**.. เพื่อนๆมีบทกลอนอะไรบ้างไหมครับ ที่ประทับใจ หรือว่าทำให้เกิดแรงบันดาลที่จะทำอะไรในชีวิต... กลอนต่างๆมากมายมีอิทธิพลต่อคนอ่านอย่างมาก..... ผมจำได้ว่าบทกลอนที่ทำให้ผมเป็นนักกลอนได้ในทุกวันนี้นั่นก็คือ กลอนที่ว่า.." ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง ฉันจึง มาหา ความหมาย ฉันหวัง เก็บอะไร ไปมากมาย สุดท้าย ให้กระดาษ ฉันแผ่นเดียว.." ( ทราบภายหลังจากลุงเวทย์ว่าเป็นของ อ.วิทยากร เชียงกูล จากบทหนึ่งของเรื่อง เพลงเถื่อนแห่งสถาบัน ) และ " เพียงหวังจะเฟื่องฟุ้ง ฤาจะมุ่งมาศึกษา เพียงเพื่อปริญญา เอาตัวรอดเท่านั้นฤา แท้ควรสหายคิด จงตั้งจิตมั่นยึดถือ รับใช้ประชาคือ ปลายทางเราที่เล่าเรียน " ( ไม่ทราบผู้ประพันธ์ แต่ทั้งหมดผมฟังมาจาก วีดีโอของ พ.อ.นพ.พงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา) และนี่เองเป็นแรงบันดาลที่ทำให้ผมเริ่มเขียนกลอนเรื่องแรกอย่างจริงจัง ซึ่งมีแนวคิดเดียวกับกลอนและกาพย์ดังกล่าว...เมื่อประมาณตอนอยู่ ม.5 นู่นแน่ะ ( แต่ไม่ได้ลงใน Thaipoem )..... " ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง.......... " กลอนบทนี้เอง เหมือนเป็นธรรมเนียมไปซะแล้ว เมื่อผมมีรุ่นน้อง ตอนนี้2รุ่น... ทุกรุ่นผมจะอ่านกลอนบทนี้ให้น้องฟังเสมอ และสอนให้น้องๆทุกคนรู้จักการเสียสละ ทำงานเพื่อส่วนรวม และบางคนก็นำกลอนบทนี้สอนน้องรุ่นต่อไป... ........... มีบางครั้งที่เกิดปัญหา เกือบหมดกำลังใจก็ได้บทกลอนมาช่วยปลอบโยน ปลอบใจจนหายปวดหัวไปได้.... " เทียนยอมเผา ตัวเอง เพื่อเปล่งแสง เกิดเปลวแห่ง อุดมการณ์ อันฉานฉาย เชื่อมั่นว่า หลังวัน ที่ฉันวาย คนเสียดาย มากกว่า คนด่าทอ... " ( ของลุงเวทย์ จากบทสุดท้ายของ" ตัวตน-กับความคิด) และที่ขาดไม่ได้ อ่านแล้วฮึกเหิมทุกที " ฉันก็ยังเป็นฉันเหมือนวันก่อน ยังอาทรห่วงใยไม่เสื่อมถอย และยังอยู่ที่เก่าอย่างเฝ้าคอย ลองตรองหน่อยจะเห็นความเป็นจริง ฉันก็เป็นอย่างนี้ค่อนชีวิต คงไม่ผิดถ้ายืนยันว่าฉันหยิ่ง เอาเหตุผลเป็นใหญ่ใช้อ้างอิง และเกลียดยิ่งหากแค่เอาแต่ใจ ฉันเป็นฉันแน่วแน่ยากแปรเปลี่ยน คือเป็นเทียนที่พร้อมยอมเผาไหม้ แต่กับการเป็นขี้ผึ้งซึ่งลนไฟ สุดแต่ใครแต่งปั้น....ฉันไม่เป็น ! " ( ของลุงเวทย์ จาก เรื่อง "ฉัน" ) นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบทกวีที่สะท้อนให้เห็นสัจธรรมอย่างหนึ่งว่า บางครั้งมนุษย์คิดจะทำอะไรสักอย่าง ต้องการมีเพียงใครสักคนมาสะกิด เตือนจิตใจให้คุณลุกขึ้นมาทำภาระกิจ ที่คุณใฝ่ฝันไว้ ให้สำเร็จ... บทกวีก็เช่นกัน สามารถกระซิบบอกกับคุณเสมอๆแทบทุกครั้งเมื่อคุณได้อ่าน เขากระซิบว่าอะไรน่ะเหรอ.... ก็กระซิบว่า......... " เพื่อนที่รัก..... คุณมีกำลังใจขึ้นหรือยัง และที่สำคัญ เพื่อนอย่าลืมทำอะไรดีๆ ให้กับคนรอบข้าง ตัวเอง และ สังคมบ้างล่ะ เช่นกับฉัน ที่ให้อะไรๆดีกับเพื่อนเสมอมา... " ด้วยความหวังดี ก.นพดล รักษ์กระแส ก.ประแสร์ ศิษยาพร
8 สิงหาคม 2550 19:22 น. - comment id 9285
ช่วยแต่งโคลงโลกนิติให้หน่อยสิค่ะเกี่ยวกับเรื่องกล้วยสรรพคุณของกล้วยในบทเดียวกันอ่ะขอวันนี้นะ เสร็จเเล้วส่งมาที่ thestar_eing@hotmail.com ด่วนด่วนนะค่ะรีบ
25 กันยายน 2548 00:09 น. - comment id 12127
ชอบเหมือนกัน ป่านนี้ หน้าแดงฝันหวานแล้วมั้ง หุหุ
25 กันยายน 2548 08:52 น. - comment id 12128
เพียงหวังจะเฟื่องฟุ้ง.....หรือจึงมุ่งมาศึกษา เพียงเพื่อปริญญา..........เอาตัวรอดเท่านั้นฤา แท้ควรสหายคิด...........จงตั้งจิตร่วมยึดถือ รับใช้ประชาคือ............ปลายทางเราที่เล่าเรียน เป็นฝีมือของ นเรศ นโรปกรณ์
25 กันยายน 2548 11:19 น. - comment id 12130
พ่อ ไฟโหมชโลมร่าง.สรรพสรรพางค์ก็วางวาย ไหม้มอดตลอดกาย.ชีพพ่อวายมลายกอง เหลือไว้แต่ใจลูก..ที่พันผูกกระดูกปอง ห่อผ้าน้ำตานอง.คือครรลองที่พ้องธรรม ทุกภาพยังฉาบแน่น.ลีลาแล่นอยู่แม่นจำ อาการทุกท่านทำ.ก็ผุดย้ำขึ้นค้ำใจ เหมือนหนังประดังเคลื่อนภาพติดเตือนไม่เลือนไป รูปเสียงรายเรียงไหวตอกติดในหัวใจจอง คืนวันที่ผันผ่าน.ยังผ่าวผลาญมารานหมอง หลอกหลอนอาวรณ์นอง.หัวอกก้องด้วยผองครวญ อยู่ไหนนะยามนี้.หลังชีวีไม่มีทวน ได้ยากลำบากจวน.ฤาสุขสรวลสำรวลรมย์ ชาติหน้าหากว่ามีจงสบศรีฤดีสม เกี่ยวข้องมาคล้องชม.ทุกภพพรมอย่าตรมตรอม ตั้งจิตพินิจถึง.ด้วยคำนึงมาขึงกรอม ลิขิตพิสิฏฐ์ยอม.อำนวยน้อมพรักพร้อมเทอญ.. บทกวีของพี่สดายุอันนี้ เป็นบทกวีที่เรนประทับใจและก็สร้างแรงบันดาลใจ..ให้เรนกล้าที่จะเขียนถึงพ่อ .. ก่อนนั้นเรนไม่ชอบเขียนบทกวี ม่ายรู้ดิคะว่าเป็นเพราะเหตุใด..งานเขียนที่ส่งครู ถูกหัวเราะขำ ทุกครั้ง ..จากเพื่อนๆ.. นั้นคือความรู้สึกตอนนั้นของเรน.. พี่สดายุบอกว่า .. อยากร้องก็ร้องเถิด....จะบรรเทาความอัดอั้นภายใน....ธรรมชาติสร้างสรรค์...วิธีลดระดับความเครียดให้อยู่แล้ว....ใช่เป็นเรื่องผิดพลาดอะไร.. ทุกครั้งที่เรนคิดถึงพ่อ ..เวลาที่เรนท้อ..และเหนื่อย.. มุมห้อง และภาพ..กับคำสอนของพ่อ.. ทำให้เรนกล้า..ที่จะลุกอีกครั้ง.. ที่นี่..ให้เรนได้เขียนความรู้สึก..โดยมิอายใคร.. และเรนก็ขอขอบคุณ ..พี่ๆทุกคนที่นี่..ด้วยนะคะ.. ..
25 กันยายน 2548 11:49 น. - comment id 12131
เธอจะเดินผ่านไปในที่สุด แม้สะดุดหกล้มต้องก้มหน้า กี่หยาดเหงื่อรินรดหยดน้ำตา มิหยุดเธอหรอกถ้าศรัทธามี บทกวีนี้เป็นของพี่ดอกแก้ว ชอบมากๆครับ
25 กันยายน 2548 12:15 น. - comment id 12132
ด้วยความที่ชอบแกงบวดฟักทอง .. ก็เลยติดใจกับบทที่ขึ้นต้นว่า .. ชิ้นหนึ่งทรงครรภ์กัลยา คลอดลูกออกมาเป็นหอยสังข์ ... ทุกคนคงเคยผ่านตากับการท่องอาขยานชุดนี้ นานมาก นานเหลือเกิน ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ ป.๔
25 กันยายน 2548 13:51 น. - comment id 12134
อัลมิตรา มาจากสังข์ทอง ตอนใกล้จบ ของพี่มารแมงมุม ก็มาจากบทอาขยาน(เด็กสมัยนียังมีไหม) บทที่จำได้แม่นยำ แม่ไก่อยู่ในตะกร้า ไข่ไข่มาสี่ห้าใบ อีแม่กาก็มาไล่ เอาไม้ใหญ่ไล่ตีกา และ เต่านากับเต่าดำ อยู่ในน้ำกับจระเข้ ปลาทูอยู่ทะเล ปลาขี้เหร่ไม่สู้ดี นั่นจากหนังสือ ยังมีอกหลายบทที่ติดปาก ขุนช้างขุนแผนในบทพลายงามไปตีเชียงใหม่ ยกออกนอกเมืองสวรรคโลก ข้ามโคกเข้าป่าพนาศรี เจ้าพลายกระสันต์พลันทวี รำลึกถึงนารีศรีมาลา ......................... นิราศพระบาท ของสุนทรภู่ เดือนสิบเอ็ดเสร็จธุระพระวัสสา รับกฐินภิญโญโมทนา ชุลีลาลงเรือเหลืออาลัย ถึงหน้าวังดังหนึ่งใจจะขาด คิดถึงบาทบพิตรอดิศัย .................................. หรือของวิสา คัญทัพ วรรคทองเลยค่ะ ไม่มีอำนาจใดในโลกหล้า ปกครองต่างมาแล้วสาปสูญ ไม่มีใครล้ำเลิศน่าเทิดทูน ประชาชนสมบูรณ์นิรันดร์ไป เมื่อยืนหยัดต่อสู้ผู้กดขี่ ประชาชนย่อมมีชีวิตใหม่ เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน .................................. ของลุงเวทย์ก้อด้วยนะ ในหนังสือ พรุ่งนี้ของเมื่อวาน ปี2518 กลอนยาวไล่เลียงความเป็นไทย จำได้แม่นสองวรรค เป็นรอยตรารอยเตือนบอกเงื่อนงำ ใครเกือบทำให้ไทยไร้แผ่นดิน (ฉบับเต็มต้องรอถามลุงเวทย์เอง) ยังมีบทกลอนอีกมากมายที่ทำให้อยากเขียนกลอน เล่มโปรดเล่มหนึ่งคืองานของคุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ \"คำหยาด\" ที่มีวรรคทองเยอะมาก โดยเฉพาะใน 100 บทของวารีดุริยางค์ น่าจะมีคนเอาวรรคทองนักกลอนเก่ามือครูมาเขียนให้อ่านกันบ้างนะคะ
25 กันยายน 2548 14:40 น. - comment id 12135
มารอบ สอง
25 กันยายน 2548 15:00 น. - comment id 12136
ผลเดื่อเมื่อสุกไซร้ มีพรรณ ภายนอกแดงดูฉัน ชาดบ้าย ภายในย่อมแมลงวัน หนอนบ่อน ดุจดังคนใจร้าย นอกนั้นดูงาม ขนุนสุกสล้างแห่ง สาขา ภายนอกเห็นหนามหนา หนั่นแท้ ภายในย่อมรสา เอมโอช สาธุชนนั่นแล้ เลิศด้วยดวงใจ โคลงโลกนิต .................................. เห็นกันอยู่เมื่อเช้า สายตาย สายอยู่สุขสบาย บ่ายม้วย บ่ายยังรื่นเริงกาย เย็นดับ ชีพนา เย็นเห็นหยอกลูกด้วย ค่ำม้วยอาสัญ บทนี้ดิฉันจำได้ขึ้นใจ จากหนังสือธรรมมะของคุณยายเล่มหนึ่ง ................................... เปลวเทียนละลายแท่ง เพื่อเปล่งแสงอันอำไพ ชีวิตมลายไป เหลือสิ่งใดไว้ทดแทน ชีวิตไร้สาระขณะนี้ ยังไม่สายเกินที่จะแก้ไข แม้ชีวิตจะเหลือน้อยลงเพียงใด ควรภูมิใจที่ได้ทำดีทัน มีคนเห็นหรือไม่เป็นไรเล่า จงเลือกเอาความดีที่สร้างสรรค์ มีใครเห็นหรือไม่ไม่สำคัญ ใจเรานั้นรู้ว่าดีเท่านี้พอ พิธีจุดเทียนปัญญา (บางแห่งใช้คำว่า จุดเทียนส่องปัญญา) อบรมคุณธรรมจริยธรรม เมื่อปี พ.ศ. 2546 ซึ่งในพิธีอาจารย์กล่าวไว้ 4 บท แต่ดิฉันจำได้เพียงแค่สามบท ไม่ทราบแน่ชัดเกี่ยวกับกลอนบทนี้ ทราบเพียงว่าเป็นกลอนธรรมมะค่ะ
25 กันยายน 2548 20:27 น. - comment id 12137
จากนิราศเมืองแกลงของสุนทรภู่ครับ ชอบมากๆ ๏ โอ้สังเวชวาสนานิจจาเอ๋ย จะมีคู่มิได้อยู่ประคองเชย ต้องละเลยดวงใจไว้ไกลตา ถึงทุกข์ใครในโลกที่โศกเศร้า ไม่เหมือนเราภุมรินถวิลหา จะพลัดพรากจากกันไม่ทันลา ใช้แต่ตาต่างถ้อยสุนทรวอน - - - - - - - - -
25 กันยายน 2548 22:53 น. - comment id 12138
" เอ็งกินเหล้าเมายาไม่ว่าหรอก แต่อย่าออกนอกทางไปให้เสียผล เอ็งอย่ากินสินบาทคาดสินบน เรามันชนชั้นปัญญาตุลาการ.. \" ( ขออัญเชิญบทพระราชนิพนธ์ ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระบิดาและปรมาจารย์แห่งกฎหมายไทย ) \" นิติศาสตร์ บัณฑิต คิดไหมว่า โชคชะตาคนทั้งผองเธอครองอยู่ พิทักษ์สิทธิ์พิชิตโศกให้โลกรู้ เชิดตราชูยุติธรรม์จนวันตาย...\" ( ของ อ.นภาลัย สุวรรณธาดา ) ในโลกปัจจุบันที่อุดมการณ์เริ่มหายาก กลอน 2 บทดังกล่าวข้างต้นเป็นบทกลอนสอนใจให้ผมได้เป็นอย่างดี...
26 กันยายน 2548 08:10 น. - comment id 12139
26 กันยายน 2548 10:00 น. - comment id 12140
"...อันใดย้ำแก้มแม่.............หมองหมาย ยุงเหลือบฤาริ้นพราย...........ลอบกล้ำ ผิวชนแต่จะกราย................ยังยาก ใครจักอาจให้ช้ำ.................ชอกเนื้อ เรียมสงวนฯ ของท่านศรีปราชญ์ค่ะ เป็นโคลงที่ศึกษาแต่ประถม เห็นว่าเพราะและมีความหมายก็ลึกซึ้งดีค่ะ..
26 กันยายน 2548 11:37 น. - comment id 12141
เมื่อไหร่หนอเมืองนี้จักมีปราชญ์ ที่แต่งชนแต่งชาติตามวาดหวัง เลิกส้องเสพเทพนิมิตเลิกติดตรัง รู้มนต์ขลังรู้ค่าราคาคน เมื่อไหร่หนอโลกมนุษย์จึงหยุดล่า แล้วหยุดแค้นหยุดฆ่าหยุดหาผล หยุดแบ่งผิวแบ่งพันธุ์แบ่งชั้นชน มาแบ่งต้นสันติภาพทอทาบราย เมื่อไหร่หนอศาสนาจักหาหลัก ที่สร้างรักสืบรักเลิกฝักฝ่าย สืบสาวกสืบสวรรค์สืบบรรยาย ให้สืบสายศาสนาเมตตาใจ เมื่อไหร่หนอโลกนี้จักมีแสง กระจ่างแจ้งหมดจดงดงามใส เต็มห่วงหาอาทรแล้งร้อนไร้ จรดเหนือใต้ออกตกเต็มโลกนี้ เมื่อไหร่หนอฟ้านี้จักมีรุ้ง ผงาดพุ่งพาดผ่านประสานสี ประสมสายประกายสร้างสานทางดี สานน้องพี่พาดพารักถาวร (ใฝ่,คมทวน คันธนู) เป็นหนึ่งในบทกลอนที่ประทับใจ
26 กันยายน 2548 21:34 น. - comment id 12142
ไม่มีใครไม่เคยไม่ผิดพลาด ไม่มีใครไม่เคยขลาดมาแต่ต้น เมื่อมีเมฆย่อมมีความมืดมน หลังพายุผ่านพ้นจึงสร่างซา. -คมทวน คันธนู- และนี่คือเงื่อนไข หากเราอยู่ในความเหมาะสม อยากเป็นต้นไม้ไม่ล้ม รากต้องจมหยั่งตรงลงลึกพอ. -จิระนันท์ พิตรปรีชา- ฯลฯ ส่วนใหญ่บทกวีที่ชอบจะเป็นแนวเพื่อชีวิตนิดๆ สมัย 14 ตุลาคม ก็ยิ่งชอบหลายบท
27 กันยายน 2548 08:09 น. - comment id 12144
เพียงหวังจะเฟื่องฟุ้ง ฤาจะมุ่งมาศึกษา เพียงเพื่อปริญญา เอาตัวรอดเท่านั้นฤา แท้ควรสหายคิด จงตั้งจิตมั่นยึดถือ รับใช้ประชาคือ ปลายทางเราที่เล่าเรียน \" ....คุ้นๆว่าจะชื่อ มนูญ... ไม่แน่ใจ
27 กันยายน 2548 17:53 น. - comment id 12149
หาสุขในกองทุกข์ ไม่ได้สุขก็บ่นไป หาเย็นในกองไฟ เมื่อไม่ได้ก็คร่ำครวญ หาสิ่งที่ไม่มี ก็แปลกดีมันน่าสรวล ร่ำไห้พิไรหวล น่าหัวร่อจริงหนอเรา เกิด มาแล้วบ่ายหน้า ไปไหน แก่ บอกว่าบ่ายไป สู่ม้วย เจ็บ ว่าไม่เป็นไร เราช่วย ซ้ำนา ตาย ว่าข้าเอาด้วย ห่อนให้ ใครเหลือ (พระสิริปัญญามุนี ช่วง โชตสิริ) ชอบแนวธรรมะนะคะ ความจริงที่ประทับใจก็มีมากค่ะ นำมาลงไม่หมดค่ะ
27 กันยายน 2548 20:28 น. - comment id 12150
ขอซับเหงื่อให้เธอผู้เลอค่า ซับน้ำตาที่ไร้ใครมองเห็น ทุกทอดย่างทางย่ำถ้าลำเค็ญ ขอให้ฉันได้เป็นเพื่อนปลอบใจ เถอะวางกายวางใจในอ้อมแขน ที่จะทดจะแทนทุกสิ่งได้ เมื่อหนาวอกหนุนอุ่นละไม และเมื่อร้อนอกไอนี้อ่อนเย็น กลอนบทนี้เคยอ่านเจอในหนังสือเป็นของใครก็ไม่ทราบ แต่จำได้จนขึ้นใจ แม้เวลาจะล่วงเลยมาเป็นสิบปีแล้ว ใครทราบก็ช่วยบอกเป็นวิทยาทานให้ด้วยครับ อีกบทนึงเป็นของ ศุ บุญเลี้ยง ผมชอบมาก เพราะช่างเหมือนกับชีวิตผมเหลือเกิน แอบซุก เก็บเอาไว้ในความเหงา แอบซ่อน เก็บเอาไว้ในความฝัน เก็บลึก ไว้ในใจที่เงียบงัน ปิดกั้น ด้วยใบหน้าที่ร่าเริง กลอนสองบทนี่ เหมือนหนึ่งจะเป็นแรงบันดาลใจให้ ผมเขียนกลอนได้ เมื่อ ยามเหงา จนมาบัดนั้
28 กันยายน 2548 10:43 น. - comment id 12155
ผู้ใหญ่ หาผ้าใหม่ ให้สะใภ้ ใช้คล้องคอ ใฝ่ใจ เอาใส่ห่อ มิหลงใหล ใครขอดู จักใคร่ ลงเรือใบ ดูน้ำใส และปลาปู สิ่งใด อยู่ในตู้ มิใช่อยู่ ใต้ตั่งเตียง บ้าใบ้ ถือใยบัว หูตามัว มาใกล้เคียง เล่าท่อง อย่าละเลี่ยง ยี่สิบม้วน จำจงดี **จำขึ้นใจครับ บ่เคยลืม
28 กันยายน 2548 23:02 น. - comment id 12160
ตะวันย่ำสนธยา หมู่นกกาบินกลับรัง บนผาแห่งความหลัง สถิตฝังใจมิเลือน ก้อนหินยังคงอยู่ มันมองดูคอยย้ำเตือน ประดู่ ใบหล่นเกลื่อน นั่นพุดเขาเราเคยดม ลานหินตรงมุมแคบ เราเคยแอบอภิรมย์ สองร่างเคยชิดชม นั่นลั่นทมขาวเกลื่อนตา เคยเสียบดอกข้างหู เอียงคอดูกัลยา ผิวผ่องพิศโสภา นัยนาดั่งดวงเดือน ร่ำกลิ่นเจ้าหอมกรุ่น ร่างละมุนมิลืมเลือน วันผ่านยังคอยเตือน โศกเสมือนจะขาดใจ เจ้านกกางเขนดง ร้องโผ.ลงระหว่างไพร ส่งเสียงมาปราศรัย เหตุไฉนพี่ต้องตรม โอ้อนาถเจ้านกเอ๋ย ยากจะเอ่ยความขื่นขม เพราะรักเคยชิดชม กลับระทมทรมาน จวบสิ้นแสงตะวัน แว่วเสียงลั่นกังสดาล ย่างเข้ารัตติกาล ภวังค์ผ่านเป็นเรื่องราว ฟากฟ้ามีพระจันทร์ ใกล้ใกล้กันมีดวงดาว ประดับนภาพราว เด่นสกาวบนฟ้าไกล เหมันต์แห่งความหลัง ประดุจดังเพิ่งผ่านไป ยามหวนกลับมาใหม่ ยังคงไว้ความทรงจำ ขาดแต่มิ่งสมร เจ้าจากจรสุดชอกช้ำ ลืมถ้อยเคยร้อยคำ เจ้าใยทำให้พี่ตรม กึ่งคืนที่ยืนเศร้า อยู่กับเงาความระทม บาดแผลในอารมณ์ ยากจะข่มสวาทวาย หลับตาหวนระลึก นัยสำนึกที่ห่างหาย หนึ่งหญิงกับหนึ่งชาย . ครามั่นหมายใคร่ภิรมย์ ลานหินแม้นจะแคบ สองร่างแนบชิดเชยชม ใต้ฟ้าห้อมสายลม โผเหินหาว สู่ฉิมพลี ลั่นทมหอมขจาย ฤากลิ่นกายของเจ้านี่ ปั่นป่วนดวงฤดี.. ทุกนาทียังตรึงตรา หอมเอ๋ยเจ้าผิวผ่อง ยามประคองเจ้าอิงหา เอนพบสบสายตา.. ดั่งดาราพรรณราย กองไฟที่ก่อเกื้อ ยามแนบเนื้อหมดความหมาย แสงส่องที่พร่างพราย. สะท้อนผิวระยับไว. โอบกอดพลอดคำหวาน ร่างสะท้านเจ้าสั่นไหว ยินเสียงจากห้วงใจ . ระรัวเรียกขวัญพี่เอย เจ้านกโพระดก ร้องโขกป๊ก.โอ้ละเหย แอบมองร้องเฉลย หรือมันเคยแอบมองใคร จุมพิตสนิทนวล เฝ้าทบทวนสนิทใน ว่ายเวิ้งเชิงวิสัย รสวิไลเสน่ห์คง รสรักมโนภาพ ยังกำซาบให้ลุ่มหลง จูบเงาร่างระหง ใฝ่พะวงภาพมายา เหลือพี่ตรงที่เก่า คงสิ้นเงาเจ้ากลับมา สิ้นซากเสน่หา ประหนึ่งว่าตายจากกัน จนรุ่งอุษาสาง ฟ้าสว่างลบภาพฝัน สิ้นรักเคยผูกพัน สัญญามั่นเป็นเพียงลม หมอกขาวคลุมหน้าผา..หยุดเวลาความระทม หยุดโลกที่โศกตรมฝังมันจมพร้อมน้ำตา ก้าวผ่านในม่านหมอกจนหลุดออกนอกหน้าผา สำนึกสุดท้ายว่า ขอชาติหน้า..ค่อยพบกัน@ อันนี้เป็นของคุณลุง ..ที่เรนชอบมากเลยคะ และเรนก็เอามาเป็นแบบในการหัดเขียนกลอน เป็นการเขียนที่เรนว่าอ่านแล้วรู้สึกอบอุ่นด้วยดิคะ .. และเรนก็แอบเขียนแบบนี้เก็บไว้ด้วยนะคะ .. แต่เรนเขียนยังไม่จบ แบบบางทีเรนต้องทำให้ได้แบบคุณลุง ..
29 กันยายน 2548 00:21 น. - comment id 12161
ของผม ก็ บทนี้เลยครับ เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา จงเลือกเอา ส่วนดี เขามีอยู่ เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู เรื่องไม่ดี อย่าไปรู้ ของเขาเลย อันจะหา คนที่ดี แต่ส่วนเดียว อย่ามัวเที่ยว หาไป สหายเอ๋ย เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเอย ฝึกจนเคย เห็นแต่ดี มีคุณจริง
29 กันยายน 2548 23:44 น. - comment id 12172
อนาคตคือความหมาย ส่องประกายให้ความหวัง ความเพียรคือพลัง ชี้หนทางก้าวไกล คนที่รักที่สุดให้มาเมื่อจากกัน
16 ธันวาคม 2552 08:30 น. - comment id 26420
บทกวีบทที่2เป็นของ อ วิทยากร เชียงกุล ครับ