กลอนให้ข้อคิด

ไม้เลื้อย

ไหมแก้วสีฟ้าคราม


เถาวัลย์พันกิ่งต้น......พึงยล
ปีนป่ายไม้เลื้อยวน.....สิ่งนั้น
คบหาแต่ปราชญ์ชน......อบร่ำ ..ปัญญา
เกลือกชั่วเกลอดื้อรั้น.......ต่ำช้า...กุมใจ

แก่หนึ่งปีสั้นหนึ่งปี

สุนทรวิทย์


อีกหนึ่งปี  ล่วงไป  นึกใจหาย
ปีกลายคล้าย  พริบตา  พึ่งลาผ่าน
วัน,เวลา  ผาดผัง  ดังสายธาร
อายุกาล  ชรา  มาอีกปี
เด็กรุ่นเยาว์  เข้มแข็ง  แกร่งกว่าเก่า
ส่วนผู้เฒ่า  กลับร่วงโรย  โหยแทนที่
สังขารคน  เราหนอ  ก็เท่านี้
ทุกนาที  เปลี่ยนไป  ไม่คงทน
แก่หนึ่งปี  สั้นหนึ่งปี  ผองชีวิต
มิมีสิทธิ์  อุทธรณ์  วอนเหตุผล
เมื่อยังอยู่  กาลัญญู  รู้ผ่อนปรน
อย่าจำนน  พ่ายแพ้  แก่อามิส
ปีเก่าสร้าง  ประโยชน์  หรือโทษไว้
ลองถามใจ  ใคร่ครวญ  ทวนจริต
สิ่งใดพึง  แก้ไข  ใช่เพียงคิด
เร่งพินิจ  ขยับ  ปรับปรุงตน
ทำปีใหม่  ให้ดี  เหนือปีก่อน
บุญจะย้อน  ทำนุ  เกิดกุศล
ขอพรเทพ  เทวา  เมตตาดล
มอบปวงชน  พูนสุข  ทุกปีเทอญ

ปริญญามหาบุตร

ศรีสมภพ


พรุ่งนี้.. มีพิธี มีงานใหญ่
แห่งมหาวิทยาลัย .. ในปีหนึ่ง
หลายคน หลายครอบครัวคอยวันถึง
เป็นวันหนึ่งซึ่งสำคัญ ใช่วันผ่าน
ใจพ่อปลื้ม แม่ยิ่งปลื้ม  ..ต่างลืมทุกข์
รับความสุข แม้เกลือกทุกข์..ยังสุขสันต์
คราบเหงื่อแห้ง ที่แฝงล้า มานานวัน
อันตรธาน...เร่งวันนับ รับปริญญา !
จอเก่าๆ ..ข่าวคงมี นับนี้จ้อง
เสื้อครุยครอง มองลูกใส่ นัยน์ตาพร่า
ภาพองค์ท่าน ประทานให้ได้ปริญญา
ที่แลกมา ด้วยน้ำตา และคราบไคล
เห็นพ่อแม่ และพี่น้อง ฉลองลูก
สนานสนุกปลุกรอบบ้านจัดงานใหญ่
เหมารถบัส จัดฟรีทัวร์ จนกลัวใจ
มีเครื่องไฟ ให้เกริกก้องฉลองกัน
อยากกระทำอย่างเขา ..แต่เจ้าย้ำ
อย่ากระทำอย่างเขา  ..เขลาทั้งนั้น
บ้านของเขา บ้านของเรา ..จนเท่ากัน
คำเจ้านั้น  บอกให้คิด  ..ผิดแนวทาง
เงินเดือนแรก.. เจ้าทูนให้เก็บไว้อยู่
กตัญญู รู้คุณ  ..จึงหนุนสร้าง
ดูในจอ พอเห็นได้ ไม่แตกต่าง
ก็แค่ร่าง สร้างครุยสวม ..ร่วมปรีดา
ต่อแต่นี้ ..หน้าที่ลูก  ทุกๆอย่าง
ให้พ่อวาง  ให้แม่อุ่น แทนคุณกล้า
หยาดเหงื่อเจ้าจะทดแทน อย่างแน่นหนา
เช็ดน้ำตา เช็ดคราบไคลให้ใสงาม
พรุ่งนี้ ..มีงานใหญ่ในบ้านเก่า
ฉลองเรา พ่อแม่ลูก ..ผูกพันสาม
พร้อมปริญญา “ มหาบุตร ” ที่สุดงาม
ตามคำปราม ..ธรรมนำทาง อย่างเจ้าทำ !

...อยู่กับใคร..

บนข.


อยู่คนเดียวให้ชั่งยั้งความคิด
ระวังจิตคิดปรุงให้ฟุ้งซ่าน
คิดวิตกสงสัยให้รำคาญ
ส่ออาการวิปริตเพราะคิดไป
คิดไม่ลงปลงไม่ตกรกสมอง
จิตจดจ้องคิดวุ่นครุ่นสงสัย
อยู่คนเดียวหากไม่ยั้งระวังใจ
ประสบภัยความคิดเพราะจิตตน
อยู่กับคนหลากหลายทั้งชายหญิง
ย่อมมากสิ่งมากความตามสับสน
ให้ระวังวาจาอย่าร้อนรน
คำพูดตนอาจผลาญการไมตรี
“เป็นมนุษย์สุดนิยมที่ลมปาก”
สุนทรภู่ท่านฝากคตินี้
ก่อนจะพูดจงระวังยั้งวจี
จะไม่มีสงครามความคารม
อยู่กับพาลดื้อรั้นสันดานชั่ว
จงระวังเกลือกกลั้วความชั่วขรม
แม้นมิรักฝักใฝ่ใจนิยม
อาจติดปมภาพลบว่าคบพาล
อันปลาเน่าในข้องฟ้องปลาเป็น
ว่าอาจเหม็นเข็นขุกทุกสถาน
แม้นจำเป็นต้องคบประสบพาล
จงตั้งการยับยั้งระวังตัว
อยู่กับคนฉลาดจงคาดคิด
พลั้งเพียงนิดเสียรู้เป็นรูรั่ว
อาจโดนหลอกชอกช้ำระยำยัว
ถึงเสียตัวเสียการงานเวลา
เขาฉลาดก็จงคาดการเฉลียว
ให้ปราดเปรียวเด็ดขาดฉลาดกว่า
ฟันต่อฟันพันตูตาต่อตา
ฉลาดมาจงปัญญาฉลาดไป
คุณจะอยู่กับใครได้ทั้งนั้น
ตราบเท่าคุณรู้ทันกันแก้ไข
โลภโกรธหลงบงการสันดานใจ
ก็อยู่ได้เป็นสุขทุกเวลา
คุณจะอยู่กับใครได้ในโลก
ตราบรู้ทันทุกข์โศกในโลกหล้า
และเสพโลกทั้งปวงด้วยปัญญา
โลกหรือกล้าแว้งงัด...เข้ากัดคุณ

ดูนกแล้ววกดูคน

สุนทรวิทย์


วิหค  ยามกกไข่
มันระไว  ไม่ยอมห่าง
ปีกสอง  ป้องอำพราง
ไข่บอบบาง  ต่างชีวันลูกรัก  ฟักเป็นตัว
ยิ่งพันพัว  เหนื่อยหัวปั่น
หาเหยื่อ  เอื้อแบ่งปัน
ให้ลูกนั้น  อิ่มทันใจลูกโต  ก็โผจาก
ไปถางถาก  รกรากใหม่
ทิ้งพ่อ  แม่ทันใด
ความห่วงใย  ไม่เคยมีคนเรา  เหล่าหญิงชาย
เห็นมากมาย  คล้ายปักษี
ปล่อยปละ  บุพการี
มิไยดี  หน้าที่ตนบ้างยัง  ชังเกรี้ยวกราด
หินชาติ  ขาดเหตุผล
จริต  ผิดผู้คน
เพราะกมล  ขัดสนธรรม
ถึงครา  ฟ้าลงโทษ
กลับถือโกรธ  โอดครวญคร่ำ
ไม่ตรอง  มองเงื่อนงำ
ว่าเวรกรรม  ล้วนทำเอง

ดีร้ายไม่จีรัง

สุนทรวิทย์


เมฆหม่น  ผ่านพ้นไป
แสงรำไพ  เฉิดฉายส่อง
เวหา  อ่ารงรอง
อาบสีทอง  ผ่องทันใดดั่งคน  พ้นรันทด
หายสลด  พลันสดใส
ปัญหา  น่าห่วงใย
กลับแก้ไข  ได้ทันที
ชีวี  ที่ล้ม,ลุก
หลอมรวมทุกข์  และสุขศรี
สำแดง  แห่งโลกีย์
ไร้วิถี  ทางจีรังธรรมดา  โลกามิส
ห้ามท้อจิต  ยามผิดหวัง
มานะ  แก้ประทัง
ดีกว่าชัง  นั่งโทษใครวันนี้  มีทุกข์ครัน
อาจสุขสันต์  เมื่อวันใหม่
อิ่มหนำ  คือกำไร
เลิกฝักใฝ่  ในราคีกอบกู้  สู้ชีวิต
สุจริต  ไม่คิดหนี
สะสวย  ด้วยกรรมดี
จนหรือมี  อยู่ที่ใจ

น้ำมนต์

คนกรุงศรี


นิทานขรัวตา                 น้ำมนต์
นิทานเก่า เล่ามา ตาจำได้
ด้วยสาวใหญ่ สามี มักหนีห่าง
กลับบ้านค่ำ ทำเป็น เช่นรักจาง
จึงน้องนาง สงสัย เหตุใดกันไปหาหมอ ทำนาย ท่านทายทัก
เรื่องความรัก ยังแน่วแน่ มิแปรผัน
หมอดั้นด้น ค้นคว้า หาทางตัน
ผ่านหลายวัน มีคำตอบ มอบของดีเอาของขลัง มอบให้ ลองใช้แก้
ศักดิ์สิทธ์แท้ คาถา ว่าเต็มที่
ถ้าใช้ให้ ถูกตาม กรรมวิธี
แล้วสามี จะมา หาเร็วไวเธออดทน ขวนขวาย มิหน่ายแหนง
ปรากฏแจ้ง จริงแท้  แน่ไฉน
เพียงสองเดือน มินาน สานสายใย
สามีไม่ แชเชือน เหมือนก่อนเคยเย็นรับลูก กลับมา หน้าสดชื่น
ทุกข์อย่างอื่น ไม่มี แล้วพี่เอ๋ย
บ้านสงบ สุขใน ใจเสบย
คนชมเชย อิจฉา ว่าดีจริงเพื่อนบ้านถาม ความนัย เพราะใคร่รู้
ยอดพธู  เธอตอบ มอบทุกสิ่ง
มิปิดบัง อะไร ไม่ประวิง
ศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง น้ำมนต์ …ที่ตนอม
ขรัวตา
กลุ่มวรรณกวีศรีอยุธยา

สร้างฝัน

คนกรุงศรี


เฝ้าสร้างฝัน วันข้างหน้า อนาคต
กะกำหนด แนวทาง วางรากฐาน
ไม่ต้องรอ พรหมลิขิต ผิดหลักการ
เพราะร้าวราญ มามาก จึงอยากลอง
ถือหางเสือ เรือชีวิต ตามคิดหวัง
รวมพลัง หลายหลาก จากสมอง
ใช้สติ ปัญญา มาปกครอง
แล้วลอยล่อง นาวา ท้าคลื่นลม
จะเนิ่นนาน กาลใด ก็ไม่หวั่น
ฤทัยมั่น ก้าวย่าง อย่างเหมาะสม
ถึงจุดหมาย เมื่อไร ใคร่ชื่นชม
เคยช้ำตรม คงคลาย ที่ปลายทาง
มินอนรอ วาสนา ให้มาถึง
มิต้องพึ่ง ใบบุญ เกื้อหนุนสร้าง
มิเคยท้อ ว่าเวรกรรม จะอำพราง
มิเคยอ้าง กุศล ที่ตนทำ
อาจทุกข์บ้าง สุขบ้าง ก็ช่างเถิด
เมื่อได้เกิด เป็นคน อย่าบ่นพร่ำ
แล้ววันนี้ จะให้ ใครเขานำ
มิเลิศล้ำ แล้วก็ อย่าท้อใจ
เพียรสร้างฝัน วันหน้า อนาคต
จะสวยสด สมปอง หรือหมองไหม้
แม้เหนื่อยยาก ตรากตรำ ทนทำไป
อย่างน้อยได้ ความดี …ที่ติดตน

""งง""

บนข.


กูละงงสงสัยในชีวิต
กูยิ่งคิดยิ่งงงยิ่งสงสัย
ชีวิตกูกูคิดชีวิตใคร
หนทางใดกูงงกูหลงเดิน
กูยิ่งเดินยิ่งหลงในดงชัฏ
ถูกบ่วงรัดมัดกูอยู่นานเนิ่น
จิตวิญญาณตกอับกูยับเยิน
งงเหลือเกินกูงงกูหลงทาง
เกิดเป็นกูอยู่เป็นตนทนจรจัด
กรรมวัฏฏ์เวียนวนด้นสงสาร
ตายแล้วเกิดเกิดแล้วจมกี่ลมปราณ
ทรมานนานเนิ่นเกินกัปกัลป์
ชีวิตคืออะไรกูใคร่รู้
(เดาว่าการต่อสู้และแข่งขัน)
ระหว่างตัวกูผู้สามัญ
กับภพชาติอนันต์ยาวไกล
กูมุ่งหมายยุดภพสยบเท้า
หยุดร้อนเร่าทั้งหลายแหล่กูแน่ไหม
อาวุธคืออัตตากูพาไป
หวังสยบภพไตรบรรลัยลง
แต่รบกันทุกครั้งกูพังพ่าย
ทั้งอาวุธมากมายโลภโกรธหลง
ภพคือผู้คว้าชัยไปยิ่งยง
กูยังคงเวียนว่ายกระหายชัย
กูละงงสงสัยในชีวิต
กูยิ่งคิดยิ่งงงยิ่งสงสัย
ชีวิตกูกูคิดชีวิตใคร
วัฏฏะใดกูงงกูหลงเดิน
ใจกูคิดถนัดกำจัดภพ
ด้วยหวังจบกันดารอันนานเนิ่น
แต่อัตตาเจ้ากรรมมันซ้ำเชิญ
กูกลับเพลินหลงภพ...จบไม่ลง...

วัยคะนอง

สุนทรวิทย์


วัยรุ่น  ดรุณเปลี่ยว
ขาดเฉลียว  ชอบเที่ยวเตร่
จับกลุ่ม  สุมฮาเฮ
ทำหมิ่นเหม่  ดื่มเมรัยสูบยา  น่าละเหี่ย
เดินคลอเคลีย  เสียนิสัย
ปล่อยตัว  มิกลัวภัย
ระเริงวัย  ไป่ระวังหนูหนู  ฟังปู่ก่อน
ปู่อาทร  จะสอนสั่ง
หยุดรั้น  ดันทุรัง
แล้วจงฟัง  อย่างตั้งใจหนุ่ม,สาว  คราวคะนอง
ปราศไตร่ตรอง  ต้องแก้ไข
ใช่เขลา  ตามเขาไป
ควรระไว  ห่วงใยตนรู้ละ  ปฏิเสธ
รู้สังเกต  เหตุและผล
ทวนทบ  เลือกคบคน
อยู่ให้พ้น  กลอุบายวัยหัว-เลี้ยวหัวต่อ
เร่งจดจ่อ  ก่อขวนขวาย
สุขสันต์  รอบั้นปลาย
คือจุดหมาย  ในชีวินสองทาง  ต่างสุดขั้ว
อยากดี,ชั่ว  ตัวถวิล
กุศล  กับมลทิน
เห็นอาจิณ  ตัดสินเอง

ชีวิตเธออาภัพจริงจริงหรือ?

เปลวเพลิง


“เฮ้อ!ชีวิตอาภัพจริงพับผ่า”
โชคชะตากำหนดแต่หมดหวัง
ไม่เคยสมปรารถนาสักคราครั้ง
มีแต่นั่งรันทดหมดอาลัย“อยากฉลาดปราดเปรื่องเหมือนอย่างเขา
เรากลับเบาปัญญาไปซะได้
มุมานะไม่รู้จะทำกระไร
โลกไยไพปลอกปลิ้นเกินดิ้นรนเห็นเขามีทองคำเส้นล้ำค่า
อวดล่อใจล่อตาจ้องถลน
เขาจบเอก  จบโท  โก้เหลือทน
เราสิหม่นหมองเปลี่ยวเพียงเดียวดาย”“นี่เธอจ๋า
ก็เวลาส่วนใหญ่เธอใช้หาย
ไปกับการอุดอู้นั่งดูดาย
ซังกะตายหน่ายเหนื่อยเรื่อยทั้งวันฉันเห็นเขาขยันทุกวันนะ
ไม่เคยจะรีรอขอผัดผัน
เหมือนอย่างที่เธอทำเป็นสำคัญ
แล้วเธอจะมารำพันไปทำไมฉันเห็นเขาไม่ได้รวยตั้งแต่เกิด
เพียงแต่เลิศมานะมั่นอันยิ่งใหญ่
สู้งานหนักเป็นหลักยึดตามพฤตินัย
ไม่รอใครกำหนดบทชีวาเธออาภัพหรือไม่ฉันไม่รู้
ลองคิดดูฉันเตือนนะเพื่อนจ๋า
เผื่อวันใดเธอตระหนักขึ้นสักครา
จะรู้ว่าเธอนั้นไม่ได้อาภัพ”

อย่าหมิ่นศักด์ศรีกัน

กิตติเวทย์


ธรรม..ดาสรรพสิ่งล้วน   อิงกัน
ชาติ..เหตุเกิดผลพลัน   สัจล้ำ
ประ..กาศิตสามัญ    กำหนด
กาศ..ก่อขอเตือนย้ำ  อย่าได้เบียนกัน
ศักดิ์..ดามวลหมู่ข้า  ก็มี
ศรี..เกียรติถูกย่ำยี   จากเจ้า
ให้..โทษเผื่อบางที   สำนึก บ้างนา
ดู..ซิยามทุกข์เคล้า  เจ็บซ้ำเพียงใด
อย่า..เลยมนุษย์เฮ้ย  ทำลาย
ได้..โปรดอย่าวุ่นวาย  หมู่ข้า
เบียด..บังขุดตัดขาย  อีกเผา
เบียน..บดคดคิดค้า  แค่ให้มีเงิน
กัน..และกันร่วมด้วย  อาทร
ต่อ..ตอบใจอาวรณ์  เพื่อนบ้าง
ไป..ดูอุทาหรณ์  ถล่ม  ดินนา
เลย..หยุดทำลายล้าง  ป่าไม้ภูธาร

ประมาทหรืออาถรรพ์ “ซานติก้า”

ศรีสมภพ


๙ - ๘ - ๗ - ๖ - ๕ - ๔ - ๓ - ๒ ..กรี๊ดๆๆๆๆๆ  บึ๊ม !
เสียงนับพร้อม ! ถอยหลังดังกึกก้อง
เสียงนักร้อง โหยหวนชวนขนลุก
นับเคาต์ดาวน์ เข้าปีใหม่ได้สนุก
พร้อมไฟลุก พลุเผาผับ ..นับอำลา
ไม่ฉุกคิดชีวิตนี้จะมีเคราะห์
เสียงหัวเราะ เสียงเคาะกลอง ร้องเริงร่า
ล้วนไฮโซ โอ้อวดดีมีราคา
นับพันมา อำลาผับนับเลขกัน
สยดสยอง ! ฉลองกันวันผับปิด
หลายชีวิต คิดจะหนี เหมือนผีกั้น
ไม้กางเขน เห็นโลงศพสยบพลัน
ตึกรูปโดม ปมอาถรรพ์สุดหวั่นกลัว
ประมาทเกินเพลินจนพลั้ง ไม่ยั้งคิด
สังเวยชีวิต ทุรนทุรายตายถ้วนทั่ว
เล่นกับไฟ ไม่คาดคิดไหม้ติดตัว
ผับสลัวไฟลุกโชน ..คนสิ้นชีวี !
เสียงนับหาย..ไปไม่กลับหลับไม่ฟื้น
เสียงสะอื้น.. โศกสลดทดแทนที่
เสียงกล่าวขวัญลั่นลือ คืออะไรนี่ ?
พอเริ่มปี  ก็เริ่มตาย ..ศพก่ายกอง !
เสียงนับพร้อมถอยหลัง..ในครั้งนั้น
วิพากษ์กัน อาถรรพ์ลับผับสยอง
หรือประมาท พลาดเพราะเมาเข้ามุมมอง
วันฉลองวันอำลา..คราเดียวกัน
คอรัปชั่นกันนักหนา ก็น่าคิด
สร้างแบบผิดติดสินบนล้นลือลั่น
รับโทษนิด ชีวิตดับนับอนันต์
สองปีผ่านซานติก้า..อาถรรพ์หรือ ?
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
หลังเที่ยงคืนวันปีใหม่ ๑ ม.ค.๕๒
สังเวย ! 66 ศพ บาดเจ็บกว่า 200 ..ในวันอำลาปีเก่า
ต้อนรับปีใหม่และฉลองวันสุดท้ายในการปิดผับไฮโซ
สุดหรู..ไม่คาดคิดเลยว่า จะเป็นวันสุดท้ายของหลายสิบชีวิต
ที่ไม่มีโอกาสรู้ตัวเลยว่า มันเป็นการฉลองวันอำลาชีวิต
ของตน จากการมีลมหายใจเฮื

ทศกัลยาณี

สุนทรวิทย์


คุณสมบัติ  อิสตรี
อันพึงมี  เป็นศรีศักดิ์
หนึ่งนั้น  ธัญลักษณ์
ควรพร้อมพรัก  ประจักษ์ตาสองดี  ที่จิตใจ
พิสุทธิ์ใส  ไร้มารษา
สามสะสวย  ด้วยปัญญา
เปี่ยมวิจา-ร-ณ-ญาณงามสี่  วจีกรรม
วาจาน้ำ-คำอ่อนหวาน
งามห้า  สมาจาร
รู้แก่นสาร  การครองเรือน
หกซื่อสัตย์  ภัสดา
เทิดบูชา  กว่าใดเหมือน
ใส่ใจ  ไม่ลบเลือน
คอยปลอบ,เตือน  เอื้อนห่วงใย
เจ็ดเสน่ห์-ปลายจวัก
งานเบา,หนัก  มิผลักไส
แปดหรือ  คือดับไฟ
สิ่งหมกไหม้  ในกมล
เก้าประหยัด  มัธยัสถ์
ไล่ขจัด  ความขัดสน
สิบเท่าทัน  เชิงชั้นคน
เมินเวทมนตร์  กลมายา
ทศ-กัลยาณี
ยอดเทวี  ศรีสง่า
ชายใด  ได้เธอมา
คู่ชีวา  ถือว่าบุญ

หนี้กรรม

ไหมแก้วสีฟ้าคราม


แฝงกายในป่ากว้าง.......ราวไพร
มิอาจหนีบาปได้............แน่แท้
ทำกรรมหยาบชดใช้.......ตนก่อ รับผล
สุดหลีกเลี่ยงข้อแม้........ชั่วนั้น ตามสนอง

เทพารักษ์

สุนทรวิทย์


ชายชรา  ผมขาว  แก่คราวปู่
นั่งพักอยู่  โคนฉำฉา  พฤกษาใหญ่
เล่าอดีต  ก่อนเก่า  ตอนเยาว์วัย
จาระไน  เหตุการณ์  สิ่งพานพบ
เด็กหลายคน  ห้อมล้อม  น้อมสดับ
มุ่งซึมซับ  สาระ  โดยสงบ
เสียงผู้เฒ่า  จำนรรจ์  กล่าวครันครบ
ย้อนทวนทบ  ประสบการณ์  อันผ่านตา
“สมัยปู่  ยังเด็ก  เล็กอยู่นั้น
พนาสัณฑ์  คือแหล่ง  แห่งภักษา
มีส่ำสัตว์  พืชพันธุ์  ยันหยูกยา
คนกับป่า  ผูกพัน  เหมือนกันชน
ไม่วิตก  ขัดเคือง  เรื่องดินฟ้า
อยากทำนา  ทำไร่  ล้วนได้ผล
ฤดู  รู้กำหนด  หมดกังวล
ใช่วิกล  เบี่ยงเบน  เช่นยุคนี้
ห้วย,หนอง,คลอง  สะอาด  ปราศมลพิษ
ปลาสลิด  ช่อน,ดุก  มีทุกที่
กุ้ง,หอย,ปู  อุดม  สมบูรณ์ดี
สายนที  เลี้ยงหล่อ  ก่อชีวิน
มองท้องทุ่ง  ยามเย็น  เห็นกระสา
ฝูงอีกา  โพระดก  นกขมิ้น
เอี้ยง,ขุนทอง  สาลิกา  ลงหากิน
นกท้องถิ่น  อีกมาก  ที่จากจร
ปัจจุบัน  มิเป็น  เช่นนั้นแล้ว
ไร้วี่แวว  เกษมศานต์  เยี่ยงกาลก่อน
สรรพสัตว์  มากมาย  วายม้วยมรณ์
ความเดือดร้อน  ดาหน้า  มาก่อกวน
เพราะมนุษย์  โค่นไม้  ไม่เกรงโทษ
หิวประโยชน์  บีฑา  ป่าสงวน
ฝนฟ้าจึง  วิปริต  ผิดแปรปรวน
ทุกสิ่งล้วน  วอดวาย  ในมือคน”
เสียงปู่เฒ่า  สะเทือน  เหมือนปวดร้าว
แจงเรื่องราว  สาธก  ยกเหตุผล
จนตะวัน  ลับตา  ฟ้ามืดมน
จึงจำนน  หลับไป  ใต้ร่มไม้
กลุ่มเด็กน้อย  หันหน้า  ปรึกษากัน
รออีกวัน  รุ่งทิวา  จะมาใหม่
แม้ตะขิด-ตะขวง  คิดห่วงใย
แต่หักใจ  ใกล้ค่ำ  จำกลับ

แด่...และด้วยรัก

เปลวเพลิง


วันนี้นำบทกลอนเก่าๆของคุณจินตนา  ปิ่นเฉลียวมาฝากครับ  ให้ข้อคิดดีมากๆเลย  แล้วก็เพราะมากเช่นเดียวกันครับ
จึงฝากคำย้ำไว้ให้เตือนจิต
เพื่อนเคยมีใจคิดสักนิดไหม
ชีพเกี่ยวเส้นเป็นข่ายทอสายใจ
สอดสายใยร้อยผสมสังคมคน
ด้วยสายจิตพิศวาสวิลาศนี้
ถักชีวีเป้นข่ายรายทั่วหน
ข่ายใจจักถักจนแกร่งด้วยแรงชน
แต่จะป่นถ้าแยก...แตกสามัคคี
เรามีรัก  ภักดิ์  อภัย  เป็นใยเหนียว
พันเป็นเกลียวก่อกมลจนสุขศรี
ตราบความรัก  ภักดิ์  หวัง  เรายังมี
สังคมชีวิตไม่ประลัยลาญ
แต่ถ้าแม้นมนุษย์ชาติที่กาจกล้า
มุ่งมาฆ่ากันก็เห็นเป็นวิตถาร
เหมือนแหกข่ายสายรักให้หักราน
ซึ่งเหมือนการฆ่าตัวของตัวเอง
นานเท่าใด...ตราบใยรักถักข่ายชีพ
เหนียวจนบีบคั้นปรามทรามข่มเหง
นานเท่านั้น...โลกสุขสันต์สิ้นหวั่งเกรง
เพราะละเลงด้วยรักไม่ใช่เลือดคน
หน้า / 16  
ทั้งหมด 262 กลอน