วันนี้งานเข้าเฌออีกแระ เป็นแม่ครัวจำเป็น หรือแจ๋วจำเป็นน่ะเอง อิอิ แจ๋วจำเป็น จำเป็นต้องเข้าครัว เนื่องจากพี่สาวได้ซื้อเส้นใหญ่ ผักคะน้า เนื้อหมู พร้อมไข่ไก่ มาเตรียมทำผัดซีอิ๊ว แต่แล้วจู่ๆคุณพี่สาวก็ขี้เกียจขึ้นมาซะงั้น กรรมเลยตกกับเฌอ โดยปริยาย อิอิ ทำก็ทำฟระ ทำไงหว่า ผัดซีอิ๊ว เกิดมายังไม่เคยทำเลยอ่ะ ก่อนอื่นเปิดตำราจากอินเตอร์เนทก่อน หุหุ
เง้ออออ เผลอ แป๊ปๆก็ถึงวันคล้ายวันเกิดอีกแระ เง้ออออ วันเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหกจริงๆ เพิ่งเห็นกันอยู่หลัดๆ เจ้ยๆๆบ่ใช่ บ่ใช่ ผิดงานแล้วฉ๊าน อิอิ กี่ปีแล้วนะที่เราได้รู้จักกัน วันเวลายากจะทดสอบความใกล้ชิดสนิทสนม และรู้ใจกัน เอิ๊กๆๆ แต่ เราตัดสินและรับรู้ได้จากการกระทำอ่ะนะ ชิมิ (แปลว่าใช่ป่าว)
ทัวร์เมืองกาญจน์..ครั้งนี้ มีเรื่องตื่นเต้นมากมาย ผิดกับทุกๆปีที่ผ่านมา เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า... ตระกูลของเรา อิอิ ทุกวันปีใหม่จะรวมญาติ พี่น้อง ลูกหลาน เพื่อนสนิท ไปท่องเที่ยวตกปลาเป็นแบบนี้มาไม่ต่ำกว่า10ปีแล้ว เหมือนเป็นธรรมเนียมกระชับญาติสนิท มิตรสหาย บางปีพวกเราจะไปนอนแพเทค แพริมแม่น้ำแควบ้าง แพแบบนี้ พวกไม่ชอบตกปลาจะชอบเพราะได้สนุกสนาน ได้แดนซ์ ได้เหล่ สาวๆหนุ่มๆ คริ คริ แต่นักตกปลาไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ถึงแม้นจะได้ปลาก็ตามทีเถอะ เขาว่าแพแบบนี้อึกทึก ครึกโครม เกินไปอ่ะนะ (ข้ออ้างมากกว่ามั้ง ไม่ได้ปลาแล้วโทษนั่น โทษนี่) พอมาระยะหลังๆ 4-5 ปีที่ผ่านมา พวกนักตกปลาจะเน้นให้ไปแต่เขื่อนศรีนครินทร์ .. พวกไม่ตกปลา แต่เป็นกองเชียร์ ก็ต้องตามใจ เพราะเราคือพี่น้องกันต้องว่าตาม มติเสียงส่วนใหญ่ อิอิ โม้มาพอสมควรแก่เวลา รึยังหว่า อืม เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่าเน๊าะ ปีนี้พวกเราทั้งหมด28 ชีวิต จะไปติดเกาะกันที่แพของลุงรินทร์ เป็นเวลา 3 คืน 4วัน ซึ่งแพนี้พวกเรามาเป็นปีที่ 3 แล้ว สงสัยติดใจในความหล่อ ของลุงรินทร์ เจ้ย ไม่ใช่ เราติดใจในการบริการ และเราได้ปลาใหญ่ และได้หลายตัว แบบว่าทำบาปขึ้นอ่ะนะ อิอิ แหมม พูดแล้วอายเหมือนกันนิ เอาความน่ากลัวของพี่น้องมาประจาน คริ คริ โดยทุกครั้งจะมีเรือมาลากแพ พวกเราไปปล่อยเกาะ โอวว์จ๊อด พวกเรากำลังจะถูกลอยแพอีกแว้วเหรอเนี่ย... คืนแรกที่แพ เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น ตั้งแต่ไปเที่ยวไม่เคยเจอะ เคยเจอเลย.. เวลาประมาณเที่ยงคืนกว่าเกือบตีหนึ่งเห็นจะได้ ได้เวลานอน เราก็หยุดเครื่องปั่นไฟ ทั้งแพก็เงียบสงัด มืดสนิท มีเพียงแสงจันทร์ข้างแรมเท่านั้นที่เห็นเพียงลางๆ กับไฟฉาย สำหรับพกเวลาจะไปเข้าห้องน้ำ..ทุกคนหลับสนิทแล้ว แต่..ตัวฉันเองกลับนอนไม่หลับอ่ะ สงสัยกินกาแฟ เยอะเกินไปตาเลยค้าง พยายามข่มตาหลับ สักพักได้ยินเสียงที่โหยหวนมาก... "..ช่ ว ย ด้ ว ย ย ย ย ย ย" เหมือนร้องแบบนี้..แต่ฟังไม่ได้ศัพท์อ่ะ เพราะ ณ เวลานั้นจินตนาการของฉันมันแสนบรรเจิด สุดๆ ตาดำหายไปเกลี้ยง เหลือแต่ตาขาวโพลน เสียงร้องขอความช่วยเหลือ โหยหวน สุดวังเวงเป็นระยะ ระยะ บางช่วงสั้น บางช่วงยาววววว ขนหัวจะตั้งเสียให้ได้เลย แต่ฉันก็เงียบไม่กล้าทักว่าเสียงอะไร กลัวอ่ะ อิอิ แต่เผอิญมีคนไม่หลับอยู่อีกสองคนคือพี่สะใภ้ กับหลานชาย พี่สะใภ้นอนกันคนละฝั่งกัน พูดว่า "เฮ้ย ! เสียงไรวะ" ฉันก็นึกในใจ...เออ โชคดีวุ๊ย มีคนนอนไม่หลับอีกนี่หว่า ค่อยยังชั่วแล้ว ซิเรา คราวนี้ได้ยินเสียงหลานชายซึ่งนอนฝั่งเดียวกับฉัน ตอบว่า "ได้ยินเหมือนกันไหม?" ฉันก็ ดีใจสุดๆมีเพื่อนนอนไม่หลับ2คนแล้ว เลยส่งเสียงไปบ้างว่า ..."เสียงใครละเมอป่ะหว่า? " (แบบคิดปลอบใจตัวเองไปก่อน ณ เวลานั้น) ฉันก็โยนไปเลยว่า สงสัยหลานสะใภ้จะละเมอมั้ง เพราะได้ยินเสียงมาจากฝั่งตรงข้าม(หลานสะใภ้คนนี้ เพิ่งเคยมาเที่ยวกับเราครั้งแรก) คนอื่นๆในแพก็ล้วนเคยมานอนกับเราทั้งสิ้น และฉันก็ไม่เคยได้ยินเสียงอะไรแปลก ประหลาดอย่างนี้เลยอ่ะ ...แต่พี่สะใภ้ที่นอนไม่หลับอีกคนว่าเสียงดังมาจากฝั่งฉัน คราวนี้แหละ เกิดข้อสงสัยกันในใจ ฝั่งไหนแน่หว่า??? ส่วนหลานชายฉันก็บอกให้พี่สะใภ้ฉันลุกขึ้นไปดูสิว่าเสียงอะไรแน่ เพราะเขาคือผู้ใหญ่ที่สุด ในตอนนั้น(ตอนไม่หลับ) แต่พี่สะใภ้ฉันตอบว่า "ขอให้ได้ยินชัดๆอีกทีสิ จะลุกขึ้นไปดู" สักพักเสียงก็ครวญครางอีกแว้วววว หลานชายก็บอกว่า" คราวนี้ชัดหรือยังล่ะ" ส่วนพี่สะใภ้แทนที่จะลุกไปดู คราวนี้กลับคลุมโปงเฉยเลย.. ฉันก็ท่องนะโมๆในใจตลอด คิดในใจว่าดีนะที่มีพระ อิอิ สักพัก มีคนตื่นขึ้นมาอีกรายบอกว่า เสียงหลานสาวคนเล็กของฉันละเมอแน่ๆ.. คราวนี้พี่สะใภ้ของฉัน ฮึดสู้ลุกขึ้นเอาไฟฉายไปส่องคนที่นอนว่า ใครละเมอกันแน่.. ฉันก็จ้องพี่สะใภ้ตาไม่กระพริบหวังได้คำตอบของที่มาของเสียง จะได้หายข้องใจเสียที พี่สะใภ้ก็ฉายไฟไป..จ้องไป..ไม่มีใครมีอาการละเมอ ... แต่ใจพี่สะใภ้ แกเริ่มคิดว่า(แกบอกในภายหลังว่า เริ่มใจเสียแล้วคิดถึงว่าจะมีใครนั่งขาวโพลนบนฝั่งรึป่าวหว่า) แต่เผอิ๊ญ เผอิญ น้องสาวของฉันเองที่นอนหลับ เกิดอาการกระตุก.. คราวนี้พี่สะใภ้ฉันก็เกิดอาการผงะ.. ฉันที่กำลังลุ้นก็เกิดอาการต๊กกะใจ เอ๊ะ เขาเห็นอะไรฟระ? ... น้องสาวฉันลุกขึ้นมา ขอบอกขอบใจพี่สะใภ้ที่เอาไฟฉายไปส่องหน้า ทำให้น้องสาวเขาลุกขึ้นมาได้หลังจากร้องขอความช่วยเหลือตั้งนาน น้องสาวบอกเพียงสั้นๆว่า"ผีอำ" เวงกรำ แล้วจะเล่าความฝันให้ฟัง ฉันรีบเบรคตัวโก่งเลยว่า พอๆไม่ต้องเล่า ไม่อยากฟัง เช้าค่อยเล่า อิอิ พอรู้ถึงที่มาของเสียงก็รู้สึก..โล่ง นึกว่ามีผู้ไม่ประสงค์ออกนามขึ้นมาบนแพด้วยซะอีก เง้ออออ คืนแรกผ่านไปแบบใจหาย ใจคว่ำ กว่าจะหลับได้ก็เกือบแจ้ง... กิจกรรมยามว่างบนแพ..มีหลากหลาย บ้างก็เล่นน้ำกันสนุกสนาน บ้างก็คิดคำนวนเลข กันหน้าดำคร่ำเครียด อาหารทะเล..อาหารป่าก็มี(กุ้ง ปู ปลา เสือ ไก่ กุ้ง) ลูกค้ารายใหญ่ เงินทองไม่รั่วไหลออกนอกประเทศ ..เมื่อมาบ่อนปล่อยเปรตที่นี่ อิอิ ปีละครั้ง นับถอยหลังที่นี่ทุกปี..ปีก่อนปล่อยโคมลอย ฉันก็ใจจะวายกลัวหลังคาแพไฟไหม้..ใจตุ๋มๆต่อมๆ แต่ปีนี้ปล่อยกระทงสาย พี่ชายเตรียมมาหลายอันเลย ใช้กะลาทำอ่ะนะ ฉันก็กลัวกะลาจะมาลอยใต้แพ มันจะร้อนก้นโดยไม่รุ้ตัวอีกอ่ะนะ พวกพี่ๆฉันชอบเล่นอะไรให้หวาดเสียวอยุ่เรื่อยเชียว มีการเป่าเค้ก จับสลากของขวัญกัน แจกรางวัลกันไม่อั้น โดยปีนี้เราได้ผู้อุปการะคุณจากพี่สาวแดนไกลในลอนดอน อาหารการกินเพียบพร้อม อิอิ กลัวไม่รู้ว่าอยุ่เมืองลิง ยังหิ้วกล้วยมากินอีก อิอิ มาดูกิจกรรมพวกนักตกปลาบ้างดีกว่า.. ปีนี้มีการแข่งขัน และมีถ้วยรางวัลสาด้วย คิ คิ ดูมาดท่านประธานสมาคมนักตกปลาก่อน กำลังเซ็นต์เกียรติบัตร โฉมหน้านักล่าเหยื่อ (โหดเน๊าะ) รางวัลปลาฟาล์ว ได้ยาหม่องไปแก้เคล็ด ขัดยอกแทน อิอิ มอบโดยนายกสมาคมตกปลา อิอิ ปีนี้พวกเราทำบาปไม่ขึ้นอ่ะนะ ได้ปลานิดหน่อยไม่เหมือนปีที่ผ่านมา หลังจากถูกลอยแพ ไป 3 คืนเต็มๆ พอถึงวันจะกลับขึ้นฝั่งก็เกิดลมแรงขึ้นอีก ทุกปีที่ไปไม่เคยเจอลมแรงเท่านี้ แล้วแพที่ไปพักมีคนมาต่อคิวลงแพ เจ้าของแพจึงเร่งรีบเข้าไปอีก ตอนแรกเรือลากมาลากลำเดียวก็พอทำเนา แต่ไปๆมาๆเรือ2ลำ ช่วยกันฉุดกระชากลากถูแพ แพเกือบแตก ถ้าเรืออีกลำไม่สละแพเราไปก่อน คงเกิดโศกนาฏกรรมหมู เ อ๊ย หมู่แน่ๆ ฉันเองก็รีบคว้าเสื้อชูชีพมาใส่ไว้ก่อนตามประสาคนตาดำน้อยอีกแระ สังเกตุคลื่นแรงมาก น้ำซัดมาใต้แพ จนไม้กระดานบางแผ่น พะงาบๆ ช่วงเวลานั้น นึกถึงแต่พ่อแก้ว แม่แก้วกันทุกคน แพจะแตกซะให้ได้ ช่วงนั้นมองทางไหนก็ไม่เห็นฝั่งเลยอ่ะนะ พวกเรารีบถ่ายหมู่เป็นอนุสรณ์กันอย่างไว อิอิ แต่บางรายก็ทำใจเย็นนอนไม่สนอะไรทั้งนั้น ถือว่าว่ายน้ำเป็นซะอย่าง และยังพูดว่าเหมือนนอนเปลไกว?? พอเรียกให้ลุกก็กลับมานอนต่อในกะละมังเตรียมเอาตัวรอดคนเดียว ซะง้าน ไม่รู้พี่สาวใครนิ ส่วนนี่ก็อีกราย อาของใครก็ไม่รู้หนีเอาตัวรอดไปอยู่ชั้น2ของแพ ดูซิ ทำท่าบับ บายซะด้วย อิอิ พอคลื่นลมสงบ ถึงได้ลงมาได้ เง้อ และแล้วเราก็กลับถึงแผ่นดินโดยสวัสดิภาพ และต่างก็ช่วยกันขนสัมภาระของใครของมันขึ้นรถ แยกย้ายกันเดินทางกลับบ้านใคร บ้านมัน แล้วพบกันใหม่อีกทีวันปีใหม่หน้านะพี่น้องงงงง
เป็นอย่างนี้นี่เองนะคนเรา อิ อิ นัดกันไม่เป็นนัดนิ ขนาดนัดแนะกันล่วงหน้า เกือบเดือนนะ ยังมาเบี้ยวกันอีก.. สาวเมืองลิงโดนหลอกหลอนก็งานนี้เอง นี่ค่ะที่มา ไม่มีที่ไปตามลิงค์นี่เลย ตัวต้นเหตุ ประสานงา เจ้ย ประสานงานได้ดีเกินไป อิ อิ http://www.thaipoem.com/forever/ipage/story8779.html
เมื่อวันที่16มิถุนายน มีเพื่อนๆมาจากกรุงเทพ เขาตั้งใจมาทำบุญที่วัดพระบาทน้ำพุ เฌอเลยเป็นไกด์นำทางไปค่ะ ได้พบ ได้พูดคุยกับผู้ป่วย ได้ชมพิพิธภัณฑ์ชีวิต ได้สาระและความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมไปในตัวเลยค่ะ คือ ชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ ส่วนใหญ่ผู้ชายจะติดโรคด้วยการร่วมเพศกับหญิงบริการ ส่วนผู้หญิงส่วนมากจะติดมาจากสามีอีกที และอีกหลายคนเหมือนกันที่เป็นชายประพฤติตนแบบรักร่วมเพศ และมีอีกกลุ่มคือติดโดยการฉีดเข็มโดยยาเสพติด และเด็กเล็ก ที่ติดมาจากมารดาอีกที พิพิธภัณฑ์ชีวิต "วันเผาผี หนีไม่พ้น บนอนิจ ทุกชีวิต ต้องตาย มลายสูญ ทิ้งความดี ที่ทำ ครั้งจำรูญ ไว้เทิดทูน อาลัย ตอนวายวาง" ศิลปเรซิ่น จากกระดูกผู้ป่วย "โลกหมุนเวียน เปลี่ยนผัน ทุกวันนี้ เป็นโลกที่ สมมติ ปรากฏเห็น ดั่งละคร ย้อนแสดง แสร้งให้เป็น ดาราเล่น คือเรา เฝ้าหลอกลวง" บทสะท้อนชีวิต "ไม่เที่ยงแท้ แน่นอน สะท้อนจิต ว่าชีวิต คนเรา ก็เท่านี้ ถือกำเนิด เกิดแก่ แลตายมี ไม่อาจหนี ต้องประสบ พบทุกคน.." ภาพจำลองการฌาปณกิจสมัยแรกของวัดพระบาทน้ำพุ "อันความตาย คือสุดท้ายของชีวิต ถูกลิขิต มาแต่เกิดกำเนิดนั้น ไม่มีใคร หลีกพ้นบนทางตัน ต้องอาสัญ แน่นอนโปรดย้อนครวญ..." เตาเผาศพปัจจุบัน สุดท้ายเหลืออะไร? กองเถ้ากระดูกของผู้ป่วยตั้งแต่ปี2535-ปัจจุบันที่ ญาติไม่มารับ บริเวณบ้านพักผู้ป่วย "ควันเขม่า คละคลุ้ง ฟุ้งตลบ จากซากศพ ที่เขา ไปเผาผี ไม่รู้สึก รู้สา ประดามี เป็นร่างที่ ร้างวิญญา คราจาบัลย์ คนโศกเศร้า โศกี อยู่ที่ไหน มิใช่ใคร ญาติมิตร สนิทนั่น ร่ำไห้หวน ครวญคร่ำ พร่ำรำพัน เฝ้าโศกศัลย์ กำสรด สลดใจ คือเลือดเนื้อ เชื้อไข ในสายเลือด ไม่แห้งเหือด สัมพันธ์ ให้หวั่นไหว ร้องระงม อาวรณ์ ก่อนจากไกล น้ำตาไหล พรากนอง ทั้งสองตา ต่อแต่นี้ ไม่มี ร่างนี้แล้ว ที่ผ่องแผ้ว ความดี ที่รักษา เหลือความหลัง ฝังตรึง ซึ้งวิญญา คือคุณค่า งดงาม ยามจากกัน เหลือเพียงแค่ อัฐิ อย่างที่เห็น เก็บไว้เป็น นิยาม ความอาสัญ กับคุณงาม ความดี เป็นนิรันดร์ สถิตมั่น ดำรง วงศ์ตระกูล.."