ทำได้แค่แอบมอง ทำได้แค่แอบจ้องในใจ ทำไค้แค่แอบยิ้มให้เธออยู่ไกลๆ ทำได้แค่แอบชอบเธออยู่ในใจข้างเดียว ทำได้แค่แอบฝันว่าสักวันเธอคงหันมามองกัน ทำได้แค่แอบคิดถึงเธอไปวันๆเธอคงไม่รู้ ทำได้แค่ละเมอแอบพร่ำเพ้อวาเรารักกัน ทำได้แค่นั้นจริงๆคนอย่างฉัน ขอแค่มีสักวินาทีที่เธอแอบเผลอหันมามองกัน ใจฉันคงแอบขึ้นสวรรค์โดยไม่รู้ตัว
แม้วันนี้ไม่มีแล้วเธอที่คอยห่วงใย ทั้งหมดใจยังคงรักและยังคิดหว่งหา ยังนึกถึงวันเวลาเก่าๆที่เราร่วมผูกพัน นึกถึงวันเหล่านั้นใจฉันยังแอบมีน้ำตา อยากบอกให้เธอรู้หนักหนาว่าฉันเสียใจ หากย้อนเวลากลับไปจะทำดีกับเธอไปทุกวัน ไม่ทำตัวเหมือนก่อนนั้นที่ฉันเอาแต่ผลักใส เธอทำดีให้ก็คืนไปแค่ความเย็นชา ขอโทษวันนี้เธอคงไม่หันมารับฟ้ง แต่อยากบอกให้เธอรู้อีกสักครั้ง ว่าวันนี้ฉันคิดถึงเธอเหลือเกิน เหงาที่ต้องเดินเพียงลำพัง มันเหงาแทบขาดใจเมื่อมองไปทางใดไม่มีใคร ก่อนนั้นยังดีที่มีเธอเดินอยู่เคียงใก้ล ฉันไม่เคยหวาดหวั่นต่อสิ่งใดแม้ใจสั่น เพิ่งรู้ว่าเธอนั้นสำคัญก็ในวันที่ฉันไม่มีเธอ
ณ หุบเขาเนาพนานามผาตั้ง มีผัวเมียเคลียคลอครองสัจจัง เลี้ยงชีพยังอยู่ได้ด้วยไร่ดอย กระท่อมน้อยคอยบังทั้งลมฝน ถึงทุกข์จนขนก่อมิท้อถอย เมียรักผัวครัวหาดาไว้คอย เลี้ยงลูกน้อยเกิดสง่ากว่าหกปี ลูกเป็นชายสายโลหิตจิตสดซื่อ พ่อตั้งชื่อเชิดชาติฉลาดศรี อยู่บรรพตวิทยาศึกษาดี ปอหนึ่งสองสามสี่เรื่อยรี่มา เพื่อนร่วมชั้นชื่อจรรยามารยาท งามพิลาสนาฏเสน่ห์ดังเลขา อยู่หมู่บ้านร้อยสี่ศรีพนา เป็นธิดาเศรษฐีมีเงินทุน ทั้งสองเขียนเรียนแข่งสำแดงปราชญ์ ชิงฉลาดในชั้นครูท่านหนุน จบมัธบ่มวิชาเป็นนาบุญ จนเริ่มรุ่นหนุ่มสาวคราวเดียวกัน นายเชิดชาติถามว่าจรรยาเอ๋ย เราคุ้นเคยกันมาในป่าสวรรค์ จบมอสามตามยากต้องจากกัน เธอกับฉันจักไปที่ไหนดี จรรยาว่าจักไปในเมืองหลวง คนทั้งปวงต่างไปในกรุงศรี ศึกษาต่อพอจบเปรียญตรี ก็จะมีงานเงินเจริญคน เธอจักไปไหนหนอขอสัญญา จะห่วงหาฉันไหมในแห่งหน ความหลังครั้งร่วมเรียนเพียรฝึกตน จักลืมหล่นร้างไหมเมื่อไกลตา นายเชิดชาติตอบว่าข้าจนยาก จักลำบากกายใจที่ในป่า เธอจะไปได้ดีมีวิชา จงอุตส่าห์จนสำเร็จเป็นเพชรงาม อันความรักความหลังครั้งคราวนี้ ถึงชีวีสิ้นลาภต้องหาบหาม จักรักใคร่ใฝ่หาจรรยางาม ปองรักตามติดชิดเป็นนิจไป จรรยาฟังฝังจิตสนิทถนอม งามละม่อมชื่นสัตย์อัชฌาสัย อันสัจจาอาวรณ์ก่อนจากไกล เธออย่าได้คืนคลอนถ่ายถอนคำ ฉันเป็นหญิงจริงจิตไม่ปลิดเปลี่ยน ไม่วกเวียนหวั่นไหวให้ใครขำ ขอตั้งสัตย์หัทยารักษาธรรม
โอ พี่จ๋า..หันหน้ามาฟังน้อง ขออย่าหมองเมินหนีน้องนี้หา ฟังคำอ้อนวอนรสพจนา อย่าวางท่าหน้างอไม่พอใจ สำนึกผิดแล้วหนอขออย่าโกรธ ยอมรับโทษฐานผิดคิดแก้ไข โปรดฟังถ้อยแห่งคำย้ำความนัย มิหวังใช้เล่ห์กลให้หม่นตรม ด้วยใจด่วนหลงผิดไม่คิดถ้วน อีกใจล้วนด้วยหวงถ่วงให้ขม เป็นคนขลาดมาดหมายกลัวใครชม ปล่อยอารมณ์เป็นใหญ่ไม่ทันตรอง มิทันคิดใคร่ครวญให้ถ้วนถี่ กลับเดินหนีพร้อมจมระทมหมอง จึงตัดพ้อพี่ไปมิได้มอง ใจจึงครองแต่ทุกข์ถมตรมฤดี รอยความหวานแห่งรักจากอกอุ่น ยังละมุนกรุ่นหอมถนอมศรี ยามเจ็บไข้พี่หาหยูกยามี ทุกนาทีห่วงใยมิไกลกัน จึงวางพจน์แทนสารมาขานไข ขออย่าได้เคืองข้องโปรดครองขวัญ ขอไมตรีแห่งศรัทธามากำนัล สัญญามั่น...รักมอบ...ไว้ตอบแทน
ดั่งสัจจา กับสัญญา ผูกพัน ในวันนี้ เราจะมี รักมั่น ถึงวันไหน กำแพงกีด กั้นขวาง จนห่างไกล จึงหมองไหม้ เพราะต่าง อยู่ห่างกัน ต้องเจ็บอีก เพียงใด รู้ไหมหนอ จะทดท้อ เพียงใด รู้ไหมนั่น มิร้องขอ หัวใจ ใครแบ่งปัน แต่สุขสันต์ มีก็ พอแบ่งไป เส้นทางนี้ ที่ฝัน ในวันก่อน คงถึงตอน สิ้นฝัน ในวันใกล้ สิ่งสำคัญ แหนหวง เท่าดวงใจ รักที่ให้ สุดหวง เท่าดวงจินต์ รักที่เธอ มอบไว้ จะไม่สูญ คงเพิ่มพูน ห่วงไย จะไม่สิ้น ชั่วชีวิต ลับลา ตราบฟ้าดิน มอบชีวิน ดั่งสัจจา แห่งฟ้าเดิม รออรุณ อุ่นไอ คราใกล้รุ่ง ปลายโค้งคุ้ง ฟ้าใส ก็ใกล้เริ่ม ริ้วสุรีย์ ทอแสง คอยแต่งเติม ทิวาเพิ่ม เหลืองแดง คอยแต่งตาม ลมรวยริน โลมไล้ จนไหวหวั่น แว่วจำนรรจ์ ครั้งใด ชวนไหวหวาม ขอเพียงเธอ มีสุข ทุกนิยาม จบบทความ อาจเห็น เป็นนิยาย พิมพิลาไลย คำคนเดิม คำสัญญา แม่นมั่น ในวันก่อน เธออาทร กลัวจบ พบวันหน่าย เกรงถ้อยคำ วาจา มาเสื่อมคลาย หมดความหมาย ศรัทธา พาเสื่อมลง จะเนิ่นนาน ปานใด ไม่ลืมคิด เคยตั้งจิต บอกว่า อย่าลืมหลง เฝ้าปกปัก รักษ์ไว้ ให้มั่นคง ขอเธอจง เชื่อฉัน เถอะมั่นใจ หากชาตินี้ จะไม่ ได้พบเห็น ก็คงเป็น ชาติหน้า มาพบใหม่ ถึงอยู่ห่าง ต่างแคว้น ถิ่นแดนไกล ก็มิใช่ ต้องพราก จากแดนทอง วาดภาพฝัน กันไว้ ในคืนก่อน อาจสั่นคลอน ประสบ พบคืนหมอง แม้ทุกข์ตรม ขมขื่น ฝืนลำพอง ใจจึงต้อง เก็บงำ ตามลำพัง ในความฝัน ฉันคู่ อยู่เคียงข้าง ความอ้างว้าง ทิ
คุณคนดี ในวันนี้ที่หัวใจคุณเจ็บปวด แสนร้าวรวดเหน็บหนาวราวโดนฝน เหลียวทางใดก็ร้างไร้ใครสักคน จะก้าวพ้นกำแพงใจได้เข้ามา กำแพงใจในนั้นช่างเหน็บหนาว มืดมิดราวหลงทางอยู่กลางป่า คงเหลือเพียงแสงสุดท้ายได้นำพา เช็ดน้ำตา มาเรียนรู้ สู่ความจริง มือกุมมือเดินไปในโลกกว้าง ใจสองใจปล่อยวางไปทุกสิ่ง หลอมรักเดียวเพื่อหัวใจได้พักพิง กายซบอิงอุ่นไอ ยามใกล้กัน หากทำลายกำแพงใจให้หมดสิ้น คงกรุ่นกลิ่นความหวังที่ยังฝัน เราก้าวผ่านร้าวรานในวารวัน ด้วยรักมั่น คู่กัน นิรันดร
ใครคนหนึ่ง ซึ่งร้าง เธอห่างหาย มิกล้ำกราย เยี่ยมเยือน เหมือนเมื่อก่อน เราเฝ้าถาม ตามหา ด้วยอาทร รอเธอย้อน เยียนบ้าง สักครั้งครา เมื่อจากไกล ใจหาย มิวายคิด ว่าไร้สิทธิ์ แหนหวง หรือห่วงหา จึงกังวล หม่นไหม้ ในอุรา มากเกินกว่า ความจริง สิ่งที่ควร ความในใจ ไม่กล้า เอามาเผย ถ้าจะเอ่ย ออกไป คงไห้หวน เก็บงำไว้ จนใน ใจรัญจวน ทุกคำล้วน อยากบอก ออกจากใจ ส่งข่าวสาร ผ่านฟ้า หากว่ารู้ ว่ามีผู้ คอยจน ถึงหม่นไหม้ สัญญาเก่า เจ้าเหมือน ลืมเลือนไป ยกเลิกได้ ภายหน้า มิมาทวง แต่อยากบอก ตอกย้ำ ความรู้สึก ว่าส่วนลึก ในใจ ให้แสนห่วง หลากถ้อยคำ จำไว้ ใช่ลมลวง ฝันทั้งปวง ยังบอก ว่าหลอกตน รู้ว่าหวัง ลางเลือน ใจเตือนย้ำ พบชอกช้ำ จำรับ กับเหตุผล ถึงวันตรม ขมขื่น ฝืนใจทน ปลอบกมล จนกว่า มันชาชิน คนกรุงศรีฯ
บันดาลใจจากกลอนคุณ din ที่บอกว่า ไม่เหมือนเดิม พระเอกลิเก ขี้น้อยใจหรือจะง้อ เลยขอกระหน่ำซ้ำเข้าไปอีก.. 555 ตอนหลับตา หลับอย่างคนช่างฝัน ตื่นตาฉัน พลันกลับกลายคล้ายคนเศร้า รักในฝันลอยคว้างอย่างบางเบา ตื่นตาเรา น้ำใสๆไหลออกตา คนเหงาเดินเศร้าโศกในโลกเหงา เดินเหมือนเราก้าวย่างไปข้างหน้า ด้วยสองเท้าย่างย่ำไปในทุกครา แต่เหมือนว่าทุกก้าวย้ำย่ำบนใจ เพราะเดินไปในทางที่ร้างจาก แม้รักมากต้องพรากกันให้หวั่นไหว ต้องหักจิตบิดให้จบกลบเกลื่อนไป ต้องลืมใคร ด้วยใจจินต์ไม่สิ้นจำ เหมือนกับฝันทุกฝัน มีวันจบ แม้อยากพบ ก็ได้แต่แค่เพ้อพร่ำ กรีดเลือดใจจารึกผนึกคำ เอาความช้ำมาย้ำชัดให้ตัดใจ
วันจันทร์นี้ที่มาเช้าเพราะว่าเธอ ขอแค่เจอเธอในแถวสุขแล้วฉัน วันอังคารเธอเดินผ่านยิ้มให้กัน เรียนทั้งวันยิ้มทั้งวันฉันสุขใจ เที่ยงวันพุธทักกันหน้าโรงอาหาร เดินนานนานหน่อยเวลาอย่าไปไหน พฤหัสพอฉันรู้เธอชอบใคร เอ๊ะน้ำตามันไหลจากไหนกัน เช้าวันศุกร์ทุกสิ่งยิ่งเลวร้าย เธอบอกฉันเป็นพี่ชายได้ไหมฉัน ฉันรักเธอมาหลายปีมาหลายวัน แต่แค่นั้นแค่พี่ชายก็ได้เธอ
แดดระยิบ ลิบลิ่ว มองทิวทุ่ง ฝุ่นคละคลุ้ง ตะวัน นั้นแผดแสง สีเขียวสด ของกล้า กลับมาแดง บ้างกรอบแห้ง กอพับ ลงกับดิน ฝนทิ้งช่วง ห่างหาย หลายเดือนแล้ว มองเห็นแวว หม่นไหม้ ใจถวิล เหมือนปีก่อน ครั้งเก่า เราเคยชิน แต่มิสิ้น ความหวัง กำลังใจ จะถากทำ อีกที เมื่อมีฝน มิย่อย่น กับการ เรื่องหว่านไถ แต่ฤดี ที่ช้ำ ทำฉันใด คนอยู่ใน ดวงมาน ว่าขานมา เชื่อข่าวลือ ใส่ร้าย เขาป้ายสี บอกตัวพี่ เจ้าชู้ ดูกังขา คนยุแหย่ ไยยัง ฟังวาจา จึงถามหา สัจจะ อธิบาย สาวท้ายบ้าน นั้นเป็น เช่นพี่เพื่อน แม้เยี่ยมเยือน เหมือนญาติ ขาดความหมาย จะแต่งงาน เดือนยี่ ก่อนพี่ชาย เพราะพ่อพลาย หาสตังค์ ยังไม่พอ พิมฯนั้นกลัว แก้วผ่อง ช้ำหมองหม่น หรือเพราะคน เศรษฐี ที่รูปหล่อ แอบออดอ้อน วอนเว้า เฝ้าพะนอ จึงแสร้งพ้อ ต่อว่า เหมือนหาความ คนจริงใจ ไยถึง จึงอาภัพ เหมือนดั่งกับ ลุยดง พงขวากหนาม ถ้าพิมฯยัง ข้องใจ ให้ติดตาม อย่าวู่วาม เตือนใจ ให้ไตร่ตรอง
นึกภาพเก่ามากี่ครั้งยังรู้ว่า ที่ติดตาติดใจไม่ลืมหลง เพราะติดอยู่ที่ในใจลืมไม่ลง ภาพยังคงพิมพ์ประทับกับดวงใจ เห็นแต่ภาพดวงหน้า ตราตรึงจิต ปานจะปลิดรอนอารมณ์เกินข่มไหว ฝังใจไว้ลึกสุดห้วงของทรวงใน ฝังเอาไว้ในอาวรณ์อ้อนอารมณ์ ขมขื่นนักรักพาใจให้ขมขื่น ไม่เคยรื่นรมย์อะไรเมื่อใจขม ชืดจางร้างไร้ใครชื่นชม ร้างระทม เท่าไหร่ไม่เลิกรา คิดถึงมากจากทั้งใจ ไม่สิ้นสุด ไม่เคยหยุดความคิดถึงคนึงหา ห่างแสนห่างทางก็ไกลไปสุดตา สุดจะพาสองหัวใจไปใกล้กัน อยากใกล้เพียงยินเสียงใจเต้นในทรวง คงเหมือนล่วงลุถึงซึ่งสวรรค์ แต่หากเธอแล้งน้ำใจไม่แบ่งปัน วันทั้งวันคงได้แค่ท้อแท้ใจ รอ.. คำเดียว คำหนึ่งนั้นมันแสนหนัก รอ ความรักจะมาถึงซึ่งวันไหน รอ ด้วยหวังรั้งด้วยหวามถึงทรามวัย รอ กันไว้ไร้กังวล จะทนรอ..
เห็นดอกแก้ว ล่วงหล่น โคนต้นแก้ว คิดถึงเธอ อีกแล้ว แก้วอักษร สบายดี หรือไม่ ใจร้าวรอน ไม่มีหรือ บทกลอน อ้อนคนไกล พักผ่อนบ้าง หน้ามล มีคนห่วง อย่าปล่อยดวง ดอกแก้ว สิ้นแววใส ภาระนั้น มีอยู่ รู้แก่ใจ ปล่อยวางได้ ก็ปล่อยวาง บ้างคนดี หาความสุข ให้ตัวเอง กับเพลงฝัน หันหลังพิง เงาจันทร์ ขวัญอย่าหนี ลืมความทุกข์ โถมประดัง มาทั้งปี ร้อยวลี เยียวยา รักษาใจ บนลานฝัน วันนี้ ที่ยังว่าง เพื่อนร่วมทาง ล้วนมี ไมตรีให้ มาเถิดขวัญ อย่าแรมร้าง อย่าห่างไกล ทุกสายใย มิตรภาพ อาบอารมณ์ ชีวิตคน เรานั้น มันสั้นนัก ถ้าได้ทำ สิ่งที่รัก จักสุขสม อย่ายึดติด กับนิยาม ความตรอมตรม จงเพาะบ่ม กำลังใจ ให้แกร่งพอ ระเบียงใจ ใครคนหนึ่ง ซึ่งยังว่าง ยังเปิดทาง เอาไว้ ให้ติดต่อ ขวัญเอย ขวัญมา อย่ารีรอ มาถักทอ สายใย ไว้เคียงกันฯสมยศ เปียสนิท
ใจหงุดหงิด ผิดแผก แยกไม่ขาด ดูประหลาด รุ่มร้อน สุดอ่อนไหว เหมือนมีทุกข์ รุกเร้า เหงาฤทัย เจ็บป่วยไข้ ใดหนอ มิรอรีไปหาหมอ ขอยา รักษาด้วย ครับผมป่วย ช่วยไว้ ให้เต็มที่ หมอตรวจหา เหตุใด ก็ไม่มี แต่ฤดี ยังหม่น กังวลใจเชื่อหมอ กลับมาพัก มิยักหาย ยิ่งวุ่นวาย หงุดหงิด ผิดยกใหญ่ หรือสังขาร จะแย่ ด้วยแก่วัย เหตุไฉน นั่งขรึม ซึมในทรวงกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ถึงกับผอม ใครเห็นล้อม ร้องทัก ชักเป็นห่วง ถามพ่อมด หมอผี ดีไหมดวง บอกโชติช่วง สดใส แต่ใจตรมเพ่งพินิจ คิดตรอง มองสาเหตุ เฝ้าสังเกต สังกา หาซึ่งผล สมาธิ เสียไป ใจวกวน พบว่าคน หนึ่งมี ที่ทำเราเธอเด็ดดวง ใจเรา เอาไปแน่ เป็นสุขแท้ เมื่อพบกัน พลันหายเหงา มิพบเธอ หลายวัน มันซึมเซา อยากให้เขา รักษาใจ ...ใครช่วยทีคนกรุงศรี ฯ
เมื่อมีรัก รักก็พาให้ตาบอด เมื่อรักมอดหมดลงแน่จึงแลเห็น เห็นความหวังตกลงต่ำสุดลำเค็ญ ยังชัดเช่น แม้มองผ่านม่านน้ำตา เห็นแจ่มชัดถนัดใจไม่พร่าเลือน เห็นเราเหมือนเป็นหัวใจที่ไร้ค่า เห็นใจเจ้าชัดแล้วแก้วกานดา เห็นชัดว่าเนื้อเย็นไม่ เห็นใจ เป็นคนเศร้าก็จงเศร้าอย่าหวังสุข จงอมทุกข์อย่าหวังหวามความแจ่มใส อย่าได้หวังฝั่งฝันอันแสนไกล หวังแค่หยุดร้องไห้ ..ยังไกลเกิน เจียมใจไว้ในโลกหมองของคนหม่น จะอดทนในท่ามกลางความห่างเหิน เอาล้านรักมาหลอกล่อ ก็ขอเมิน แล้วก็เดินไปร้องไห้.. ไกลๆเธอ
๏ บรรจงร่างรอยรักผ่านอักษร จากอกอร เต็มตื้น...ใจชื่นฝัน แม้นกาลเวียนเปลี่ยนวิถีทุกวี่วัน แต่ใจนั้นรอพี่นี้คนเดียว ๏ ถนอมใจเช้าเย็นพี่เห็นอยู่ หวังเคียงคู่เป็นแฟนอย่างแน่นเหนียว ทุกอณูแห่งรักถักเป็นเกลียว ที่ยึดเหนี่ยวคล้องใจ..ไว้รอคอย ๏ แม้นหวานใดเยือนโสตมิโปรดดอก หัวใจบอกคอยรอมิท้อถอย ปรารถนาบรรจบเพียงพบรอย วันพี่คล้อยหวนคืน...มาชื่นทรวง ๏ วันเดือนปี...เคลื่อนไหวแต่ใจนี้ จำหลักลงคงที่คือห่วงหวง มิเคยเผลอปล่อยใจมอบใครควง เพราะในทรวง...ทุกพื้นที่..คือพี่ครอง ๏ ต่อวันท้อขอเพียงส่งเสียงถึง ทุกคำนึงพร้อมเสมอเสนอสนอง ใจดวงนี้จะคอยซับแลรับรอง สู่หอห้อง...แห่งเรา...ผ่อนร้าวรอน ๏ บรรจงร่างร้อยรักร่วมถักฝัน บนลานบรรณร้อยรักด้วยอักษร หวังเพียงร้อยแทนพจน์รสสุนทร จากอกอร...คงมั่น...ตราบวันวาย.. ครูพิม ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ ขอบคุณภาพสวย ๆ จาก Google
ปีก่อนนั้น นาล่ม ข้าวจมหาย ลอยตามสาย นที ที่ไหลเชี่ยว ระรอกคลื่น กลืนซัด ตระหวัดเกลียว ข้ามคืนเดียว เวิ้งว้าง อย่างทะเล กำลังใจ ให้มา อุตส่าห์สู้ เพื่อยอดชู้ ผู้นั้น มิหันเห พอน้ำลด หมดหมอง จ้องคะเน เหมือนซวนเซ แต่ยัง หวังฟื้นตัว ปีใหม่นี้ มีข่าว ข้าวมีค่า เราคิดว่า คงขาย ไปได้ทั่ว ฝรั่งแขก ตีรัน รบกันนัว หลงเมามัว อย่างไร ไม่สังวร แต่ช่างเขา เราหวัง สร้างฐานะ เพียงเพื่อจะ ร่วมเรียง คู่เคียงหมอน สาวสุพรรณ หวั่นไหม ใจอาทร เจ้าคงนอน หนาวเปลี่ยว อยู่เดียวดาย พ้นเก็บเกี่ยว เที่ยวนี้ หักหนี้สิน บอกยุพิน พี่หวัง ตั้งใจหมาย กำหนดงาน หมั้นที่ เดือนสี่ปลาย รอเจ้าพลายฯ ขายข้าว เอาซื้อทอง ได้แค่แหวน สามสลึง สร้อยหนึ่งบาท นึกอนาถ ในจิต คิดแล้วหมอง แม่พิมจ๋า อายไหม เมื่อใครมอง หรือว่าต้อง แหวนเพชร เม็ดโตงาม .. พลายแก้ว
คิดขึ้นมา คราใด ก็ใจหมอง ทอดตามอง ไม่ถึง ซึ่งจุดหมาย ความหงอยเหงา เข้าคลุม สุมใจกาย ทุกข์กล้ำกราย ย่างเข้า มาเร้ารุม อยากตัดใจ ไม่คิด ตั้งจิตมั่น สุดไหวหวั่น ฤทัย ดั่งไฟสุม ความว้าเหว่ เร่เลาะ เข้าเกาะกุม เงาตะคุ่ม อ้างว้าง ก็ย่างเยือน ไร้ข่าวคราว คนซึ่ง คะนึงหา หลายเวลา มีเงา เหงาเป็นเพื่อน สิ่งที่หวัง หายห่าง ดูลางเลือน นับวันเดือน เตือนใจ ไม่วู่วาม คงเรานั้น น้อยใน ใจนิดนิด รู้ไร้สิทธิ์ ห่วงหวง เฝ้าทวงถาม ถ้ากวนใจ แล้วหรือ อย่าถือความ จะอยู่ตาม ลำพัง ดังเคยมา เพียงอยากบอก ตอกย้ำ คำคิดถึง อีกครั้งหนึ่ง เพราะใจ นั้นใฝ่หา แม้มิว่าง ที่จะ ละเวลา ก็ไม่ว่า อย่าโกรธ โปรดอภัย คงมิจำ คำกล่าว เมื่อคราวนั้น สัญญากัน วันวาน เคยขานไข หากลืมเลือน ถ้อยคำ จะทำใจ มิมองใคร ไหม้หม่น ก็ทนเอา คนกรุงศรี ฯ