17 สิงหาคม 2547 16:27 น.
Completely
Sound กลางใจเมืองท่ามกลางการจราจรอันสับสนวุ่นวาย fade in/ ไฟ clear fade in
ชายหนุ่มอายุราว 25 ปี ใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาว กางเกงยีนส์เก่าๆ กำลังยืนแจกใบปลิวให้ผู้คนที่ผ่านไปมา
ไม่มีใครรับใบปลิวของเขาเลยสักคนเดียว
ทันใดนั้นเอง มีรถชนกันดังสนั่นหวั่นไหว ชายหนุ่มมองดูอย่างตกใจ ทุกสิ่งเงียบลงไปทันใด และเสียงบีบแตรรถยนต์ก็ดังขึ้นมาในทันทีที่ความเงียบเข้ามา เวลาผ่านไปไม่นาน รถพยาบาลก็เข้ามาถึงที่เกิดเหตุ
รถพยาบาลยังไม่ทันจะพ้นไป มีคนกลุ่มหนึ่ง วิ่งไล่ยิงกันมา เสียงสาดกระสุนดังลั่น ชายหนุ่มหลบวิถีกระสุนอุตลุด
เสียงนกหวีดดังขึ้น ขณะที่เสียงรถบีบแตรยิ่งดังมากกว่าเดิม เสียงไซเรนรถพยาบาลดังขึ้นอีกครั้ง เสียงสาดกระสุนยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
ชายหนุ่มยืนเคว้งคว้าง หดหู่ แปลกแยก ท่ามกลางเมืองใหญ่
ไฟ clear fade ot/ Sound กลางใจเมืองท่ามกลางการจราจรอันสับสนวุ่นวาย fade out cross fade กับ Sound ธรรมชาติ fade in/ ไฟ clear fade in
คนป่ายืนอยู่ ณ ที่นั้น ชายหนุ่มคนเมือง มองดูที่ๆเขายืนอยู่อย่างงงงั้น คนป่าเดินเข้ามาหาเขา พลางยื่นดอกไม้ให้เขาดอกหนึ่ง
ทั้งคู่ออกเดินไปด้วยกัน
ไฟค่อยๆ fade out cross fade กับ ไฟบรรยากาศยามค่ำคืนสีน้ำเงิน fade in/ Sound ธรรมชาติ fade out กับ Sound จิ้งหรีดเรไร และเสียงฝนตก fade in
ทั้งคู่เล่นน้ำฝนด้วยกัน
ไฟบรรยากาศยามค่ำคืนสีน้ำเงิน fade out / Sound จิ้งหรีดเรไร และเสียงฝนตก fade out cross fade กับ Sound กลางใจเมืองท่ามกลางการจราจรอันสับสนวุ่นวาย fade in / ไฟ clear fade in
ชายหนุ่มยืนกระโดดโลดเต้นเล่นน้ำฝนอยู่คนเดียว ก่อนที่จะค่อยๆรู้สึกตัวว่า คนป่าไม่ได้อยู่ข้างๆเขาอีกต่อไป และผู้คนรอบๆก็กำลังมองดูเขาแปลกๆ
ชายหนุ่มสับสนและสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ก่อนที่เหลือบไปเห็นดอกไม้ในกระเป๋าเสื้อ เขาหยิบมันออกมา คลี่ยิ้มออกมาบางๆ ก่อนที่จะเริ่มต้นแจกใบปลิวต่อไป ... อย่างมีความสุข ท่ากลางกระแสของสังคมเมืองอันสับสนวุ่นวาย
ไฟ clear fade out / Sound กลางใจเมืองท่ามกลางการจราจรอันสับสนวุ่นวาย fade ou
22 มิถุนายน 2547 02:57 น.
Completely
ความรักเป็นสิ่งสวยงาม ... สวยงามมากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้รัก หรือผู้ถูกรัก ทั้งการให้และการรับตางก็มีความงามทางความรู้สึกอยู่ในตัว แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ความรักก็ยังคงเป็นเรื่องน่าเศร้า ... ทั้งงดงามและทั้งน่าเศร้า บางครั้ง คำว่า เศร้า ก็อาจยังน้อยเกินไป เราร้องไห้กับมันจนไม่มีน้ำตาจะร้อง ตาบวมแดง ปล่อยให้ตัวเองโทรมได้โดยที่ไม่สนใจสายตาคนรอบข้างว่าเขาจะมองเราอย่างไร เราเดินไปเรื่อยๆโดยที่ไม่รู้ว่าเรากำลังจะไปไหน ในหัวสมองมีแต่ภาพของเขา ภาพของเรา ความไม่เข้าใจ ความสับสนก่อตัวขึ้นอย่างรุนแรง จนเมื่อเวลาผ่านไป เราก็จะเริ่มชินชา เจ็บจนชา กับมัน แล้วเราก็จะเริ่มปลง ... ทำใจได้เอง แม้ว่ามันจะขมขื่นแค่ไหนก็เถอะ
ความรักมันก็เหมือนการปลูกดอกไม้สักดอกหนึ่งนั่นแหละ
เราเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความรักด้วยกัน เราดูแล หมั่นรดน้ำ พรวนดินให้มัน เราเอาใจใส่มัน ประคบประหงมมัน จนมันค่อยๆโตขึ้น ค่อยๆเจริญเติบโตขึ้น
เรารักกัน ความผูกพันก็ก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนครั้งที่เราพูดคุยกัน ตามจำนวนเวลาที่เราใช้ร่วมกัน ... กินข้าว เดินเล่น ทำการบ้าน หรือดูหนังด้วยกัน
ดอกไม้ของเรามีแมลงร้ายมาเกาะแกะ มีโรคร้ายมายุ่มย่าม เราก็ร้อนใจหายาฆ่าแมลงมาฉีด ตัดแต่งกิ่งเฉือนเจ้าโรคร้ายนั่นออกไป
เราดูแลกันและกันเมื่อไม่สบาย เราอังหน้าผากดูว่าตัวร้อนหรือไม่ เราเตือนให้คนที่เรารักอย่าลืมกินยา เขาคอยดุเมื่อเราจะดื่มน้ำเย็น เราเดินกางร่มให้กันและกัน
จนเมื่อเวลาผ่านเลยไป เราก็คุ้นกับดอกไม้ดอกนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เรามองเห็นมันทุกวัน เพราะมันยังอยู่ที่เดิม มันยังเป็นของเรา ... เป็นของตายของเรา และเราก็เริ่มที่จะไม่สนใจมัน ไม่เอาใจใส่มันอย่างเคย
น้ำสะอาดที่เคยรด กลายเป็นน้ำที่เหลือก้นแก้วที่เราดื่ม กลายเป็นน้ำสุดท้ายของการซักผ้า กลายเป็นน้ำที่เหลือจากการล้างจาน ... ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ
เราไม่พูดดีๆกันอย่างเคย น้ำคำที่เรามอบแด่คนที่เรารัก กลายเป็นคำที่ทำร้ายจิตใจ เราประชดประชันกัน ค่อนขอด ตัดพ้อใส่กัน เรามีรอยยิ้มเหยียดที่มุมปาก มีประกายวาววับในแววตา มีน้ำเสียงเฉือดเฉือน ... ไปตั้งแต่เมื่อไหร่นะ
แต่อย่างไรก็เถอะ ... ดอกไม้ดอกนี้ ก็ยังคงเป็นของเรา และเราก็มีสิทธิ์ที่จะหวงมัน โดยที่อาจลืมกันไปว่า ในความหวงนั้น มีความห่วงอยู่ด้วยหรือเปล่า
เรานำดอกไม้ลงกระถาง เก็บไว้ในเรือนเพาะชำอย่างดี เราดัด เราใส่โครงเหล็กไว้ที่กิ่งก้านของมัน บังคับให้มันเป็นไปตามที่เราต้องการ
บางที ... เราก็ลืมกันไป ว่าธรรมชาติของดอกไม้ดอกนั้นเป็นอย่างไร
เราหวงคนรักของเรา เราผูกพันกับเขา เราผ่านช่วงเวลายาวนานมาด้วยกัน ... นานมาก ... จนมันทำให้เราลืมสำรวจจิตใจของเราว่า เรายังรักกันอยู่ไหม หรือเราแค่คุ้นชินกันเท่านั้น
ความรักหายไปหรือยัง ... มันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มันเหลือแต่ความผูกพัน
ความจริงประจักษ์แจ้งว่าความรักจางไป ... ต่างฝ่ายต่างเจ็บปวด หรือมีเพียงฝ่ายเดียวที่เจ็บปวด หรือไม่มีใครเลยที่เจ็บปวด
ความรักมันหายไปแล้ว จึงไม่มีประโยชน์ที่จะคงความเป็นคนรักกันต่อไป ... สิ่งใดที่จบลงกันล่ะ สถานภาพ? ... หรือความรู้สึกกันแน่
ดอกไม้ค่อยๆเฉาลง ... เฉาลง จนตายไปในที่สุด ... เหี่ยวแห้งตายไป
กว่าจะรู้ว่าเซล์ลภายในกำลังจะตาย ... มันก็สายไปเสียแล้ว เพราะเราไม่สามารถชุบชีวิตเซล์ลใดๆขึ้นมาได้อีก
ดอกไม้มีวันตาย ... ต่อให้เบ่งบานสักเพียงไหน สักวันมันก็จะตายลง
ความรักมีจุดเริ่มต้น และมีจุดจบในตัวของมัน
ไม่ว่าจะค้างคา หรือ ลาจาก ไม่ว่าจะจากกันได้อย่างสวยงาม คงความเป็นมิตรภาพกันต่อไปยังไง
ไม่ใช่ประเด็นสำคัญว่า ใครทิ้งใคร ใครบอกเลิกใคร ใครเป็นฝ่ายเปลี่ยนไป
เรื่องของเรื่องก็คือ มันจบลงแล้ว ความรักมันจบลงแล้ว ดอกไม้ดอกนี้ที่เราช่วยกันปลูกกันมาตั้งแต่วันแรก ... มาวันนี้ มันตายเสียแล้ว
มันตายลงอย่างถาวรชั่วนิรันดร์ และนี่เอง ทำไมเราถึงเศร้ากับความรัก
เราเริ่มมัน อยู่กับมัน และมันก็จบลง
คนสองคนอาจอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม ... เหมือนวันที่เขาเคยรักกัน ... แต่มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป ... เพราะมันจบลงไปแล้ว เหลือเพียงภาพอดีตที่ฝังจำ กับความรัก กับภาพที่ฝังใจ ... ไปตลอดกาล
ดอกไม้ดอกสวย ที่เราช่วยกันปลูก เรานำความรักมาพันผูก
เราปลูกดอกรัก ... ลงในใจ
ดอกไม้แห่งเธอฉัน ผลิบานความฝันอันยิ่งใหญ่ ต่อเติมความหวังอันสดใส
จูงมือก้าวไป ... เราไปด้วยกัน
ดอกรักเจ้าเอย ใยวันนี้เหลือเพียงภาพฝัน จบลงแล้วหรือ ... ร้างความผูกพัน
ดอกรักดอกนั้น ... ใยพลันตายลง
28 พฤษภาคม 2547 02:22 น.
Completely
ฉันเพิ่งรู้ว่า ... ความสุขมันเป็นอย่างนี้ ... และมันดีได้ขนาดนี้ ... แถมยังหาไม่ยากอีกต่างหาก
สำหรับฉัน ... แม้มีงานมากมาย ... มีปัญหาให้แก้ไม่รู้จบ ... มีหลายคนไม่ชอบหน้า ... บางทีก็อกหัก ... หลายครั้งก็เหงาจนสุดจะทน
แต่ก็นี่แหละนะ ... ที่เขาเรียกกันว่าชีวิต
ถ้าเรายอมรับในสิ่งที่เราเป็น ... ไม่ไขว่คว้ามากไป ... ไม่งมงายเกินไป ... ไม่รักมากเกินไป ... และไม่ผูกใจเจ็บใคร ... ไม่อยากชิงดีชิงเด่นกับใคร ... ไม่ว่าร้ายใคร ... ไม่ริษยาใคร ... รักและพอใจในสิ่งที่เรามี และที่เราเป็น
ความสุขมันจะตามมาเอง ... จริงๆนะ
เพราะความสงบได้เข้ามาอยู่ในชีวิตเราแล้ว ... และนั่นก็คือ ความสุขไงล่ะ
บางวัน ... ฉันอยู่คนเดียว ... ในวันที่ท้องฟ้ามืดครึ้ม ... ละอองฝนโปรยปรายลงมา
ถ้าอยู่คนเดียว ... ไม่มีแฟน ... เพื่อนหายหัว ... ก็ลองคิดดูในแง่ดีสิ ... คิดไม่ให้ตัวเองเหงา
ดีจัง ... อากาศก็ดี เย็นสบาย ... ดีเหมือนกัน ... นอนทั้งวัน ... อากาศมันน่านอนขนาดนี้ ... เปิดตู้เย็น หาอะไรอร่อยๆกิน ... ชอบดูหนังก็เปิดทีวี ... ชอบฟังเพลงก็เปิดเพลง ... แล้วนอนซุกอยู่ในผ้าห่มผืนเย็น ... ลากโทรศัพท์มาไว้ข้างๆหมอน ... แล้วหมุนไปคุยกับเพื่อนสนิท ... คุยเรื่องนู้นเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ ... ไม่งั้นก็หลับไปเลย ...
... มีความสุขดีจะตายไป ...
วันที่ท้องฟ้าสดใส ... ออกไปเดินเล่นซะ รับแสงอาทิตย์ซะมั่ง ... ถ้าแดดแรงมากก็ทา Sun Block ไว้ จะได้ไม่เป็นมะเร็งผิวหนัง ... หาหมวกสีสวยๆใส่ซะ จะได้ร่าเริง แถมกันผมเสียทรงได้อีกนะ ... ถ้ามีจักรยาน ... ก็ลากมันออกมาปัดฝุ่นหน่อย ... ปั่นซะบ้าง ดีกว่าไปเดินห้างเป็นไหนๆ ... สุขภาพดี แถมไม่เปลืองอีกต่างหาก ... เก็บเงินเอาไว้ซื้อหนังสือดีๆ ที่มันจรรโลงจิตใจ ... และยกระดับความคิดเราดีกว่า ... เอาไว้ซื้อซีดีเพลงเพราะๆ ... ซื้อน้ำผลไม้ดื่ม ... หรือว่าซื้อของขวัญให้ใครสักคน ... โดยไม่จำเป็นว่า วันนั้นต้องเป็นวันเกิดของเขา ... ก็ได้ ... ประทับใจดีออก
ฉันทำออกบ่อย ... ขี่รถไป ... ยิ้มไป
ยิ้มให้อะไร ... ให้ท้องฟ้า ... ให้ต้นไม้ ... ให้กับวันที่อากาศดีๆ ... ให้กับคู่รักที่เดินควงกันอย่างสวีทหวานแหวว ... ยิ้มไปเถอะ แล้วคุณจะมีความสุข ... ร่างกายจะได้หลั่งสารเอนดอร์ฟิน ... สารแห่งความสุข ออกมาไง ... อย่าไปแคร์ ... ไม่ต้องไปกลัว ว่าใครๆจะหาว่าเราบ้า ...
ชีวิตเรานะ ... ชีวิตของเรา ... ชีวิตเดียวด้วย ... จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ ... เพราะฉะนั้น ... อย่าไปกลัว ... ชีวิตเรา มันก็เป็นของเรา ... คนอื่นไม่เกี่ยว ... อะไรที่ทำแล้วมีความสุข ... ก็ทำมันไปเถอะ ... อย่าไปทำให้ใครเดือดร้อนเป็นใช้ได้ ...
หาความสุขให้ตัวเองเถอะ ... อยู่เงียบๆซะบ้าง ... อย่าบ้าไปกับชีวิตในโลกนี้ที่นับวันจะยิ่งจอมปลอมไปมากกว่านี้เลยนะ
เวลาฉันขอพรพระ ... ขอพรวันเกิด ... ขอพรต้นโพธิ์ ... หรือขอจากอะไรก็ตาม ... สิ่งแรกที่ฉันจะขอคือ ขอให้ฉันมีความสุข
เพราะเมื่อเรามีความสุข ... เราก็จะคิดดี ... เมื่อเราคิดดี ... คนอื่นที่อยู่รอบตัวเราก็จะมีความสุขด้วย ... แม้เราอยู่ในสถานการณ์ที่บีบคั้น หรือเป็นทุกข์เอามากๆ ... เราก็จะยังมีความสุข เพราะเราได้ปรับสภาพจิตใจของเราเอาไว้แล้ว ... และเราก็จะแบ่งปันความสุขไปให้คนข้างๆได้ด้วย ... แม้เขาอาจจะรับไปไม่มากนัก ... แต่อย่างน้อย ... เขาก็คงจะทุกข์น้อยลง ... ฉันเชื่อเช่นนั้น
คุณมีความสุขกันไหม ... ถ้าคุณไม่มี หรือยังมีไม่มากนัก ... ก็ลองทำตัวเองให้ว่างๆดูนะ ... อยู่กับตัวเอง ... อยู่กับอะไรที่เป็นสีเขียวๆ ... แล้วคุณจะดีขึ้น
ถ้าคุณมีความสุขดีแล้ว ... ดีใจด้วยนะ ... อย่าลืมแบ่งให้คนที่นั่งข้างๆบ้างล่ะ
2 พฤษภาคม 2547 22:50 น.
Completely
เคยได้ยินหลายคนพูดเคยถามกันว่า " ถ้าต้องเลือกในการต่อสู้ ... จะยอมฆ่าคนอื่นไหม ...ถ้าไม่ฆ่าเขา เขาก็จะฆ่าเรา "
หลายคนตอบว่า ... ก็ต้องชิงฆ่าก่อนสิ ... ไม่งั้น เราก็ตาย จะยอมได้ไง
หลายคนก็ตอบด้วยความเงียบ ... นิ่งไป
ฉันโดนคนถามแบบนี้มาเหมือนกัน ... ตอนนั้น ... ฉันพูดไม่ออก
มันเป็นคำถามที่บีบคั้นหัวใจพอๆกับที่เคยมีคนถามว่า " ถ้าเครื่องบินกำลังจะตก และเหลือร่มชูชีพอยู่เพียง 2 ตัว ต้องเลือกระหว่างเพื่อนรัก กับ คนรัก จะเลือกช่วยชีวิตใคร "
หรือคำถามที่ว่า " ถ้าอยู่ระหว่างทาง 2 ทาง ทางซ้ายเป็นคนรัก ทางขวาเป็นแม่ผู้แก่ชรา ถ้าเราเดินไปทางใด อีกทางจะล่มสลายลงไปในหุบเหวแห่งเปลวเพลิงทันที ... จะเลือกเดินไปทางใด ... จะเลือกที่จะรักษาชีวิตใคร "
จำได้ว่า ตอนนั้น ... ฉันแทบจะเป็นบ้า ... แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะช่วยชีวิต แม่ผู้ให้กำเนิด
กลับมาสู่คำถามเดิม
" ถ้าต้องเลือกในการต่อสู้ ... จะยอมฆ่าคนอื่นไหม ...ถ้าไม่ฆ่าเขา เขาก็จะฆ่าเรา "
ตอนนี้ ... ฉันได้คำตอบแล้ว
ฉันยอมตายดีกว่า ... ฉันเชื่อว่า ... หากฉันเลือกที่จะฆ่าเขา ... ฉันอาจจะอยู่รอดก็จริง แต่ไม่ช้า ... ฉันก็คงต้องฆ่าคนอื่นเพิ่ม เพิ่ม และเพิ่มอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ... หรือสักวัน ... ฉันก็คงถูกคนอื่นฆ่าตายอยู่ดี
ถ้าฉันตาย ... ชีวิตอันโหดร้าย .... ก็สุดเท่านั้น ไม่มีการจองเวรหรือระแวดระวังใคร
หลับไปตลอดกาล ... น่าจะเป็นสุขกว่า
การตาย เป็นเพียงการเปลี่ยนผ่านของชีวิตและจิตวิญญาณ ... เพียงร่างกายที่สูญสลาย ... แต่จิตยังคงอยู่
รอการเปลี่ยนสู่ชาติภพอื่นต่อไป ... ชีวิตเรา เป็นของเรา หากร่างกายนั้นไม่ใช่
คุณยอมตายหรือเปล่า?
หรือคุณเลือกที่จะถือมีดไว้ตลอดไป
ลองคิดดูนะ
29 มีนาคม 2547 01:11 น.
Completely
เคยสงสัยกันไหม ... สิ่งที่เราเห็น มันมีอยู่จริงหรือเปล่า ?
ฉันเคยเห็นผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่หน้าห้องน้ำในห้างสรรพสินค้าแห่
งหนึ่งในกรุงเทพ ... ความรู้สึกแปลกๆเกิดขึ้นในใจทันที
ฉันรู้สึกว่าเขาไม่น่ามีอยู่จริง ... คุณนึกออกไหม ผีในหนังจีน มักจะเป็นคนที่มีหน้าสีม่วงๆเป็นรัศมีออกมา ... นี่ก็เหมือนกัน ...
ฉันท่าจะเพี้ยนไปแล้ว ... เห็นๆอยู่ว่านี่มันคนชัดๆ ... แต่ฉันก็มองเขา มองแล้วมองอีก ... เขาไม่เหมือนคนอย่างเราๆเลยจริงๆนะ ไม่เหมือนอย่างผีในหนังจีนนั่นเลยแหละ ... แต่เขาไม่มีหน้าม่วงๆซะหน่อยนี่
ฉันตัดความคิดไว้แค่นั้น ... ก่อนที่เดินให้พ้นจากวิถีที่เขานั่งอยู่ ... แน่ะ! กลัวล่ะสิแก ... เห็นไหม แกยังไม่ได้ตัดความคิดเพี้ยนๆนี่ซะหน่อย ...
แต่ผู้ชายคนนี้ ... ก็ยังเทียบไม่ได้กับภาพอีกภาพที่ฉันได้เห็น
คุณเคยเห็นเทศบาลจับหมาไหม? ... ถ้าเคยเห็น แล้วคุณรู้สึกยังไงกันบ้าง ... นั่นแหละ
ถ้าคุณไม่เคยเห็น ... ฉันจะบอกให้
เขาจะมีไม้ยาวเป็นเครื่องมือ ตรงปลายไม้มีตะขออันโค้งๆยาวๆติดอยู่ ... เขาเอาไว้จับหมา ...
ตะขอนั่นจะเกี่ยวเข้าที่หัวหมา ... คุณอ่านไม่ผิดหรอก ... เกี่ยวเข้าที่ ... ใช่เลยล่ะ
คุณเคยได้ยินหมาร้องอยู่แล้วแหละ ... อย่างน้อยก็ตอนที่มันหอน หรือตอนที่มันกัดกัน ... แต่มันเทียบกันไม่ได้เลย กับเสียงเวลาหมาถูกเทศบาลลากคอ
ฉันบอกไม่ถูกหรอกว่ามันเป็นยังไง ... รู้แต่ว่ามันโหยหวนที่สุดมากกว่าเสียงใดๆที่ฉันเคยได้ยินมาทุกเสียงเลย ...
ถ้าคุณไม่เคยได้ยินก็ดีแล้วล่ะ ... ดีแล้วจริงๆ เพราะมันจะฝังอยู่ในหัวคุณ เหมือนอย่างที่มันยังก้องอยู่ในหัวฉัน จนฉันหยิบเอาเรื่องนี้มาเขียนให้คุณอ่านได้ ... คิดดูแล้วกัน
ที่ฉันเล่าเรื่องหมาถูกเทศบาลจับนี่ ... ไม่ได้จะเรียกร้องสิทธิสัตวชน หรือรณรงค์ใดๆทั้งสิ้น ... มันไม่ใช่ประเด็นที่ฉันจะนำเสนอในวันนี้ ... เรื่องคุณธรรมอะไรพวกนั้น ใครๆก็รู้ ... ใครๆก็คิด ... ใครๆก็พูดได้ ... และคนมากมายก็ทำอยู่แค่นั้น
ไม่ต้อง ... ไม่ต้องชะงัก ทำหน้าย่น หรือก่นด่าฉันอยู่ เพราะฉันกำลังจะบอกว่า ... ฉันเองก็เป็นหนึ่งในคนที่อัปยศกับเรื่องนี้เหมือนกัน ... เหมือนคุณน่ะแหละ ไม่ต้องเหลียวไปมองหาใครหรอก ... ใครๆเขาก็หันหน้าหนีกันหมดแล้ว ... จะมีกี่คนเชียวที่กล้าเดินออกมาแล้วบอกว่า ... ฉันละอายแก่ใจเหลือเกิน ... เฮอะ
นอกเรื่องไปมากแล้ว ... ฉันจะบอกว่า ครั้งแรกที่ฉันเห็นภาพหมาถูกเกี่ยวหนังหัวน่ะ ... ฉันแทบช็อคไปเลย
มันไม่น่ามีอยู่จริง ... ภาพนี้มันไม่เป็นจริง ... เรื่องนี้มันไม่จริง ... ... ฉันเฝ้าหลอกตัวเองซ้ำๆอยู่เป็นวันๆ ... ทั้งที่นั่นก็ไม่ใช่หมาฉันซะหน่อย
เรื่องแบบนี้ ... การกระทำ --- ภาพแบบนี้ ... จะเกิดขึ้นในเมืองไทยได้ยังไง ... เมืองไทยที่คนหัวเก่าทั้งหลายพร่ำบอกอย่างงมงายว่า เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ... เมืองพุทธที่มีคดีฆ่าข่มขืน พี่น้องฆ่ากันเองขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกวันน่ะสิไม่ว่า ... ฉันศรัทธาในเมืองพุทธของเราแย่แล้ว ... ... อย่าว่าแต่ไม่น่าเกิดขึ้นในเมืองไทยเลย ... มันไม่น่าจะมีในโลกด้วยซ้ำ
ไม่ใช่แค่ภาพนี้หรอกที่ทำให้ฉันต้องคิดดีๆไม่รู้กี่ทีว่า ... ไอ้สิ่งที่เพิ่งผ่านเข้ามาในลูกตาของฉันนี่มันจริงหรือเปล่า ... ขอทาน --- เด็กขอทาน --- แม่อุ้มลูกขอทาน --- คนพิการขอทาน --- คนแก่หมอบพื้นมีหมาอยู่ข้างๆขอทาน ... ...
จะให้ฉันทำใจเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริงได้ยังไง ... คุณคิดดูสิ ... ภาพที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี่มันเรื่องจริง ... จริงๆเหรอ
บ้าที่สุด ... ฉันต้องยอมรับมัน ว่านี่เป็นเรื่องจริง เกิดขึ้นในสังคมจริงๆ
สิ่งที่ไม่น่ามีอยู่จริง ... กลับเป็นจริง