กลอนให้ข้อคิด

ไม้ใกล้ฝั่ง

คนกรุงศรี


เมล็ดพืช งอกงาม ตามป่าเขา
กลางลำเนา อุดม ชุ่มโชกฝน
ต้นจึงโต ตระหง่าน ต้านลมบน
เปรียบเช่นคน เกิดกาย เติบใหญ่มา
มีนที ไหลเลาะ เซาะตลิ่ง
ละลิ่ววิ่ง ล้นหลาก จากภูผา
ทั้งกัดกร่อน จนเห็น เป็นธารา
พสุธา จึงแตก แยกจากกัน
ไม้โตใหญ่  ยังโอน โค่นลงน้ำ
ลอยในลำ คงคา ถึงอาสัญ
แม้ยืนต้น บนตลิ่ง ยิ่งนานวัน
ไม่คงมั่น ต้องถึง ซึ่งเอวัง
เมื่อเปรียบคน เมื่อครา อายุมาก
ความหลายหลาก มีแท้ แต่หนหลัง
พอเวลา ล่วงไป ไม่จีรัง
ก็ใกล้ฝั่ง เช่นไม้ ริมสายธาร
เงาไม้ใหญ่ ก่อนนี้ มีคุณค่า
กิ่งก้านหนา ร่มเย็น เป็นสถาน
ที่พึ่งพิง ของสัตว์ป่า มาช้านาน
ต้นใช้งาน เมื่อโค่น โดนทำลาย
เมื่อเดือนปี  ผ่านไป ชีพใกล้ดับ
พอนั่งนับ วันวัย แล้วใจหาย
ทำอะไร ไว้บ้าง ก่อนวางวาย
เร่งขวนขวาย ตอนนี้….. มีเวลา

เว้น

เชษฐภัทร วิสัยจร


อันมนุษย์นิสัยพาลสันดานชั่ว
อย่าเกลือกกลั้วเข้าใกล้ให้เศร้าหมอง
ลักษณะสี่ข้อขอให้ตรอง
เว้นการข้องเกี่ยวทุกครั้งระวังภัย
หนึ่งคือคนขี้จับผิดจิตใจต่ำ
เฝ้าตอกย้ำหาเหตุร้ายป้ายสีใหญ่
เว้นพูดถึงเรื่องดีงามมองข้ามไป
คอยรุกไล่เรื่องเลวร้ายทำลายกัน
สองคือคนริษยาราคะจริต
คอยแต่คิดขัดขวางทางกีดกั้น
ขวางความสำเร็จสุขอยู่ทุกวัน
ใครอย่าฝันจะได้ดีกว่านี้เลย
สามคือคนเกรี้ยวกราดอาฆาตแค้น
หมั่นวางแผนประดังประเดเล่ห์เฉลย
จะคอยเฝ้าขัดขวางเหมือนอย่างเคย
ทุกคำเอ่ยอคติอุตริธรรม
สี่คือคนยุแยงตะแคงรั่ว
สร้างความมั่วลนลานสันดานต่ำ
ชักใยคนชนคนเกิดผลกรรม
คอยตอกย้ำสามข้อแรกแยกมวลชน
เว้นสัตว์ร้ายดิรัจฉานบันดาลสุข
ย่อมเว้นทุกข์ความสับปลับความสับสน
เว้นศัตรูย่อมเว้นกรรมย้ำเตือนตน
เพื่อเว้นคนไม่เป็นมิตรพิจารณา

ก่อนเริ่มบทเพลงสันติภาพ

เปลวเพลิง


สันติภาพหลบลี้อยู่ที่ไหน
เห็นแต่ไฟไหม้จุดอุดทุกด้าน
หรือถูกเล่ห์ คาถาพญามาร
เผาตำนานสันติลงเป็นผงคลีสันติภาพหลบลี้อยู่ที่ไหน
เพราะเหตุใดจึ่งได้ซ่อนกายหนี
หรือเกรงกลัวหัตถาแห่งกาลี
บดขยี้แหลกรวดเป็นกรวดทรายคนกำลังร้องหาสันติภาพ
ซึ่งฟังฉาบฉวยงามตามความหมาย
แต่ความจริงชวนตระหนก ตลกร้าย
สันติหายลับตาเข้าอารัญเบื้องบรรพ์ก่อนชนมักรักสงบ
สืบขนบประเพณี ดี สร้างสรรค์
สัมผัสมือสื่อผสานการแบ่งปัน
ความสัมพันธ์เปรียบเพื่อนในเรือนใจไม่ก่อความวิบัติจนขัดสน
จึ่งทุกคนไพร่ฟ้าหน้าแจ่มใส
สามัคคีปรองดองดับผองภัย
ช่วยชูชัยชีพสุขทุกทิวาเดี๋ยวนี้หนา พาให้ใจละเหี่ย
คนลืมเสียหมดแล้ว...เกลอแก้วจ๋า
ไม่รู้จัก รัก ซื่อ ถือสัจจา
ไม่รู้ค่าชีวิตอนิจจังต่างยื้อยุดฉุดกระชากแต่บาปหนา
หลงทรัพย์สินเงินตราเป็นบ้าหลัง
ก่อสงครามล้างแผ่นดินเจียนภินท์พัง
ที่จะฝังร่างกายยังไม่มีสันติภาพหลบลี้อยู่ที่ไหน
เมื่อไผทไหลหลามความบัดสี
หรือหลบในเมฆนิ่มแดนฉิมพลี
อันฤดีชั่วร้ายไกลเกินยลถ้าหากหวังสันติภาพจะฉาบฉาย
มาทำลายหมอกมัวบาปชั่วฉล
คนต้องเริ่มเติมสีชีวีตน
ให้รักหนทางที่ดีและงามซึ่งได้แก่สามัคคีเป็นที่หนึ่ง
ร้อยรัดรึงรวมกมลกันล้นหลาม
ธำรงรักษ์ความกล้า พยายาม
ดำเนินตามครรลองของคุณธรรม์เพื่อเรียกคืนสันติภาพสาบสูญหาย
เปิดม่านฟ้ามาฉายระบายฝัน
ยิ้มรับโลก สุริยา สบตาจันทร์
โศภิตบรรเจิดใจใต้แผ่นฟ้าสันติภาพจะไม่หนีไปที่ไหน
เมื่อคนไล้รักอวลอ

หายากนะเพื่อนเอ๋ย

เปลวเพลิง


เห็นเอ็งหันมองขวา ซ้าย หน้า หลัง
เอ็งกำลังหาอะไรหรือไม่หนอ?
บอกข้าหน่อย ข้านี้ยินดีพอ
ไม่ต้องง้อ ข้าช่วยด้วยเต็มใจเอ็งยิ้มแล้วพูดตอบ “ขอบใจ-เพื่อน”
ก่อนเอ่ยเอื้อนจนแจ้งแถลงไข
“ข้ากำลังหาคนบนโลกัย
ที่นอก-ในสะอาดปราศมลทิน”ฟังเอ็งกล่าว ตรองตรึก ข้านึกหัว
คนไร้ชั่ว ทราม ชัง หมดกังฉิน
คิดเสาะหาจวบวารลาญชีวิน
คงไม่ผินพบหน้าสบตากันจึงบอกว่า “หยุดหาเถิดสหาย
สิ่งที่หมายจะได้ยลบนสวรรค์
เหนือพิภพโลกมนุษย์ที่สุดนั้น
ไม่มีวันรู้จักสักชีวีไม่มีใครเลิศเลอดอกเหนอเพื่อน
ชีวิตเปื้อนดีร้ายหลากหลายสี
จะหาคนสะอาดสรรพไร้อัปรีย์
ยากกว่ามีลูกเป็นควายหลายเท่าตัวที่กล่าวมาหมดนั้นมันจริงหรือ
หรือว่าคือเรื่องขันอันน่าหัว
เหอะ! ลองสืบค้นไปจะได้ชัวร์
ว่ามันมั่วหรือว่าจริงกว่าใครเอ็งจะหันซ้าย ขวา หน้าหรือหลัง
อดีตยังอนาคตอันสดใส
เชื่อเถอะว่าสัจธรรมยังอำไพ
มีผู้ใด“ดีเต็มตัว-ชั่วเต็มตน”?
.....................................................

วันแห่งรัก

ไหมแก้วสีฟ้าคราม


วันแห่งรัก ตระหนักความ นิยามรัก
ใช่ศรปัก กลางทรวง ใจห่วงหา
ใช่วาบหวาม ความคิดถึง ตรึงวิญญา
ใช่น้ำตา ยาพิษ ปลิดชีพปลง
นิยามรัก หลากหลาย ขยายความ
มักปนกาม ความใคร่ รักใหลหลง
หอมหวานชื่น ขมขื่น ใช่ยืนยง
รักมั่นคง รักแท้ แม่รักเรา

ทางที่ไม่ได้เลือกเดิน

เชษฐภัทร วิสัยจร


The Road Not Taken: Robert Frost
ทางที่ไม่ได้เลือกเดิน: เชษฐภัทร วิสัยจร
Two roads diverged in a yellow wood,
And sorry I could not travel both
And be one traveler, long I stood
And looked down one as far as I could
To where it bent in the undergrowth;
Then took the other, as just as fair,
And having perhaps the better claim,
Because it was grassy and wanted wear;
Though as for that, the passing there
Had worn them really about the same,
ทางแพร่งแยกป่าใหญ่เหลืองอยู่เบื้องหน้า
ฉันพะว้าพะวงยังลังเลอยู่
อยากจะเลือกทั้งสองทางก้าวย่างดู
พลางมองลู่ทางด้านหนึ่งซึ่งยาวไกล
มองทางซึ่งลดเลี้ยวคดเคี้ยวลับ
จนหายวับแวะลงเข้าพงใหญ่
แต่ฉันกลับเลือกอีกทางก้าวย่างไป
ทางซึ่งให้ภาพงดงามตามอย่างกัน
เพราะว่าเส้นทางหลังร้องดังกว่า
ยิ่งผืนหญ้ายิ่งรกร้องก้องใจฉัน
พอได้ลองเดินดูก็รู้พลัน
ทางสายนั้นไม่แตกต่างอีกทางเลย
And both that morning equally lay
In leaves no step had trodden black.
Oh, I kept the first for another day!
Yet knowing how way leads on to way,
I doubted if I should ever come back.
I shall be telling this with a sigh
Somewhere ages and ages hence:
Two roads diverged in a wood, and I –
I took the one less traveled by,
And that made all the difference.
ทางเดินเช้าวันนั้นเหมือนกันหมด
ทั้งเคี้ยว

ต่าง

อรุโณทัย


พระจันทร์ส่องแสงนวลยามกลางคืน
ดาวนับหมื่นระยิบระยับวับวาวแสง
ยังสลัวมัวหม่นบนฟ้าที่แสดง
ไม่อาจแข่งแสงนวลของจันทรา
ชาย...แข็งแรงด้วยกำลังธรรมชาติ
หญิง...ไม่อาจต่อสู้อยู่ต่อหน้า
หญิง...จึงใช้เล่ห์เหลี่ยมเป็นธรรมดา
ชาย...เสียท่าเพราะไม่ทันนั่นความจริง
น้ำ...เป็นของเหลวอยู่ได้ทุกสถานะ
เพชร...ถึงจะแข็งแกร่งกว่าทุกสิ่ง
ยังสิ้นสูญได้ด้วยไฟที่ร้อนยิ่ง
เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้เลย
สีขาวบ่งบอกถึงความบริสุทธิ์
สีดำจุดความโศกเศร้าขอเฉลย
ถึงความต่างนำมาเปรียบเปรย
ต่าง ต่าง ชดเชย ซึ่งกันและกัน
อรุโณทัย
๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕

ชาวนา

อิสรชัย รัตน


กว่าจะเป็นข้าวหนึ่งเม็ดแสนเหน็ดเหนื่อย
ความปวดเมื่อยอ่อนล้า น่าเศร้ายิ่ง
เตรียมต้นกล้า ไถดะ คราดชะทิ้ง
เมื่อทุกสิ่ง พร้อมพรัก เริ่มปักดำ
ต้นข้าวเขียว เรียงราย เอนกายไหว
ศัตรูพืช กัดใบ มากระหน่ำ
ตั๊กแตนปาทังก้า มาท้าย้ำ
ผู้ชอกช้ำ ชาวนา พาทุกข์ใจ
ทั้งยาฉีด สารพิษ คอยปลิดฆ่า
ศัตรูพืช นานา ไม่ปราศัย
น้ำคอยผัน เข้าสู่นา พาห่วงใย
เพื่อต้นข้าว เติบใหญ่ ไม่ตายลง
ต้นข้าวแก่ รวงดอก ก็ออกผลิ
ความปิติ ของชาวนา หน้าชี้บ่ง
หมดหนี้สิน ปีต่อไป ได้มั่นคง
หากฟ้าคง ปรานี มีเมตตา
เสียงครืนครืน คืนนั้นสั่นหัวอก
ฝนหลั่งตก เหมือนดังจะสั่งฟ้า
เสียงจ๊อกแจ๊ก ไหลริน ริมชายคา
เช่นเดียวกับ น้ำตา ชาวนานอง
ผืนน้ำข้น เวิ้งว้าง กว้างดุจอ่าว
ท่วมยอดข้าว ชาวนา หน้าเศร้าหมอง
ข้าวจะกิน หนี้จะใช้ ใครรับรอง
หรือจะต้องสร้างหนี้ นี้ต่อไป

บัณฑิตสกปรก...

คีตากะ


อุทกภัยครั้งใหญ่ได้พ้นผ่าน
ทั่วทุกย่านน้ำลดหมดกังขา
บางพื้นที่น้ำยังท่วมขังนา
ชาวบ้านล้าอ่อนแรงแคลงกังวล
น้ำส่งกลิ่นเน่าเหม็นลำเค็ญหนัก
ซากพืชหมักหมมนานพานก่อผล
ทั้งขยะปฏิกูลพอกพูนชล
น้ำสีข้นขุ่นคลักประจักษ์ตา
จะเพาะปลูกพืชใดไร้ประโยชน์
ย่อมก่อโทษเสียหายเปล่าดายหนา
ต้องสูบน้ำออกทุ่งปรับปรุงนา
จึ่งหว่านกล้ารอบใหม่ได้อีกที
ดั่งบัณฑิตฝึกตนค้นหาแก่น
มัวโลดแล่นสร้างบุญหนุนราศี
แต่ไม่ละบาปกรรมมุ่งทำดี
ย่อมหามีประโยชน์ใดไม่ต่างนา...

อาณาจักรของเรา

เปลวเพลิง


โอ้บ้านนั้นคือมหาอาณาจักร
อันมีรักกรองข่ายสายใยเหนียว
คล้องกมลคนในให้กลมเกลียว
เป็นหนึ่งเดียวแนบแน่นดินแดนใจบ้านจะเป็นแดนสวรรค์ดั้นเหาะถึง
หากไม่ขึ้งเคียดกันแม้นวันไหน
มีปรานีแทนตอบมอบอภัย
รู้จักให้โอบเอื้อเกื้อกูลกันทั้งปู่ย่าตายายได้อิ่มอาบ
ยามเห็นภาพหลานเหลนเล่นสรวลสันต์
พ่อแม่ปลูกคุณธรรมอันสำคัญ
สอนลูกหมั่นก้าวย่างสู่ทางดีอวลอบอุ่นใต้หลังคาอาณาจักร
เป็นที่พักบรรเจิดเฉิดฉวี
เสียงหัวเราะเริงร่าครายินนี้
ต่อชีวีหวานได้อีกหลายวันหากเมื่อใดรักแยกแตกจากขั้ว
บ้านจักรั่วร้ายรุกทุกข์มหันต์
คงเหลือเพียงเสียงพร่าเศร้าจาบัลย์
สะท้อนลั่นเลื่อนมาเป็นอาจิณและตราบที่รัก  หวัง  ยังล้นเหลือ
คนบ้านเจือใจเย็นเป็นนิจสิน
รวมพลังรักพร่างสร้างชีวิน
สุขจักผินผกมาแต่ฟ้าไกลอาณาจักรของเราแค่เท่านี้
แต่เป็นที่เป็นถิ่นอันยิ่งใหญ่
ที่ซึ่งคำว่า  “ครอบครัว”  ยังยั่วใจ
ให้เราทำอะไรอะไรได้ทั้งนั้น

พ่อแม่สั่งสอน

เชษฐภัทร วิสัยจร


พ่อแม่เฮาสั่งสอน
หัดคึดย้อนเบิ่งตัวเฮา
ตรวจสอบเจ้าของเอา
ตักเตือนตนสร้างผลงาน
พ่อแม่สอนให้เถียง
พ่อแม่เลี้ยงให้วิจารณ์
แต่อย่านิสัยพาล
ด่าซี้ซั้วมั่วประเด็น
เถียงพ่อเถียงแม่เลย
พ่อแม่เผยธรรมให้เห็น
ลำดับความคิดเป็น
ย่อมปลูกฝังสร้างปัญญา
พ่อแม่สอนให้ถาม
สิ่งดีงามตามเนื้อผ้า
ที่ฮู้ตามกันมา
คือวาทกรรมย้ำบอกไป
ถามอย่างกตัญญู
เคารพครูฮู้ผู้ใหญ่
ถ่อมตัวย่อมมีชัย
ย่อมชี้ชัดสุภาพชน
เถิดลูกเป็นอิสระ
ฮู้ภาวะประกอบผล
วาทศิลป์ช่ำชองดล
บันดาลฮู้จักเหมาะควร
ฮู้หลบฮู้หลีกหนี
บ่อนใดมีภัยก่อกวน
กาลเทศะทวน
เถิดพินิจพิจารณา
บ่อนใดมีบัณฑิต
บ่อนใดผลิตแต่ผีบ้า
ฮู้เงียบฮู้เถียงพา
สติตั้งอย่างฮู้ทัน
พ่อแม่เฮาสั่งสอน
ให้คึดย้อนคือพรสวรรค์
เถียงพ่อเถียงแม่กัน
อย่างเสรีมีหลักการ
ผสมหลักตะเว็นตก
แล้วย้อนวกมาอีสาน
หลักพุทธไทย-เทศจาร
ฮักจากใจให้เติบโต

ดอกไม้ในเงาจันทร์

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ


ดอกไม้ในเงาจันทร์
คือดอกไม้ยามราตรีวิปโยค
โศกซ้ำโศกซ้ำซ้อนอย่างสวยเศร้า
อยู่ในคืนเงียบงันอันปวดเร้า
กับหมอกหนาวพราวน้ำค้างอย่างเนิ่นนาน
คือดอกไม้ก้าวไปบันไดเมฆ
โยกยิเยกสั่นคลอนก่อนถึงฝัน
หมายเติบโตแต่งต้นบนดวงจันทร์
ทุกวิกาลจันทร์ยิ่งไปไกลลิบตา
คือดอกไม้หยัดยืนในคืนเหน็บ
รู้ทันเจ็บด้วยแรงแห่งปรารถนา
สู้ต่อโชคชะตาเร้าคาวมายา
ดื่มน้ำค้างเคล้าน้ำตาล้าแรงกาย
วอนมนต์ตราฉาบแสงนั้นจากจันทร์เจ้า
ไล่ความหนาวสักเวลาจะได้ไหม
กรุ่นอุ่นแสงแห่งจันทร์หมายมั่นใจ
เราดอกไม้จะแสร้งว่าคืออาภรณ์
ในคืนค่ำยามแมลงแล้งน้ำใจ
ขย่ำดอกขยี้ใบหมายหลอกหลอน
แมลงหรือ? ถือสิทธิจะริรอน
เพียงอุทรณ์ฎีกาหาพระจันทร์
คือดอกไม้หมายจะพบทางหลบหนี
หากยังมีรากหยั่งแน่นเป็นแก่นสาร
โดยตกฝันบันไดฟ้าแต่ครานาน
จากที่นั้น! สู่ตรงนี้...ไร้ที่ไป
เพียงส่งฝันอันระวีที่เริ่มล้า
โดยส่งหาเพื่อนฝันว่ามั่นหมาย
ณ ที่แล้งแห่งนี้มีดอกไม้
มีดอกอื่นดอกไหนที่คล้ายกัน?
อนาคตต่อไปในภายหน้า
ด้วยว่าล้ากาย-กำลังพลังฝัน
ระบมร่างจากแมลงเยื้อแย่งทาน
จะลางานท้อและท้อพอเสียที
คิดจะเลือกปลิดชีพในมายา
จะนำพาเจตจินต์บินหลบหนี
มีวิญญานไปจันทร์อันระวี
ต่อแต่นี้ไม่หมายใช้บันไดงาม
คือดอกไม้มีหัวใจห่วงใยรัก
มิอาจจากเพื่อนดอกไม้ไร้คมหนาม
เพียงจะสู้หมายจันทร์ทราบนฟ้างาม
และสู้ทรามความวิโยคโศกโสมม
เป็นดอกไม้จะไปฟ้าคราถึงที่
อันชีวีกลีบล้าจะถาถม
เวลานี้รักจะมอบปลอบประโ

บทกวีของจินตนา ปิ่นเฉลียว๑

เปลวเพลิง


วันนี้กระผมได้ท่องโลกอินเตอร์เน็ต
แล้วบังเอิญไปเจอบทกวีของ อ.จินตนา ปิ่นเฉลียวมาบทหนึ่ง
เนื่องด้วยความชอบฝีมือชั้นครูของท่านเป็นการส่วนตัว
จึงอยากนำมาแบ่งปันให้ชาวกวีทุกท่านได้อ่านกันครับ
โหมโรงกรีดคีตกรซ่อนปริศนา
เกริ่นคถามุขกราวกร้าวกระด้าง
ถึงสัตว์หนึ่งซึ่งเยื่อเนื้อหนังบาง
ไร้เล็บเขี้ยวเขาอย่างสัตว์ทั้งปวง
อาวุธที่เลื่องระบือคือ..ความคิด
ซึ่งมีพิษมีภัยอย่างใหญ่หลวง
มีสมองตรองฉลาดวาดเล่ห์ลวง
และมีดวงใจหาญทะยานนัก
แต่ปางบรรพ์ลั่นนามความเป็นใหญ่
ชนะน้ำลมไฟได้แหลมหลัก
สำรวจครบภพสามตามพิทักษ์
จนประจักษ์ว่าประเสริฐเลิศสัตว์ใดจึงขนานนามว่า...มนุษย์ชาติ
ผู้ผงาดท้าทุกยุคสมัย
จากเถื่อนถึงอารยธรรมล้ำหน้าไกล
ทว่า...ใจ...เท่านั้นมีอันตรายสมญา...คน...ล้นฤทธิ์พิชิตทั่ว
แต่ใจตัวไม่พิชิตผิดความหมาย
ปล่อยชั่วต่ำย้ำถ่วงดวงใจกาย
มือทำลายมนุษย์คือ...มือมนุษย์โหมโรงวอนอ่อนพ้อให้ข้อคิด
เพลงชีวิตซึ่งไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อคนเริ่มก้าวไปจนไกลรุด
กลัวเหลือเกิน...กลัวมันหยุดที่...จุดทราม
.............................................................
โดย จินตนา  ปิ่นเฉลียว
ปล.ชาวกวีท่านใดทราบชื่อบทกวีบทนี้
ช่วยกระซิบบอกระผมด้วยนะครับ
อยากทราบชื่อเหลือเกิน
หนังสือรวมบทกวีของ อ.จินตนา ก็หายากมากๆด้วย
และหวังว่าทุกท่านจะได้ข้อคิด และมีความสุขกับ
บทกวีดีๆบทนี้นะขอรับ

มังสวิรัติช่วยสัตว์โลก

สุนทรวิทย์


มนุษย์ผู้  มองข้าม  ความวิบัติ
บอกว่าสัตว์  เกิดมา  เป็นอาหาร
คนมีสิทธิ์  ที่จะ  รับประทาน
จึงล้างผลาญ  คุกคาม  ตามชอบใจ
ทีแมลง  กัดต่อย  เท่ารอยข่วน
พลันคร่ำครวญ  โกรธเคือง เหมือนเรื่องใหญ่
ต้องเข่นฆ่า  เคี่ยวขับ  โดยฉับไว
ล้วนเพราะไม่-มีจิต  คิดเมตตาถือประโยชน์  โภชย์ผล  ทั้งชนเผ่า
ชีวิตเขา  ประทุษ  ดุจไร้ค่า
เอาเปรียบเห็น  แก่ตน  จนชินชา
มินำพา  อาทร  ทุกข์ร้อนใครส่ำสัตว์อาจ  ดุร้าย  ในบางครั้ง
กระนั้นยัง  อาทร  สอนเชื่องได้
มนุษย์อ้าง  เจริญ  เกินสัตว์ใด
กลับชอบใช้  อำนาจ  พิฆาตกันงดกินเนื้อ  สักมื้อ  คือกุศล
เท่าฝึกฝน  อารมณ์  การข่มกลั้น
มังสวิรัติ  ช่วยให้  ใจสุขครัน
สัตว์ดื่นพันธุ์  ใหญ่น้อย  พลอยพ้นภัย

ถามใจครู

"ลุงรอง


ถามใจครู
ยังเป็นครู  เต็มครู  กันอยู่หรือ ?
ภูมิใจชื่อ ว่า”ครู”กันอยู่ไหม
ทุกวันนี้  “คุณครู”  อยู่เพื่อใคร
ลองถามใจ  ตนเองดู  คงรู้ดี
อยู่เพื่อวาง  แนวทาง  สร้างความฝัน
อยู่เพื่อปั้น  ตุ๊กตา  ตามหน้าที่
อยู่เพื่อรอ  กาลผ่าน  วันเดือนปี
อยู่เพื่อชี้  แนวทาง  การสร้างตน
สร้างคนที่  ไม่รู้  ให้รู้รอบ
สร้างระบอบ  ระเบียบให้เห็น  เป็นเหตุผล
สร้าง  จิตวิญญาณ  สันดานคน
สร้างเยาวชน  เปรียบมาลี  ที่งามตา
อยู่อย่างผู้  มีคุณธรรม  ประจำจิต
อยู่อย่างคิด  มองโลกเป็น  เห็นคุณค่า
อยู่อย่าง “ปูชนียบุคคล” ชนศรัทธา
หรืออยู่อย่าง  แสวงหา  ประโยชน์ตน
ครูคือผู้  ก่อร่าง  การสร้างชาติ
สร้างนักปราชญ์  สร้างนักคิด  ประดิษฐ์ผล
สร้างคนให้  รู้คำว่า  “ค่าของคน”
สร้างชุมชน   สร้างผู้นำ  สิ่งสำคัญ
ยังเป็นครู  เต็มครู  กันอยู่ไหม ?
ยังภูมิใจ  คำว่า”ครู”  ผู้สร้างสรรค์
หรืออยู่อย่าง  แก่งแย่ง  หวังแบ่งปัน
อยู่เพื่อหวัง  เลื่อนขั้น  ดันตันตัวเอง
อาจารย์ฐปกรณ์  โสธนะ
ศิลปินดีเด่นจังหวัดระยอง สาขาวรรณศิลป์
ประธานชมรมศิลปินจังหวัดระยอง
อุปนายกสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย ง  ร้อยกรอง

หวานความหลัง

เปลวเพลิง


กลิ่นดอกไม้แห่งความหลังยังซาบซึ้ง
เตือนนึกถึงวัยวันที่ผันผ่าน
ชื่นชีวิตเช่นนั้นอนันตกาล
สุมามาลย์มนัสนันท์นิรันดรดุริยางค์ความหลังฟังอ่อนไหว
กล่อมหัวใจให้หลับฝันกับบรรจถรณ์
ดื่มดนตรีมีมนตร์ปนอาวรณ์
สื่อซับซ้อนซ่อนในหัวใจเราซึ่งอดีตหวานขมอารมณ์รส
คือสวยสดไปตามความเงียบเหงา
ทุกข์สุขแต้มสีแสงแห่งวัยเยาว์
สร้างรูปเงาเอาไว้ในทรงจำให้ชีวิตเมื่อพลังหวังสลาย
จงกลับกลายปลาบปลื้มโดยดื่มด่ำ
ข้ามหุบเหวกักขฬะ  ถ่อย  ระยำ
มีแรงย่ำเดินทางข้างหน้าไกลให้ชีวิตจงหวานด้วยความหลัง
ดลชีพยังปรากฏความสดใส
มธุรสกลั่นกรองลำยองใย
แทนมาลัยมอบขวัญบรรณาการกลิ่นดอกไม้แห่งความหลังอันซาบซึ้ง
ติดตราตรึงบูชิตชีวิตหวาน
ปลอบดวงใจล้นหลั่งยั่งยืนนาน
ให้พ้นผ่านสรรพภัยใดใดเทอญ
.......................................................
คิดถึงความหลังแล้วมีความสุข
ถึงจะมีทั้งสุขทั้งทุกข์ปะปนกันไป
ก็ทำให้ชีวิตได้เรียนรู้โลก
และในปัจจุบันหากเจอปัญหา
เมื่อลองมองกลับไปในอดีต
ก็จะพบว่ามีตั้งหลากหลายปัญหาที่เรา
สามารถผ่านมันมาได้
มีหรือที่ครั้งนี้และครั้งต่อๆไป
จะไม่สามารถฝ่าฟัน...

ทุกนาทีที่ผ่านไป

สุนทรวิทย์


ทุกเวลา  นาที  ที่ผ่านพ้น
ลูกต่างคน  เติบใหญ่  ก้าวไปหน้า
พ่อ,แม่กลับ  ระโหย  ร่วงโรยรา
เปลี่ยนเชื่องช้า  อ่อนแอ  แก่เฒ่าลง
พ่อ,แม่ล้วน  อาทร  จึงสอนสั่ง
มุ่งยับยั้ง  ห้ามปราม  ความลุ่มหลง
หวังให้ลูก  สุขสันต์  ยืนมั่นคง
สมจำนง  อิฐผล  เป็นคนดี
สัญชาตญาณ  ยิ่งใหญ่  ในพ่อ,แม่
คือเหลียวแล  บุตร,ธิดา  โดยหน้าที่
ชี้จุดหมาย  แนวทาง  สร้างชีวี
เอื้ออารี  ปกปัก  รักเอ็นดู
ลูกจะโต  เปลี่ยนแปร  แม้เพียงไหน
พ่อ,แม่ไซร้  คงเห็น  เป็นเจ้าหนู
ยังรักเหมือน  เด็กน้อย  คอยค้ำชู
ลูกย่อมรู้  แน่แท้  อยู่แก่ใจ
ทุกเวลา  นาที  ที่ร่อยหรอ
ลูกลูกเคย  ทดแทนต่อ  พ่อ,แม่ไหม
หันใคร่ครวญ  สักนิด  คิดห่วงใย
ใช่รอไว้  ประณต  ตอนหมดลม
หน้า / 16  
ทั้งหมด 262 กลอน