิ่งที่เจอ ในวันนี้...
มันคงเป็นความท้อแท้ ความเหนื่อยสะสม ที่ธันเก็บไว้ภายในใจมาเป็นปี
สิ่งนั้น... บางอย่างธันพูดไม่ได้ เพราะพูดไป นอกจากจะไม่มีใครเชื่อแล้ว
ธันนคงมีสภาพไม่ต่างจากตัวตลก หรือคนที่คอยใส่ร้ายผู้อื่น
วันนี้ได้เห็น และซึ้งแล้ว...
พี่ลมมีชีวิต แต่ไร้หัวใจ ไร้ความรู้สึก
ธันเคยรับรู้จากการกระทำของพี่ลมหลายครั้ง... แต่ไม่ว่าจะเป็นด้วยอะไรก็ตาม ธันจะมีเหตุผลให้การกระทำนั้นๆเสมอ เหตุผลที่มีเพื่อปลอบใจธันเอง...
แต่วันนี้... ธันรู้แล้ว และ ธันต้อง เลือกที่จะยอมรับความจริง...
เรื่องทั้งหมดมันเริ่มต้นจากการที่ธันก้าวเข้าสู่ที่ทำงานใหม่
ธันไม่มีใครเป็นที่พึ่ง ธันเพิ่งจบจาก รร.นอกเมือง ความรู้หรือ... ก็สู้ใครๆไม่ได้
ธันยังแอบงุนงงตัวเองทุกครั้งว่า เจ้านายที่นี่รับเธอเข้ามาทำงานได้อย่างไร
เพราะในวันสัมภาษณ์ เธอตอบคำถามได้แย่มากๆ วกวนอย่างไม่น่าเชื่อ
แต่ทำไงได้ละ... เธอทำตามแม่บอก แม่บอกธัน... อย่ากังวลไป แค่เป็นตัวของลูกเอง
เธอเข้ามายืนในที่ทำงานใหม่อย่างกล้าๆกลัวๆ พี่คนหนึ่งเดินนำธันไปยังห้องทำงานที่แยกเป็นแผนกๆ
ธันเดินผ่านประตู หากยังไม่ทันพ้น ธันก็เจอเข้ากับชายร่างสูงใหญ่ หน้าตาเคร่งเครียด
เธอมองเขาอย่างกลัวๆ ใครก็ไม่รู้ยิ้มให้ก็ทำเฉยๆ แล้วจะเครียดไปถึงไหน... ช่างเถอะ ธันคิด ยังมีอีกมากที่เธอต้องพบเจอ นี่คงเป็นแค่สิ่งเริ่มต้น...
ชายคนนั้น คือ พี่ลมของธันในวันนี้
พี่... ที่ทำให้ธันมีความสุขและทุกข์ในเวลาเดียวกัน ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ธันรู้เธอชอบพี่ลมตั้งแต่วันแรกที่เธอเจอ... เธอไม่รู้ว่าหรอกว่าเพราะอะไร
อาจเป็นความชอบของเด็ก เด็กโง่ๆที่เวลาเจอคนเก่ง ก็หลงปลื้มเค้ามากมาย จนไม่เคยมองอันตรายที่อาจแอบแฝงมากับสิ่งนั้น...
ธันเคยเชื่อและยึดมั่นในความดีเสมอมา เธอเชื่อแค่ว่า หากเราทำดี ไม่คิดร้ายแก่ใคร ความดีที่ทำจะคุ้มครองเราเอง
... วันนี้ธันเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้ว ว่าเธอแค่ถูกทดสอบความดีที่มี หรือเพราะความดีไม่ได้ปกป้องใครได้จริง...
22 เมษายน 2555 00:59 น.
Derrida
เคยฝันหลายอย่างว่าอยากเป็นนู้น เป็นนี่
แต่ก็ไม่เคยทำอะไรให้ไปถึงจุดหมาย
ไม่ใช่เพราะไม่พยายาม
แต่เพราะรู้ว่าเส้นทางที่ต้องทำนั้น เป็นทางที่ไม่อยากทำต่างหาก
จะแปลกไหม ถ้าทางไปสู่ความฝัน และความฝัน ไม่ได้อยู่ในระนาบเดียวกัน?
หลายเดือนมานี้ เพิ่งมีความฝันแบบหนึ่งผุดขึ้นในใจ
เป็นฝันที่นึกแล้วรู้สึกเป็นสุข จนบางทีอาจเรียกว่าเป็น ฝันเฟื่อง
บางที่ ฝัน ก็คงเหมือนน้ำ ที่หล่อเลี้ยงชีวิต
แต่ก็อีก สำหรับบางคนฝัน เป็นน้ำมัน ให้ชีวิตลื่นไปได้
บางคนเป็นน้ำมะนาว บางคนเป็นน้ำพุ น้ำแร่ น้ำขวด
หรือแม้กระทั่งน้ำตาลปี๊บ ที่เหนียวติดเท้าจนยากเดินต่อ
บางทีก็รู้สึกว่า พวกเราให้ความสำคัญกับการเรียนจนกลายเป็น หน้าที่
ที่ต้องทำโดยไม่ต้องถาม เรียนเพราะคนอื่นเขาเรียน
แต่ก็นั่นแหละ เรียนไปมันก็ดี ดีมากด้วย
แต่ระหว่างเรา เรียน เรียน เรียน เราดึงบางสิ่งทิ้งไปจากชีวิต...
คุ้มไหมนะที่จะแลกสิ่งนั้น? เรากำลังเรียนเพื่อฝันขของคนอื่นหรือของตัวเรา
เราเรียนเพื่อเอาปริญญา หรือค่านิยม หรือความพอใจ หรือเพราะไม่รู้จะทำอะไร
เราฝัน เพราะรู้ว่า อะไรบางอย่างทุกวันนี้ เรายังเอื้อมไม่ถึง
เราฝันเพระาเราไม่เคยได้ในสิ่งนั้น
จะมีใครไหมนะ ฝันอยากทำในสิ่งที่ตัวเองเคยทำแล้วและกำลังทำอยู่
ก็คงมีแหละ... โลกนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ จริงไหม
วนกลับมาเรื่องความฝันดีกว่า คือ
อยากเป็นชาวเขา อยู่ป่า อยู่ดอย ปลูกผัก เลี้ยงแมว สุนัข เต่า
มีหนังสืออ่าน สร้างห้องสมุดชุมชนดีกว่า ใครอยากอ่านก็มาหยิบไปได้
(อ้อ แต่ขอมีเครื่องซักผ้าสักเครื่องนะ)
เอ... ว่าแต่แมวจะอยู่ที่สูงได้ไหม?
เฮ่อ...ฝันเฟื่องไหมละ?
18 พฤศจิกายน 2554 01:29 น.
Derrida
ฉาก:
ห้องนอน ห้องครัว ห้องรับแขก
นักแสดง:
ตัวเอง แม่ น้องหมี
เวลา:
เที่ยงคืน-เที่ยงคืนสิบห้านาที
เหตุการณ์:
เล่นเฟสบุ๊คในห้องนอน
หิว (มากกก)
ลากตุ๊กตาหมีเข้าห้องครัว
เปิดตู้เย็น จับหมีวางช่องแข็ง
(วันนี้อากาศร้อน น้องหมีออกมาจะได้เป็น ice pack ^^)
เดินมาหาแม่ที่ดูโทรทัศน์ในห้องรับแขก
อีกมุมของห้องเดียวกัน
น้องกิ๊ฟ ยืนดูโทรทัศน์&ดื่มนม&อุ้มน้องหมี (เป็นภารกิจที่ดูทุลักทุเลเอาการ)
(แสงไฟสาดส่องไปที่แม่)
แม่หันมองน้องกิ๊ฟ ยิ้มอย่างสดใส พร้อมพูดว่า
"กิ๊ฟนี่เหมือนเด็กมัธยมเลยนะ"
อีกมุมของห้อง
หยุดดื่มนม หันมองแม่ มองน้องหมี แอบยิ้ม (พองาม) และ งง
"หนูดูเด็กขนาดนั้นเลย????!!!"
(แสงไฟสาดส่อง [ถูกต้อง] ที่แม่)
"เปล่า แม่หมายถึงความคิด!!!!!!!!!!!!!!!!!!"
.
.
.
แล้วทั้งสาม (แม่ ตัวเอง และตุ๊กตาหมี) ก็เดินออกจากฉาก...