7 เมษายน 2547 13:45 น.
Clad in Black
De Grave (On the stand)
Text by Claude Achille Debussy (1862-1918)
Set by Claude Achille Debussy (1862-1918), from Proses Lyriques, no. 2
Sur la mer les crépuscules tombent,
Soie blanche effilée.
Les vagues comme de petites folles,
Jasent, petites filles sortant de lécole,
Parmi les froufrous de leur robe,
Soie verte irisée!
Les nuages, graves voyageurs,
Se concertent sur le prochain orage,
Et cest un fond vraiment trop grave
A cette anglaise aquarelle.
Les vagues, les petites vagues,
Ne savent plus où se mettre,
Car voici la méchante averse,
Froufrous de jupes envolées,
Soie verte affolée.
Mais la lune, compatissante à tous,
Vient apaiser ce gris conflit,
Et caresse lentement ses petites amies,
Qui soffrent, comme lèvres aimantes,
A ce tiède et blanc baiser.
Puis, plus rien...
Plus que les cloches attardées des flottantes églises,
Angelus des vagues,
Soie blanche apaisée!
ยามเย็นล่วงมาเหมือนเศษผ้าไหมสีขาวร่วงกราวบนท้องทะเล คลื่นกระทบพรึมพรำเหมือนเสียงเด็กหญิงตัวน้อยเบาปัญญาเลิกเรียนออกมาเสื้อครุยผ้าไหมเขียวมีเหลือบแสงกระทบ ก้อนเมฆ,นักท่องเที่ยวที่น่ากลัว รวมตัวกันเพื่อที่จะทำพายุลูกใหม่ต่อไป สีพื้นหลังนั้นช่างแสนจะมืดเกินไปสำหรับสีน้ำอังกฤษนี้ เจ้าคลื่นน้อยไม่รู้ที่จะไปต่อไป เพราะตอนนี้มีฝนใจร้ายตกลงมา พัดเป่าชายครุยกระโปรงไป และทำให้ผ้าไหมสีเขียวตกใจกลัว แต่เมื่อมีแสงจันทร์ผู้กรุณามา หยุดยั่งการกระทบกระแทกสีเทานี้ไว้ เธอค่อยๆปลอบประโลมเพื่อนน้อยๆทั้งหลาย และพวกเขาก็มอบตัวแก่เธอ เหมือนริมฝีปากที่น่ารักให้แก่จุมพิตแสนอบอุ่นสีขาวของเธอ ....ไม่มีอะไรอีกต่อไปแล้ว ไม่มีอะไรแต่หน่วงเหนี่ยวกระดิ่งของโบสถ์ลอยน้ำไว้ บทสวดของคลื่น ผ้าไหมสีขาวที่สงบลงแล้ว
5 เมษายน 2547 21:25 น.
Clad in Black
คำว่ารัก...
กาลครั้งหนึ่ง(ไม่นานมานี้)มีชายสามคน
ทุกคนต่างดิ้นรนและถอยหนี
กับความทุกข์ที่ตนได้อยู่แรมปี
สามคนต่างวิ่งหนีจากมัน
ชายคนที่หนึ่งอ้างว่า...
วันนี้ฉันเจอกับความทุกข์
เหมือนวันศุกร์ที่เพิ่งผ่านมา
แล้ววันก่อนๆหน้า...
ฮะๆ...นั้นแหละหนา..ก็เหมือนเคย
ชายคนที่สองตอบกลับ...
ฉันไม่เคยคิดจะมานั่งนับ
กับความทุกข์ที่ฉันได้สักที
..ทุกวันมันก็มีแต่ความเศร้า
เจ็บปวดร้าวอยู่แล้วนี่!
ชายคนที่สามพูดขึ้นทันที...
ก็ใช่นะซี แล้วจะทำไม?
. . .
และแล้วมาถึงวันหนึ่ง วันที่ซึ่งต่างออกไป
ชายคนที่หนึ่งวิ่งไปเร็วไว ออกค้นหาความนัยที่ไม่เจอ
เขาออกค้นหาความลับ ซึ่งออกจะนับไม่ได้
เพราะสิ่งที่เขาค้นหาไง มันคือความรักในใจที่หาไม่เจอ
กล่าวถึงชายคนที่สอง เขากำลังนั่งมองชายคนที่หนึ่ง
ปากก็บ่นพรำพรึมว่า... โง่ทึ่มอะไรอย่างนี้...
ฉันไม่คิดจะนับวันเป็นแรมปี เช่นเดียวกันกับที่แกทำ
ออกตามหามันไปทำไม ความรักโง่เง่าที่เคยฝัน
อยู่กับความจริงดีกว่ามั้ง สร้างสรรความทุกข์ให้ดูดี..
กล่าวถึงชายคนที่สาม กำลังนั่งอยู่ข้างๆชายคนที่สอง
สายตากำลังจ้องมอง สอดส้องหาความจริง
อาจจะจริงของแก มันโง่แท้อะไรอย่างนี้
เท่าที่ฉันกำลังดูมันอยู่นี่ ไม่เห็นอะไรที่มันจะดีได้เลย
ความรักโง่เง่าอะไร ไร้สาระจะตาย...อยากบ้า
จมอยู่กับความทุกข์ดีกว่า ยอมรับสิว่า..มันดี
. . .
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ชายคนที่หนึ่งก็ประจักษ์
ว่าคำว่ารัก... มันอยู่ไม่ไกลนักจากจิตใจ
เขาได้ครอบครองมัน และกำลังจะมีความฝันใหม่
คำว่ารักมันยิ่งใหญ่ และใครต่อใครก็ต้องการมัน
ชายคนที่สองกำลังนั่งมอง สอดคล้องกับชายคนที่สาม
เวลานี้แม้ว่าจะเนิ่นนาน และชายคนที่สามก็ยังเหมือนเดิม
แต่ว่าน่าแปลก เมื่อชายคนแรกได้พบรัก
ชายคนที่สองก็กลับผลัก ความทุกข์แล้วออกก้าวทันที
เขากระทำอย่างชายคนแรก ไม่ผิดแปลกไปสักที่
ไม่นานความรักที่เคยมี ก็กลับมามีอีกครั้ง...น่าดีใจ
เสียดายแต่ชายคนที่สาม ..เค้ากลับห้ามใจไว้
กลัวว่าความรักที่อาจจะได้ จะทำร้ายเขาดังครั้งก่อน
. . .
เวลาผ่านไปอีกหลายปี ชายคนที่หนึ่งกำลังจะมีลูก
ชายคนที่สองกำลังจะได้ปลูก ต้นรักใหม่กับใครสักคน
ชายคนที่สามกำลังนั่งจ้องมอง น้ำตาหลั่งคลอนัยนา
ปากบ่นพรึมไม่เป็นภาษา คำว่ารักของข้าอยู่ที่ไหน...
. . .
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เวลามีค่าเสียยิ่งกว่าอะไร
บางทีความรักที่อยู่ในใจ อาจจะใช้เวลาค้นหาได้เจอ
มันเป็นสิ่งอยู่ไม่ไกลตัว เราอาจจะหันหัวแล้วเจอได้
คำว่ารักมีอยู่รอบเราไป ก็แล้วแต่ใครจะมองมัน
ดูอย่างชายคนที่หนึ่ง เค้าเคยพรั่นพรึงและผิดหวัง
เอาแต่นั่งนับวันคืนปัน ความทุกข์ไปไม่รอรี
แต่แล้ววันหนึ่งก็คิดได้ ไม่เหมือนนายคนที่สอง
คนประเภทนี้อาจต้องรอ ให้พบความจริงที่เห็น
แต่ว่าก็ช่างปะไร เวลามีให้กับเขาอยู่แล้วนี่
แล้วสักวันคนอย่างนี้ จะใช้เวลาไปมากกับการหามัน
แต่...ชายคนที่สาม เวลาสักยามจะมีไหม
เมื่อเขาไม่มีกะใจ จะลุกหาคำว่ารักใหม่ให้กับตัวเอง
. . .
5 เมษายน 2547 21:21 น.
Clad in Black
การเดินทางของผีเสื้อ
ยามลมหนาวพัดผ่าน ความอ้างว้างและแห้งแล้ง
เจ้าผีเสื้อน้อยกำลังจะหมดแรง ทนทุกข์กับความคับแค้นไม่ไหว
ปีกสีสวยกำลังจะโรยรา แรงกายถามหาความหวังใหม่
จิตใจเจ้าแน่ไม่ถอยไกล โหยหาบ้านใหม่...ในฟ้าคราม
. . .
สัมผัสอากาศอันอบอุ่น อาจจะอยู่ที่ไหนสักที่
เจ้าอาจจะต้องบินลงใต้แล้วซี หรือว่าอาจจะบินขึ้นเหนือไปสักครา
ไอแดดและกลิ่นตะวัน ความสดใสที่เจ้าถามหา
ถ้าหากเจ้าไม่ออกบินในฟ้า จะมีไหมหนาที่เจ้าจะเจอ?
. . .
ระยะทางการอพยพที่แสนไกล เจ้าก็อยากจะบินไปให้ถึงที่
แม้จะเหนื่อยล้าอ่อนแรงเต็มที่ แต่เจ้าก็ไม่มีที่จะเลิกละไป
ผีเสื้อน้อยกำลังจะหมดแรง ทนทุกข์กับความคับแค้นไม่ไหว
ด้วยเหตุผลธรรมชาติบังคับไป เจ้าจึงไม่ขอทน...แล้วออกบิน
. . .
ปีกสีสวยกำลังจะโรยรา แรงกายถามหาความหวังใหม่
กระแสลมแรงกระหน่ำอยู่ร่ำไป ผีเสื้อไม่ท้อถอยจึงออกบิน
ลมหนาวต้านทานกับตัวเจ้า เจ็บปวดร้าวระบมไม่เป็นที่
ผีเสื้อน้อยแรงกายไม่รารี ขืนใจที่อ่อนล้าให้ถาวร
. . .
จิตใจเจ้าแน่ไม่ถอยไกล โหยหาบ้านใหม่...ในฟ้าคราม
ปีกเจ้าลู่ลมยังคงทะยาน อาจหาญเสาะหาความเป็นจริง
ธรรมชาติอันโหดร้ายและทารุณ จำเป็นต้องเอื้อหนุนกับสิ่งนี้
เมื่อมีผู้รอดต้องมีผู้ตายไปทุกที นี่แหละ...คือชีวิตของมัน
. . .
ระยะทางการอพยพที่แสนไกล เจ้าก็อยากจะบินไปให้ถึงที่
เหตุผลเดียวของเจ้าที่เจ้ามี คือปรารถนาบ้านใหม่ที่งดงาม
ผีเสื้อน้อยบินไปไม่ลดละ ด้วยความมานะที่หมายใหม่
ระยะทางที่เคยยาวไกล ไม่นานเจ้าก็พิชิตมันได้...(ด้วยความฝัน)
. . .
แสงแดดอันอบอุ่นส่องสว่างจ้า เสียงสรรพสัตว์นานาพวกใหม่ๆ
กลิ่นละอองไอแดดดั่งเผาไฟ เหล่าดอกไม้ต้องลมกำลังไหวเอน
ปีกสีสวยกำลังจะโรยรา แรงกายถามหาที่พักใหม่
คืนสู่เถ้าธุลีที่เกิดคล้าย ผีเสื้อโชคร้ายกำลังจะตายแล้วซี
. . .
ความพยายามของเจ้าประสบผล การดิ้นรนทนรอดไม่ถอยหนี
แต่ว่าความมานะของเจ้าในครั้งนี้ มิอาจมีความหมายต่อกายเลย
จิตเจ้าต่างหากเจ้าผีเสื้อ ที่ยังเหลือความสุขที่เจ้าได้
พบกับความฝันในวันที่โหดร้าย แล้วขวนขวายจนได้เป็นวันนี้
. . .
ปีกน้อยๆกำลังจะลาแรง มันลีบแห้งกรอบและไร้สี
ความฝันของผีเสื้อในยามราตรี กลางที่อบอุ่นไม่เคยหายไป
ความคิดที่ดูฟุ้งซ่าน โหยหาร่างกายใหม่
แต่ความสุขจากแสงแดดที่เคยได้ ดูคับคล้าย...กำลังจะลางเลือน