บทกวีแห่งความเหงา... เหงา....ฟ้าสีเทาหม่น น้ำค้างอวลระคน..ปนไอหนาว ทางชีวิต..ยังหยัด..ยืนยาว จำต้องก้าว..ย่ำเิดิน... เหงา..ฟ้าสีเทาหม่น ใจคนบางคน..ยังระหก..ระเหิน เหนื่อย..และล้าเหลือเกิน ที่ต้อง..เผชิญ..ภาวะนานา.. เหงา...ฟ้าสีเทาหม่น ใจคนบางคน.. ยัง..ปราถนา กับคำบางคำ...และแววตา เพื่อกำลังวังชา ทุกเช้าเย็น เหงา..ฟ้าสีเทาหม่น ใจคนบางคน..ไม่มีใครเห็น มันเจ็บปวดจน....เกินจะเป็น ที่สุด..ใจดวงเย็น...ก็ด้านชา ..เช้าวันที่เดียวดาย..ทิพย์โนราห์ พันดาว
รัฐบาลตรวจสอบการค้าข้าว สี่สิบเจ้ามีรายได้หลายแสนล้าน ยอดภาษีควรเก็บได้เบิกบาน กลับเสียแค่ร้อยกว่าล้านแปลกไหมคุณ ขบวนการตรวจสอบจะเริ่มขึ้น เกิดแตกตื่นเจ้าสัวก็เริ่มฉุน หลายพันล้านจึงเกิดเป็นกองทุน ให้หัวหมุนแช่แข็งประเทศไทย ปล่อยเอาไว้พวกข้าต้องติดคุก จึงต้องลุกมาเต้นท่านเห็นไหม คนสนิทเข้าร่วมไม่เป็นไร มือของใครไม่เห็นเล่นเปียนโน มาให้หมดคราวนี้หมดหน้าตัก มุขเสี้อดำรีบควักมาร้องโห่ ทั้งพวกเถรเณรชีมีไชโย สื่อต่างต่างเฮโลออกมาเชียร์ ต่างรายงานขั้นตอนอย่างละเอียด เมื่อเสื้อแดงถูกเบียดชีวิตเสีย ไม่รายงานมีแต่ออกข่าวเลีย สื่อเมืองไทยจึงเตี้ยลงทุกวัน จุดประสงค์แน่ชัดล้มรัฐบาล ประกาศก้องมานานน่าขบขัน ตัดสินความทำได้เป็นไรเป็นกัน กบฎพ่อค้ามาประชันทหารชรา อดีตกบฏมากบฎขึ้นซ้ำอีก ประชาชนเขาหลีกไม่เข้าหา ทุนทั้งหลายได้มาจากพ่อค้า เอือมระอาทหารแก่แย่จริงเจียว
ความดายเดียวเปลี่ยวคว้างและว่างเปล่า อาจรุมเร้าทุกทีที่จินต์เหงา อย่าปล่อยมันให้เป็นเหมือนเช่นเงา ที่ตามเร้าตามรุกให้ทุกข์ตรม อาจมีบ้างบางทีที่ว้าเหว่ ดุจเรือเร่เห่คลื่นอย่างขื่นขม เมื่อไร้มิตรเคียงใจไว้ชื่นชม เพียงเกลียวคลื่นพัดถมก็จมธาร อย่าปล่อยใจไปตามความว่างเปล่า ให้ความเหงา...รุมอุรา...อย่างกล้าหาญ เผชิญหน้ากับทุกข์ที่รุกราน ถึงซมซานไปบ้างก็ช่างมัน ขอบฟ้ากว้างทางไกลถ้าใจท้อ คนที่รอมีได้แค่ในฝัน ความจนยากไม่ใช่สิ่งสำคัญ หากใจมั่น...คิดว่า...เขาเข้าใจ ในโลกฝันออนไลน์มากมายเพื่อน มาเยี่ยมเยือน...เตือนเธอ...จะได้ไหม เป็นแค่ลมเย็นรื่นชื่นหทัย เป็นเพื่อนในโลกฝันเท่านั้นเอง
เมื่อได้รับรักเขาเราครองคู่ ใช่จะอยู่โดดเดี่ยวเปล่าเปลี่ยวสอง ญาติพี่น้องมากมายได้ประคอง อบอุ่นคล้องสัมพันธ์อันภิรมย์ พ่อแม่เขาเคารพนบวันทา พี่น้องป้าน้าหลานเบิกบานสม รักเขาแล้วเข้าใจไม่ระทม เอื้อเฟื้อสมสะใภ้ในวิมาน โชคดีที่สมัครรักใคร่กัน ต่างแบ่งปันพึ่งพาน่ากล่าวขาน ไปเยี่ยมเยือนต้อนรับกับเรือนชาน ต่างสำราญบานใจไม่ลืมเลือน วิถีชาวอีสานนานเนาอยู่ ควรเชิดชูญาติเขาเอาเสมือน เป็นญาติเราด้วยใจไม่แชเชือน เคารพเตือนสัมพันธ์อันงดงาม แม้สามีกับน้องฝนจะไม่ได้กลับเมืองไทยด้วยกัน แต่สะใภ้อนงค์นางขอทำหน้าที่แทนสามีไปเยี่ยมเยือนญาติพี่น้องให้ทั่วถึงกันค่ะ รักสามีแค่ไหนก็ต้องรักครอบครัวเค้าด้วยนะคะ มิใช่พาลูกชายจากบ้านมาต่างแดนแต่ไม่ห่วงใยญาติพี่น้อง�ญาติอนงค์นางมีที่ร้อยเอ็ดและชลบุรีค่ะ จะได้พาผู้อาวุโสคือแม่และแม่สามีท่องเที่ยวหลายๆจังหวัด พาน้องพิมไปพักผ่อนหย่อนใจหลังจบการศึกษา พาเพื่อนบ้านกลอนไปเที่ยวด้วยค่ะ แถวยืน อาเขยอนงค์นาง เป็นครู พี่สะใภ้สามี เป็นครู หลาน อาหญิงอนงค์นาง พี่ชายสามีอีกคน เป็นครูค่ะ แถวนั่ง พี่ชายอนงค์นาง แม่อนงค์นาง แม่สามี แม่สามี พี่ชายอนงค์นาง แม่ พี่สาวอนงค์นาง น้องฝน แม่อนงค์นาง อนงค์นาง เป็นครูที่ร้อยเอ็ด สามีตอนเป็นปลัดอ.บ.ตค่ะ น้องฝน น้องพิม น้องฝนที่บ้านปู่ย่าค่ะ น้องพิม ยาย น้องฝน
จะขอเล่าอัตชีวประวัติ โดยรวบรัดแต่ครั้งยังประถม เรียนได้เกรดสี่ตลอดยอดนิยม เรายิ่งสมอารมณ์หมายสบายแด เริ่มตั้งแต่ปอหนึ่งถึงปอหก พองขนยกตัวว่าข้าก็แน่ คิดว่าตัวเรานี้โชคดีแท้ เพราะพบแต่ความสำเร็จดุจเพชรพลอย พอมอต้นพากเพียรเข้าเรียนต่อ เราจะขอสู้สุดใจไม่ท้อถอย ก็ทุ่มแรงโถมให้มิใช่น้อย เกรดออกค่อยโล่งจิตขึ้นนิดนึง แล้วมอปลายเริ่มฤทธิ์ความผิดหวัง สอบตกครั้งแรกนี้มีแต่อึ้ง แรกแรกก็เศร้าสลดรันทดตรึง ดีที่รึงรัดใจเราไม่นาน มหาวิทยาลัยให้ขื่นขม รสซานซมผิดหวังดังประสาน แผลถลอกปอกเปิกพอเบิกบาน จึงมองการล้มเหลวต่างเปลวไฟ เปล่า-มิใช่ไฟผลาญย่านเคหา แต่คือไฟจุดให้กล้าเดินหน้าใหม่ ล้มแล้วเปิดโลกทัศน์เห็นชัด-ไกล มองอะไรละเอียดอ่อนกว่าก่อนเคย นับแต่นี้ต่อไปตั้งใจว่า จะล้มถ้าโอกาสเบียดมาเสียดเสย หากถามว่าอยากล้มไปทำไมเอย? ล้มเพื่อเย้ยหลักชัย...ก่อนได้มัน ......................................................... เขียนให้ตัวเองและให้ผู้อ่านทุกคนครับ
อนุบาลเรียนสนุกสุดจะคิด ประถมติดโลดเล่นสนุกสนาน มัธยมเริ่มคิดเริ่มทำงาน มอปลายบานงานงอกมหาลัย ยิ่มเรียนสูงความเครียดกับความคิด มาผูกติดชีวิตงดหนุกหนาน เป็นอีกแบบชีวิตมีแต่งาน แล้วต้องสานชีวิตมหาลัย ต่อไปนั้นเป็นเช่นไรคงคิดได้ รู้แก่ใจชีวิตคุณเดินบนหนาม จะดีร้ายอยู่ที่พยายาม สู้ ๆ ตามอย่างที่พ่อแม่ทำ จบแปลก ๆ ใครแต่งเก่งช่วยทีครับ
ระงมฟ้า เมื่อฝนพรำ เหมือนเสียงร่ำ ระกำใจ น้ำตา ที่บ่าไหล ระทมใน ฤทัยตรม หยาดเหงื่อ และแรงกาย ก็หวังหมาย ได้ชื่นชม ฝนฟ้า ทำนาล่ม ขมขื่นใจ ในชะตา ข้าวแก่ เกือบได้เกี่ยว อีกนิดเดียว จะเห็นค่า หมดแล้ว หมดแรงล้า หมดปัญญา จะกู้คืน ธรรมชาติ ไม่เป็นใจ ชาวนาไห้..อกสะอื้น สู้ทน...ทน กล้ำกลืน หวังพลิกฟื้น ชะตากรรม เดือนนี้ เมื่อปีก่อน ก็ร้าวรอน นี่..ย้อนย้ำ เยียวยา อันชอบธรรม ก็อ้ำอึ้ง ทึ้ง ถ่าย เท เช่นนี้ หากหนีน้ำ ทิ้งนาซ้ำ ห่างหันเห ผู้เฒ่า...ลูกในเปล จักร่อนเร่ ดินแดนใด กัดฟัน กำเคียวก้ม ถึงข้าวจม งมเกี่ยวไว้ อาจเหลือ พอยาไส้ ต่อชีพไป ให้หยัดยืน หนี้สิน ที่ถมทับ จำยอมรับ อย่างสุดฝืน ปีหน้า ถ้าไม่ฟื้น ให้ผืนนา กลบหน้าไป ฝนพรำ น้ำตาริน แทบดาวดิ้น แทบสิ้นใจ โอ้หนอ...ชาวนาไทย ในยุคนี้...เช่นนี้เอง...
คิดถึงลูกพิมน้อยกลอยใจขวัญ ทุกคืนวันแม่ห่วงดวงสมร ทำงานหนักหรือเปล่าเจ้างามงอน เอื้ออาทรปราณีมีเมตตา แม่เคยไปเยี่ยมพิมกอดอิ่มอุ่น เมตตาจุนเจือรักเป็นนักหนา ขยันงานเพื่อลูกผูกพันมา หลายปีกว่าเติบใหญ่ภูมิใจนวล ขอคุณงามความดีที่ลูกสร้าง คุ้มครองกลางดวงใจไม่กำสรวล หนักแน่นดั่งแผ่นผาอย่าเรรวน กิเลสชวนตกต่ำอย่าทำไป แม่อยากให้ใกล้กายพอหายห่วง ลูกคือดวงใจภักดิ์รักผ่องใส ขอให้ลูกทำดีมีน้ำใจ เผื่อแผ่ให้สังคมสมเกิดมา กลางเดือนหน้าลูกพิมจะได้กลับบ้านค่ะ ลูกฝนอยู่กับพ่อแม่ทุกวัน พ่อแม่รักลูกเท่ากันค่ะ ลูกบอกว่ามีความสุขกับงานสอนวิชาlabชีววิทยาให้นักศึกษาปริญญาตรี และเรียนหนักเพราะอีก8เดือนจะจบแล้ว ลูกชอบอาหารทุกอย่างที่แม่ทำ แม่จำได้เสมอว่าลูกชอบอะไรบ้าง แหนมคลุกข้าวทอด ข้าวมันไก่ ต้มจืดมะระหมูสับ ก๋วยเตี๋ยวหมูสับ ขนมจีนน้ำยา ผัดไทกุ้่งสด ปลาทูทอด น้ำพริกกะปิ ปลานึ่ง ขนมครก กล้วยทอด เค้กวันเกิดน้องฝนเมื่อเดือนสิงหาคมปีนี้ค่ะ กิจกรรมที่ลูกๆชอบปฏิบัติค่ะ
๏ ศรีศรีบรรจงสาน เรียงสานจัดแต่งสร้อย หยิบพจน์วางคำพร้อย เถิดเพี้ยงเถิดผองฯ ๏ แสงทองสีนวลถัก งามลักษณ์ยลพ่างล้วน พิศทั่วเพลินเจริญถ้วน ชื่นแท้หอมสถานฯ ๏ เพรงกานท์แลเฉพาะกิจ จรดลิขิตรินกล่าวครั้น เลบงนุ่มเติมขวัญนั้น เพื่อนี้ผจงหนอฯ ๏ ขอจันทร์สวยบรรเจิด เพ็ญเลิศดวงแจ่มล้น ปลุกค่าชวนคนข้น อีกครั้งสนานคอนฯ ๏ ไกลจรมาบรรจบ ลองทบแลอย่าท้อ ชวนเล่นเขียนเพลงล้อ กล่อมหล้าสราญหลายฯ ๏ อรุณฉายเย็นลมโชย โรยชิดยามแดดเช้า รอคู่บินเริงเคล้า จูบเคลิ้มเสมอครวญฯ ๏ คืนหวนหยิบเวหา พฤกษาโอบกอดไซร้ ฝากเวี่ยดวงจันทร์ไว้ แนบเวิ้งริมสวรรค์ฯ ๏ ผูกพันมธุรสผาด บาดคมคราร่วมคล้อง ฟังเพราะยินเสนาะพร้อง ช่อพลิ้วเกษมพราวฯ ๏ คราวฝันอุปสรรคขวาง บนทางปลงแน่แท้ ทุรลักษณ์เพียงเคียงแล้ ปล่อยแล้วไกลไหลฯ ๏ แรงใจรจนาจินต์ ศิลป์นบคำจรัสน้อม เชิญพิพิธคนดีพร้อม ฉลุแพร้วฉลักผล๚ คอนพูทน โคลงสามสุภาพ
คอยหวัง จงร้อยพจน์บทความไปตามฝัน ให้เฉิดฉันบรรจงชวนหลงใหล ใช้ศิลป์ศาสตร์วาดคำด้วยน้ำใจ มีอะไรมากมายระบายกลอน เธอแต่งถ้อยคำงามฉันตามอ่าน เพื่อสืบสานจารสลักมนต์อักษร เติมเรื่องราวให้สนุกได้ทุกตอน เอื้ออาทรต่อกันทุกวันคืน วันหนึ่งเธอหายไปฉันใจเศร้า ทุกค่ำเช้าตรอมตรมอยู่ขมขื่น รอเธอจุดความหวังให้ยั่งยืน เก็บใจฝืนอาวรณ์สะท้อนทรวง โปรดกลับมาแต่งคำเริงรำร่าย สื่อความหมายปลายฝันสวรรค์สรวง ส่องแสงเด่นเช่นดาวสกาวดวง หวานดั่งรวงผึ้งรินกวินมา สักเพียงนิดสามวรรคสลักพจน์ บริบทกลอนอบอุ่นทรงคุณค่า รัก ห่วงใย ธรรมชาติ ปรัชญา ฉันคิดว่า เธอยังมีสิ่งดีพอ!ฯ อริญชย์ ๑๒/๕/๒๕๕๕
ในวันที่เหงากับฝนที่หล่นพรำ.. วันที่นกยักษ์บินไม่ได้.. วันที่ชีวิตเป็นของเรา.. ไม่ได้อยู่บนนิ้วไกปืนของศัตรู นอนบนเปลญวน เหงาจับหัวใจ.. ก่อนเคยมีเธอให้คิดถึง.. พอทำให้ชีวิตพอมีความหมายบ้าง แต่วันนี้..ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไปตามวิถี ทางสายเก่า...จึงโดดเดี่ยวอ้างว้าง ในหัวใจ คงเหลือแต่ผู้หญิงคนเดียว.. ภาพความหลัง ครั้งเยาว์วัยฉาบผ่านเข้ามา ................ เพราะต้องการให้ฉันแข็งแกร่ง แม่จึงเฝ้าดูอยู่ห่างๆอย่างห่วงใยในบางครา แม่ทำโทษยามที่ฉันทำผิด แต่ฉันเห็นแม่เสียน้ำตาทุกครั้ง รอยหม่นหมองบนใบหน้า เสียงร้อง..หยาดน้ำตาของฉัน บาดหัวใจแม่ให้เจ็บปวด รอยยิ้มของแม่มีน้อยนัก ที่จะปรากฏให้ฉันเห็น ด้วยทุกข์ท้นแห่งภาระอันหนักอึ้ง หาใช่เพราะเบื่อหน่ายเกลียดชังแต่อย่างใด แม่จึงเป็นดั่งแสงสว่าง... คอยชี้ทางให้ฉันเดินไปอย่างเชื่อมั่น และเป็นราตรีกาล ให้ฉันได้พักนิ่งชั่วขณะ เพื่อที่จะให้มีพลังก้าวเดินต่อไป ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน ในสนามรบหรือยามสงบเงียบงันเช่นนี้ คงมีแต่แม่ที่เป็นดั่งความรัก หนึ่งเดียวหนึ่งหญิงที่มีอยู่บนโลกใบนี้ และเป็นชีวิตแห่งฉัน.. .............. สายฝนที่หล่นพรำ.. เป็นน้ำตาของแม่หรือเปล่านะ.. แม่ครับ..วันนี้ผมเป็นลุกชายที่แข็งแกร่งของแม่แล้ว เป็นรั้วที่คอยป้องอริราชศัตรูของแผ่นดิน เป็นผู้พิทักษ์สันติแห่งราษฏร์ด้วยเกียรติ ชีวิตและศักดิ์ศรี ถึงไม่มีคนรักเพศเดียวกับแม่สักคน แต่ผมมีอ้อมกอดแ
** แม้นคราใด ใจเธอ พร่ำเพ้อหา หนักอุรา ในจิต คิดหวั่นไหว ความสำเร็จ นักสู้ อยู่ที่ใจ ด้วยเหตุใด ท้อแท้ ไม่แน่นอน เกิดเป็นคน ทายท้า ต้องกล้าสู้ ผิดเป็นครู มองเห็น เช่นคำสอน ความอดทน สร้างพลัง พึงสังวรณ์ มิคลายคลอน มั่นคง ตรงต่อกัน จะทำการ สิ่งใด ใจมุ่งมั่น มิไหวหวั่น ติดตาม สู่ความฝัน กำลังใจ เข้มแข็ง ร่วมแบ่งปัน รอเพียงวัน สมปอง เป็นของเรา เสริมพลัง ดวงจิต อย่าคิดท้อ เติมรักต่อ ในนาม แห่งความเหงา แสงความหวัง รุ่งราง ไม่บางเบา จะแนบเนา เคียงอยู่ คู่นิรันดร์ อุปสรรค ขวางกั้น ต้องฟันฝ่า สู้ทายท้า ก้าวไป ไม่โศกศัลย์ หากมัวเกรง สังคม ขื่นขมพลัน สิ่งสำคัญ สงบนิ่ง เหนือสิ่งใด ** เมื่อทุกอย่าง ไร้บ่วง ในดวงจิต ปรับความคิด ปล่อยวาง ให้ว่างใส สติตาม ปัญญาเฝ้า มองเข้าไป สุขที่ใจ ของเรา เท่านั้นเอง.......ฯ
เมื่อเธอท้อให้มองไปที่ข้างหน้า อย่าเพิ่่่งหมดแรงอ่อนล้า ถ้ายังไหว ทางข้างหน้าถึงลำบากแต่แค่กาย ถ้าเรามุ่งฝ่าฟันไปคงได้ดี
ผู้คอยให้ กำลังใจ ให้ความหวัง ผู้รับฟัง เรื่องสุข-ทุกข์-สงสัย ผู้เคยนั่ง ล้อมวง อย่างเปิดใจ "เพื่อน"ผู้ไม่ เคยห่างไกล จากใจเพื่อน เปรียบเพื่อนดั่ง ดาวใส ในคืนมิด แม้เมฆขาว ยาวชิด ปิดรอยเลื่อน กลบดวงดาว กลบแสง ที่เฝ้าเตือน แต่ไม่เคย ลางเลือน จากฟากฟ้า บางขณะ ริบหรี่ ฤาจะดับ บางจังหวะ ระยับ กระจับตา ปลุกพลัง ผลักหัวใจ ยามอ่อนล้า ให้ร้อนแดง แรงกล้า มีกำลัง สรุป"เพื่อน" คือดาว ที่พราวแสง คือเรี่ยวแรง ส่องแสง ยามพลาดพลั้ง คอยกระพริบ กระซิบเตือน เมื่อสิ้นหวัง คิดถึงเพื่อน ทุกครั้ง นั่งมองดาว