กลอนเหงา

เหงาใจ วัน “วาเลนไทน์”

คนบางบอน


อยากมอบดอก กุหลาบให้ ใครคนหนึ่ง
คนที่เรา แอบซึ้ง รำพึงหา
หลายคราวที่ ได้พบ ได้สบตา
ยังมิกล้า จะเอื้อนเอ่ย  เผยความนัย
แอบหวังว่า วาเลนไทน์ ในปีนี้
ดอกไม้แห่ง ไมตรี คงมีให้
คนที่เรา แอบปลื้ม จนลืมใคร
จะปันใจ มาบ้าง อย่างยินดี
ถ้าบอกรัก เธอได้ จะไม่ท้อ
นี่ต้องรอ ยั้งใจ กลัวหน่ายหนี
คนเดียวดาย เหว่ว้า มาหลายปี
คงไม่มี วาสนา ตีตราจอง
ดอกกุหลาบ ในมือ ที่ถืออยู่
จึงไม่รู้ จะให้ใคร ใจหม่นหมอง
วาเลนไทน์ ผ่านผัน ตามครรลอง
คนไร้คน เหลียวมอง หมองหัวใจฯ
สมยศ  เปียสนิท

วาเลนไทน์ยังรอเธอ

คอนพูทน


เวียนรอบครบอีกคราวาเลนไทน์
วันที่ใครต่อใครเขาปล่อยของ
ปีนี้รัฐรณรงค์จงปรองดอง
จักปอสี่มอสอง เอ้า.!.เชิญซน
จึง “ถุงยางอนามัย” ให้จ่ายแจก
แหลกแน่แน่งานนี้ปี้แล้วป่น
หกสิบล้านชิ้นลั่นแทนกันชน
โอ้ช่างคิดหนอคน..ใครคนคิด?
ดีเลวเสริมหรือสร้างเปิดทางแผล
อนาถแท้ผิดถูกลืมถูกผิด
ลืมศีลธรรมจริยธรรมนำชีวิต
กลับหลอนจิตลากจงลงเหวลึก
สำหรับฉันนั้นแสนน่าอดสู
ใช่กร่อนสึกยังสู้แถมรู้สึก
แต่อย่าแจกหลอกใจพาให้คึก
แค่เพียงตรึกพลางตรอง..มองไปใน
แม้นรับของมาครั้นปัญหาแน่
แย่จริงหนอของนี้ปล่อยที่ไหน?
ที่สำคัญฉันนี้ไม่มีใคร
วาเลนไทน์จึงท้อพ้อรำพัน
เสียใจด้วยหวังดีที่รัฐมอบ
ขอบคุณมาอย่างมากจากใจฉัน
“ไม่ได้ตั้งใจโสด” โปรดรักปัน
ช่างหัวมันหากแม้..กำพร้าเมีย ๚ะ๛
คอนพูทน

วาเลนไทน์ไม่มีใคร

กีตาร์เก่า


วาเลนไทน์ ปีนี้ คงเหี่ยวเฉา
เพราะว่าเรา ตอนนี้ ไม่มีแฟน
ทั้งเพื่อนพี่ ญาติเรา เสียใจแทน
ไม่มีแฟน ให้ดอกไม้ กันและกัน

๏ รัก ๚ะ๛

บินเดี่ยวหมื่นลี้


๏ ดาริกาพร่างพราวท่ามราวสรวง
หากหนึ่งดวงเปรียบ " รัก " แทนอักษร
ท่ามไพศาลแห่งคำท่วมอัมพร
เพียงหนึ่งตอนแห่งรักอักษรา
มวลสุมาลย์บานช่อล้อลมหนาว
เบ่งบานพราวท่ามดงพงพฤกษา
เทียบ "คิดถึง"ห่วงใยคนไกลตา
ก็เกินกว่าสลักสาส์นบนบานใบ
"คะนึงหา"รัดล่ามทุกยามย่าง
อุษาสางตราบพลบกลบแสงใส
ห้วงอนันต์ยาวนานสักปานใด
ยังตรึงในห้องทรวงทุกช่วงกาล
ป่าเหนือเริ่มจางหายริ้วสายหมอก
คล้ายบ่งบอกความคำลำนำสาส์น
นับแต่นี้ลมหนาวที่ยาวนาน
จักพ้นผ่านเถื่อนถิ่นจนสิ้นรอย
แม้นสายกาลผ่านวนเปลี่ยนหนห้วง
ทุกคาบช่วงโศกเศร้าและเหงาหงอย
มิเคยโลมไล้พงทาบดงดอย
ด้วยเรียมคอยโอบอุ่นละมุนทรวง
ลมหนาวลาเถื่อน-กรุงครารุ่งสาง
ม่านหมอกจางลับแคว้นลาแดนสรวง
หวังโอบอุ่นดวงมนปราศกลลวง
มิผันล่วงตามกาลที่ผ่านไกล
ทุกเศษเสี้ยวดวงขวัญผูกพันน้อง
เกินกู่ก้องร้องร่ำความคำไหน
พรรณนาความรักประจักษ์ใจ
ได้ยิ่งใหญ่เลิศล้ำกว่าคำ "รัก" ๚ะ๛

กุหลาบแดง

คนกรุงศรี


กุหลาบแดงนั่งปล่อยจิต คิดไป ในอดีต
ดังคมมีด กรีดยับ ทับรอยแผล
เวลาผ่าน นานวัน ที่ผันแปร
เหลือเพียงแต่ กมล คนเดียวดาย
วันความรัก ก่อนเอ๋ย เคยสุขสม
เฝ้าชิดชม กุหลาบ ทราบความหมาย
เป็นสิ่งเตือน เยือนไว้ แทนใจกาย
มิเคลื่อนคลาย คงมั่น  คำสัญญา
ฟ้ากลั่นแกล้ง สาสม พรหมลิขิต
หรือเพราะความ ตามจิต ริษยา
หรือกรรมเก่า เขากำหนด หมดบุญพา
จึงต้องลา จากกัน นิรันดร
กุหลาบแดง หลายปี ไม่มีแล้ว
เหลือเสียงแว่ว วาจา คราออดอ้อน
เมื่อคิดหวน ทวนไป ใจร้าวรอน
อยากถ่ายถอน หมองหม่น ให้พ้นใจ
กุหลาบแดง ช่อเก่า เหี่ยวเฉากรอบ
กลีบร่วงรอบ แจกัน อันสวยใส
เมื่อเหลียวดู รู้ตาม เนื้อความนัย
รอช่อใหม่ ใครบ้าง อยากวางแทน
ยังเฝ้ารอ ช่อใหม่ ล้างใจหม่น
อย่าให้ทน หมองเศร้า เหงาใจแสน
แม้ผู้ใด เมตตา อย่าดูแคลน
วางขึ้นแท่น ที่หนึ่ง ด้วยซึ้งทรวง

ณ ที่นี่ ที่ชั้นสามของความเหงา

คืนแรมสามค่ำหน้าร้อน


ณ ที่นี่ ที่ชั้นสามของความเหงา
แดดลบเงามืดหมองมองไม่เห็น
ความสว่างไม่สนใจไม่จำเป็น
ใจลำเค็ญมันหมองตามความหม่นมัว
อยู่เงียบๆอับๆมืดชืดหม่นๆ
ไม่ทุรนอยู่เงียบเหงาเงาสลัว
อยู่ที่มืดไม่หวั่นไหว ไม่นึกกลัว
เกลือกกลั้วกับความเหงา เราคือมัน
ที่ชั้นหนึ่ง แค่เหงามากอยากมีเพื่อน
อยากให้เยือนยิ้มยั่วเย้าเข้าใจฉัน
ได้มีเพื่อนก็สบายหายเหงาพลัน
เหงาแค่นั้นชั้นต้นทุกคนเป็น
ณ ชั้นสองของความเหงา
เมื่อรักเย้าหยอกยั่วหัวใจเล่น
เหงากระหน่ำค่ำถึงเช้ายาวอีกเย็น
อยากจะเห็นแต่หน้าเขา เจ้าของใจ
แต่ ที่นี่ที่ชั้นสามของความเหงา
เป็นโลกที่ ไม่ใช่เศร้าอย่างเข้าไส้
แค่เศร้าๆอย่างคนที่ไม่มีใคร
แต่ก็ไม่มีบรรเทาหรือเบาบาง
ไม่เศร้าสักเท่าไร แต่ไร้สุข
ไร้สนุกไม่สุกใสใจหมองหมาง
อัดอึดอัด ขัดข้องคุดสุดละวาง
ใจอ้างว้าง มันหยุดลงตรงที่รอ
เหงา.. ไม่รับรู้ว่าเวลาผ่าน
ความนาน.. หยุดนิ่งไปเมื่อใจท้อ
หากใจใดโดนเหงาผ่านมานานพอ
ใจนั้นก็ชาเชือนเหมือนไร้ใจ
ณ ชั้นสามของความเหงา
แดดลบเงามืดหมอง นั่งร้องไห้
โดยไม่รู้ สาเหตุเลศนัย
เพราะเหตุใดไม่รู้เลย..  ไม่เคยรู้..

แรกรัก...แรกเจ็บ

หญิงบ้า


อารมณ์รักเป็นเช่นไรไม่รู้จัก
ยามอกหักเจ็บเพียงใดไม่รู้เห็น
ดวงตาบอดเพราะรักไม่เคยเป็น
หัวใจเต้นเมื่อเจอใครไม่พบพาน
แล้ววันหนึ่งกามเทพเล่นตลก
เล็งตรงอกแผลงศรจนอ่อนหวาน
ฉันมีเธอคู่คิดจิตสำราญ
ทอสายใยเบ่งบาน ณ ลานใจ
หารู้ไม่เธอแค่เหงาเข้ามาคบ
ไม่คิดสบสายตาให้หวั่นไหว
คุยกับฉันแต่มีเขาอยู่ทั้งใจ
เอ่ยคำรักทำไมหากไม่จริง
หรือเพราะเขาเผลอทำเธอช้ำชอก
คำที่บอกเพียงก่อกองไฟผิง
ฉันเป็นตัวแทนเขาเคล้าแอบอิง
ทำทุกสิ่งลงไปใยไม่ตรองรู้บ้างไหมใครคนหนึ่งคิดลึกซึ้ง
เมื่อวันลามาถึงจึงหม่นหมอง
หยาดความเศร้าเข้ามาน้ำตานอง
แก้มทั้งสองเปรอะเปื้อนคราบคำคน
จนเผลอตนทำไปดูไร้ค่า
ยังอุตส่าห์ห่วงใยแม้ไม่สน
รู้ทั้งรู้ใจเธอช่างวกวน
แค่หนึ่งคนหนึ่งใจไม่น่าจำ
ใยถึงยังอยากยืนอยู่เคียงข้าง
ในยามเธออ้างว้างชวนยิ้มขำ
ความรู้สึกปวดร้าวขอเก็บงำ
ไม่แสดงความช้ำจากภายใน
ความผูกพันวันนี้ยังมีอยู่
คอยเฝ้าดูทุกก้าวคราวเคลื่อนไหว
ภาวนาให้ลืมเธอได้เร็วไว
ให้หัวใจแรมร้างเหลือเพียงเงา
ขอส่งใจให้เธอมีแรงสู้
มีแรงอยู่แม้วันนี้อาจไร้เขา
เหมือนที่ฉันฝืนอยู่แม้ไร้เรา
ก็แค่เหงาเหมือนเดิมไม่เป็นไร
ฉัน  :     ^_^
เธอ  :      -  -
ฉัน  :     ^_^
เธอ  :      -  -
........................
.......................
........................
.......................
......................
( ฉัน :   T_________T   )

คนหนาวทรวง

คนกรุงศรี


มองจันทร์เสี้ยว เกี่ยวฟ้า คราลมล่อง     คนหม่นหมอง รำพึง ถึงความหลัง
ค่ำนี้ทน ทั้งหนาว ร้าวใจจัง      เรไรดัง ดั่งเหมือน มิเลือนไกล
หนาวแบบนี้ ปีก่อน เคยอ้อนเจ้า     เมื่อสองเรา เคียงกัน ชมจันทร์ใส
เจ้าหนาวเนื้อ พี่มี แพรสีไพร    หยิบคลุมไหล่ ให้นาง แนบข้างกาย
แล้วจันทร์เสี้ยว เลี้ยวลง ตรงทิวไผ่       ลาลับไป ปล่อยดาว ให้พราวฉาย
กลิ่นดอกแก้ว ละมุน กรุ่นกำจาย            แว่วเสียงคล้าย ขลุ่ยบรรเลง เพลงราตรี
จากวันนั้น ถึงวันนี้ หลายปีพ้น      เมื่อไร้คน เคียงใจ ไม่สุขี
ทุกหนาวเยือน เตือนใจ ในทุกที      ถึงคนที่ จากไกล แล้วไม่คืน
สัญญามั่น วันก่อน ตอนเคียงใกล้     ทุกถ้อยคำ จำได้ ไม่เป็นอื่น
รักของเรา คงยัง ต้องยั่งยืน     จะขมขื่น ปวดเจ็บ เก็บในมาน
ลมหนาวมา ครานี้ อีกปีแล้ว     ยังไร้แวว คนใด ใคร่สงสาร
คงจะเจ็บ เหน็บหนาว อีกยาวนาน     เขียนกลอนกานท์ ปลอบตน คนหนาวทรวง
คนกรุงศรี ฯ
๐๒/๑๒/๒๕๕๔

แสงจันทร์...

คีตากะ


ควันเบาบางจากกองไฟจวนใกล้ดับ
แสงดาววับแวมวาวราวห้วงฝัน
ค่ำคืนดึกราตรีมีแสงจันทร์
พระพายผันโอบกอดพรอดวิกาล
ถนนเวิ้งฟ้าว่างร้างสรรพสิ่ง
เพลงเหงาอิงแอบใจไหวขับขาน
ลมหนาวครวญแผ่วมาพร่าดวงมาน
ปลุกวิญญาณที่หลับใหลให้ฟื้นตื่น
บุรุษหนุ่มสำอางพลางผมขาว
สตรีสาวกลับชราหาขัดขืน
กาลเวลาล่วงลับกับวันคืน
ค่อยกินกลืนสรรพสิ่งจมดิ่งลง
ชั่วพริบตายี่สิบปีที่ผ่านพ้น
มาตรยากดีมีจนบนความหลง
สะลึมสะลือชีวิตติดพะวง
เพียงฝุ่นผงเข้าตาจนพร่าลาย
คิดถึงกานต์คนไกลแต่ใกล้จิต
เผชิญชีวิตเยี่ยงไรในจุดหมาย
คิดถึงมิตรใกล้ใจแต่ไกลกาย
ดีฤาร้ายอย่างไรได้พบเจอ
พ.ศ.เปลี่ยนเปลี่ยนใจไปด้วยไหม
หลงลืมใครคอยหวงห่วงเสมอ
พ.ศ.ใหม่ใช่ใหม่คนคอยปรนเปรอ
ปล่อยใจเพ้อเหงาหงอยคอยสบตา
เพียงรับรู้ภายในใช่ไกลห่าง
ทุกเส้นทางคิดถึงคำนึงหา
หวังเพียงเธอพบสุขทุกเพลา
รับรู้ว่ามีฉันนั้นห่วงใย
ขอคุณพระคุ้มครองอย่าต้องเศร้า
ช่วยปัดเป่าพาลผองล่องขับไส
สิ้นโรคาพยาธิทุกปีไป
ถึงปีใหม่ใสสุกปราศทุกข์ทน
ท้าย ป.ล.ต่อด้วยรักและคิดถึง
ฝากเพลงซึ้งกล่อมมาเวหาหน
จากใครที่ห่างไกลใกล้กมล
ส่งถึงคนที่รักและภักดี....

คืนฟ้าเหงา

อินสวน


ณ ฟากฟ้าคืนหนาวดาวหม่นหมอง
ลมหนาวต้องใจกร้านสะท้านไหว
จึงไม่อาจซ่อนเร้นความเป็นไป
แม้สายเกินแก้ไขยังใฝ่คืน
มองราวฟ้าห่างไกลห่วงใยยิ่ง
จากใจจริงสัมผัสยากขัดขืน
ความหวังดีแต่หลังคงยั่งยืน
ไม่เคยแปรเป็นอื่นแม้สักครา
ฝากลมหนาวเล้าโลมไปพรมพรอด
ฝากอ้อมกอดยืนยันในฝันหา
ยิ้มทักทายฝากไว้กับจันทรา
ฝากดาราสบตาสัญญาใจ
ณ ฝั่งฟ้าพร่างพราวเห็นดาวตก
ยืนกอดอกเหว่ว้าน้ำตาไหล
คิดถึงลุ่มเจ้าพระยาห่วงอาลัย
อุทกภัยคลี่คลายแล้วหรือยัง
กาสะลองหอมบางน้ำค้างหยด
ยังไม่หมดหลงใหลในมนต์ขลัง
ปรารถนารักยิ่งยังจริงจัง
แม้เขาชังร้างรายังอาวรณ์

* * * น้ำตา ใต้แสงดาว ^^" * * *

หิ่งห้อยน้อยใจ


ณ ค่ำคืน วันเพ็ญ เดือนสิบสอง
ริมฝั่งคลอง ผู้คน สนุกสนาน
เดินเคียงข้าง กันอยู่ ดูชื่นบาน
ภายใต้ลาน ดวงดาว พราวนภา
ได้แต่มอง ดูเขา เราเศร้าหมอง
ไร้คนครอง เช่นเขา เราไฝ่หา
เฝ้าคิดถึง คนไป ไกลสายตา
เขาไปหา คนอื่น ขมขื่นจัง
จมอยู่กับ สายน้ำตา พาช้ำจิต
ต้องแรงฤทธิ์ ความรัก ชักหมดหวัง
ในคืนเพ็ญ ถูกทิ้งไว้ เพียงลำพัง
เหมือนถูกฝัง ภายใต้ สายน้ำตา
เขาจะรู้ บ้างไหม ใครเจ็บช้ำ
จึงได้ทำ ไม่สนใจ ไม่ห่วงหา
ไม่มีแม้ สักนิด คิดนำพา
โทรกลับมา ให้รู้บ้าง ยังห่วงใย
ได้แต่คิด เสียใจ ในคนรัก
ไม่อาจหัก ใจจากเขา เราอ่อนไหว
ได้แต่เฝ้า คิดถึงเขา แล้วเศร้าใจ
เหมือนเป็นคน ไร้ค่า ไม่น่าจำ
เขาทั้งคู่ คงอยู่ อย่างมีสุข
เราได้ทุกข์ มากำนัล มันเจ็บช้ำ
มีรอยยิ้ม  ที่กล้ำกลืน ฝืนใจทำ
ถูกเหยียบย่ำ จิตใจ ให้ระทม
เขาจะคิด บ้างไหม ใครรออยู่
เขาจะรู้ บ้างไหม ใครขื่นขม
จะรู้ไหม มีใครรอ อย่างตรอมตรม
มีใครจม กับดักรัก ปักดวงใจ
น่าอนาจ ใจจัง ทั้งที่รู้
ก็ยังสู้ รักเขา เฝ้าหลงไหล
แม้จะรู้ ว่าเขา ไปเอาใจ
และห่วงใย คนที่ เขามีกัน
พาดวงใจ  แหลกสลาย กลับไปบ้าน
พาความราญ ร้าวใจ กลับไปฝัน
พาความทุกข์ ถมใจ ไปจาบัลย์
พาร่างอัน บอบช้ำ กลับรังนอน  ๚ะ๛

ยอมแล้ว

คนกรุงศรี


สี่ห้าสิบ ปีก่อน ตอนนั้นหนุ่ม
พอเข้ากลุ่ม กับใคร ก็ได้ผล
เพราะเรือนร่าง หน้าตา เมื่อครายล
จัดเป็นคน รูปงาม ตามมุมมอง
คนเห็นชม สมพิศ อยากชิดใกล้
สาวอยู่ไกล สะกิดแม่ เหลียวแลจ้อง
ทั้งวาทะ ท่วงที มีทำนอง
เขียนร้อยกรอง กาพย์กานท์ ก็หวานจัง
แต่มิเคย ทำให้ ใครชอกช้ำ
อีกถ้อยคำ เชื่อได้ ไม่ผิดหวัง
เพื่อนหญิงชาย หลายหน้า มาประดัง
นี่คือยัง เมื่อตอน ที่อ่อนวัย
พอวันนี้ ปีเดือน มันเคลื่อนผ่าน
แสนเนิ่นนาน เวลา อายุขัย
ก็พูนเพิ่ม เติมกัน ทุกวันไป
ทุกอย่างเวียน เปลี่ยนใหม่ ไม่เหมือนเดิม
ผมเคยดก ดำกลับขาว ราวดอกอ้อ
ฟันหลุดหรอ ใบหน้า ตีนกาเพิ่ม
ความสง่า ลาไป ไม่ต่อเติม
ต้องคอยเสริม หยูกยา มาบรรเทา
แม้คารม คมถ้อย ไม่ถอยหนี
ถึงวลี กลอนกานท์ หวานกว่าเก่า
แต่สู้คน หนุ่มไม่ได้ ไฟมันเบา
ทำใจนะ ตัวเรา……. ทนเหงาไป

หนักใจ

คนกรุงศรี


อยากบอกเขา เราหนอ ทดท้อนัก
สุดอึกอัก หนักใจ ไม่ประสา
ตั้งหลายคำ เตรียมไว้ ในอุรา
แต่มิกล้า บอกเขา ให้เข้าใจ
ความรู้สึก นึกคิด ผิดสังเกตุ
หาสาเหตุ ที่แท้ อยากแก้ไข
คิดถึงบ่อย คอยหา มาเมื่อใด
สุดห่วงใย ไม่เจอ นั่งเหม่อลอย
แต่พบหน้า คราใด ยิ่งไหวหวั่น
มือไม้มัน เกะกะ อยากจะถอย
เขาไม่ถาม ไม่ไถ่ ดั่งใจคอย
สุดเหงาหงอย รู้ว่า น้ำตาริน

“ตะวันลับฟ้า”

สุนันยา.


“ตะวันลับฟ้า”
*****
สุรีย์ใกล้ ลับลง ตรงขอบ(ภู)เขา
วิหคเฝ้า โบยบิน คืนถิ่นฐาน
ไผ่เสียดก่อ พลิ้วไหว อยู่ใกล้ธาร
เย็นลมผ่าน รวยรื่น ฉ่ำชื่นจินต์
*****
เสียงหรีดหริ่ง เรไร ทักทายทั่ว
ยามฟ้าหลัว ตะวันคล้อย ลอยลับถิ่น
ดั่งบทเพลง กล่อมสรวง ห้วงเมฆินทร์
เคล้าเสียงริน หลั่งไหล สายธารา
*****
เมื่อแสงสูรย์ ลับลา จากฟ้ากว้าง
ดาวระยิบ พราวพร่าง กลางเวหา
ดาระดาษ สาดส่อง ท้องนภา
แทนแสงจันทร์ ที่ลา คราข้างแรม
*****
ได้แต่คิด ครวญคำ ลำนำเศร้า
ความเงียบเหงา ทับถม ระทมแต้ม
ถึงคู่เย้า เคยหยอก บอกรักแซม
ประคองแก้ม เชยชิด จูมพิศปราง
*****
สัญญาใจ ฝากฝัน จะมั่นรัก
ไม่เหหัก ห่างหาย ให้หม่นหมาง
แต่..บัดนี้ ไฉน ไกลเลือนราง
ลืมรักที่ เคยสร้าง เส้นทางใจ
*****
โอ้..รักเอย เปลี่ยนผัน ไม่หันกลับ
ตะวันลับ ยังคืนมา ชื่นฟ้าใส
คนเคยรัก ปักทรวง ห้วงหทัย
กลับไม่เหลือ เยื่อใย มอบให้กัน....
*****
“สุนันยา”

พังพ่ายสิ้น ภินท์พังทั้งชีวา เกินเยียวยากว่ายับยั้งพังยับเยิน

คืนแรมสามค่ำหน้าร้อน


คุณ Many_love กับคุณ din เขามาเขียนปลอบใจไว้ในบทที่แล้ว
นักลอนลิเกเจ้าน้ำตาอย่างผม จึงดิ้นหนีไปเรื่อย
ขอบคุณในน้ำใจนี้ ที่รินหยด
รินราดรดดวงฤดีที่หมองไหม้
หากใจป่วย พลิกฟื้นคืนเมื่อใด
จะชดใช้ร้อยคำกรองสนองคุณ
แต่หนนี้ใจป่วยหนักด้วยรักปลิด
เอาชีวิตแทบไม่รอดวอดวายวุ่น
ไม่อาจรับความเมตตาเกื้อการุณ
ขมใจขุ่นอยู่ยั้งอย่างยั่งยืน
ยังดื่มกินความขมขื่นหมื่นแสนคำ
ตอกและย้ำช้ำตรมที่ขมขื่น
รินหลาม.. ความมืดดำให้ค่ำคืน
กว่ากล้ำกลืนขืนข่มตรมน้ำตา
กี่คำปลอบไม่อาจปลดให้หมดปวด
ยังร้าวรวด รักรานประหารฆ่า
พังพ่ายสิ้น ภินท์พังทั้งชีวา
เกินเยียวยากว่ายับยั้งพังยับเยิน
เปรียบฉันเป็นนกน้อยไม่ใหญ่นัก
เคยมีรักหนุนจินต์ให้บินเหิร
ก็บินเที่ยวบินทั่วมัวแต่เพลิน
หยอกๆเอินท้องฟ้าชะล่าใจ
เมื่ออกหักรักตระบัดเหมือนตัดปีก
ไม่อาจหลีกบินหนีไปที่ไหน
ตกลงพื้น ใจระรัวหวาดกลัวภัย
ตาอาลัยยังมองฟ้าอย่างอาวรณ์
เศร้าเมื่อความรักวาย ไม่หายเศร้า
เหงายิ่งเหงา ทบทวีไม่มีถอน
ทำได้แต่แค่วุ่นเวียนเขียนคำกลอน
ที่ยิ่งย้อนกระหน่ำย้ำ ตำใจตน

ชมนก -- อกตรม

ฤกษ์ ชัยพฤกษ์


พิราบร่ำคำนึงถึงใครนั่น
เคล้าคู่กันหยอกล้ออยู่ต่อหน้า
ฤาพิลาปเป็นเพียงเสียงโกญจา
เจ้าบินมาเยี่ยมเยือนเหมือนดังเคย
ขอบคอนโดสูงลิบชั้นสิบสอง
นั่งเมียงมองนกคู่ดูเปิดเผย
มาเย้าหยอกบอกรักพักก่ายเกย
พิราบเอ๋ยเจ้าไม่รู้ผู้เฝ้ามอง
อิจฉานกอย่างนี้ยังมีคู่
ใจอดสูตัวตนทนหม่นหมอง
คนไร้ค่าหาใครอยากได้ครอง
ต้องนั่งมองอิจฉานกพกเศร้าตรม
ใจเจ้าเอ๋ยเคยรักมอบภักดี
หลายขวบปีหวานชื่นกลายขื่นขม
นิราศร้างห่างหายไกลชู้ชม
โศกระบมทุกข์ครองมองนกบิน

ในความเงียบ

ร้อยฝัน


ในความเงียบยิ่งเงียบหาเปรียบได้
ไร้ดวงไฟไร้ความฝันในวันเหงา
ไร้มือกุมไร้อ้อมกอดอ้อนออดเรา
มีเพียงเงาในความเงียบอันเยียบเย็น
มืดกว่ามืดเกินกว่าจะหาเปรียบ
กายเย็นเยียบใจร้อนรนปนทุกข์เข็ญ
ไร้แสงทองส่องสว่างทางลำเค็ญ
เหมือนฉันเป็นอากาศธาตุล่องลอย
สองเข่าคู้หน้าซุกซบไม่อบอุ่น
ใจยังกรุ่นอาฆาตไม่อาจถอย
ผ่านปีเดือนเลื่อนวันฉันจะคอย
เพื่อย้ำรอยเจ็บช้ำระกำใจ
ออกไปเถิดความเหงาอย่าเย้าเล่น
เหมือนดังเช่นเคยมาอย่าได้ไหม
ฉันหยุดความใจบางอย่างบางใคร
นี้ต่อไปใจดวงนี้จะดีเอง
หน้า / 9  
ทั้งหมด 143 กลอน