กลอนอกหัก รักหวานซึ้ง

ทวงศรัทธา

คนกรุงศรี


เมื่อวสันต์ สิ้นแล้ว กอแก้วเฉา
เพราะสองเรา เง้างอน และอ่อนไหว
เหตุเพียงน้อย ด้อยนิด ถึงผิดใจ
ปรับคลื่นใหม่ ให้รับ กับตรงกันเลิกฝันร้าย หายเคือง เรื่องเก่าก่อน
มิคิดย้อน ตอนจิต ที่ผิดผัน
ประสานมือ ถือไว้ ให้สัมพันธ์
มาสร้างสรรค์ กอแก้ว ให้แวววาว
ตัดกิ่งก้าน แก่เก่า ที่เฉาออก
กวาดกลีบดอก โคนต้น ที่หล่นขาว
ปรับดินใหม่ ให้ร่วน พรวนอีกคราว
พอพ้นหนาว พราวฝน ดูผลงานสิ้นเสียงครวญ หวนไห้ จากใจหวั่น
เพียรจำนรรจ์ กลั่นคำ ที่ฉ่ำหวาน
ยิ้มมุมปาก จากเขา เราเบิกบาน
คำไขขาน คิดถึง ตราตรึงใจรอดอกแก้ว กว่าบาน คงนานหนอ
มาร่วมก่อ กอรัก สักต้นไหม
เก็บมะลิ ร้อยรวม ร่วมสายใย
กุหลาบให้ ใส่ห้อย ร้อยที่ปลายนั่งเหม่อฝัน มั่นใจ หรือไม่หนอ
จึงวอนขอ เทวา ว่ามุ่งหมาย
อยากได้ยิน ดินย้ำ คำภิปราย
ว่าจะคลาย เกลียดชัง ...ยังศรัทธา

ทาง ที่ร้างรัก

มืดมิด..จนชิดเช้า


เมื่อย้อนความ ตามครั้ง เมื่อยังเด็ก
ดวงตาเล็ก แลจ้อง มองแผ่นฟ้า
ว่าช่างกว้าง ห่างไกล สุดสายตา
เกินกายา จะโอบ แผ่นฟ้าไว้
เมื่อโตมา เข้าสู่ ประตูชีวิต
ย้อนให้คิด ในครั้ง เมื่อยังใส
ว่าฟ้ากว้าง ที่วาง แสนห่างไกล
แต่เมื่อใด แหงนดู อยู่คู่เรา
ต่างจากคน ยลชิด สนิทได้
แต่เมื่อใด ใคร่หา เวลาเหงา
กลับห่างเหิน เกินกว่า จะคว้าเอา
ไม่เคียงเรา ทุกเวลา ดั่งฟ้านั่น
หากความจริง แผ่นฟ้า ไม่กล้าให้
จะเก็บใจ เข้าสู่ ประตูฝัน
สุดแล้วแต่ แผ่นฟ้า ตีค่ากัน
แล้วเดินทาง ร่างมัน ให้สวยงาม
เมื่อย้อนความ ตามครั้ง เมื่อยังน้อย
ดวงตาคอย แต่จ้อง และร้องถาม
ไปยังผืน แผ่นหล้า ฟ้าสีคราาม
ว่าเมื่อยาม เจ็บไซร้ ใครดูแล
ความใจกว้าง ของทางฟ้า มีจริงไหม
อยากมีใคร เคียงข้าง ระหว่างแพ้
อยากมีคน คอยห่วงใย ใจอ่อนแอ
ไม่ปรวนแปร ผันเปลี่ยน เวียนหมุนไป
เมื่อย้อนความ ตามจริง จึงได้รู้
โลกที่อยู่ ช่างเคี้ยวคด ไม่สดใส
จะตามล่า หารักจริง จากสิ่งใด
จึงปล่อยใจ ตามทาง รักร้างนั่น

ไร้วิญญาณ

คนกรุงศรี


เธอรู้ไหม ใครเล่า เขาเฝ้าฝัน
เธอรู้ไหม ใครนั้น เขามั่นหมาย
เธอรู้ไหม ใครหม่น จนเจียนตาย
เธอรู้ไหม ใครพ่าย อายผู้คน
เพราะเธอเมิน เขาต้อง ทนหมองไหม้
เพราะเธอเมิน เขาไป ไร้เหตุผล
เพราะเธอเมิน เขาช้ำ แต่จำทน
เพราะเธอเมิน เขาหม่น จนอ่อนแอ
เพราะว่าเขา ใจอ่อน ตอนพบเห็น
เพราะว่าเธอ นั้นเป็น เช่นดวงแข
เพราะว่าเขา เหมือนกระต่าย หมายตาแล
เพราะว่าเธอ ไร้แม้ แต่ไมตรี
เขาจึงน้อย ในใจ ไม่อาจกล่าว
เขาจึงร้าว หลบตา อายหน้าหนี
เขาจึงโทษ เทวา มิปรานี
เขาจึงมี เพียงกาย ไร้วิญญาณ

คนไร้สิทธิ์

คนบางบอน


แอบมองอยู่ห่างห่างอย่างคนเหงา
ระหว่างเราคงเป็นได้เช่นนี้
วันใดเห็นเธอสุข ก็สุขดี
วันใด(เธอ)มีน้ำตาก็อาดูร
ความสัมพันธ์ที่มีแค่ พี่,เพื่อน
ก็ย้ำเตือนใจคิดสิทธิ์เป็นศูนย์
ความหวังดีแพร้วเพริดเจิดจำรูญ
มันเพิ่มพูนอยู่ในใจทุกวัน
วางเธอไว้ในมุมมอง”ของต้องห้าม”
ไม่ต้องถามว่าทำไม...ไกลเกินฝัน
ปรารถนาของวันนี้ที่ผูกพัน
คืออยู่ใกล้ได้เห็นกัน...เท่านั้นพอ
เมื่อเส้นทางรักหนึ่งซึ่งเธอเลือก
กระพี้-เปลือกอย่างไรใจเธอก่อ
ก้าวต่อไปเถิดคนดีอย่ารีรอ
อย่าทดท้อต่อขวากหนามของความรัก
มันอาจสุขหรือทุกข์บ้างเส้นทางฝัน
จงฝ่าฟันอย่าย่นย่อต่ออุปสรรค
กำลังใจหนึ่งนี้มีพร้อมพรัก
เมื่อประจักษ์เธอสุขพอ...ขอลาไกล
วันหนึ่งเธอไม่มีใครในชีวิต
โปรดให้สิทธิ์ฉันดูแลแผลใจให้
หายดีแล้วจะหลีกเร้นไม่เป็นไร
ฉันก็พร้อมเก็บใจ...ไว้ที่เดิม...

ธุลีดิน

คนกรุงศรี


หัวใจคน ขื่นขม นั่งก้มหน้า
ฝากดินฟ้า หาใคร ไหนสงสาร
สักเสี้ยวเศษ เมตตา หาผลทาน
รักษามาน ไหม้หม่น ของคนตรม
พบผิดผิด ผิดหวัง บ่อยครั้งนัก
เอ่ยเรื่องรัก แล้วใจ ให้ขื่นขม
วาสนา ค่าด้อย น้อยคนชม
ความภิรมย์ สุขสันต์ นั้นมิเคย
เพียรฝากใจ ไหว้วาน รอขานไข
เขาก็ไม่ ไยดี ที่เฉลย
ยังเพิ่มคำ ช้ำให้ ไม่เสบย
นะเราเอ๋ย อาภัพ กว่าอับจน
ถามใจหนอ ท้อไหม หรือไร้หวัง
ตอบว่ายัง ยิ้มรับ กับเหตุผล
เฝ้าหวังหวัง หวังไว้ ใครสักคน
อยากเยี่ยมยล เยียวยา รักษาใจ
แม้มิหมาย คล้ายฟ้า มากลั่นแกล้ง
หรือกฎแห่ง ปางบรรพ จัดสรรให้
จึงผิดหวัง นั่งช้ำ อยู่รำไป
ทำกระไร เล่าถึง จึงปรานี
เพราะฝากฟ้า ฝากดิน ทั้งสิ้นแล้ว
ยังไร้แวว แผ้วถาง ทางทุกที่
เถอะคงขอ รอรอ ขออีกที
หวังว่าดิน ยังมี ธุลีใจ

เสียงหัวใจ

คนกรุงศรี


เสียงหัวใจ ใครหนึ่ง ซึ่งห่วงหา
เฝ้าตั้งตา รอคอย จนหงอยเหงา
มีความลับ คับใน ฤทัยเรา
อยากบอกเขา ให้รู้ ดูอีกครา
คำคิดถึง ฝากไป นั้นไร้ผล
มิเยี่ยมยล เขายัง เฝ้ากังขา
มิรู้ใจ ไยจึง ถึงเย็นชา
จำนรรจา บอกแจ้ง แห่งความนัย
มากล่าวบอก หลอกให้ ใจผวา
ฝากดินฟ้า สักนิด สะกิดไหม
หรือแสร้งเมิน มิหมาย สืบสายใย
ลองถามใจ ไหวหวั่น หรือมั่นคง
เขาเลิกรอ ท้อใน จนไห้หวน
แอบรัญจวน ขาดวิ่น สิ้นประสงค์
แล้วใครหนอ นั้นหรือ เขาซื่อตรง
สักนิดจง ไตร่ตรอง มองอีกที
เสียงหัวใจ ไหว้วอน ออดอ้อนหา
สักครั้งมา ปลอบกมล คนเหงานี่
เราร้าวรอน  งอนง้อ ขอคืนดี
ฟ้าดินมี บ้างไหม เห็นใจเรา

มองจันทร์

เปลวเพลิง


เมื่อมองฟ้ากระจ่างจันทร์ในวันนี้
ไม่เหมือนที่มองฟ้าในคราก่อน
เพราะร้างแรมเสน่หาอันอาทร
จึงแอบซ่อนความคิดถึงไว้บึ้งใจ
หากมีใครให้รักสักคนหนึ่ง
คงคิดถึงเขาจนทนไม่ไหว
แต่นี่เมื่อหันคว้างไปทางใด
ไม่พบใครเราจึงอ้างว้างคนเดียว
เหงาก็พอมีบ้างเหมือนอย่างว่า
รอคอยเศษเมตตาคนมาเหลียว
แค่คะนึงเล็กน้อยคอยยาเยียว
แผลเปล่าเปลี่ยวก็คงหายคลายจากมาน
โอ้ผืนดิน ผืนฟ้า กว้างกว่ากว้าง
ใครจะพร่างพรมจิตคิดสงสาร
เราเอกากายเดินมาเนิ่นนาน
เพราะเขาผ่านมาแล้วก็แคล้วไกล
เมื่อมองฟ้ากระจ่างจันทร์อย่างวันนี้
ถามกมลคนดีอยู่ที่ไหน
วอนลมฝากภูผา พนาไพร
ติดตามไปให้ถึงสักหนึ่งคน
แทนหทัยด้วยรักสมัครมั่น
รังสีสรรพ์แสงโสมโพยมหน
โลมโลกแล้งโลมจินต์ให้ยินยล
และต่างมนตราปลอบจากขอบฟ้า
ก่อนเชิญชีพงีบระงับลงหลับเนตร
ท่องเศวตรธารดาวพราวนิศา
จุมพิตจันทร์สีนวลยั่วยวนตา
กับเพื่อนยาในคืนระรื่นใจ
เราคงสุขในฝันอันสะอ้าน
ในความหวานความละมุนนุ่มเหมือนไหม
แต่ยามนี้ร้อยกานท์แล้วผ่านไป
ทำเช่นไร...เมื่อคนนั้นยังไม่มี
.........................................
สวัสดีวันฮัลโลวีนครับ

สาเหตุมันมี

สุนทรวิทย์


การเว้าวอน  อ้อนแฟน  ช่างแสนยาก
ลิ้นคับปาก  เฝื่อนฝาด  มิอาจเผย
เรื่องฝากรัก  เราหนอ  ก็ไม่เคย
คิดเอื้อนเอ่ย  สักคำ  ยังลำเค็ญ
หมายเฟ้นหา  คารม  คมเสนาะ
มาปะเหลาะ  เจาะใจ  ให้เธอเห็น
ถึงยามจะ  ปริปาก  กลับยากเย็น
บอกไม่เป็น  สิ้นท่า  ทุกคราไป
เสมือนคน  เซ่อซ่า  ไร้สามารถ
จิตหวั่นหวาด  ขลาดเขลา  มิเอาไหน
ซ่อนความหวัง  อมพะนำ  ช้าร่ำไร
ที่ควรไขว่  พึงเร่ง  ดันเกรงกลัว
มัวเงื้อง่า  หน้าจืด  ทำอืดอาด
จนนงนาฏ  รำคาญ  พานเฉดหัว
คนแล้วคน  เหหัน  เลิกพันพัว
กลายเป็นตัว  น่าเบื่อ  แล้งเยื่อใย
ต่างว่าฉัน  โง่งม  ดุจอมสาก
แสร้งกระดาก  เกินการ  มิขานไข
ความจริงฉัน  ก็อยาก  กล่าวฝากใจ
แต่เป็นใบ้  นี่หว่า  อย่าโกรธเลย

คิดถึงจัง

คนกรุงศรี


คิดถึงจัง คนดี ที่ปลายฟ้า
ชะแง้หา คราใด จะได้เห็น
เฝ้าคอยคอย คอยเขา ทุกเช้าเย็น
เหมือนคนเป็น บ้าใบ้ ใจร้าวรอน
คิดถึงจัง คนดี ที่ปลายรุ้ง
ยังหมายมุ่ง เฝ้าฝัน เช่นวันก่อน
เพียรบอกฝาก จากใจ ใส่บทกลอน
มาเว้าวอน ถามหา คราเหงาใจ
คิดถึงจัง คนดี ที่เราห่วง
คอยถามทวง สุขี มีทุกข์ไหม
เฝ้าคิดคิด คิดถึง จึงห่วงใย
เธอรู้ไหม ใครเล่า ที่เขาคอย
คิดถึงจัง คนดี ที่ถวิล
บอกฟ้าดิน นี่เรา นั้นเหงาหงอย
เฝ้ามองมอง มองหา นั่งตาลอย
คงเศร้าสร้อย ซบดิน จวบสิ้นใจ

กระต่ายน้อยคอยจันทร์

Saran


มองดวงจันทร์ชวนให้นึกถึงวันเก่า
วันที่เรามีเราอยู่ใต้แสง
ของดวงดาวสุกสกาวในคืนแรม
ยิ้มเธอแง้มพร่างพราวสกาวใจ
ร้อยพันดาวดวงสวยที่เรานับ
สายลมขับพัดกล่อมไม่ไปไหน
หมื่นล้านคำว่ารักเอ่อล้นใจ
ลอยล่องไปสว่างใสบนฟ้าคราม
บนนภางดงามสักเพียงไหน
ต่อให้ใครทั้งโลกต่างเฝ้าถาม
ตอบได้โดยหัวใจไม่คิดตาม
คนที่งามที่สุดมีเพียงเธอ
ในวันนี้ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนสี
ใจฉันมีแต่เธออยู่เสมอ
ฟ้าไร้ดาวไม่เหมือนที่พบเจอ
แต่ใจเธออยู่ที่ฉันตลอดไป
ดวงตะวันตกน้ำแล้วจมลับ
ดวงจันทร์กลับกลีบเมฆลบเลือนหาย
เหลือแค่เพียงตัวฉันที่เดียวดาย
ไม่มีเธอเคียงกายเหมือนเคยเป็น
ฝากสายลมโชยเอื่อยว่าคิดถึง
ฝากดวงดาวให้เธอซึ้งเมื่อได้เห็น
ฝากจันทร์นวลแทนรักที่ชื่นเย็น
ให้เธอรู้ว่าเป็นความห่วงใย
แม้ไม่รู้วันนี้เธออยู่ไหน
รู้แค่เพียงใจเธออยู่ที่ฉัน
กระต่ายตัวน้อยยังคอยหาดวงจันทร์
กระต่ายตัวนั้นคือฉันที่คอยเธอ

อกหักใช่หนักหนา(กลบทวัวพันหลัก)

สุนทรวิทย์


เจียมตนว่า  อ่อนด้อย  ในถ้อยรัก
รักหน่วงหนัก  เพียงไหน  จึงไม่สม
สมควรหรือ  ยังเขลา  ยอมเฝ้าจม
จมในหล่ม  หลุมรัก  ซึ่งหลักลอย
ลอยอยู่ใน  ความฝัน  อันเวิ้งว้าง
ว้างเวิ้งคว้าง  สุดไขว่  ไกลเกินสอย
สอยมิถึง  ควรหรือ  จักยื้อคอย
คอยอย่างกร่อย  หงอยจิต  หลงทิศทาง
ทางกองสุม  ด้วยขวาก  ยากฟันฝ่า
ฝ่าทิวา  ราตรี  ฤดีหมาง
หมางบนความ  พร่อมพร้อ  รออับปาง
ปางก่อนสร้าง  บุญน้อย  จำถอยลา
ลาจากขวัญ  ชีวี  ที่เคยหลง
หลงทะนง  งงเยี่ยง  ไร้เดียงสา
สาแก่ใจ  หน่ายเบื่อ  เมื่อถึงครา
ครารู้ว่า  เธอมี  ที่หมายปอง
ปองแล้วพลาด  อาจช้ำ  ระกำจิต
จิตรู้ผิด  เตือนตัว  มิกลัวหมอง
หมองอยู่ไย  หญิงอื่น  ดื่นก่ายกอง
กองให้จอง  ให้หวัง  ยังมากมี

น้ำคำดุจน้ำค้าง

สุนทรวิทย์


น้ำค้าง  เกาะกอด  ตามยอดไม้
แดดไล้  ลมปะ  ก็ระเหย
บัวบาน  กลิ่นกล่อม  หอมรำเพย
ล่วงเลย  ทิวา  กลับราโรยดุจน้ำ  ใจคน  พิกลนัก
บอกรัก  พักเดียว  เดี๋ยวแห้งโหย
คำหวาน  หว่านฟุ้ง  กระบุงโกย
จบโดย  พลัดพราก  นั้นมากมีฉันเชื่อ  น้ำคำ  เธอพร่ำพลอด
อ้อนออด  มอบกาย  มิหน่ายหนี
ฉันหลง  ชมชัว  แม่ตัวดี
ทั้งที่  คำหวาน  ล้วนมารยารู้ตัว  อีกที  หัวมีเขา
นงเยาว์  ลบหลู่  เปลี่ยนคู่ขา
ควรแขน  เยี่ยมกราย  ถึงชายคา
ฉีกหน้า  พลิกลิ้น  สิ้นไมตรีผิดหวัง  ครั้งนี้  หนที่ร้อย
ละห้อย  ระกำ  ช้ำป่นปี้
หดหู่  วู่วาม  สามนาที
แล้วรี่  เดินหน้า  หาใหม่พลัน

เตรียมใจไว้หนาว

คนกรุงศรี


เสียงกาเหว่า ก้องกู่ อยู่ทิวสน
สายลมบน พัดผ่าน กิ่งก้านไหว
สนก้านกลม ลมฉิว โยนพลิ้วไกว
ยินเสียงใส หวิวหวีด เหมือนกรีดทรวง
ลมเหนือล่อง ต้องกาย คล้ายเคยผ่าน
ทวนเหตุการณ์ วานวัน นั้นเลยล่วง
ด้วยยังจด จำไว้ ได้ทั้งปวง
กับคำลวง เมื่อคราว ลมหนาวเยือน
แม้ร้อนฝน หนใด ก็ไม่คิด
หนาวสะกิด ก่อนำ ย้ำรอยเปื้อน
ภาพความหลัง ฝังใจ ไม่ลางเลือน
ประหนึ่งเตือน แผลช้ำ คอยตำใจ
อยากจะลบ กลบหม่น ที่ทนทุกข์
คอยปลอบปลุก อาวรณ์ ที่อ่อนไหว
แม้กายหนาว ร้าวรอน ร้อนอยู่ใน
หาสิ่งใด แปรปรับ ให้กลับคืน
เหมันต์เยือน เหมือนก่อน ร้าวรอนอีก
ยากจะหลีก ให้พ้น เฝ้าทนฝืน
หาคำตอบ ปลอบกมล ทนกล้ำกลืน
หน้ายิ้มรื่น ขื่นใน ฤทัยจัง
ต้องเตรียมใจ ไว้หนาว อีกคราวหนอ
ไม่เพ้อพ้อ ต่อกลอน ย้อนความหลัง
เพราะทนรับ กับหม่น จนเซซัง
เรื่องจะหวัง พึ่งใคร ยังไม่เคย

ดอกรักโรยแล้ว

เปลวเพลิง


เมื่อมี “รัก” หวามหวานก็ปานว่า
ปลูกผกา “ดอกรัก” เป็นสักขี
“รัก” หยั่งรากแข็งเข้มเต็มฤดี
ดลให้มี “รัก” ไสวกลางนัยนา
สองเราฝาก “รัก” ออมถนอมเอื้อ
สุขใจเมื่อเริ่ม “รัก” เป็นนักหนา
นั่น! น้ำค้างหยาดแย้มแก้มผกา
ชุ่มฉ่ำค่า “ความรัก ความภักดี”
เขาเคยบอกถ้อยอันแม่นมั่นนัก
จะฟูมฟักบุหงามารศรี
เราก็เปรยจำนรรจ์โดยทันที
จะดูแลมาลีพี่เหมือนกัน
อา! สวน “รัก” สองเราเพราพิลาส
งามเหมือนวาดเวียงฟ้าวนาสวรรค์
เทียบมณฑารพเสน่ห์พฤกษ์เทวัญ
“รัก” นิรันดร์จงผนึกลึกสุดใจ
แล้วจู่จู่เหมือนว่าเกิดอาเพศ
ต้องเทวษชอกช้ำน้ำตาไหล
“รัก” ที่เคยร่มรื่นกว่าอื่นใด
ร่วงโรยไปสุดฝืนให้คืนมา
โอ้ “รัก” เราไห้โหยร่วงโรยแล้ว
ตาเผยแววทุกข์โทมนัสสา
ไร้น้ำค้างแต่ฉ่ำด้วยน้ำตา
จำจิตลา “รัก” เก่าที่เราครอง
“รัก” อำลา พาใจเขาไปด้วย
เราเจ็บป่วยเพราะ “รัก” เฉาพาเศร้าหมอง
“รัก” เอย “รัก” ไร้หนามเมื่อยามมอง
ไยสยองยอกใจเราไม่โรย?

ฝากฝัน

คนกรุงศรี


ถ้าหากตาม ความฝัน ที่สรรสร้าง
เป็นจริงอย่าง ตั้งจิต มิผิดผัน
ในโลกแห่ง นิยาม ความผูกพัน
กับคำมั่น สัญญา ว่าจะครอง
สิ่งใดอื่น หมื่นแสน มิแม้นเปรียบ
ฤๅจะเทียบ ใจกาย ที่คลายหมอง
ทั้งชีวิต คิดถึง วันซึ่งปอง
คราที่สอง หัวใจ อยู่ใกล้เคียง
ด้วยหมายจ้อง จองดิน ถวิลอยู่
หากใจรู้ รับได้ มิบ่ายเบี่ยง
มิชังกัน นั้นหนอ คงพอเพียง
ใช่เรียบเรียง เพียงถ้อย ร้อยเป็นกานท์
วันเวลา พาฝัน นั้นสดใส
เสี้ยวน้ำใจ จากเขา เฝ้าสืบสาน
ให้งอกงาม ปลั่งเปล่ง รีบเร่งบาน
เหมือนมวลมาลย์ มาลี ที่วิไล
ท้ายชีวิต จิตนั้น คงสันต์สุข
คอยปลอบปลุก ดวงมาน เพียรขานไข
แม้เป็นจริง ดั่งคิด มิผิดไป
ความหม่นไหม้ ถูกกลบ เหมือนลบรอย
ถ้าหากตาม ความฝัน เราสรรสร้าง
ดำเนินอย่าง บทกานท์ ที่สานถ้อย
เป็นจริงดั่ง หวังเรา ที่เฝ้าคอย
ขอร่วมร้อย มาลัยรัก ...ไว้สักครา
คนกรุงศรี ฯ

เคียงข้างเธอ

กวีปกรณ์


หากเธอคิดฉันไกลปันใจห่าง
ฉันรักเธอเสียอย่างอย่าสงสัย
เถิดที่รักโปรดอย่าหมองเศร้าไป
จะห่างเธออย่างไรให้ไกลกัน
หากเธอนั้นชี้นกฉันว่านก
อย่าตระหนกรักแน่มิแปรผัน
หากเหน็บหนาวหัวใจอย่างไรกัน
จะมีฉันเคียงข้างไม่ห่างไกล
บนหนทางหวังไว้ดั่งใจฝัน
จงเชื่อมั่นหนักแน่นอย่าหวั่นไหว
หากเธอล้มพลาดพลั้งในครั้งใด
กลับมาหาฉันได้ในทันที
หรือพลัดหลงเผลอไผลในบางครา
ฉันจะออกตามหาเธอทุกที่
หากชอกช้ำปวดร้าวล้นฤดี
ฉันจะอยู่ตรงนี้ซับน้ำตา
ไม่มีหรอกวันใดปันใจห่าง
รู้เสียบ้างฉันรักเธอยิ่งกว่า
จะโอบกอดเธอไว้ทุกเวลา
คอยห่วงใยห่วงหาทุกคราไป

สุขใจ ที่ได้ฝัน

คนกรุงศรี


ทุกอย่างยัง หวังไว้ คงได้สม
ร่วมภิรมย์ ชมชิด สนิทใกล้
แอบวาดฝัน วันหนึ่ง คงซึ้งใจ
ขอมอบให้ เพียงดิน ถวิลปองสัญญากัน วันไหน ก็ไม่จาก
สุดฝั่งฟาก ฟ้าไกล ไม่มีหมอง
แม้กายห่าง ต่างใจ ได้เคียงครอง
มาลัยคล้อง สองใจ อยู่ใกล้กัน
สายใยรัก ถักทอ ลออสี
เก็จขจี สีรุ้ง พุ่งพาดฝัน
หลากหลายรส พจนา มารำพัน
ทุกคืนวัน อบอวล เหมือนมวลมาลย์
สุขอัดใด ไหนเล่า จะเท่านี้
ทั้งชีวี เพิ่งรับ ซับประสาน
ที่เคยหม่น หมองไหม้ มลายราญ
ไท้ประทาน เทพคง ส่งเสริมเรา
ช่างดื่มด่ำ ฉ่ำหวาน สองมานคล้อง
สุขสมสอง สิ่งใด เปรียบไม่เท่า
ดูยั่งยืน ชื่นหวาน จวบนานเนา
ทุกอย่างเฝ้า ฝันใฝ่ ให้เป็นจริง
แม้เพียงฝัน วันนี้ ก็มีสุข
ขอซ่อนซุก เอาไว้ สมใจยิ่ง
เก็บกับใจ เป็นหลัก เพื่อพักพิง
ก็ทุกสิ่ง เพียงฝัน สร้างสรรค์เอง
หน้า / 50  
ทั้งหมด 839 กลอน