เมื่อเราเลิกรากันในวันนี้ อย่าได้มีพบกันใหม่ให้เสียหาย ยอมฉันยอมถอนสลักรักคลอนคลาย เธอสมหมายมานภิรมย์-ฉันตรมจินต์เยื่อใยรักเรานั้นขาดกันแล้ว ขออย่าแคล้วมารวมอยู่ร่วมถิ่น ก็เขาดั่งดาวเดือนมาเยือนดิน ฉันยอมผินหน้าตรอมพร้อมน้ำตาลืมรุ้งทองอาบเกล้าแห่งเราสอง เพลงไผ่พร้องปวดแปลบและแหบพร่า ยะเยือกเยียบโถมประดังทั้งกายา แต่ทว่ารักและห่วงเต็มทรวงในผิดที่ฉันเสียเวลามาพร่ำเพ้อ เมื่อยามเธอร้างรักเหมือนตักษัย โอ้ตัดเอยตัดสวาทขาดจากใจ เพียงอาลัยก็เกินเธอเมิลมองดอกไม้ที่เธอให้ในวันนั้น ดูจาบัลย์เหมือนกมลที่หม่นหมอง ยามเห็นเธอชื่นชูกับคู่ครอง พลันฉันต้องเดินผละ ณ บัดนั้นไม่มีแล้วจันทร์แจ่มแอร่มจิต และชีวิตคู่งามในความฝัน เรากลายเป็นผู้ไม่รักรู้จักกัน พร้อมสัมพันธ์ซึ่งไม่มีแต่นี้ไป ..................................................... ด้วยความปรารถนาดี
แววตาใสเอ่อล้นปนคำถาม ทุกโมงยามเฝ้ารอพ่ออยู่ไหน! หนูรอแม่เฝ้าคอยอย่างน้อยใจ ทอดทิ้งหนูจากไปทำไมกัน หนูโหยหาอ้อมแขนแสนอบอุ่น หมายนอนหนุนตักแม่แท้จริงนั่น อ้อมแขนพ่ออุ่นไหมใจเล่งวัน มีวันนั้นหรือไม่...ใจอยากรู้ ยามค่ำคืนยืนดูหนูมองฟ้า ขอองค์แถนเทวาเมตตาหนู กอดตุ๊กตาไร้สีรูปหมีพลู นอนคุดคู้หมองเศร้าเขาทิ้งลง เป็นความคิดจากใจที่ไร้เสียง แม่ลำบากหากเลี้ยงจึงเขวี้ยงส่ง พ่อละคะเหตุใดไม่มั่นคง หรือประสงค์เห็นหนูอยู่แบบนี้ ปากอยากเรียก "พ่อแม่" แค่สักครั้ง อยู่ด้วยหวังวาดไว้ไร้วิถี มองครอบครัวคนอื่นชื่นฤดี เขาคงมีความสุข....ทุกข์คือเรา แกงเขียวหวาน
๏ ทะมึนเทาเงาหม่นครองหนห้วง ก่อนโรยร่วงหยาดสายจากปลายหน ลมกรรโชกโยกไผ่เอนไหวตน กลางสายฝนถั่งโถมประโลมไพร เส้นสายฟ้าวาบวับแล้วดับหาย ก่อนจักกลายเสียงลั่นสนั่นไหว เฉกดวงขวัญสั่นรัวทั้งหัวใจ ที่แกว่งไกวด้วยรักที่หักราน หม่นทั่วทิศเถินทางกลางพรรษา ในอุราเกินร่ำถ้อยคำขาน ยิ่งฝนหลั่งรินร่วงทุกช่วงวาร ทรมาน..ชอกช้ำอยู่ลำพัง จากรักมั่น..สัญญาตราบฟ้าสิ้น แม้แผ่นดินเลือนลบลงกลบฝัง จะมั่นหมายแอบอิงมิชิงชัง กลับพ่ายพังยับลงเป็นผงคลี เฉกสุมาลย์รานงามไปตามช่วง แม้ฝนร่วงรดริน..ก็สิ้นสี เมื่อความรักร้างไรคนใยดี กี่ขวบปีผันผ่าน..ก็รานงาม มีเพียงสายฝนฉ่ำที่ร่ำสาย ความเดียวดายคอยย้ำตั้งคำถาม จักผ่านพ้นหม่นมัวกี่ชั่วยาม ฤๅจักล่ามเงื่อนมั่นพันธนา มิมีคำตอบวางรายทางเถิน ที่ย่างเดินดั้นด้นเฝ้าค้นหา ท่ามหยาดหยดน้ำฝนปนน้ำตา เกินรู้สารู้สึกรำลึกใด?? เส้นสายฟ้าวาบวับแล้วดับหาย ก่อนจักกลายเสียงลั่นสนั่นไหว เฉกความเจ็บปวดช้ำที่งำใจ ยังก้องในทรวงนั้นนิรันดร๚ะ๛
คืนนี้ไร้ข่าวดาวหนึ่ง (กลอน ๖) มืดมน หนทาง ข้างหน้า ดั่งมา เดินเดี่ยว เปลี่ยวจิต เป็นห่วง อย่างยิ่ง มิ่งมิตร อยู่ทิศ ทางใด ไร้เงา เงียบงัน วันคืน ขื่นขม ตรอมตรม สิ้นหวัง นั่งเศร้า จันทร์ใส คล้ายครึ้ม ทึมเทา หรือเขา ลืมเลือน เพื่อนกัน เห็นดาว ร่วงฟ้า คราดึก วาบลึก ทรวงใน ไหวหวั่น เคยเขียน ถ้อยคำ รำพัน แบ่งปัน น้ำใจ ไมตรี คืนนี้ ไร้ข่าว ดาวหนึ่ง ผู้ซึ่ง เคยส่อง ผ่องศรี แต่งคำ โบยบิน ยินดี เป็นที่ สรวลเส เฮฮา หรือต้อง สิ้นแล้ว แววฝัน ปล่อยฉัน เฝ้าตาม ถามหา คอยหวัง กลืนกล้ำ น้ำตา มองฟ้า ไร้ข่าว เปล่าดาย เพียงนิด ส่งข่าว คราวบ้าง อย่าร้าง เลือนให้ ใจหาย โปรดเปล่ง แสงดาว พราวพราย ทักทาย ฉันเถิด เปิดทาง!ฯ อริญชย์ ๑๖/๗/๒๕๕๕
อย่าร้องไห้เสียใจไปเลยน้อง พี่หมายปองเดินทางอย่างชาติทหาร ศึกผจญผองริปูผู้รุกราน ด้วยเชิงชาญณรงค์รบทบธรณีทุ่มแรงกาย กำลังนี้ทั้งหมด สร้างทางสู่อนาคตอันสดศรี บ้านเราจักปลอดภัยในเสรี ทั้งวันนี้ พรุ่งนี้ ตราบนิรันดร์พี่จ๋า นับเวลาผ่านปีหรี่ตาฝัน ในวงแวดผุดผ่องของนวลจันทร์ ในเพชรพรรณแสงพราวของดาวพรายพี่กลับมาที่นี่ที่อบอุ่น เขนยหนุนน้ำจิตมิตรสหาย หลับลงกับนิยามของความตาย นอนอยู่ภายใต้หลุมหญ้าคลุมดินวีรกรรมความกล้าในคราก่อน อนุสรณ์ตรึงจิตชีวิตสิ้น เกียรติขจรเจือผสานสายธารริน ศักดิ์กสิณหอมในดอกไม้บานและแม้ว่าตัวน้องจะร้องไห้ ก็ภูมิใจยามพี่ยากลับมาบ้าน ไผ่เสียดสีบทเพลงวังเวงมาน เปล่งคำขานโศลกร่ำน้ำตานองกับอีกหลายหลายคนบนโลกนี้ ชีพยอมพลีเพื่อชาติเห็นไม่เป็นสอง ยอมฝังร่างภายใต้หินทรายรอง หลังปกป้องรักษามายาวนานนิทราเถิดพี่ยาใต้ฟ้าค่ำ ดาวจะร่ำโศลกแว่วผิวแผ่วผ่าน หลับจากสงคราม ท้อ ทรมาน อยู่ที่บ้านเรานั้นนิรันดร
เมื่อสิ้นรักสิ้นหวงก็สิ้นห่วง มิอาจท้วงทักไว้เพราะไร้หวัง มีแต่ทุกข์ถาโถมโหมประดัง จนเจียนคลั่งดั่งว่าเหมือนบ้าบอ จึงเป็นซากซากหนึ่งซึ่งเดินได้ ทุกห้องใจหม่นหมองเกินร้องขอ เจ็บกว่าเจ็บชอกช้ำน้ำตาคลอ จมอยู่กับการรอจนท้อใจ เพียงดอกไม้แหลกรานบนธารฝัน ทุกสิ่งพลันร้าวรอนราวอ่อนไหว ที่เคยหอมรวยรื่นชื่นหทัย กลับหม่นไหม้ขื่นขมระทมทรวง รอยอาลัยจากใจของใครหนึ่ง ยังซาบซึ้งด้วยแสนจะแหนหวง แต่พจน์ถ้อยร้อยร่ำน้ำคำลวง มันตามท้วงทวงถามความเป็นมา ทุกฝีเท้าก้าวย่างบนทางโศก วิปโยคหม่นไหม้ใจผวา ดุจเพลิงเผาเร่าร้อนรอนชีวา จึงเจ็บกว่าทุกทีที่ได้เจอ เพียงร่องรอยอาดูรพูนเทวษ บนเสี้ยวเศษความช้ำน้ำตาเอ่อ ความหวานชื่นดุจมนต์เคยปรนเปรอ ก็เผลอเรอทอดทิ้งมิจริงใจ กับเสี้ยวเศษความทุกข์ที่รุกโหม จนทรุดโทรมมานจนทนมิไหว บนทางเดินเหินห่างแรมร้างไกล เราโหยไห้ชอกช้ำลำพังเพียง
"ขอบคุณภาพจาก Internet ค่ะ" โอ้เจ้านกโพระดก เจ้ามาร้องโฮกป๊กแล้วไปไหน เห็นเจ้าบินจากป่ามาไวไว เกาะคอนใจแล้วลับคืนกลับพง จะจับตัวเจ้าไว้ไม่ให้จาก ใจนั้นอยากล่ามเจ้าไว้ไม่ให้หลง อยากเกาะกุมเจ้าใส่ไว้ในกรง เสกมนต์ลงจนเจ้าสิ้นสมปฤดี เป็นกรงทองของใจให้เจ้าอยู่ ปิดประตูลงสลักรักล้นปรี่ จะถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรตี ตราบชีวีวายวางไม่ห่างจร แต่เป็นได้เพียงรอวอนขอเจ้า แม้เพียงเงาขอชมโฉมสมร เจ้าอย่าบินเลยลับไม่กลับคอน พี่ร้าวรอนแสนเศร้าเจ้าไม่คืน
หนุ่มเคมี....ห้องแล็บแอบมองเหม่อ ทุกวันเจอนงคราญผ่านหน้าห้อง มือถือสารเคมีที่ทดลอง ได้แต่มองผิวเผินเธอเดินผ่าน หนุ่มเคมี-สาวชีวะพบปะบ่อย แล็บต้องคอยพึ่งพาค้นหาสาร ห้องติดกันชั้นสองต้องช่วยงาน ร่วมประสานประสิทธิ์ผลิตภัณฑ์ โรงงานใหญ่งานหนักพักผ่อนน้อย เห็นเนื้อกลอยผายผอมยอมโศกศัลย์ ถือตะกร้าเข้าไลน์ไม่เว้นวัน สู้บากบั่นทำงานนับนานปี พบกันยิ้มยามผ่านสราญจิต เสมือนมิตรรู้ใจในวิถี ตะกร้าคนละใบผูกไมตรี กำลังใจนั้นมีในแววตา วันหนึ่งเธอเข้าแล็บแอบกระซิบ ให้ช่วยหยิบถือของต้องมาหา ไร้คนช่วยด้วยหญิงจึงพึ่งพา หนุ่มอาสาช่วยไปไม่รีรอ เมื่อเคียงใกล้ได้ชิดสนิทสนม เธองามสมเพรียบพร้อมย่อมทดท้อ สำรวจตัวมอมแมมแถมมอซอ รูปไม่หล่อยากแค้นแสนระอา ข่าวตอกย้ำแฟนเธอเป็นวิศวะ รูปสุดจะหล่อเหลาเงินเนาหนา จำต้องถอยออกห่างอย่างระอา ด้วยน้อยหน้าเงินน้อยต่ำต้อยเรา กระจกใหญ่บานนั้นทุกวันนี้ ยังคงมีนางฟ้าใบหน้าเฉลา เดินผ่านไปทุกคราสง่าเงา แต่ว่างเปล่าคนมอง....ต้องทำใจ...
เป็นเพียงเสียงไถ่ถามความรู้สึก เป็นส่วนลึกในกมลของคนเขลา เป็นอะไร...คิดถึงได้...ไม่บรรเทา เป็นเพราะเราโง่งมจึงตรมใจ เพราะรู้ตัวว่าเป็นเช่นปลายก้อย จึงค่อยค่อยถามเขาว่าเหงาไหม แต่สิ่งที่พบเห็นเป็นนัยนัย เขามิมีเยื่อใยอาลัยเลย จึงจำต้องกล้ำกลืนฝืนความเจ็บ ที่หนาวเหน็บเก็บไว้ไม่กล้าเผย ฟังถ้อยคำเขาพร่ำร่ำภิเปรย เราแค่เคยคุ้นกันเท่านั้นเอง
จากวันแรกแบกใจมาให้รัก แต่วันนี้แบกกลับเพราะไม่ไหว เธอไม่เคยหมั่นคอยดูแลใจ ปล่อยทิ้งไว้จนหมอง..นองน้ำตา เคยสัญญาว่าจะเก็บไว้ในอก จะไม่ทำหล่นตกให้เสาะหา พอนานวันผ่านห้วงกาลเวลา สเน่หาเลือนลาง..ทางรักเรา เคยพูดจาหวานหูไม่รู้หาย แล้วกลับกลายเงียบงันฝันเลยเศร้า หลบสายตาตอบมาก็บางเบา เหมือนมีเงาซ่อนแอบแนบ..อีกคน คนไม่รักทำอะไร..ใช่คนผิด ปล่อยให้ติดวังวนจนสันสน นี่แระหนอรักแท้แค่เล่ห์กล ยากหยั่งถึงใจคนแม้คุ้นเคย คนที่ร้ายไม่ไกลจากใจนี้ แล้วคนดีอยู่ไหนไม่เห็นเผย วาสนาของคนถูกละเลย ได้กอดเกยความช้ำ..ทุกค่ำคืน
แค่คำแรกเพียงคำเดียวออกจากปาก ใจดุจหัตถ์บิดกระชากและทืบถม เสี้ยวปีติที่พบเธอกลับทุกตรม ข่มความขมที่แผ่ซ่านไปทั้งใจ ต้องทำเป็นไม่รู้ไม่แลเห็น แสร้งเอ่ยทักเหมือนเคยเป็นอย่างสดใส ทั้งน้ำตาหลั่งเป็นสายอยู่ภายใน ฝืนรีบไปให้พ้นหน้า... กลัวรำคาญ... วันเกิดเหตุ วันพุธที่ 2 พฤษภาคม 2555 ที่ห้องสมุดชั้น 4 Wednesday 5.27 p.m., May 16, 2012
เพียงหนึ่งห้วงเวลาได้มาพบ ก่อนฉากจบลบเลือนสะเทือนไหว ต้องหนาวเหน็บเจ็บช้ำระกำใจ สิ้นเยื่อใยไมตรีเคยมีมา แต่เมื่อสายลมหวนพัดทวนกลับ โอบประทับรับขวัญอันโหยหา ในวูบหนึ่งซาบซึ้งตรึงวิญญา แต่เวลามาพรากเราจากกัน จึงจำปล่อยอารมณ์เหมือนจมปลัก ให้ความรักหัวเราะอย่างเยาะหยัน ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวเปลี่ยวชีวัน สายสัมพันธ์จึงหยุดสะดุดลง เพียงสายลมพัดหวนทวนมาใหม่ พร้อมเยื่อใยด่ำดื่มมิลืมหลง มันตอกย้ำซ้ำซากไม่อาจปลง เขายังคงอยู่ในหัวใจเรา
หยุดซะเถอะหยุดก่อนจะอ่อนไหว เพียงเพราะใครเขาช้อนความอ่อนหวาน หยุดสักนิดคิดก่อนทรมาน เพียงเพราะใครเขาผ่านม่านหัวใจ หากเรายังเผลอใจในคืนนี้ คงไม่มีที่ให้ใจอาศัย หากเกินเลยกว่านี้ยากอภัย จะเหลือใครเข้าใจคงไม่มี ชั่ววูบหนึ่งที่หัวใจมันอาจเหงา คงไม่เท่าเสียใจมากกว่านี้ เธอและฉัน..ต่างก็รู้กันดี ว่าไม่มี..วันที่ฉันคู่เธอ! ค่ำคืนนี้"เรา"อาจต้องเสียใจ ปล่อยลิขิตขีดไว้ก่อนใจเผลอ คน..ของเธอ..ของฉัน..ไม่ต้องเจอ สิ่งที่ใจเราเพ้อ..คิดถึงกัน MV ส่งใจ http://www.youtube.com/watch?v=6sFO678giHk
ส่องกระจกคราใดให้นึกโกรธ อยากมีบทลงโทษ..คนตรงหน้า บอกไม่เคยจะจำเลยสักครา เป็นคนเจ้าน้ำตา..มาจนชิน เวลาทุ่มรักใครไม่เคยเผื่อ แม้ถูกเถือเลือดเนื้อแทบแดดิ้น ชอบลงทุนพนันรักอาจิณ น้ำตารินหมดใจไม่รู้ฟัง คนนิสัยไม่ดีไม่เคยห่วง ใครจะลวงมาแอบแนบความหวัง ไม่ระแวงแสดงหรือชิงชัง สิ่งที่ยัง คือ รักและภักดี ผลตอบแทนที่รับนับแต่แผล หวังรักแท้เท่าไหร่ใยหลีกหนี บอกให้รักตัวเองนั้นทุกที แต่ไม่มีค่าควร..ชวนเจ็บใจ หรือจะเรียก"สันดาน"จนเข้าเส้น ต่อให้เร้นหลีกลี้หนีไปไหน ค่าของคน.ผลรับหนักเพียงใด ก็เปลี่ยนแปลง"นิสัย"ไม่ได้เลย
ยามหัวใจสับสน คนไหนห่วง ยามปัญหาหนักหน่วง ห่วงบ้างไหม ยามที่ล้าทีท้อ..ไม่มีใคร แม้แต่คนใกล้ใจ ยังเงียบงัน ตัวคนเดียวบนทางที่ว่างเปล่า พร้อมกับหลากเรื่องราวที่ไหวสั่น หนาวก็กอดตัวเอง ไปวันวัน แม้แต่ฝันเรื่องราว ยังลอยวน เขียนบรรทึกเล่มเก่าเล่าความก่อน มีคนเศร้าอาวรณ์ นอนสับสน ไม่เหลือใครไม่เหลือใจที่ต้องทน ไม่ร้อนรน ร้าวราน ผ่านชีวี คลื่นไร้เสียงเพียงใดแค่ใจสั่ง มันก็ดั่งแค่ใน ..ใจโศกศรี น้ำใสใสไหลหยดรดฤดี เหมือนดนตรี บรรเลง เพลงโศกครวญ บนใบหน้าน้ำตารินไหลอาบ มันซึมซาบไร้เสียงที่ไห้หวน เหมือนเกลียวคลื่นใต้น้ำยามเรรวน พร้อมชนวน .คลื่นโถม ..ลมไล้แรง
แม้วันนี้ไม่มีแล้วเธอที่คอยห่วงใย ทั้งหมดใจยังคงรักและยังคิดหว่งหา ยังนึกถึงวันเวลาเก่าๆที่เราร่วมผูกพัน นึกถึงวันเหล่านั้นใจฉันยังแอบมีน้ำตา อยากบอกให้เธอรู้หนักหนาว่าฉันเสียใจ หากย้อนเวลากลับไปจะทำดีกับเธอไปทุกวัน ไม่ทำตัวเหมือนก่อนนั้นที่ฉันเอาแต่ผลักใส เธอทำดีให้ก็คืนไปแค่ความเย็นชา ขอโทษวันนี้เธอคงไม่หันมารับฟ้ง แต่อยากบอกให้เธอรู้อีกสักครั้ง ว่าวันนี้ฉันคิดถึงเธอเหลือเกิน เหงาที่ต้องเดินเพียงลำพัง มันเหงาแทบขาดใจเมื่อมองไปทางใดไม่มีใคร ก่อนนั้นยังดีที่มีเธอเดินอยู่เคียงใก้ล ฉันไม่เคยหวาดหวั่นต่อสิ่งใดแม้ใจสั่น เพิ่งรู้ว่าเธอนั้นสำคัญก็ในวันที่ฉันไม่มีเธอ
เมื่อก่อนบ้านของเธออยู่โคราช ชีวิตคู่ที่พลั้งพลาดเธอสับสน เสียพนันจากมั่งมีเป็นยากจน แฟนสุดทนขอเลิกราลาจากไป เธอจึงกลับขอนแก่นแดนบ้านเกิด หาพ่อแม่ที่ตะเพิดเคยผลักไส หางานทำจนตำแหน่งล้ำหน้าใคร แต่ไม่ทิ้งนิสัยแบบเดิมเดิม เธอเจ็บปวดทรมานจากความทุกข์ ล้มไม่ลุกและมีเหล้าคอยส่งเสริม ใช้สุราเป็นเครื่องคอยซ้ำเติม จนเงินทองไม่เคยเพิ่มเพราะเมรัย เด็กถามยายดึกแล้วแม่ไม่กลับ ยายบอกว่าความลับยิ่งสงสัย พอโตมารู้เรื่องราวว่าอย่างไร ทั้งเศร้าใจทั้งน้อยใจในแม่ตัว