กลอนอกหัก รักหวานซึ้ง

วันนี้ฉันร้องไห้

weenie


ฉันกำลังอกหัก
เพราะเลือกที่จะรักผิดที่
ผิดเวลา ชั่วโมง นาที
สิ่งที่คิดตอนนี้ เราไม่น่าเจอกัน
อยากกลับไปเริ่มต้นใหม่
วันที่อะไรๆมันไม่ผกผัน
คุณอยู่ส่วนคุณ เราไม่ข้องแวะกัน
ไม่ต้องมาเชื่อมสัมพันธ์อันใด
คุณกำลังทำฉันเจ็บ
และฉันก็เลือกที่จะไม่ยอมเก็บอาการเอาไว้
โวยวายดื้อรั้นไม่ยอมให้คุณจากไป
คุณคงไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉันเป็น
เพียงอยากให้คุณอยู่ต่อ
อย่าทำให้ชีวิตฉันทดท้อกว่านี้จะได้ไหม
อย่าทำให้ฉันร้องไห้ในวันที่ไม่เหลือใคร
คุณเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ฉันคว้ามือ

วันที่สั่นไหว

weenie


ก็รู้ว่าไม่สมควร
ที่ใจตัวเองต้องมาเรรวนเช่นนี้
ไปแอบชอบคนที่เจ้าของเค้ามี
ไปแอบทำอะไรที่เหมือนมีใจ
ตัวเราเองก็รู้อยู่เต็มอก
ว่านรกมันร้อนรุ่มดั่งไฟเผา
เคยเรียนรู้มาแล้ว  ก็ไม่ใช่เบา
ยังอยากเอาตัวเราไปเล่นกับไฟ
เขาจะรู้บ้างหรือเปล่านะ
ว่าฉันก็ห้ามใจตัวเองแทบไม่ไหว
กับการไปแอบชอบของของใคร
มันเกิดจากหัวใจ ที่สมองไม่ได้สั่งการ
แต่เขาดันห้ามใจเก่งกว่า
เลยบอกกับฉันว่า หยุดก่อนดีไหม
ความสัมพันธ์นี้ มันผิดเกินไป
หยุดกันไว้ เพียงแค่มองตา
และแล้วหัวใจก็ร่วงหล่นอีกหน
เหมือนกระดาษถูก ขยำ ยับย่น ให้สั่นไหว
อาการแบบนี้ อกหัก อีกหรือไร
ทำไมหัวใจมันชาๆ

วสันต์ถวิล

แย้ม ไกลวันเกิน


ฉันยากไร้ อย่างนี้ ทีเดียวหรือ ?
ใช้หนังสือ,ท่อนแขน หนุนแทนหมอน ?
ผ้าถูพื้น ผืนยังใหม่ ใช้ห่มนอน ?
เธออาทร ถามฉัน ..วสันต์พรำ
มือละมุน อุ่นประคอง ทั้งสองแก้ม
หลับเถิดแย้ม ประเดี๋ยวคง ไข้ลงต่ำ
เธอห่วงใย ในแววตา กว่าถ้อยคำ
ฉันจดจำ แววนั้น ผ่านวันคืน
วสันต์นี้ ที่ฉันนอน มีหมอนแล้ว
แต่ยังแว่ว เสียงฝน ปนสะอื้น
สงสารหมอน อยู่บ้าง ในบางคืน
ต้องเปียกชื้น เปื้อนช้ำ ด้วยน้ำตา
.................
แรงกระเพื่อมมาจากเพลง"วสันต์ถวิล"  ฟังในคืนฝนพรำ

แบกน้ำหนักน้ำตาไว้ไม่ไหว

คืนแรมสามค่ำหน้าร้อน


คิดว่าใจเราเต็มที่ มีแรงนัก
แบกความรักเท่าไรไม่เคยหวั่น
แบกความรักหนักหนามานานวัน
วันนี่มันเกินจะรั้งประทังใจ
ใจวันนี้ แรงน้อยลดถอยนัก
แบกน้ำหนักน้ำตาไว้ไม่ไหว
ได้แต่ปล่อยให้พรูพรั่งหลั่งออกไป
แบกไม่ได้สิ้นแรงรัก   ..หนักน้ำตา

จันทร์สีหม่น

คนกรุงศรี


ชะแง้คอ รอคอย จันทร์ลอยเคลื่อน
หวังเป็นเพื่อน คราเรา ครั้งเศร้าหมอง
คนหนึ่งใคร เปลี่ยวเปล่า ที่เฝ้ามอง
รอแสงทอง ของเจ้า จนเหงาใจหมายฝากจันทร์ นำใจ ไปไกลลิบ
ช่วยกระซิบ ถามเขา ว่าเหงาไหม
บอกหน้ามล คนหนึ่ง ซึ่งอยู่ไกล
เป็นห่วงใย กับคะนึง คิดถึงจังนั่นจันทรา มาแล้ว เพื่อนแก้วเอ๋ย
หวังจะเชย แสงทอง ดั่งปองหวัง
แต่สีเจ้า กลับหม่น ปนเงาบัง
แม้เจ้ายัง  หม่นไหม้ เหมือนใจเราจันทร์เหมือนข้า ครานี้ ที่สุดฝืน
ต้องกล้ำกลืน อยู่กับ ความอับเฉา
หลบสักนิด เมฆา อย่างบังเงา
ให้จันทร์เจ้า สื่อถ้อย ข้าลอยลม
หวังอาศัย แสงจันทร์ อันสดใส
นำหัวใจ เรานี้ ที่ขื่นขม
ผ่านฟากฟ้า บอกเขา เจ้าเอวกลม
คนช้ำตรม ฝากใจ มาให้กัน
แต่จันทร์มี สีหม่น เหมือนคนนี้
ทั่วราตรี ดูเหงา เศร้าโศกศัลย์
แล้วจะได้ ใครหรือ สื่อสัมพันธ์
บอกเธอนั้น  ว่าข้า สุดอาดูร

พลายแก้วกลับมา

พลายแก้ว เมืองกาญจน์


กลับจากดง พงไพร ไกลเขตขันธ์
ที่ด้นดั้น ฟันฝ่า หามรรคผล
อยากสงบ หลบทุกข์ ที่รุกรน
เพราะสุดทน ขมขื่น จำฝืนใจสิ่งที่หวัง พลั้งพลาด มลาศสิ้น
วางชีวิน อนาคต ต้องสดใส
ด้วยมุ่งมั่น ปณิธาน มองการณ์ไกล
กับทรามวัย คนรัก จักมิคลายเหตุเธอลา พาให้ ใจหมองหม่น
เจ็บกมล เกินกว่า รักษาหาย
ลองหลบหลีก สังคมเมือง เรื่องวุ่นวาย
ขอท้าทาย เข้าป่า รักษามานเอาพฤกษ์ไพร ขุนเขา เข้ามาช่วย
สงบด้วย ธรรมะ มาประสาน
ธรรมชาติ สดใส ใจเบิกบาน
เวลาผ่าน หลายปี มีความจริงย้อนกลับมา นาไร่ เป็นไงหนอ
ไร้คนรอ ท้อทด สลดยิ่ง
เห็นนารก ไร่ร้าง น่าชังชิง
เพิงเคยพิง พักอาศัย ไร้คนแล
ใต้เงาแจ่ม แสงจันทร์ คืนวันนี้
กับใจที่ มุ่งหวัง อย่างแน่วแน่
เธอยังอยู่ ในใจ ไม่เปลี่ยนแปร
มีก็แต่ ที่เรา ยังเศร้าตรม
พลายแก้ว

รักเธอ...แต่ไม่กล้า

วายุ ชลธี


เมื่อเห็นเธอ      เดินมา        แขนขาสั่น
ใจก็หวั่น           เธอจะรู้        สักนิดไหม
ว่ามีคน              หนึ่งคนนี้    ที่ห่วงใย
ที่ได้หมอบ         หัวใจ          ไปทั้งดวง
ก็เพราะว่า         รักคำนี้        ที่มีอยู่
ได้หมอบให้       โฉมตรู        ไม่เคยหวง
คำว่ารัก             คำนี้            ไม่หรอกลวง
จะขอควง           แขนเธอ       เพียงผู้เดียว....

โง่เขลา

น้ำแข็งไส


ไม่ได้โกรธที่เธอไม่จริงจัง
แต่โกรธเธอที่คิด..ฉันโง่เขลา
พูดอะไรเชื่อฟัง..ดูงี่เง่า
หูเบาเชื่อคำเธอหลอกลวง
เธอก็โกหกตอแหลไปวันๆ
บอกว่ารักฉันอย่างงั้น อย่างงี้
ดอกทองเกินหน้าเกินตา..พ่อตัวดี
กำลังโกรธแบบนี้..ต้องตบด้วยส้นตรีน!

อยากเขียนกลอนรักบ้างอย่างคนอื่น แต่เกินฝืนเมื่อไร้ฝันอันเกินใฝ่

คืนแรมสามค่ำหน้าร้อน


..ใจเรา เศร้าเหมือนไม่ใช่ใจเรา
โอ้ใจเจ้าเคยสนไหมใครเจ้าของ
ครั้งใจเจ็บเก็บใจเคียงเพียงประคอง
แต่ความหมองคล้องจิตหมายคล้ายจองจำ
ความขมขื่นหมื่นแสน ไม่แม้นเหมือน
ยากกลบเกลื่อนความขมขื่นต้องกลืนกล้ำ
คงเป็นกรรมแน่แท้จึงแพ้กรรม
กลอนจึงช้ำ กรรมจึงซ้อนย้อนหัวใจ
อยากเขียนกลอนรักบ้างอย่างคนอื่น
แต่เกินฝืนเมื่อไร้ฝันอันเกินใฝ่
ใครไม่เคยคงไม่ซึ้งถึงใจใคร
ขอได้ไหมใครผูกรักสมัครเรา
จะเขียนกลอนรักให้.. ไม่หยุดเขียน
จะพากเพียรพร่ำพลอดให้ปลอดเหงา
จะตามติดชิดเธอเสมอเงา
และคอยเฝ้ารักเธอ ..เสมอตาย

เลิก

เปลวเพลิง


เมื่อเราเลิกรากันในวันนี้
อย่าได้มีพบกันใหม่ให้เสียหาย
ยอมฉันยอมถอนสลักรักคลอนคลาย
เธอสมหมายมานภิรมย์-ฉันตรมจินต์เยื่อใยรักเรานั้นขาดกันแล้ว
ขออย่าแคล้วมารวมอยู่ร่วมถิ่น
ก็เขาดั่งดาวเดือนมาเยือนดิน
ฉันยอมผินหน้าตรอมพร้อมน้ำตาลืมรุ้งทองอาบเกล้าแห่งเราสอง
เพลงไผ่พร้องปวดแปลบและแหบพร่า
ยะเยือกเยียบโถมประดังทั้งกายา
แต่ทว่ารักและห่วงเต็มทรวงในผิดที่ฉันเสียเวลามาพร่ำเพ้อ
เมื่อยามเธอร้างรักเหมือนตักษัย
โอ้ตัดเอยตัดสวาทขาดจากใจ
เพียงอาลัยก็เกินเธอเมิลมองดอกไม้ที่เธอให้ในวันนั้น
ดูจาบัลย์เหมือนกมลที่หม่นหมอง
ยามเห็นเธอชื่นชูกับคู่ครอง
พลันฉันต้องเดินผละ ณ บัดนั้นไม่มีแล้วจันทร์แจ่มแอร่มจิต
และชีวิตคู่งามในความฝัน
เรากลายเป็นผู้ไม่รักรู้จักกัน
พร้อมสัมพันธ์ซึ่งไม่มีแต่นี้ไป
.....................................................
ด้วยความปรารถนาดี

เสียงกระซิบจากหัวใจ

เปลวเพลิง


ความอบอุ่นกรุ่นละไมอยู่ในฝัน
คิดถึงกันข้ามฟ้าเพลาหนาว
ยามราตรีคลี่คลุมด้วยกลุ่มดาว
ใจจักกล่าวคำหวานซ่านทรวงในคิดถึงกันบ้างไหมในคืนที่
ฟ้าไม่มีโสมส่องอันผ่องใส
ยามลมพัดผ่านโพยมมาโลมไล้
ย่นระยะทางไกลเข้าใกล้กันมองสายน้ำฉ่ำไฉนก็ไม่เหมือน
ดั่งมีเพื่อนสู่สองประคองขวัญ
เคยแย้มยิ้มเสนาะคำเพ้อรำพัน
ว่า รัก รัก รัก มั่น มิผันแปรอิงไออุ่นกรุ่นหอมอ้อมฟากฟ้า
เพียงผกาบำบวงมอบดวงแข
สบตาสองจ้องซึ้งตะลึงแล
สะท้านแดดวงนี้ทุกทีไปเพลานี้ที่ไม่ได้อยู่ใกล้ชิด
เขาจะคิดถึงเหมือนตอนแต่ก่อนไหม
หว่างเส้นรุ้งคุ้งโค้งโยงเยื่อใย
เราส่งใจไปหาทุกนาทีเขาคนที่อยู่ไกลรู้ไหมหนอ
ใครส่งต่อความห่วงใยไปจากนี่
สะท้อนเลื่อมปลาบประกายสายวารี
ในยามที่เราพรากไกลจากกันกับวงแขนกอดเชยอันเคยคุ้น
ซบอกอุ่นวุ่นหวามดั่งความฝัน
ในรู้สึกลึกเกินเกริ่นจำนรรจ์
แรกรักฟั่นกลมเกลียวเหนียวแนบเนาโอ้พระพายพัดไปไกลลับลิบ
ฝากกระซิบ “คิดถึง ซึ้ง และเหงา”
เพียงผู้หนึ่งซึ่งครองห้องใจเรา
เนิ่นนานเท่านิจนิรันดร์เท่านั้นเอง
..................................................
ด้วยความปรารถนาดี

ฝากสายลมห่มใจบางใครจร

(น้ำตาลหวาน)


เสียงสายฝนหล่นฟ้าพาใจอุ่น
หอมละมุนกรุ่นไอเย็นกระเซ็นไหว
แอบหนาวเหน็บเก็บกลิ่นฝนระคนไอ
แม้นหนาวเย็นกายเพียงใดใจชื่นทรวง
ฝากสายลมห่มใจบางใครจร
ฝากสายฝนระคนวอนอ้อนแดนสรวง
ฝากสายน้ำไหลเฉื่อยฉิวริบริ่วรวง
ขออย่าลวงอย่ารับไปแล้วหายเลย
สายฝนพรำวอนขอนำจากใจนี้
ฝากคนดีที่อยู่ไกลได้ไหมเอ๋ย
สายลมพัดดึกสงัดอย่าปัดดั่งเคย
ความคิดถึงคนึงเอ่ยนิ่งเฉยไย
แม้นสายลมห่มหอบมอบแล้วหนัก
วอนสายลมนำห่มรักแอบพักไว้
คลายเหนื่อยหนักพักแล้วเร่งเร็วไว
นำคิดถึงและห่วงใยบางใครจร

...จนกว่า...

กวีปกรณ์


ย้อนนึกภาพทรงจำยังแจ่มชัด
แม้สายลมแห่งกาลพัดพังกัดกร่อน
สองเรายังเยาว์นักลองนับย้อน
ทั้งยังอ่อนเดียงสาเวลานั้น
ครั้งเคยเคียงข้างกันในวันก่อน
ทุกบทตอนสนทนาภาษาฝัน
จะร่วมรักภักดีมีต่อกัน
อุปสรรคคร้ามครั่นอย่าหวั่นไป
หนทางอาจยาวไกลหรือใกล้นั้น
จะหมายมั่นมุ่งคว้าจนกว่าได้
หากนับหนึ่งด้วยรักตระหนักไว้
ปลายธงเริ่มกวัดไกวไสวปลิว
แม้ภาพแห่งทรงจำเจ็บช้ำบ้าง
อาจเพราะทางเถื่อนร้ายบาดกายผิว
อีกเหนื่อยข้ามภูดอยกี่ร้อยทิว
ยังเกี่ยวนิ้วรักษาสัญญารัก
ก้าวต่อก้าวมั่นมุ่งพยุงกอด
บางค่ำคืนไฟมอดมืดหนาวหนัก
เพียงดวงหนึ่งดาราว่าไกลนัก
ยังประจักษ์อุ่นแสงแจ้งส่องทาง
รวงดอกรักโรยกลิ่นประทิ่นทั่ว
ล้อมรอบรั้วเรือนหอเคยรอสร้าง
ซุ้มดอกไม้หลายกอแบ่งกลีบบาง
สุดทางร้างสร้างหอรอเพียงเนา
ด้วยสองใจนับหนึ่งจนถึงรัก
คำสัญญายังแน่นหนักเป็นหลักเสา
มวลดอกไม้ยังหอมหวานลานเรือนเรา
ไปจนกว่าสองผู้เฒ่าร่วมเฝ้าเรือน

ใจงอแง

คนกรุงศรี


แอบมาออด อ้อนเรา ใจเจ้าเล่ห์
บอกว้าเหว่ อาวรณ์ ทั้งร้อนหนาว
อยู่เปล่าเปลี่ยว เดียวดาย มาหลายคราว
มีปวดร้าว เป็นเพื่อ คอยเตือนตน
ให้ออกปาก ฝากใจ ส่งให้เขา
ทุกค่ำเช้า เร้าถาม ติดตามผล
แสร้งเฉยอยู่ ดูเหงา เศร้าพิกล
รบเร้าจน ใจพลอย ร่วมคล้อยตาม
ฝากลมพา พัดใจ เหมือนได้ผล
ฟ้าเบื้องบน เป็นใจ ให้ล้นหลาม
พิรุณพรม พร่างพราย พรรณไม้งาม
อยู่ในความ อบอวล ช่างชวนดอม
บอกดวงมาน สานต่อ อย่ารอช้า
เร่งเดินหน้า ก้าวไกล ให้หวานหอม
ฟ้าบันดาน อุ้มสม พรหมยินยอม
ที่ตรมตรอม หม่นเศร้า คงเหงาคลาย
สังเกตใจ ไม่สุข กลับทุกข์หม่น
ว่าเหตุผล กลใด จึงไม่หมาย
นั่งคนเดียว เปลี่ยวอยู่ ดูเดียวดาย
มองดูคล้าย หมดหวัง กำลังใจ
มานบอกมอง เงาตัว ยังกลัวเจ็บ
เคยหนาวเหน็บ เก็บล้น เกินทนไหว
จึงมิอาจ เอื้อนเอ่ย เผยความนัย
เกรงตนไม่ ควรคู่ เรารู้ดี
ขรัวตา
กลุ่มวรรณกวีศรีอยุธยา

♥ ♥ ภาพลวงตา ♥ ♥

cicada


ผืนผ้าใบว่างเปล่า..เฝ้าเติมแต่ง
เส้น..สี..แสง ตามจินตนาว่าเหมาะเหม็ง
สะบัดปลายพู่กันคล้ายบรรเลง
จังหวะเร่งรุมเร้าเข้าฝังลึก
คล้ายก้าวผ่านมิติ..มิอาจถอย
ฝันล่องลอยอลหม่านพานรู้สึก
หลงวนเวียนเลยล่วงห้วงสำนึก
ฝังผนึกเกาะกุมสุมห้วงจินต์
ยามถอยห่าง..วางกรอบ..เส้นขอบคั่น
ภาพแปรผันหาใช่ใจถวิล
คือภาพลวงหรือฝันนั้นพังภินท์
ทางสุดสิ้น..ฝันกลับเลือน เหมือนภาพลวง

เธออยู่ไหน

แย้ม ไกลวันเกิน


เธออยู่ไหน, ใครคนนั้น, ฉันอยู่นี่,..
เป็นวลีที่รำพันกันลับหลัง
เนิ่นนานปีไม่มีใครเคยได้ฟัง
เพียงลำพังรับรู้กันกับจันทรา
ฝากบอกใครคนนั้นนะจันทร์ไสว
เธออยู่ไหนใช่ถามเพื่อตามหา
ฉันอยู่นี่ก็ใช่อยากให้มา
คล้ายเป็นคำอำลาด้วยอาวรณ์
คงจะไม่มีวันพบกันแล้ว
ขอบคุณแววห่วงใยในวันก่อน
เธออยู่ไหนไม่สำคัญนิรันดร
เพราะทับซ้อนฉันอยู่นี่อยู่ที่เดิม

รอยอาดูร

din


เมื่อสิ้นรักสิ้นหวงก็สิ้นห่วง
มิอาจท้วงทักไว้เพราะไร้หวัง
มีแต่ทุกข์ถาโถมโหมประดัง
จนเจียนคลั่งดั่งว่าเหมือนบ้าบอ
จึงเป็นซากซากหนึ่งซึ่งเดินได้
ทุกห้องใจหม่นหมองเกินร้องขอ
เจ็บกว่าเจ็บชอกช้ำน้ำตาคลอ
จมอยู่กับการรอจนท้อใจ
เพียงดอกไม้แหลกรานบนธารฝัน
ทุกสิ่งพลันร้าวรอนราวอ่อนไหว
ที่เคยหอมรวยรื่นชื่นหทัย
กลับหม่นไหม้ขื่นขมระทมทรวง
รอยอาลัยจากใจของใครหนึ่ง
ยังซาบซึ้งด้วยแสนจะแหนหวง
แต่พจน์ถ้อยร้อยร่ำน้ำคำลวง
มันตามท้วงทวงถามความเป็นมา
ทุกฝีเท้าก้าวย่างบนทางโศก
วิปโยคหม่นไหม้ใจผวา
ดุจเพลิงเผาเร่าร้อนรอนชีวา
จึงเจ็บกว่าทุกทีที่ได้เจอ
เพียงร่องรอยอาดูรพูนเทวษ
บนเสี้ยวเศษความช้ำน้ำตาเอ่อ
ความหวานชื่นดุจมนต์เคยปรนเปรอ
ก็เผลอเรอทอดทิ้งมิจริงใจ
กับเสี้ยวเศษความทุกข์ที่รุกโหม
จนทรุดโทรมมานจนทนมิไหว
บนทางเดินเหินห่างแรมร้างไกล
เราโหยไห้ชอกช้ำลำพังเพียง
หน้า / 50  
ทั้งหมด 839 กลอน