กลอนอกหัก รักหวานซึ้ง

โบยบินเถิดหัวใจ สู่อิสระที่พึงมี

ร้อยฝัน


จะกี่คืนกี่วันที่ผันผ่าน
จะยาวนานเท่าใดหนอใจเอ๋ย
จะก้าวผ่านรานร้าวราวคุ้นเคย
จึงชดเชยด้วยน้ำตามารดริน
จะมีไหมมือแกร่งอันอบอุ่น
ช่วยเจือจุนบรรเทาเป่าทุกข์สิ้น
ฤาจะปล่อยเวลาให้โบยบิน
เพราะเจ้าชินกับวันวารที่ผ่านมา
เจ้าทนเหงากับความเงียบเปรียบฟ้ากว้าง
เจ้าเคว้งคว้างดุจดาวน้อยลอยเวหา
เจ้าริบหรี่มิอาจเปรียบเทียบจันทรา
ลอยเด่นฟ้าในคืนค่ำมาย้ำเตือน
อยากหลุดพ้นวงจรแห่งวิถี
ที่เจ้ามีน้ำตามาเป็นเพื่อน
ทิ้งเบื้องหลังที่ฝังใจให้ลบเลือน
ยามทุกข์เยือนเจ้าจักยิ้มด้วยอิ่มใจ
โบยบินเถิดหัวใจสู่อิสระ
ไปพบปะ ความจริง สู่สิ่งใหม่
บนเส้นทาง เส้นนั้น อันยาวไกล
ออกเดินไป สู่อิสระที่พึงมี

คำพ้อของเจ้าพิมฯ

พลายแก้ว เมืองกาญจน์


วสันต์โรย ละออง ใสผ่องแผ้ว
หวนคิดถึง พลายแก้ว แล้วสิหนอ
หลายผลงาน สลัก ร่วมถักทอ
จนเกิดก่อ ไมตรี ดีต่อกัน
ยังจดจำ คำวอน ครั้งก่อนเก่า
ทั้งสองเรา เคียงข้าง ร่วมสร้างสรร
แม้จะผ่าน ปีเดือน เคลื่อนคล้อยวัน
จึงคงมั่น สัญญา ว่าห่วงใย
หลังฝนซา ฟ้าสวย ด้วยสายรุ้ง
เธอคงมุ่ง ทำงาน ทั้งหว่านไถ
อย่าท้อถอย หวาดหวั่น นะขวัญใจ
ดวงฤทัย พิมฯเจ้า เฝ้ากังวล
เพราะภาระ หน้าที่ เรามีอยู่
เธอคงรู้ ใช่ไหม ในเหตุผล
แม้หากมี บุญทาน บันดาลดล
เราคงพ้น วิบากกรรม ที่ทำมา
พิมฯจะเป็น กำลังใจ ให้เสมอ
ขอเพียงเธอ คนดี ไม่หนีหน้า
มิทอดทิ้ง เหินห่าง แรมร้างลา
แม้ไกลตา หัวใจ เราใกล้เคียง
สายฝนพรำ ผสม ลมพลิ้วผ่าน
ร่ายบทกานท์ ว่าห่วงแสน แทนน้ำเสียง
หริ่งเรไร ขานรับ สรรพสำเนียง
ให้รู้เพียง พิมฯพ้อ ถึงพ่อพลายฯ
พิมพิลาไลย
สุพรรณบุรีฟังคำพ้อ ของพิมฯ แล้วยิ้มรื่น
ช่างสดชื่น ฤดี ตามที่หมาย
ว่าสัญญา ครั้งก่อน ไม่คลอนคลาย
มิเบื่อหน่าย สิ้นหวัง กำลังใจเคยออดอ้อน ก่อนเก่า เราจำมั่น
ค่ำคืนนั้น นั่งคู่ ดูฟ้าใส
แลดวงเดือน เคียงดาว พราววิไล
ความห่วงใย ให้กัน แต่นั้นมาจากสุพรรณ กลับกาญจน์ สุดรานร้าว
ช่างเหน็บหนาว เพราะใจ นั้นใฝ่หา
เหมันต์พ้น ฝนพรำ ฉ่ำไร่นา
จึงจำพราก จากลา เจ้าหน้ามล
ตระเตรียมงาน หว่านไถ ทำไร่สวน
ดินต้องพรวน พลิกผืน ฟื้นอีกหน
สิ่งขาดตก บกพร่อง ต้องคอยยล
ให้ทันฝน เมื่อวัน วสันต์เยือนกำลังใจ ให้มา ล้ำค่านัก
แจ้งประจักษ์ แ

วัฏสงสารตำนานรัก

ไหมแก้วสีฟ้าคราม


เพียงภพผ่าน กาลล่วง ดวงดาวดับ
เดือนเลื่อนลับ ฟากฟ้า อำลาสรวง
ลมพรมไหว คลายเหงา คืนเศร้าทรวง
ใจสองดวง คล้องบ่วง ทวงสัญญา
... นับกัปป์กัลป์ ฉันรักเธอ เสมอมั่น
กรรมแปรผัน เปลี่ยนไป อาลัยหา
ยังคิดถึง ความหลัง หลั่งน้ำตา
จำฟันฝ่า รอคอย ปลดปล่อยทัณฑ์
เงาจันทร์ตรม ขมขื่น ทุกคืนค่ำ
เกินเอ่ยร่ำ คำรัก ถักทอฝัน
แม้หนทาง ถากถาง ขวากหนามพลัน
ยังเพียรบั่น บ่มแผล รักแท้จริง
ลมหายใจ เดียวดาย ไม่คลายรัก
ตราบนานหนัก ห่างหาย อุ่นกายผิง
แม้เหน็บหนาว ร้าวใจ ไร้แอบอิง
แต่ทุกสิ่ง อาทร เธออ่อนโยน
เมื่อดอกรัก ผลิบาน ใจสานต่อ
กับการรอ ต้นรัก ก่อนหักโค่น
จักคลี่บาน เปล่งประกาย ลุกฉายโชน
กว่าไกลโพ้น สัมปรายภพ บรรจบกัน
ดาวลับฟ้า ลาจันทร์ ตะวันฉาย
รักมากมาย โอบอุ้ม กุมมือฉัน
ใจสองดวง ทรวงอุ่น กรุ่นสัมพันธ์
ไม่หวาดหวั่น นานคอย รอยยิ้มรอ
...............................................................
ที่มา......เพลง Myth...Endless Love
โดย  Jakie Chan และ Kim Hee Seon
.
ปลดปล่อยฉันจากการรอคอยอันลึกลับ
ดวงดาวร่วงลงจากฟากฟ้า สายลมพัดโชย
ในที่สุด ฉันก็ได้โอบเธอไว้ในอ้อมกอด
ใจสองดวงเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน
ได้โปรดเชื่อว่าหัวใจฉันไม่เคยเปลี่ยนแปลง
รอคอยมากว่าพันปี
ฉันให้คำสัญญากับเธอ
ไม่ว่าต้องผ่านความขมขื่นกี่ครั้ง ฉันไม่เคยลืมเธอ
โปรดจงหลับตาและกุมมือฉันไว้
หวนคำนึงถึงความหลัง เมื่อครั้งเรามีกัน
เรารักกันมากเกินไป
น่า

สิ้นน้ำจิตเหมือนเผาหลอกยอกหทัย สิ้นน้ำใจครั้งนี้หรือ ..คือเผาจริง

คืนแรมสามค่ำหน้าร้อน


ต่อกลอนไปมา จาก กลอน ทะเลใจ ของคุณ din
รู้จัดแจ้งแจ่มชัดถนัดแจ้ง
แล้วสิ้นแรงสิ้นไร้สิ้นไฟฝัน
แค่เศษแสงวิบๆยังริบกัน
ทิ้งให้ฉันมืดหม่นอยู่คนเดียว
แลมองไปข้างหน้าน้ำตาหลั่ง
มองข้างหลังก็หมดไร้ใครแลเหลียว
ยามเส้นใยสายสวาทมาขาดเกลียว
ใจเปล่าเปลี่ยวก็หมดไร้ใครดูแล
ยิ่งตอกย้ำกระหน่ำย้อนสอนใจตน
ที่ทุกข์ทนหม่นไหม้ไร้ทางแก้
ก็เพราะมัวแต่อิดเอื้อนเหมือนเชือนแช
จึงหมดแม้คนสงสาร เขาผ่านไป
เคยสงสาร ..นานเกินไปไม่สงสาร
คงรำคาญเรามากไม่อยากใกล้
สิ้นน้ำจิตเหมือนเผาหลอกยอกหทัย
สิ้นน้ำใจครั้งนี้หรือ ..คือเผาจริง

ทะเลใจ

din


เธอเป็นซากซากหนึ่งซึ่งเดินได้
มีหัวใจจมปลักกับรักขม
ยอมให้ความหม่นหมองครองอารมณ์
อยู่กับปมชีวิตที่บิดเบือน
จะรักเก่ารักใหม่เธอไม่รู้
เพราะจมอยู่กับฝันอันลอยเลื่อน
คืนวันผันผ่านคล้อยเป็นร้อยเดือน
ยังขาดเพื่อนขาดมิตรคู่ชิดใจ
หากทะเลน้ำตามันว้าเหว่
จะร่อนเร่ชีวิตทิศทางไหน
ยอมให้รักร้าวรานประจานใจ
ซมอยู่ในช่องว่างที่กว้างเกิน
เห็นเธอหม่นก่นเศร้าฉันเฝ้าคิด
ดวงชีวิต...เวียนวก...ระหกระเหิน
ฉันอยากฉุดเธอลากกระชากเดิน
เธอกลับเมินเหินห่างก่อนร้างไป
เพราะช่องว่างกว้างไกลไร้ขอบเขต
คือมูลเหตุทุกข์ตรมระทมไหม้
ช่องที่ว่าง...กั้นกลาง...หว่างสองใจ
แยกเราให้เหินห่างอย่างที่เป็น
เมื่อทะเลน้ำตามากางกั้น
หวิวหวาดหวั่นร้างราอย่างที่เห็น
ทั้งหนาวเหน็บเจ็บแปลบแสบลำเค็ญ
ไร้ประเด็นเว้นว่างเหมือนอย่างเคย
หากรักกันไม่ได้ไม่ต้องรัก
จำต้องหักใจเดินเหมือนเมินเฉย
เสียเวลาปลอบร่ำพร่ำภิเปรย
แล้วก็เลยจากกันนิรันดร์กาล

ก็แค่คนไม่รักกัน

ทิพย์โนราห์ พันดาว


ไปเถอะ..ถ้าเธออยากไป
ไปเริ่มต้นใหม่..กับใครคนนั้น
ฉัน มันก็แค่คนไม่รักกัน
จะดื้อดึงดัน ทนอยู่ทำไม
ตลอดเวลาที่เราคบกัน
อาจมึบ้าง ที่ฉันทำเธออ่อนไหว
แต่ก็แค่ กลลวงในหัวใจ
ที่เธอเก็บเอาไว้ ไม่แสดงออกมา
มาวันนี้ ความจริงปรากฎ
เธอจึงสบถ ถ้อยคำหยาบช้า
ใส่หน้าฉันทั้งที่ไม่เคยเลยสักครา
นี่มันมายา หรือความเป็นจริง
ไปเถอะ ถ้าเธออยากไป
ไปอยู่กับใครที่เธอถูกใจทุกสิ่ง
ไม่ต้องสนหรอกว่าใครมันรักจริง
ก็แค่คนถูกทิ้งที่เธอไม่รักกัน
ทิพย์โนราห์ พันดาว

คนใจล้าพาใจไร้หาใจรัก ยากยิ่งนักรักยามยากจะฝากฝัง

คืนแรมสามค่ำหน้าร้อน


ช่องว่างนี้ที่ในใจไม่ใช่ว่าง
แม้จะกว้างแต่เต็มตันความหวั่นไหว
มีใจที่แปดเปื้อนเหมือนไร้ใจ
น้ำตาไหลไม่อาจล้างให้จางคลาย
หลั่งน้ำตาแสนล้านหยดรดมาล้าง
ไม่เบาบางจางลงเลย ไม่เคยหาย
คงต้องครองใจหม่นๆจนวางวาย
ตราบจนตายไม่หายเศร้าไม่เบาลง
เมื่อใจรัก รักทั้งใจไม่หวงห้าม
ไม่ทวงถาม ยอมตามความประสงค์
หากมุ่งร้ายหมายขวัญ ฉันปลิดปลง
ก็ยังคงเป็นผีเศร้าที่เฝ้าคอย
เป็นวิญญาณที่ยังรอขอความรัก
แม้เหนื่อยนัก รักไม่ลดหรือถดถอย
ล่องลอยเร่เที่ยวท่องยังล่องลอย
หรือจะปล่อยลอยแพ แล้วแต่เธอ
เพราะว่ารักจริงแท้ แล้วแต่ฉัน
ยังมุ่งมั่นผูกสมัครรักเสมอ
เจ็บมานี้กี่เจ็บใจที่ได้เจอ
ยังเสนอให้ใจอยู่ รู้หรือยัง
คนใจล้าพาใจไร้หาใจรัก
ยากยิ่งนักรักยามยากจะฝากฝัง
เตือนใจอยู่ตลอดมา ..ถ้ามันฟัง
คงไม่ต้องมานั่งหลั่งน้ำตา

แม้สิ้นหวัง..ก็ยังรอ

แกงเขียวหวาน


ไทน์เลนวา...ครั้งหนึ่งซึ่งใจหวัง
ซึ้งคำแผ่วเอ่ยฟังรักคำหนึ่ง
หนึ่งคำรักฟังเอ่ยแผ่วคำซึ้ง
หวังใจซึ่งหนึ่งครั้ง...วาเลนไทน์
รอเฝ้ารอ...ให้เอ่ยเผยบอกย้ำ
ใจชอกช้ำวานวันครั้งหมองไหม้
หมองไหม้ครั้งวันวานช้ำชอกใจ
ย้ำบอกเผยเอ่ยให้...รอเฝ้ารอ
คอยเฝ้าคอย..ขอวอนเอ่ยคำขาน
ทอถักฝันวันวานพลันสานต่อ
ต่อสานพลันวานวันฝันถักทอ
ขานคำเอ่ยวอนขอ...คอยเฝ้าคอย
วันวานรัก...ลอยเลือนเหมือนสิ้นค่า
น้อยวาสนาสูญรักร่นถดถอย
ถดถอยร่นรักสูญวาสนาน้อย
ค่าสิ้นเหมือนเลือนลอย...รักวานวัน
ไทน์เลนวา...ฝันสร้างทางเดินรัก
ปันเยื่อใยทอถักรักคงมั่น
มั่นคงรักถักทอใยเยื่อปัน
รักเดินทางสร้างฝัน...วาเลนไทน์

เหงาใจ วัน “วาเลนไทน์”

คนบางบอน


อยากมอบดอก กุหลาบให้ ใครคนหนึ่ง
คนที่เรา แอบซึ้ง รำพึงหา
หลายคราวที่ ได้พบ ได้สบตา
ยังมิกล้า จะเอื้อนเอ่ย  เผยความนัย
แอบหวังว่า วาเลนไทน์ ในปีนี้
ดอกไม้แห่ง ไมตรี คงมีให้
คนที่เรา แอบปลื้ม จนลืมใคร
จะปันใจ มาบ้าง อย่างยินดี
ถ้าบอกรัก เธอได้ จะไม่ท้อ
นี่ต้องรอ ยั้งใจ กลัวหน่ายหนี
คนเดียวดาย เหว่ว้า มาหลายปี
คงไม่มี วาสนา ตีตราจอง
ดอกกุหลาบ ในมือ ที่ถืออยู่
จึงไม่รู้ จะให้ใคร ใจหม่นหมอง
วาเลนไทน์ ผ่านผัน ตามครรลอง
คนไร้คน เหลียวมอง หมองหัวใจฯ
สมยศ  เปียสนิท

วาเลนไทน์ไม่มีใคร

กีตาร์เก่า


วาเลนไทน์ ปีนี้ คงเหี่ยวเฉา
เพราะว่าเรา ตอนนี้ ไม่มีแฟน
ทั้งเพื่อนพี่ ญาติเรา เสียใจแทน
ไม่มีแฟน ให้ดอกไม้ กันและกัน

แพ้ใจเธอ

คนกรุงศรี


ฟังเสียงขลุ่ย โหยหา พาใจหวน
จึงรัญจวน รักจาง อย่างใจหาย
รู้ว่าเจ็บ เหน็บร้าว หนาวใจกาย
แต่ก็สาย แล้วหนอ ท้อใจเกิน
คำสัญญา ยังอยู่ คู่ใจพี่
ทุกครั้งที่ มอบให้ ก็ใจเขิน
มาวันนี้ เหตุใด ดวงใจเมิน
ต้องเผชิญ ความหม่น จนใจตรม
อยากบอกว่า ยามนี้ มีใจภักดิ์
เกรงเจ็บหนัก หมองไหม้ จนใจขม
กลัวจะจาก พรากไป จนใจซม
ทุกข์ระทม จริงแท้ แพ้ใจเธอ
พอดวงจิต คิดไป พาใจหน่าย
ยังเสียดาย ตัวที่ มีใจเผลอ
ต้องผิดหวัง เพราะเขลา เราใจเบลอ
จึงมาเจอ คนซื่อ หรือใจเก
บางครั้งที่ คิดถึง จึงใจหม่น
เจ็บเสียจน หม่นไหม้ ดวงใจเขว
เพราะยังจำ สัญญา พาใจเซ
เพราะรวนเร หรือไม่ ดวงใจนี้แว่วเสียงขลุ่ย อีกคราว ร้าวใจหวั่น
อยากลืมวัน เคยรัก หักใจหนี
ทนระทม ตรมเศร้า เข้าใจดี
ด้วยมิมี คนใด รู้ใจเรา

อธิฐาน

คนกรุงศรี


อธิษฐาน
เพราะว่าฝัน นั้นไกลลิบ เกินหยิบจับ
เคยยอมรับ เราคง ต้องปลงตก
กลัวจะหมอง หม่นไหม้ ใจช้ำฟก
จึงเก็บหมก เอาไว้ ในส่วนลึก
รักมิได้ ใสสว่าง ดั่งเราคิด
มันมืดมิด ร้าวรอน ดั่งตอนดึก
ทนเงียบงำ อำไว้ ด้วยใจนึก
หากฝนฝึก คงหาย คลายความทุกข์
มีเพียงรัก มอบให้ ไว้ทั้งหมด
กะกำหนด ชีวา คงผาสุข
ตั้งนิยาม ความฝัน ที่ทันยุค
คอยปลอบปลุก ถ้าพร้อม ค่อยยอมรับ
แต่กำแพง แกร่งกั้น คือพันธะ
เป็นภาระ เนิ่นนาน ชั่วกาลกัป
สร้างความดี มีมา คณานับ
กลัวตกอับ หม่นไหม้ ไร้คนคบ
รักแล้วมี ทุกข์กัน ทั้งนั้นแหละ
หากแยกแยะ มิทัน พลันสิ้นจบ
หลากหลายเรื่อง รุมเร้า เข้าสมทบ
แม้สู้รบ อย่างไร ไม่ชนะ
รักฉันมี แต่ให้ ได้ปรากฏ
วาดภาพพจน์ ความคิด อิสระ
อธิษฐาน ก่อนนอน วอนคุณพระ
หวังพบปะ ชาติหน้า อนาคต
คนกรุงศรี ฯ
กลุ่มวรรณกวีศรีอยุธยา

กุหลาบวาเลนไทน์

สุนทรวิทย์


กุหลาบงาม  ช่อนี้  พี่เลือกสรร
มอบกำนัล  แด่เธอ  ผู้เลอโฉม
พร้อมคำรัก  รจนา  มาประโลม
เพื่อเหนี่ยวโน้ม  เตือนย้ำ  ผูกน้ำใจ
ดอกสีแดง  เปียกชุ่ม  แทนจุมพิต
แนบสนิท  นิรันดร์  มิหวั่นไหว
ดอกสีเหลือง  เรืองรอง  ผ่องอำไพ
ต่างสายใย  เสน่หา  ทุกนาที
ดอกสีขาว  พราวลออ  บริสุทธิ์
คือมิหยุด  ปรารถนา  มารศรี
ยิ่งนานวัน  ยิ่งรัก  ยิ่งภักดี
ทั้งชาตินี้  ชาติไหน  ใจมั่นคง
ดอกชมพู  แรกแย้ม  แซมอ่อนหวาน
เปรียบดวงมาน  ฉันนี้  ที่ลุ่มหลง
ด้วยรักแท้  จำเพาะ  มุ่งเจาะจง
จักดำรง  ทรงอเนก  เอกภักดิ์
หลอมกายใจ  ไว้ใน  ดอกไม้แล้ว
หวังน้องแก้ว  พธู  รู้ประจักษ์
ว่าชายหนึ่ง  ภาคภูมิ  เฝ้าฟูมฟัก
มามอบรัก  ต่อหน้า  วาเลนไทน์

เพียงฝัน

คนกรุงศรี


หรือผูกพัน กันมา เมื่อคราก่อน
จึงอาทร เธออยู่ มิรู้หาย
ถึงแรมร้าง ห่างหนอ ก็เพียงกาย
จุดมุ่งหมาย มอบหวัง กำลังใจหลายสิ่งอย่าง ขวางกั้น มันจำกัด
จะขืนขัด แหวกแนว ณ.แถวไหน
อยากแอบอิง ยิ่งต่าง ห่างออกไป
ก็สุดไขว่ เอื้อมคว้า เอามาเคียงเราก็รู้ ว่าใจ นั้นใกล้ชิด
คงมีสิทธิ์ ฝันใฝ่ ใช่ว่าเสี่ยง
แต่ตัวตน ต้องหมอง เลิกมองเมียง
จริงก็เพียง ความฝัน อันอำพรางใจอยากจะ เอื้อมคว้า มาถนอม
แล้วฤๅพร้อม ทำได้ สุดไกลห่าง
อนาคต มองเหมือน มันเลือนลาง
คิดแล้วช่าง ปวดเจ็บ จำเก็บทนสิ่งอยู่ใน จินต ใครจะห้าม
เป็นนิยาม ความจริง ยิ่งเหตุผล
กับความฝัน ที่ใจ ใคร่เยี่ยมยล
ไร้ตัวตน แต่ว่า ยังตราตรึงเราพอใจ แม้เป็น เช่นเพียงฝัน
แอบสุขสันต์ เมื่อจิต หวนคิดถึง
จะอยู่ใกล้ ไกลห่าง ต่างคะนึง
สักครั้งหนึ่ง ขอฝัน เท่านั้นพอ

ที่เหินห่างทางใจใช่อยากห่าง ช่องที่ว่างกว้างเกินไปแสนไกลกว้าง

คืนแรมสามค่ำหน้าร้อน


ขนาดนางเอกเขางอนแล้ว อีตานี่ก็ยังตัดพ้อไม่เลิกรา.. อิ อิ..
ที่เหินห่างทางใจใช่อยากห่าง
ช่องที่ว่างกว้างเกินไปแสนไกลกว้าง
มันเต็มตันด้วยน้ำตามากั้นกลาง
ในระหว่าง ที่ว่างของสองหัวใจ
เมื่อทะเลน้ำตามากั้นขวาง
คงเคว้งคว้างร้างทุรนสุดทนไหว
แลไม่เห็น เร้นหายละลายไป
ฝั่งอยู่ไหน ยังใฝ่ฝันทุกวันวาร
เหนื่อยหนักหนาสาหัสนักรักจนเหนื่อย
พลาดรักเรื่อยหลั่งน้ำตามหาศาล
เป็นน้ำตาซึ่งไหวหวาม ความร้าวราน
นานกว่านานจนหมดหวังฝั่งใดๆ
จะรักเก่าหรือรักใหม่ไม่อาจรู้
ยังสำลักน้ำตาอยู่ เธอรู้ไหม
ภายนอกอาจดูเห็นเป็นคนไป
ดูภายในจะเห็นว่า สิ้นค่าคน
เป็นเพียงซากซากหนึ่งซึ่งเดินได้
สิ้นความหมายผูกสมัครสิ้นมรรคผล
เมื่อรักราญประหารใจให้อับจน
ใจพิกลปนพิการมันด้านชา
ในทะเลน้ำตามันว้าเหว่
สุดคะเนเลิกใฝ่ฝันถึงวันหน้า
แม้มีมือที่สงสารประทานมา
ใจยังหวาดกลัวว่าจะฆ่าแกง
หากมีใจเสนอให้ด้วยใจดี
ใจดวงนี้ยังกลัวว่ามากลั่นแกล้ง
หากมีรักสวยล้ำมาสำแดง
ยังคลางแคลงว่าสวมคราบภาพลวงตา
..จะมีใครรักลงปลงใจรัก
ใครจะภักดิ์รักหัวใจที่ไร้ค่า
มีก็แต่จะตอกตำย้ำตีตรา
ย้ำชัดว่าเกิดมาแพ้อย่างแท้จริง..

ช่องว่างระหว่างใจ

din


ความเหินห่างทางใจฉันได้รับ
ทวีทับดวงกมลจนเจียนคลั่ง
เมื่อความรักภักดีไม่จีรัง
ก็เกินจะฉุดรั้งเพื่อยั้งใคร
เธอวางใจเอาไว้ในทึ่ว่าง
แต่หัวใจ....เธอไม่ว่าง...งั้นใช่ไหม?
เธอเจ็บปวดโทรมทรุดสุดบึ้งใจ
จะเยียวยาอย่างไรให้ผ่อนคลาย
เธอมัวแต่มุ่งหวังรักครั้งเก่า
ทั้งที่เขาเมินมองมิปองหมาย
ชีวิตเธอชุลมุนดูวุ่นวาย
อยู่หรือตาย...สุขหรือเศร้า...จึงเท่ากัน
เธอเคยไหม...ที่จะลอง...ตรองดูบ้าง
ใครที่หวังเคียงร่างอยู่ข้างขวัญ
เที่ยวมองหาคนใจดีทุกวี่วัน
แต่มองข้ามฉันไปเหมือนไม่แคร์
เธอพาใจพักร้อนผ่อนใจพัก
ไม่ตระหนักรักนั้นมันมีแผล
จึงร้าวรวดปวดแปลบแสบดวงแด
มีก็แต่ความเหงาเศร้าอุรา
อาการเธอเยียวยารักษาได้
ถ้าหากใจพรักพร้อมยอมรักษา
แต่กลับปล่อยน้ำใสไหลจากตา
แล้วพ้อว่า...ขอชอกช้ำ...เพียงลำพัง
คนที่เจ็บกว่าเจ็บก็ใครเล่า
คนหม่นเศร้าร้าวรอนทอนความหลัง
คนถูกทุกข์รุกโหมโถมประดัง
คนเจียนคลั่ง...คนนั้น...ฉันนั่นไง
เมื่อช่องว่างมองเห็นเป็นช่องว่าง
หากมองผ่านเสียบ้างจะได้ไหม?
ถ้าคำตอบ...คือ"ไม่ได้"...ไม่เป็นไร
พร้อมแล้วจะตัดใจไปจากกัน

คงถึงที่ เกินรักษาเยียวยาได้ มันคงสายเกินไปนักจะรักษา

คืนแรมสามค่ำหน้าร้อน


คุณ din เขาเข้ามาปลอบ ตอบเป็นกลอน
ถ้าตอบ OK เดี๋ยวกลอนจะจบไว ขอดิ้นหนีไปเรื่อยๆ จะดีก่า..
มาดูกันว่า.. เรื่องราวจะเป็นเช่นไร
เผื่อเขาจะงอนมั่ง จะได้ตามไปง้ออออ..
พาหัวใจเปล่าเปลี่ยวไปเที่ยวเล่น
ช่างลำเค็ญเช่นรำคาญนานหนักหนา
อยู่คนเดี่ยวเปลี่ยวมานานราญอุรา
คิดไขว่คว้า จะหาใครที่ใจดี
เคยอยากได้คนใจดีเป็นที่รัก
หวั่นยิ่งนัก ยังไหวหวั่นทุกวันวี่
เมื่อไม่มีความรักมาสักที
ก็หน่ายที่จะรอรัก ต้องหักใจ
จึงพาใจไปพักร้อนผ่อนใจพัก
ไกลจากรักพักเพื่อขอรอวันใกล้
หากได้พบประสบหน้าเพลาใด
จะถามทวงดวงหทัยไม่รั้งรอ
ว่าเห็นไหมในแววตาที่หารัก
น้อยใจนัก มีรักให้เราไหมหนอ
เพียงใจผ่านราญล้ามานานพอ
คำตัดพ้อ ก็คือคำที่ย้ำใจ
ว่าใจนี้เป็นหัวใจไร้ราคา
รอจนล้า สุดที่ท้อรอไม่ไหว
ปวดใจป่นจนเจ็บแปลบแสบทรวงใน
ก็ปล่อยให้ใจมันช้ำจำต้องเป็น
ที่ถามว่าฉันรู้ไหม ใช่! ฉันรู้..
ที่ถามอยู่ว่าเห็นไหม ใช่! ฉันเห็น..
รู้แต่เรื่องความเศร้าเช้ายันเย็น
ไม่ว่างเว้น เห็นแต่เหงาเข้าเต็มตา
คงถึงที่ เกินรักษาเยียวยาได้
มันคงสายเกินไปนักจะรักษา
และน้ำตาที่เนืองนองสองนัยนา
มันบอกว่าขอชอกช้ำเพียงลำพัง
หน้า / 50  
ทั้งหมด 839 กลอน