23 พฤษภาคม 2548 10:16 น.

DeVil ตอนที่ 2 : ผู้มากับแสงจันทร์...

bMX

อาจจะฟังดูเห็นแก่ตัว  แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้  เมื่อท่านคือผู้ถูกเลือก  ต่อให้ท่านจะพยายาม

หาหนทางที่จะหลีกเลี่ยงมันสักเพียงใด  ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากอยู่เฉยๆ รอให้มันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หรอก

ไม่มีวันที่ท่านจะหนีมันพ้น  เพราะท่านคือผู้ที่ชะตาได้ลิขิตไว้  ให้เกิดมา  เพื่อทำลายล้าง...  


แสงจันทร์สาดส่องในคืนเดือนเสี้ยว  อำนาจแห่งแสงจันทร์ที่กำลังจะแข็งแกร่งขึ้น...จากคืนเดือนดับ
  
ย่างกรายเข้าสู่คืนจันทร์  สองอำนาจที่กลับกันผลักดันให้เกิดดวงวิญญาณอันยิ่งใหญ่  

สามวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และสิบสี่จอมเทพ  เป็นการรวมตัวของเหล่ามหาวิญญาณทั้งสิบเจ็ด  

เพื่อการปกป้องห้วงมิติแห่งกาลเวลา...


แต่สิ่งที่เข้ามาพัวพันกลับกลายเป็นผู้ไม่เกี่ยวข้อง  กลุ่มเด็กผู้ถูกเลือกสิบสี่คนและผู้ครอบครองวิญญาณ

อีกสาม กลายมาเป็นผู้ที่ต้องรับภาระในการทำลายล้างครั้งนี้อย่างไม่ตั้งใจ...    


             เมื่อไร้ซึ่งทางเลือก  สิ่งเดียวที่ทำได้คือทำลาย...

             ทำลายอย่างหนึ่ง   เพื่อรักษาอีกอย่างหนึ่ง 
  
             หน้าที่...ที่จำต้องรับไว้  ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม...


       ------------------------------------------------------------------------



"เวลานั้นใกล้เข้ามาทุกที  หากท่านยังไม่รีบ...แล้วจะมาหาว่าข้าไม่เตือนไม่ได้"  


น้ำเสียงเย็นเยียบที่เอ่ยปากออกไป  ทำให้คนฟังสามารถรู้สึกได้ถึงความเย็นชาที่ส่งผ่าน  

หากแต่ผู้ฟังคนนี้กลับมิได้สะดุ้งสะเทือนแต่อย่างใด 

         
"เรื่องนั้นข้าเองก็ทราบดี  ว่าแต่พวกท่านเถอะ  ผู้ครอบครองวิญญาณทั้งสาม  หวังว่าพวกท่านคงจะ

ค้นพบบุคคลผู้ซึ่งมีพลังเหล่านั้นแล้ว"  


เสียงเอ่ยถามเรียบๆ ดูใจเย็น จากจากบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้า  คำถามที่เรียกให้ริมฝีปากขยับเป็นเส้นตรง  

และแทนที่จะให้คำตอบ เธอกลับมอบคำถามให้แทน


"หรือท่านไม่คิดอย่างนั้น...ดาร์ค" 


รอยยิ้มที่กว้างกว่าผุดขึ้นบนใบหน้าของผู้ฟัง  เมื่อประโยคที่ฉายแววท้าทายถูกกล่าวออกมาอย่าง

เปิดเผยผ่านริมฝีปากบางและใบหน้าเรียบเฉยของคนพูด  


นิสัยเสียที่ยังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน  ความมุ่งมั่นและความสามารถที่เต็มเปี่ยม  อัดแน่นอยู่ภายใต้

หน้ากากที่เย็นชาและเรียบเฉย  รักที่จะท้าทายกับทุกสิ่งอย่างสนุกสนาน  ไม่เคยกลัวสิ่งใดในโลก

เลยหรืออย่างไรกัน...แองเจิ้ล
    

"อำนาจ  ข้าขอสาป...ข้าขอสาป...ให้โลกนี้จมดิ่งอยู่ท่ามกลางแสงจันทรา ให้เวลาจงหยุดนิ่ง  ดับแสงตะวัน

แล้วคืนทุกสรรพสิ่งให้กลับสู่ความมืดมิดใต้เงาจันทร์อีกครา..."   


น้ำเสียงต่ำลึกที่ดังก้อง ราวกับจะกดทุกโสตประสาท ปลุกให้เด็กสาวสะดุ้งตื่นจากความฝันที่ลึกลับนั่น  

นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่เธอฝันเช่นนี้  สามครั้งสามคราติดต่อกันอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด 

  
และถ้าเธอไม่ได้คิดไปเอง... ความรู้สึกราวกับกำลังถูกดึงเข้าไปในฝันร้ายนั้น  เหมือนกับว่ามันะไม่ต้องการให้เธอตื่น...


เม็ดเหงื่อที่เกาะพราวเต็มใบหน้า  ดวงตาหรี่ลง  เสียงถอนหายใจหอบยังคงดังถี่อย่างหยุดไม่ได้  

ทั้งที่ห้องนอนยังคงเย็นฉ่ำเพราะเครื่องปรับอากาศ  แต่ความร้อนที่รุมเร้าในหัวมันมีมากมายเหลือเกิน  

มากจนแทบจะระเบิดออกมาเสียให้ได้

   
จนกระทั่งเมื่อร่างกายที่หอบหนักเริ่มสงบลง  ความเงียบเริ่มกลับเข้ามาแทนที่อีกครั้ง  เธอหันกลับไปมอง

ที่หน้าต่าง  มือเรียวปัดผ้าม่านออกช้าๆ  ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนกระจกที่กั้นอยู่ออก และทันทีที่เธอมองออกไป   

ดวงตาคู่สวยก็เบิกกว้าง...  


ที่บนยอดไม้ขนาดใหญ่ข้างหน้าต่าง  ปรากฎร่างของหญิงสาวในชุดผ้าคลุมสีขาวบริสุทธิ์  เส้นผมสีดำสนิท

ตรงสวยยาวจรวดเอวทอประกายเล่นแสงกับจันทร์  ดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่คมกริบกำลังตวัดมองมาทางเธอ 

  
แม้ว่าหล่อนจะดูสวยสักปานใด  แต่ภายในใจเธอรู้สึกราวกับจะลุกขึ้นเต้นได้...ภาพตรงหน้าเธอ...   

สตรีที่งดงามราวกับภาพวาดจากจิตรกรฝีมือเอก   เหมือน...ภาพในความฝัน...


"สวัสดี"   


เสียงหวานเย็นเยียบเอ่ยเบาๆ แต่มันกับดังก้องเข้าไปทุกโสตสัมผัสของเธอ  ดังแว่วอยู่อย่างนั้น...  

ดวงตาของเด็กหญิงเบิกกว้าง  แต่ยังไม่ทันจะขยับตัว...


"โอ๊ย!"


เธอร้องเบาๆ  เมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบที่วิ่งวาบไปทั่วขา  ความเจ็บปวดแล่นวาบ  

ก่อนที่จะหายไปแล้วดึงเอาความรู้สึกชาเข้ามาแทนที่  ขาข้างซ้ายของเธอไม่สามารถขยับได้ในตอนนี้... 

  
"อึก.."

  
เสียงกัดฟันข่มความเจ็บ  เมื่ออาการแบบเดียวกันเกิดขึ้นกับขาข้างขวา  เธอตวัดสายตาแข็งกร้าวกลับ

ไปมองที่ร่างของหญิงสาวคนนั้น  ใบหน้าสวยยังคงยิ้มให้เธออย่างไม่ทุกข์ร้อน


เด็กสาวกัดฟันแน่น  ปิดเปลือกตาลงช้าๆ ค่อยๆ รวบรวมสมาธิอย่างถึงที่สุด  จนกระทั่งสลัดตัวเองให้หลุด

จากความทรมานนั้นได้สำเร็จ  เธอค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว  


ในขณะที่หญิงปริศนาคนนั้นยังจ้องหน้าเธอ  แต่เด็กสาวจ้องกลับอย่างไม่เกรงกลัว  แม้ว่าความรู้สึกเจ็บ

ที่ขายังคงมีหลงเหลืออยู่ก็ตาม   แต่มันไม่ใช่เวลามาเจ็บ  มีบางอย่างสำคัญกว่า...


"เธอเป็นใคร"

   
คำถามแรกที่หลุดออกจากปากเด็กสาว ด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นแต่แผงด้วยแรงโทสะ ทำให้รอยยิ้ม

ของหญิงคนนั้นขยับกว้างขึ้นมากกว่าเดิมอีกนิด 


แต่ร่างบางกลับเข้าใจว่ามันเป็นการยิ้มเยาะ  เป็นเหตุให้อารมณ์หงุดหงิดที่มีมากอยู่แล้วพุ่งสูงขึ้นเป็นเท่าตัว


"ฉันถามว่าเธอเป็นใคร!"  เพิ่มเสียงให้มากขึ้นจนแทบจะเป็นตวาด  แต่ใบหน้าหวานนั้นยังคงยิ้มใจเย็น  

ในขณะที่คนพูดกำลังเซลงทีละน้อย  เมื่อความเจ็บปวดที่ขาค่อยๆ เพิ่มขึ้น


ยิ่งเธอเจ็บปวดมากเท่าไหร่  รอยยิ้มบนใบหน้าสวยก็ยิ่งมากขึ้น  ราวกับรับรู้ความเจ็บปวดของเธอ


"เธอเป็น...โอ๊ย!" เธอกำลังจะพูดต่อไป  ถ้าไม่ใช่เพราะ ว่าตอนนี้ขาเรียวไม่สามารถที่จะฝืนต่อไปได้อีกแล้ว 


ร่างทั้งร่างทรุดลงไปตามแรงโน้มถ่วง  ร่างบางพิงกับชั้นวางของอย่างหมดแรง  หลับตาแน่นเมื่อความเจ็บจาก

ขาทั้งสองข้างค่อยๆ ลามขึ้นไปจนทั่วร่าง  กำหมัดอย่างเจ็บใจเมื่อไม่สามารถทำอะไรได้ 


จนในที่สุด...สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นแก้วน้ำที่วางอยู่ตรงชั้นข้างตัว  มือเรียวค่อยๆ ฝืนคว้ามาไว้ในมือ

ก่อนจะซัดมันออกไปข้างนอกผ่านกระจกที่เปิดอยู่ให้แรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ในตอนนี้
   
        
จากนั้น...สติของเธอก็ค่อยๆ เลือนหายไป				
21 พฤษภาคม 2548 06:49 น.

ThE TruE STorY : ฝันร้าย กับ เรื่องน่าอายของนักฆ่า

bMX

"ใคร...ต้องการอะไร?"   เฟรินเค้นเสียงถามอย่างยากเย็น  เม็ดเหงื่อเกาะพราวทั่วใบหน้า  

    อยากจะขยับ แต่ขยับไม่ได้   คมมีดถูกเงื้อขึ้นอย่างรวดเร็ว  เฟรินหลบตาลงช้าๆ กลั้นหายใจเพื่อรอรับความเจ็บปวด 

    เสียงกรีดร้องดังขึ้นก้องป่าอีกครั้ง เมื่อเลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูด 


                "กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด"  


           "วิเวียน"   เสียงร้องตะโกนของโรเวนทำให้ร่างบางสะดุ้งตื่น  ก่อนจะลุกขึ้นนั่งและโผกอดโรเวนไว้

     หยาดเหงื่อไหลรินจนชุ่มลำคอและใบหน้า  เธอหายใจหอบถี่อย่างหยุดไม่ได้  ร่างบางสั่นระริกด้วยความกลัว 


                ฝันรึ?.....  คำถามแรกที่แล่นวาบเข้ามาในหัว   


                น่ากลัวเหลือเกิน...เหมือนจริง  เหมือนมากเสียจนอดระแวงไม่ได้  

    วิเวียนตวัดสายตาไปอีกด้าน  ก็พบพี่หญิงของเธอผู้ซึ่งตกเป็นเหยื่อในฝันกำลังยืนยิ้มให้อย่างเป็นห่วง


               "เป็นอะไรรึเปล่าวิเวียน ร้องซะลั่น"  คำถามแรกจากปากเธอ

    วิเวียนชะงักไปเล็กน้อย  เธอครุ่นคิดอะไรบางอย่าง  ก่อนจะตอบออกไป


               "แค่ฝันร้ายนิดหน่อยน่ะค่ะ ขอโทษที่ทำให้เจ้าพี่กับพี่หญิงต้องตื่น"  เธอเอ่ยขอโทษขอโพย


               "ไม่เป็นไรหรอก ตื่นแล้วก็หลับใหม่ได้นี่นา  ถ้ายังไงแล้ววิเวียนนอนซะนะ พี่ก็จะไปนอนแล้ว" เฟรินกล่าวยิ้มๆ

    วิเวียนพยักหน้า ขยับรอยยิ้มบางๆ อย่างอ่อนล้า  ก่อนจะปิดเปลือกตา  และหลับสนิทไปอีกครั้ง


               เหลือไว้เพียงแค่สายตาห่วงหาอาทรณ์จากผู้ถูกเรียกเป็นพี่ทั้งสองคน.... 


                เกวียนไม้ยังคงเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ  เฟรินกับวิเวียนก็นั่งคุยกันอยู่ในห้องไปตามประสา


               "พี่หญิงรู้สึกยังไงคะที่จะได้ไปเอดินเบิร์ก"  วิเวียนเอ่ยถาม


               "หืม..ดีใจล่ะมั้ง คิดถึงคิลมันเหมือนกัน ไม่รู้ว่ากับเรนอนเป็นยังไงบ้าง"  เธอว่ายิ้มๆ


               "คิดถึงแต่คุณคิลคนเดียวเหรอคะ"  คำถามต่อมาทำเอาเฟรินชะงัก  ก่อนจะรีบชักวิชาหน้ากากฟาโรห์มาใช้


               "ก็คิดถึงทุกคนแหละ อย่างพี่โรเวนนี่ก็เห็นจนหายคิดถึงแล้ว"  เธอว่าพลางหัวเราะ


               "แล้วที่คิดถึงเป็นพิเศษ ไม่มีเลยเหรอคะ"  วิเวียนถามซ้ำ

    เฟรินพยายามนึกถึงคนที่เธอคิดถึงที่สุดเมื่อตัดใครบางคนออกไปแล้ว  แต่ก็นึกไม่ออก  จึงรีบพูดออกไปเพื่อตัดปัญหา


               "เอ่อ...รุ่นพี่ลอเรนซ์กับรุ่นพี่ลูคัสกระมัง"  เธอว่า  ทำเอาวิเวียนชักสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย


               "จริงสิ..วิเวียนยังไม่เคยเจอพวกเค้านี่นา ไว้แล้วจะแนะนำให้รู้จัก"  เธอว่า 


    จากนั้นทั้งสองก็นั่งคุยกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งตะวันคล้อยๆ จะตกดิน  โรเวนจึงก้าวเข้ามาในห้องเพื่อแจ้งข่าว

    ข่าวที่เฟรินแทบจะแหกปากร้องจนเป็นบ้าไปเลยทีเดียว
                 "อะไรนะ ไปพักที่คาโนวาล"   เฟรินตะโกนลั่นเมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของโรเวน

    วิเวียนที่กำลังอมยิ้มกับท่าทีของเฟริน  


               "ก็ดีนี่คะพี่หญิง  อีกอย่างทางกษัตริย์คาโลก็เตรียมการพร้อมรับไว้แล้ว"  วิเวียนว่า  แต่งานนี้ยากหน่อย

    เมื่อเจ้าตัวยุ่งยังไม่ยอมท่าเดียว  


               "ถ้าอย่างนั้นวิเวียนกับท่านโรเวนก็พักที่นั่นเถอะ ฉันจะไปบารามอส"  เฟรินกล่าวอย่างมุ่งมั่น

    โรเวนส่ายหัวอย่างระอาก่อนจะตัดบท


               "เสียใจ ตอนนี้เราเข้ามาถึงเขตคาโนวาลแล้ว ที่สำคัญฉันได้บอกท่านจ้าวเอวิเดสไว้แล้ว

    ว่าจะพาเจ้าหญิงเฟลิโอน่ามาพักที่คาโนวาล  ดังนั้นฉันจึงจำเป็นต้องรักษาคำพูด"   โรเวนว่า  เฟรินกลืนน้ำลายลงคอ

    อย่างยากลำบาก  จะขัดขืนก็ได้แต่เพียงในใจ


                "นะคะพี่หญิง ยังไงก็แค่คืนเดียวเท่านั้น  จากนั้นพวกเราทุกคนจะต้องไปพักที่เอดินเบิร์กอยู่ดี"  วิเวียนกล่อม

    จนในที่สุดแววตาสีน้ำตาลก็อ่อนลง เธอถอนหายใจหน่ายๆ  ก่อนจะพยักหน้าอย่างเสียมิได้

          
                "คาโล"   เสียงร้องเรียกของนักฆ่าหนุ่ม ที่กำลังเดินหาเพื่อนผู้สูงส่งไปรอบๆ อาณาเขตวังคาโนวาล


                "ดึกดื่นป่านนี้ไปไหนมันวะ"   เขาพึมพำอย่างหงุดหงิดๆ   ก่อนจะเดินไปรอบๆ

    แต่แล้วพลันสายตาเจ้ากรรมมันก็ดันเหลือบไปเห็นร่างของสายน้อยหน้าหวาน  ที่ตอนนี้กำลังยืนชมจันทร์อยู่คนเดียว

    แสงจันทร์ที่สาดส่องกระทบเรือนผมสีม่วงเป็นประกาย  ใบหน้าขาวผ่องดูเนียนละเอียดแม้มองจากที่ห่างไกล

    คิดแล้วพลันใบหน้าของคนที่หลบอยู่หลังพุ่มไม้ก็ร้อนวูบวาบอย่างไม่ได้ตั้งใจ   ใบหน้าขาวขึ้นสีเรื่อๆ   


                แล้วก็เหมือนว่าเทวดาจะหวังดีประสงค์ร้าย  เมื่อเจ้าหญิงคนงามเหลียวพระพักตร์หันกลับมามอง


               "นั่นใครคะ?"   คำถามที่ทำเอานักฆ่าแทบหยุดหายใจ  ได้แต่คิดไปคิดมาอย่างสรุปไม่ได้


               "ถามว่านั่นใคร"   คำถามจากเจ้าหญิงดังมาอีกระลอก  ในสมองของเขาจึงยิ่งทำงานหนัก


                     ถ้าไม่ออกไป....ไม่ได้ มันดูขี้ขลาด

                     ถ้าจะเดินหนีเสีย....ไม่เอา มันหน้าเกลียด

                     แต่เราอยากรู้เรื่องคาโลนี่...เรนอนคงจะรู้ว่าคาโลไปไหนล่ะนะ

                     เอาว่ะ ถามเรนอน....  แต่ว่า....

                      จะให้ยืนถามอยู่ตรงนี่เหรอ.... ไม่ดี  ดูไม่ให้เกียรติเขา

                      แล้วจะให้เดินไปถามเขาใกล้....อ้ากกกกกกกกกก


    นักฆ่าหนุ่มส่ายหน้าอย่างคิดไม่ออก  โดยหารู้ไม่ว่า เขาไม่จำเป็นต้องคิดสิ่งใดทั้งสิ้นในตอนนี้

    เนื่องจากว่าเจ้าหญิงคนงาม บัดนี้ได้ยุรยาตรมายืนอยู่ข้างหน้าเขาแล้ว  


                 "คุณคิลคะ"   เสียงเรียกของเธอทำให้คิลได้สติ  พลันลืมตาขึ้นมอง  ก็เห็นเรนอนกำลังยื่นหน้าเข้ามา

    เพื่อจะดูว่าเขาเป็นอะไร  แต่ว่าตอนนี้  ใบหน้าที่เคยขึ้นสีเรื่อๆ กลับแดงจัด  ร้อนฉ่าไปหมด  


                 "เป็นอะไรไปคะ"   คำถามแสนซื่อที่ออกจากปากของเรนอน  ทำเอาคิลอยากเดินหนีไปเสียด้วยความอาย

    ชายหนุ่มพยายามเบี่ยงหน้าไปไม่ให้ต้องแสงจันทร์  แต่ว่าไม่ทันสายตาอยากรู้อยากเห็นของเรนอนหรอก


                 "ตายแล้ว ไม่สบายรึเปล่าคะ หน้าแดงจัดเลย"   เรนอนอุทาน  เอามือทาบอก

     คิลหน้าร้อนวูบอึกอักไม่รู้จะตอบยังไง จะบอกตรงๆ ก็อาย และก่อนที่จะรู้ตัว  คำพูดบางอย่างก็หลุดออกจากปากไป


                 "ง่า..คือ..ฉันเป็นโรคหัวใจไม่แข็งแรง...มัน..มันชอบส่งเลือดไปเลี้ยงใบหน้ามากเกินความจำเป็น"  

     คำตอบที่ทำเอาคิ้วเรียวงามขมวดเข้าหากัน  แววประหลาดใจฉายชัดบนใบหน้าของเจ้าหญิงคนงาม


                 "ค..ค่ะ ยังไงก็รักษาสุขภาพด้วยนะคะ เอ่อ.. แล้ว..แล้วมันมีวิธีรักษารึเปล่าคะ"   เรนอนถาม


                 "หมายถึง...ไอ้โรค..หัวใจไม่แข็งแรงนี้"  เธอย้ำ ด้วยใบหน้าที่บรรยายไม่ถูก 

    แต่นั่นหมายถึงน่ารักเสมอในสายตาคิล


                 "ก็แค่เอาหัวใจของเจ้าหญิงคนงามจากคาโนวาลไปประคบประหงมมันก็หายแล้วล่ะเรนอน"  

    

        ---------------------------------โปรดติดตามตอนต่อไป -------------------				
19 พฤษภาคม 2548 20:53 น.

DeViL ตอนที่ ๑ บทนำ

bMX

ท่ามกลางความมืดสนิทของราตรีกาล มีเพียงเสียงหวีดหวิวของสายลมโชยเอื่อย

กับแสงสีนวลเย็นตาพราวระยับ  ยามนิทราที่เหล่าสิ่งมีชีวิตยามค่ำคืนกลางคืนต่างเริ่มออกหากิน

เวลาที่ควรอย่างยิ่งแก่การจมดิ่งสู่ห้วงนิทราของใครหลายคน


แต่ว่า...ที่สวนสาธารณะข้างๆ โรงเรียนประจำหมู่บ้านที่แสนสงบ กลับปรากฏร่างของเด็กวัยรุ่น

ราวๆ สิบคนรวมกลุ่มกันอยู่  ทั้งไม้หน้าสาม กระบอง มีด และอาวุธอีกหลากหลายชนิดในมือ 

ดูก็รู้ว่าพวกเขาคงไม่ได้เตรียมไว้ไปโรงเรียนเป็นแน่ 


ไม่นานนักความเงียบสงบก็ถูกทำลาย  ด้วยเสียงมอเตอร์ไซค์ที่ดังกระหึ่ม เรียกความสนใจ

จากพวกเขาได้เป็นอย่างดี เด็กหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มนั้นค่อยๆ ลุกขึ้นยืนเหมือนเป็นสัญญาณ

บอกทุกคนให้เตรียมพร้อมรับมือ  พร้อมกับที่รถมอเตอร์ไซค์นับสิบคันที่พุ่งเข้ามาจอดเรียงราย

กันเป็นแถบล้อมพวกเขาไว้  ตามด้วยคนบนรถที่ลงมายืนประจันหน้า  เป็นธรรมเนียมเดิมๆ 

ที่มีให้เห็นแทบทุกครั้งเวลาที่ใครบางคนจะมีเรื่อง


ในกรณีนี้  แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการยกพวกตีกัน...


ความเงียบเกิดขึ้นเพียงชั่วอึดใจ  ไม่มีแม้เสียงเจรจาที่เอื้อนเอ่ยให้ได้ยินเมื่อผู้มาเยือนที่กรูกัน

เข้ามาอย่างไม่ให้ได้ตั้งตัว  ทำให้ต้องกระโดดหลบออกมาแทบไม่ทันออกมาแทบไม่ทัน

เมื่อใครที่ตั้งหลักได้ก็คว้าอาวุธขึ้นมาถือไว้กับตัวเตรียมจะบุกกลับ  ถึงกระนั้นก็ยังไม่วายมีคนหลบไม่พ้น

ถูกไม้ฟาดเข้าเต็มๆ 


"ไอ้ต๋อง!"


เสียงตะโกนดังมาจากเด็กชายร่างสูงอีกคนที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนจะวิ่งมาดูอาการเพื่อน


เด็กหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายเอามือกุมหัวไหล่ที่มีเลือดไหลเป็นทางแน่นพลางกัดฟันกรอดข่มความเจ็บ

แต่ก็ไม่อาจข่มความโกรธได้  ดวงตาสีน้ำตาลเข้มใต้กรอบแว่นวาวโรจน์

และแทบจะในทันทีที่มือหนาคว้าได้กับเหล็กดัดข้างตัว  ร่างทั้งร่างก็พุ่งดิ่งเข้าไปหาคนที่

ทำร้ายตนอย่างรวดเร็วปานจรวด  ก่อนจะฟาดเหล็กที่เต็มไปด้วยความโกรธเข้ากลางศีรษะ  


คืนเดือนมืดที่ไร้เงาไม่อาจบดบังแววตาที่แข็งกร้าวคู่นั้นได้  พวกคนอื่นๆ ที่เหลือกระชับอาวุธ

ในมือที่ถืออยู่แน่นราวกับมันเป็นที่พึ่งพาเดียวความเย็นเยียบของบรรยากาศยามค่ำก็ไม่สามารถ

ดับความรุ่มร้อนราวกับจะมอดไหม้ในใจ  แล้วทั้งสองฝ่ายก็วิ่งถลาเข้าหากัน...


ท่ามกลางความเงียบสงบแห่งราตรีกาล  มีเพียงเสียงของอาวุธที่ฟาดฟัน และเสียงร้องครวญคราง

ด้วยความเจ็บปวด  ระงมไปทั่วบริเวณ...

    
ชั่วอึดใจ  ร่างของเด็กวัยรุ่นทั้งหลายฝืนกายขยับอย่างยากลำบาก  พยุงทั้งตัวเองและเพื่อนที่บาดเจ็บ

ให้ลุกขึ้นยืน 


พวกเขาหันหลังให้กับมอเตอร์ไซค์ที่ถูกฟันจนยับเยินและร่างกายที่โชกเลือดของกลุ่มผู้มาเยือน

ซึ่งสลบไป  ก่อนที่ร่างของพวกเขาจะเดินหายไปในมุมมืด

  
โดยไม่อาจได้รู้ตัวเลยว่า  ที่อีกมุมหนึ่งของสวนสาธารณะ  กำลังมีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องพฤติกรรม

ของพวกเขาอยู่   ด้วยความพอใจ...				
19 พฤษภาคม 2548 20:43 น.

ThE TruE STorY : เสียงร่ำร้องต่อแสงจันทร์

bMX

ที่วังคาโนวาล

            
              "แกแน่ใจเหรอ คาโล"  เสียงของหนุ่มนักฆ่าผู้ซึ่งมาเยี่ยมคาโลที่คาโนวาลเอ่ยทักขึ้น
    
    นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบมองเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่พูดอะไร

              
              "ก็ตามใจ  อยากปล่อยไว้อย่างนี้ก็เรื่องของแก"  คิลถอนใจพลางยักไหล่
   
     สักพัก...แววตาสีม่วงก็ส่อประกายแวววับ  ก่อนเปรยเบาๆ   
    

              "ป่านนี้หมอนั่น...ไม่สิ ยัยนั่นจะรู้สึกยังไงนะ  ถ้าได้รู้ว่าคนที่มันคิดถึงแทบตายกำลังจะลืมมัน"  
    
    รอยยิ้มขยับขึ้นบนใบหน้าของนักฆ่าจากซาเรส  เมื่อได้เห็นว่าแวบหนึ่ง ดวงตาของกษัตริย์น้ำแข็งมีแววสลดลง   

    ก่อนที่มันจะหายไปแล้วเปลี่ยนมาส่งสายตาดุๆ ให้เขาแทน   คิลจึงรีบออกตัว

    
              "อะไร...อะไร  ไอ้เรารึก็อุตส่าห์มีน้ำใจ  ถ่อมาถึงที่คาโนวาลว่าจะช่วยให้ความรักของเพื่อนสมหวัง" 
    
    รอยยิ้มเหยียดๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าของคาโล  ก่อนจะเปรยออกมาพอให้คิลได้ยิน

    
              "แกแน่ใจเหรอว่าที่แกอุตส่าห์ถ่อมาถึงคาโนวาลเพื่อมาช่วยฉัน  ไม่ได้มีเจตนาอื่น"  
    
    ดวงหน้าขาวๆ ขึ้นสีระเรื่อ  พลันในหัวก็ผุดภาพของเจ้าหญิงคนงามของคาโนวาล  

    
               "ไอ้บ้า"  
    
    ไม่ทันขาดคำ  เสียงประตูก็เปิดออกเรียกให้คนในห้องหันขวับไปทันที  ภาพเบื้องหน้าเป็นภาพที่ทำให้คิล
    
    หน้าแดงหนักกว่าเดิม
    

               "เรนอน"   คิลพึมพำเบาๆ 
    
    เรนอนหันมองคิลแล้วส่งยิ้มอ่อนหวานไปให้ก่อนจะหันไปทางกษัตริย์แห่งคาโนวาล
    

               "มาหาท่านพ่อเหรอเรนอน"   คาโลถามออกไป  แม้จะขึ้นเป็นคิงแล้ว แต่กับเพื่อนๆ ทุกอย่างยังโอเค


               "ค่ะ มาถามท่านเรื่องงานเลี้ยงศิษย์เก่าเอดินเบิร์กที่จะมาถึงอีกสามวันนี้น่ะค่ะ  
    
    ไม่ทราบว่าคุณคิลจะมาร่วมงานด้วยรึเปล่าคะ"   เธอหันไปถามนักฆ่าหนุ่ม

    
               "ง่า...ไปสิ"   คิลตอบตะกุกตะกัก พยายามไม่สบตากับสาวน้อยหน้าแฉล้มตรงหน้า
    
    คาโลกลั้นยิ้มเบือนหน้าไปมองทางอื่น
    

                 ให้ตายเหอะไอ้นี่  จบจากเอดินเบิร์กมาตั้งเกือบปี  มันยังอายไม่เลิก  อายได้ยังไงเป็นเจ็ดแปดปี

    เขาคิดก่อนจะรีบตีหน้าขรึมเหมือนเดิม  เหมือนเจ้านักฆ่าหนุ่มสงสายตาแหยๆ มาขอความช่วยเหลือ


    



                   ในขณะเดียวกันที่เดมอส  จักรพรรดินีวิเวียนนานีย่าได้เสด็จมาเยี่ยมพี่หญิงของเธอ ที่ตอนนี้กลับมาเป็น

    เจ้าหญิงเต็มตัว คำพูดคำจาดูอ่อนหวานขึ้น สมหญิง แม้ว่าความคิดและท่าทางบางอย่างจะยังคงเป็นนายเฟรินคนเดิม
   
    และถึงแม้ว่าเฟรินในร่างเฟลิโอน่าจะยังคงยิ้มร่าเริงแต่เธอก็รู้สึกได้ว่าพี่หญิงของเธอกำลังเศร้า

    
               "พี่หญิง"     เสียงวิเวียนเอ่ยเรียก ทำให้นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่สวยตื่นจากภวังค์


               "พี่หญิงคะ ท่านพี่โรเวนบอกว่าให้มาชวนพี่หญิงไปร่วมงานที่เอดินเบิร์ก ไม่ทราบว่าพี่หญิงจะว่ายังไง" 

    วิเวียนเอ่ยถามเสียงหวาน  เธอกำลังพยายามกล่อมเฟรินให้ไปร่วมงานตามคำขอของโรเวน


               "เอ่อ...ช่วงนี้อากาศมันหนาว  ฉันไม่ค่อยถูกกับอากาศหนาวเกรงว่าจะไปพาพวกท่านโรเวนลำบากเสียเปล่า" 

    เฟรินพยายามเอ่ยเลี่ยง  แต่วิเวียนยิ้มกริ่มอย่างรู้ทัน  


               "แต่หญิงไม่มั่นใจนักว่าเป็นเพราะอากาศหนาวในเดมอส หรือว่า น้ำแข็งแห่งคาโนวาลกันแน่ที่ทำให้

    พี่หญิงเป็นแบบนี้"   คำกล่าวที่ตรงจุดทำเอาใบหน้านวลผ่องขึ้นสีแดงระเรื่อ  แลดูน่ารัก  นึกแล้วตกใจว่า

    วิเวียนอภิเษกกับท่านโรเวนได้ไม่นาน  อะไรจะติดนิสัยกันเร็วขนาดนี้  นึกไปนึกมาพลันรอยยิ้มนั้นก็หายไป

    พร้อมกับสีหน้าที่หม่นลง


               "พูดอะไรอย่างนั้นวิเวียน น้ำแข็งแห่งคาโนวาล คงไม่มีวันจะย่างกรายมาให้พี่ได้สัมผัสความหนาวนั่นหรอก"

    รอยยิ้มบางๆ ที่ดูซีดเซียวฉายบนใบหน้าของเธอ   วิเวียนเห็นเฟรินเศร้าก็แทบจะตบปากตัวเอง

    ก่อนจะรีบๆ รวบรัดให้แผนของโรเวนให้เสร็จสิ้น


               "ตกลงพี่หญิงไปเถอะนะคะ  ถือว่าหญิงขอร้อง"   เฟรินกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น  ใจหนึ่งมันก็อยากไป
   
    อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากไป  ไม่อยากไปเจอกับแววตาสีฟ้าคู่นั้น


               "ตกลงตามนี่นะคะ ขอบคุณพี่หญิงมากค่ะ"   วิเวียนพูดรัวก่อนจะรีบชิ่งออกไป  ทิ้งให้เจ้าหญิงองค์งามนั่งมอง

    ตาปริบๆ  จนด้วยคำพูด จึงตะโกนออกไป


               "แล้วท่านพ่อล่ะ"    เป็นคำถามที่ไร้คำตอบ  แต่แน่นอนโรเวนนั้นได้กล่อมท่านเจ้าเอวิเดสจนสำเร็จแล้ว


   
              


                ที่วังคาโนวาล  คาโลกำลังเดินหน้าเคร่งเข้ามาในห้อง แล้วพลันสายตาของแขกตัวแสบที่มาพักด้วย

    ก็สังเกตเห็นจนได้แม้เจ้าตัวจะพยายามปกปิดก็ตาม


               "เป็นอะไรของนาย คาโล"  คิลถามอย่างแปลกใจ   คาโลชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนจะตัดสินใจยื่นซองจดหมาย

    บางอย่างให้คิลดู 


               "วิเวียนงั้นเหรอ"   คิลร้องถามเมื่อเห็นชื่อที่จ่าหน้าซอง


               "แต่ทำไมจ่าหน้าซองเป็นเดมอสล่ะ หรือว่า..."  เจ้านักฆ่าส่งสายตาวิบวับมาให้  คาโลไหวตัวทันจึงตัดบท


               "อ่านไป"   คิลหัวเราะก่อนก้มหน้าก้มตาอ่าน  สักพักก็ทำท่าเมื่อคิดอะไรสักอย่าง  ปรายตามองคาโล

    แล้วก้มลงอ่านอีกครั้ง

             
                                                     คาโล วาเนบลี เดอะ คิง ออฟ คาโนวาล 

                      จากที่ทราบข่าวกันเป็นอย่างดีแล้วว่าจะมีการจัดงานเฉลิมฉลอง
             ร่วมศิษย์เก่าขึ้นที่โรงเรียนพระราชาเอดินเบิร์กในอีกสามวันข้างหน้า
             ตัวข้า วิเวียนนานีย่า ฮาเวิร์ด ราชินีในคิงโรเวนแห่งเจมิไนและเวนอล
             อยากจะทูลให้ท่านทราบว่า ทางเจมิไน จะได้ เชิญเจ้าหญิงเฟลิโอน่า
             ร่วมเสร็จในการเดินทางครั้งนี้ด้วย  
                       แต่เนื่องจากยังมีการเป็นห่วงในความปลอดภัย ทางเราจึงต้อง
              มาขอความช่วยเหลือจากคาโนวาลในการช่วยเตรียมการต้อนรับ
              เจ้าหญิงเฟลิโอน่าที่เมืองหน้าด่านบารามอส

                                                                                วิเวียนนานีย่า  ฮาเวิร์ด

               "นายจะเอาไง"   คิลถามหลังจากอ่านจบ   คาโลมองสบตากับคิลแทนคำถาม  หนุ่มนักฆ่าเดาคำตอบนั้นออก

    จึงยิ้มออกมาอย่างพอใจ  พลันหวนนึกถึงเจ้าเพื่อนตัวแสบอีกคนที่อยู่ห่างไกล


                  นานเหมือนนะที่พวกเราสามคนไม่ได้มาอยู่กันพร้อมหน้า  

                  ป่านนี้นายจะเป็นยังไงบ้างยังไม่รู้เลย  หวังว่าคงสบายดี 

                  ถ้าไม่นับเจ้าหญิงนั่น อย่างน้อยก็นายคนหนึ่งล่ะเฟริน  

                          ที่ทำให้นักฆ่าอย่างฉันคิดถึงเป็น...

         
              


                "ท่านจ้าว ท่านจ้าว"   เสียงเล็กๆ ของโกโดมเอ่ยอย่างร้อนรน


                "พระองค์จะทรงปล่อยให้องค์หญิงเดินทางไปกับเจมิไนแน่หรือกระหม่อม"  โกโดมเอ่ยถาม แววตาสีดำของเอวิเดส

    ฉายแววขบขัน


                "อย่าโวยวายไปน่าโกโดม คิงโรเวนเค้าก็มีเหตุผลของเค้าน่ะ"  เอวิเดสกล่าวอย่างสบายใจ

    โกโดมทำท่าจะอ้าปากแย้ง  แต่เอวิเดสก็กล่าวตัดบท


                "เอาน่า  เอาเป็นว่าเหตุผลของคิงโรเวนเนี่ย  ข้าชอบใจก็แล้วกัน"    โกโดมถอนหายใจก่อนกล่าวปลงๆ


                "ตามแต่พระประสงค์กระหม่อม"  จ้าวเอวิเดสจึงหัวเราะอย่างสบายอารมณ์   จนโกโดมอดที่จะส่ายหัวอย่าง

    ระอาไม่ได้กับพฤติกรรมที่พอกันของพ่อลูกคู่นี้จริงๆ




                
                 "บ้าเอ๊ย"  เสียงร้องที่ไม่น่าเชื่อของคิงแห่งคาโนวาลซึ่งปกติจะสงบนิ่ง  บัดนี้แววตาสีฟ้าคู่สวยดูเคร่งเครียด


                 "โรเวนคิดอะไรของเค้าอยู่เนี่ย"  คิดพลางปากก็บ่นไปหยุด เดินวนไปมา หลุดมาดไปเสียสิ้น

    หนุ่มนักฆ่าตอนนี้เองก็ชักจะเริ่มตาลายกับคนตรงหน้า  


                 "เอาน่า คาโล นายเองก็อยากไม่สนใจมันก่อนทำไมล่ะ"  คิลเอ่ยยิ้มๆ  ก่อนจะเสนอไปว่า


                 "ที่ฉันอยากรู้น่ะ คือว่าโรเวนทำยังไง เอวิเดสถึงยอมปล่อยให้ลูกสาวคนเดียวเดินทางมาด้วยต่างหาก"  คิลว่า

    คาโลมองตามอย่างครุ่นคิด เห็นด้วยอย่างสุดซึ้ง   คิงแห่งเจมิไนนี่ร้ายไม่เบา  กล่อมได้แม้กระทั่งราชาปีศาจ


                           ว่าแต่เขาทำยังไงล่ะ ?      

              


                  
                  เกวียนไม้ขนาดใหญ่ของคิงแห่งเจมิไนที่ถ่อไปรับองค์หญิงเฟลิโอน่าถึงเดมอสยังคงเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ

    แสงจันทร์นวลผ่องเด่นสกาวอยู่บนท้องฟ้ายามราตรี   ความมืดปกคลุมชวนให้กายหนาวเหน็บ


                 แต่บัดนี้  ใจของใครบางคนกลับหนาวเสียยิ่งกว่า  ดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยฉายแววอาทรณ์ 

    ความห่างไกลที่แสนเจ็บปวด   ใจร้ายสิ้นดี...


                 หยาดน้ำตาเม็ดใสๆ ไหลลงมาคลอเคลียนวลแก้มเนียนอย่างสุดจะฝืน  ดวงตาคู่งามค่อยๆ ปรือลง ก่อนจะปิดสนิท


                
                       ....ไม่ต้องการหรอก ความอบอุ่นใดในโลก  ขอเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้นไม่ได้หรือ

                              แค่ความอบอุ่นที่แฝงเร้นอยู่ภายใต้ความเย็นเยียบของหัวใจใครสักคนก็พอ...


     ---------------------------------โปรดติดตามตอนต่อไป------------------------------------				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟbMX
Lovings  bMX เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟbMX
Lovings  bMX เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟbMX
Lovings  bMX เลิฟ 0 คน
  bMX
ไม่มีข้อความส่งถึงbMX