สรรพสิ่งยิ่งย้ำธรรมชาติ ดารดาษธาตุธรรมกรรมฐาน ธรรมบทกฏกรรมธรรมบาล สรรพสารขานคำธรรมดา ผิดชอบชั่วดีมีหรือไม่ ในใจใครนั่งน่ากังขา ทำดีได้ดีไม่มีมา ทำชั่วมั่วฆ่าท้าเวรกรรม ความคิดอยู่ดูใจใครคิด ความถูกผิดจิตจูงสูงต่ำ ทางบาปบุญคุณโทษจดจำ ทางทำธรรมงำเงื่อนเลือนลาง ในวิถีทฤษฎีปฏิบัติ มุ่งขจัดอกุศลทนสะสาง กุศลจิตทฤษฎีวิถีทาง รู้ละวางข้างอบายขยายความ ศึกษาธรรมนำกุศลจนเข้าใจ เชื่อมั่นในกฏแห่งกรรมหมดคำถาม เริ่มจากใจให้รู้จริงอิงรูป-นาม รู้จิตยามโลภโกรธหลงส่งกำลัง สัมมาทิฏฐิ ชี้นำ กฏแห่งกรรมอริยสัจจ์เหตุปัจจัยไตรลักษณ์ หลักสอนสั่ง รู้ กุศลมูล อกุศลมูล บุญบาป ปัจจัตตัง เพื่อปลูกฝังต่อไปในมรรคา .......... ............................................................. โปรดฟังเพลง(?)โปรด http://www.youtube.com/watch?v=hkjRoIB4IiE&feature=related
Image Sharing เมื่อต้นไม้แสดงธรรมนำมาคิด ชี้ถูกผิดผลกรรมนำแก้ไข เตือนสติยับยั้งรู้ชั่งใจ ทำสิ่งใดใคร่ครวญถึงผลกรรม น้อมสดับรับฟังธรรมที่สอน ความซับซ้อนซ่อนเงือนอย่าถลำ หัดสังเกตพินิจใส่ใจจำ สัจธรรมยึดมั่นบ่มในทรวง ธรรมชาติสอนธรรมท่านทั้งหลาย ท่านหญิงชายเพียงเห็นค่าใหญ่หลวง ทั้งก้อนหินเศษดินซากสัตว์กลวง ใบไม้ร่วงจากขั้วชวนคิดตาม ทั้งรูปรสกลิ่นเสียงโสตสัมผัส คอยเร่งรัดเล้าโลมอย่างล้นหลาม เกิดกิเลสตัณหาพาลุกลาม ท่านต้องถามตามจิตคิดอย่างไร ต้องเรียนรู้ให้แจ้งแฝงปัญญา ธรรมชาตินำพาสิ่งขานไข เป็นจารึกขีดเขียนความเป็นไป กำหนดให้ไว้เป็นบทเรียนคน Image Hosting Site
สรรพสิ่งยิ่งย้ำธรรมชาติ ดารดาษธาตุธรรมกรรมฐาน ธรรมบทกฏกรรมธรรมบาล สรรพสารขานคำธรรมดา ผิดชอบชั่วดีมีหรือไม่ ในใจใครนั่งน่ากังขา ทำดีได้ดีไม่มีมา ทำชั่วมั่วฆ่าท้าเวรกรรม ความคิดอยู่ดูใจใครคิด ความถูกผิดจิตจูงสูงต่ำ ทางบาปบุญคุณโทษจดจำ ทางทำธรรมงำเงื่อนเลือนลาง ในวิถีทฤษฎีปฏิบัติ มุ่งขจัดอกุศลทนสะสาง กุศลจิตทฤษฎีวิถีทาง รู้ละวางข้างอบายขยายความ ศึกษาธรรมนำกุศลจนเข้าใจ เชื่อมั่นในกฏแห่งกรรมหมดคำถาม เริ่มจากใจให้รู้จริงอิงรูป-นาม รู้จิตยามโลภโกรธหลงส่งกำลัง สัมมาทิฏฐิ ชี้นำ กฏแห่งกรรม อริยสัจจ์ เหตุปัจจัย ไตรลักษณ์ หลักสอนสั่ง รู้ กุศลมูล อกุศลมูล บุญบาป ปัจจัตตัง เพื่อปลูกฝังต่อไปในมรรคา ..........
อยากจะพบนิพพานไม่พานพบ ตัณหากลบจิตใจให้หม่นหมอง คนไร้คู่อยากวิวาห์มาครอบครอง คนลูกสองทำงานหนักพักผ่อนรอ ขอร่ายกลอนสอนตนบนโลกฝัน หญิงชายนั้นเปรียบไฟคงใช่หนอ คนโสดอยากลองรักมาทักคลอ ต่างฝันง้อตามกันหมั่นเอาใจ ใกล้ผู้ชายอย่าด่วนคร่ำครวญนัก อย่าหลงรักอักษรนอนหลับใหล ฝันถึงเขาไหวหวิวปลิวลมไป กลับบ้านไม่ถูกทางผีสางลวง ช่วงวัยทองคะนองไปดูไม่เหมาะ หนุ่มออเซาะตามขวัญบรรเจิดสรวง พบกันจริงยิ่งดูคล้ายคู่ควง เขาอาจลวงสมบัติจัดฉากมา พากันไปวิมานในม่านเมฆ เพราะตัวเลขเงินทองต้องใจหนา ธรรมชาติหญิงชายได้เจรจา ต่างสรรหาคำหวานซาบซ่านทรวง ลวงว่าคิดถึงเธอพร่ำเพ้อหา เธอยังมาเปิดเผยเอ่ยคำหวง ทั้งหนุ่มแก่หลงแท้แม่พุ่มพวง พากันควงกินข้าวมองดาวพราย คล้ายยังไกลนิพพานอีกนานเนิ่น ดูผิวเผินศรัทธามาเลือนหาย ปากกับใจแตกต่างวางล่อชาย ทางสุดท้ายไร้คู่อยู่เอกา อย่ายึดติดหลงในไฟราคะ ไม่ลดละลืมตนปนตัณหา มือถือสากปากหวานผ่านอักษรา ข้อสามกาเมชั่วมั่วโลกีย์ มีข่าวนักเรียนไปในโรงหนัง ไม่ยับยั้งชั่งใจในศักดิ์ศรี ทำอุจาดกล้ามากอยากลองดี ข่าวแบบนี้ผู้ใหญ่ไยทำเมิน เพลินกันพอหรือยังระวังบ้าง โลกฝันช่างงดงามตามสรรเสริญ ใครกากีตัวจริงยิ่งเจริญ เพื่อนมากเดินตามกันฝันร่วมทาง บางรายทิ้งลูกไปไม่เคยเลี้ยง กำพร้าเพียงไร้พ่อรอแม่ห่าง สร้างภาพเป็นคนดีมีทุกทาง ลูกอ้างว้างอย่างไรไม่เคยแคร์ แต่ว่ากฏแห่งกรรมใครทำไว้ ชาตินี้ไม่อาจหนีมีบาดแผล
ทุกชีวิตแตกต่างบนทางฝัน ประสบการณ์นั้นมีค่าน่าศึกษา ต่างถูกผิดหลงบ้างกลางชีวา แก้ไขพาให้รอดอย่างปลอดภัย ให้เห็นค่าของตนอย่าทนเศร้า อาจมีเหงาทุกข์ใจไม่สดใส อย่าจมปลักรักใคร่ให้มากไป ถ้าเขาไม่เห็นค่าดูน่าอาย ตายเหมือนกันหวั่นไปทำไมเล่า ใจของเขาของตนบนความหมาย อาจอกหักสมหวังนั่งเดียวดาย ทั้งหญิงชายจงลุกทิ้งทุกข์นา หาความรู้ทุกวันขยันทำกิน อย่าดูหมิ่นเงินน้อยคอยวาสนา สองมือเท้าเท่ากันวันเวลา เกียจคร้านพาลำบากหากแก่ตัว มัวเมาในอบายมุขทุกขลาภ ลุ่มหลงภาพมายาน่าชวนหัว เห็นช้างขี้ตามช้างช่างน่ากลัว หนี้สินทั่วเกินตนจนกว่าเดิม รักษาศีลดีกว่าอย่าประมาท หมั่นตักบาตรทำบุญการุณย่่์เสริม ศึกษาธรรมเข้าใจได้เพิ่มเติม อัตตาเริ่มลดลงไม่หลงทาง ปาปานิ ปริวชฺชเย. พึงละเว้นบาปทั้งหลาย. ปาปานิ กมฺมานิ กโรนฺติ โมหา คนมักทำบาปกรรมเพราะความหลง นัตถิ ปาปํ อกุพฺพโต บาปไม่มีแก่ผู้ไม่ทำ
๏ ครบสองพันหกร้อย แรมปี ฉลองพุทธชยันตี ตรัสรู้ พุทธศาสน์จรัสเจริญศรี เถกิงศักดิ์ เฉลิมพ่างเพ็ญพิสุทธิ์ผู้ อร่ามเพี้ยงไผทผองฯ ๏ สองพันหกร้อยปี ศรีศรีเจริญพุทธเรืองรอง พระธรรมขานวิมุติสุขครอง เวียนมาครบบรรจบครา ๏ ตรัสรู้พุทธชยันตี แห่งบารมีองค์พระสัมมา เพ็ญแขวันวิสาขา วิสุทธิคุณปัญญาธิคุณ ๏ เถิดฉลองมาร่วมเฉลิม เถิดเฉลิมมาร่วมฉลอง ฉลองเสบียงเป็นกุศลบุญ พุทธวจนน้อมจิตหนุน รัตนตรัยนบกราบมโนใน ๏ ชนะมารทุกกิเลสมาร วิชชาชาญมหาธรรมชัย เทวาสวรรค์พลอยปิติไสว สิริสวัสดิ์พิพัฒน์ธราดล ๏ พุทธบูชาวิสาขมาส โลกาประกาศก้องทั่วสกล ตลอดฟ้าเวหาหน นครินทร์หอมถึงกลางหาว ๏ ตื่นรู้เบิกบานเรียง คืนดวงเรียงงามดาวราว ศรัทธรรมทุกคำพราว สัมฤทธิ์ผลผู้ประพฤติพลัน ๏ ครบสองพันหกร้อย ปีเรียง พุทธชยันตีเคียง ผ่องคล้อง ปรีดิ์เกษมกล่าวบอกเสียง เถลิงศก ชวนพี่หนอเชิญน้อง ร่วมนี้พิธีสนาน เชิญเพื่อนและชวนพ้อง ทั่วพื้นฉลองผล ๚ะ๛ คอนพูทน
ผู้มีธรรมนำใจจะไร้โทษ ปลดบ่วงโกรธเกลียดชังรู้ยั้งคิด เพราะหลักธรรมน้อมนำกำกับจิต มีชีวิตเชื่อหลักกรรมทำสิ่งดี ความแตกแยกแตกใจในกลุ่มพ้อง หากเพ่งมองถึงฐานการแบ่งสี เพราะความต่างแห่งศรัทธาประดามี แต่มิใช่ศรัทธาที่ทรงแสดง ศรัทธาสี่ที่พระองค์ผู้ทรงธรรม จักน้อมนำผู้ศรัทธาเสาะแสวง ความสิ้นทุกข์สิ้นภัยมาทิ่มแทง รู้สงบจากแก่งแย่งอำนาจใด สิ่งที่เห็นสิ่งที่เป็นในพารา หากมองด้วยศรัทธากรรมเลื่อมใส ก็จะเห็นวิบากกรรมดำเนินไป เห็นกรรมใหม่ที่แตกต่างทางความคิด จะมีสีสองสามมาตามตี ปฏิวัติจะมีหรือหมดสิทธิ์ ไม่กระทบวิสาขะเลยสักนิด เพราะกุศลเกิดที่จิตเป็นสำคัญ ผู้ทำชั่วย่อมได้ชั่วทุกตัวคน อ้างเหตุผลก็ไม่พ้นกรรมจัดสรร ผู้ทำดีย่อมได้ดีสู่ชีวัน ดี-ชั่วนั้นต้องตรงธรรมตามหลักการ การทำใจให้ห่างจางกิเลส นั่นคือการสร้างเหตุแห่งสุขศานต์ ดำเนินตามชัยมงคลพ้นกันดาร ร่วมฉลองพุทธชยันตีผ่าน ๒๖๐๐ ปี
๒๖ ศตวรรษ แห่งการตรัสรู้ สัพพัญญูผู้รู้แจ้งเหตุแห่งทุกข์ คิดค้นศาสตร์ประกาศความนำมาปลุก ให้ตื่นลุกเพื่อลดละ..อวิชชา ฉลองชัยได้ตรัสรู้อยู่ ๗ ราตรี ทบทวนธรรมเพื่อนำชี้ไม่มีกังขา เสวยสุขวิมุติแจ้งแห่งปัญญา ก่อนเดินป่าโปรดปัญจวัคคีย์ที่คุ้นกัน อริยสัจสี่.. ฤกษ์ดีคลี่ปีกขยาย เริ่มกระจายไปทั่วแห่งที่แจ้งนั่น ปฐมเทศนา ณ ป่ามฤคทายวัน ห้วงเพ็ญจันทร์ วันอาสาฬหปูรณมี ฉลองชัย หรือปราชัยครวญใคร่คิด ทำชีวิตจิตของตนพ้นหรือนี่ อย่าอวดรู้ตู่ตนกลวิธี วิมุติวิถีที่มีนั้น..มันใช่ผล สีลัพพตปรามาส.. ฉลาดหรือ ? แค่ยึดถือแต่เปลือกนอกบอกหลุดพ้น แก่นแห่งพุทธพิสุทธิ์ใสยังไม่ยล ยังลวงคนว่าพ้นเหตุ กิเลสแห่งทุกข์ มือถือสากปากถือศีลไม่สิ้นหนอ ยังสอพลอฉลองชัยให้สนุก จนงานเลิก แต่ตัวตนหาพ้นทุกข์ โดยไม่ฉุกคิดปฏิบัติ ปฎิเวธ... ฉลองชัยให้ตนเองที่เกรงบาป จิตกำราบกิเลสลงคงควรเหตุ ไม่เห็นธรรมร่ำฉลองมองสังเวช หาใช่เหตุเจตนา.. พุทธชยันตี ๒๖ ศตวรรษ จากการตรัสรู้ หากยังตู่ว่ารู้แจ้งแห่งวิถี อวดอุตริมนุษยธรรม อลัชชี อวิชชาชยันตี.. อยู่นี่เอง ! @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@ สีลัพพตปรามาส .... สีลัพพตปรามาส (บาลี: สีลพฺพตปรามาส) เป็นศัพท์ในพระไตรปิฎกเถรวาท หมายความถึงความยึดมั่นถือมั่นอยู่ในสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือศีลพรตภายนอกพระพุทธศาสนา หรือความยึดมั่นถือมั่นในการบำเพ็ญเพียงกายและวาจาตามหลักธรรม พระพุทธศาสนา (ศีล) ของตนว่าเป็นสิ่งที่ป
รุ่งอรุณอุ่นใจในธรรมชาติ นภาวาดสีงามฟ้าครามขาว ตะวันสาดส่องหญ้าพฤกษาพราว รับวันเช้าแจ่มใสละไมทรวง เดินทางไปตักบาตรปราศจากทุกข์ รับศีลสุขสงบจริงยิ่งแมนสรวง แผ่เมตตาสัตว์โลกอย่าโศกครวญ อภัยชวนฝึกไว้ให้จิตงาม เนื้อนาบุญหมั่นสร้างทางสวรรค์ กุศลพลันมีมากไร้ขวากหนาม ทุกชีวิตต่างกรรมนำทางตาม ความดีงามคงอยู่คู่โลกา สุขสงบใดไหนเล่าเท่าธรรมะ เลิกลดละกิเลศเหตุปรารถนา พึงพอใจปัจจุบันสรรค์สร้างมา เพียงพออย่าร้อนรนจนทุกข์ครอง เสียสละช่วยเหลือเผื่ิอแผ่บ้าง บนโลกกว้างห่างไกลไทยทั้งผอง สามัคคีแบ่งปันตามครรลอง ดั่งพี่น้องรวมใจชาติไทยเจริญ ทุกวันอาทิตย์เราจะนำอาหารคาว หวาน ผลไม้ไปใส่บาตรกันค่ะ ลูกคนเล็ก เป็นเด็กวัด ดูมีความสุข สงบดีนะคะ ลูกจะแสดงคอนเสริตกับวงออเคสตราของโรงเรียน วันพุธที่จะถึงนี้ ซ้อมไวโอลินหนักทุกวันเลยค่ะ พ่อแม่พาลูกเข้าวัด ปลอดภัยและได้บุญดีค่ะ นั่งชมบรรยากาศหลังวัด วันนี้อนงค์นางได้รับคู่มือธรรมศึกษาตรีจากทางวัด เพราะอนงค์นางเคยขอยืมไว้เพื่อสมัครเรียนและเตรียมสอบเดือนเมษายนปีหน้า จะมีคณะสงฆ์จากสนามหลวง บินมาทำการสอบให้พุทธศาสนิกชนในต่างแดนค่ะ โรงเรียนวัดปิดเทอมแล้วค่ะ วันเสาร์หน้าจะมีการแสดงนาฏฺศิลป์ ดนตรีไทยของนักเรียน ฝึกซ้อมโดยครูประจำการที่ผ่านการสอบคัดเลือกมาจากเมืองไทยค่ะ เด็กนักเรียนพากันวิ่งเล่นใต้ต้นไม้อันร่มรื่น ครูอาสานั่งอ่านตำราเตรียมสอบอยู่ใกล้ๆ พ่อแม่พาลูกเข้าวัด ป
คำกลอนของท่านพุทธทาสมีมากกว่า 100 บท แต่ละบทมีเนื้อหาสาระและมีความไพเราะเพราะพริ้งราวกวีรังสรรค์ ดังที่ผมคัดสรรมาสำหรับประกอบบทความในครั้งนี้เพียง 4 บท บทกลอนสอนใจบทแรก ท่านตั้งหัวข้อว่า มองแต่แง่ดีเถิด (บทกลอนบทนี้จัดว่าเป็นกลอนยอดฮิต คนทั่วไปมักรู้จักและท่องได้) เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา จงเลือกเอา ส่วนที่ดี เขามีอยู่ เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย จะหาคน มีดี โดยส่วนเดียว อย่ามัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเลย ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริง บทกลอนที่ 2 ว่าด้วย เป็นอยู่ด้วยจิตว่าง จงทำงาน ทุกชนิด ด้วยจิตว่าง ยกผลงาน ให้ความว่าง ทุกอย่างสิ้น กินอาหาร ของความว่าง อย่างพระกิน ตายเสร็จสิ้น แล้วในตัว แต่หัวที ท่านผู้ใด ว่างได้ ดังว่ามา ไม่มีท่า ทุกข์ทน หม่นหมองศรี ศิลปะ ในชีวิต ชนิดนี้ เป็น เคล็ด ที่ ใครคิดได้ สบายเอย บทกลอนที่ 3 ว่าด้วย การงานคือการปฏิบัติธรรม อันการงาน คือคุณค่า ของมนุษย์ ของมีเกียรติ สูงสุด อย่าสงสัย ถ้าสนุก ด้วยการงาน เบิกบานใจ ไม่เท่าไร ได้รู้ธรรม ฉ่ำซึ่งจริง เพราะการงาน เป็นตัวการ ประพฤติธรรม กุศลกรรม กล้ำปนมา มีค่ายิ่ง ถ้าจะเปรียบ ก็เปรียบคน ฉลาดยิง นัดเดียววิ่ง เก็บนก หลายพวกมา คือการงาน นั้นต้องทำ ด้วยสติ มีสมาธิ ขันติ มีอุตสาห์ มีสัจจะ มีทมะ มีปัญญา มีศรัทธา และกล้าหาญ รักงานจริง สุดท้ายเป็น
เวลา มิอาจ ย้อนหลัง หลายอย่าง จึงน่า เสียดาย หลายเรื่อง หลายราว มากมาย เสียดาย ที่ไม่ ได้ทำ เวลา มิอาจ หวนคืน ขมขื่น และเจ็บ ชอกช้ำ เลวร้าย เคยได้ กระทำ ตอกย้ำ ช้ำจิต ชีวิตตรม เวลา มีแต่ ผ่านเลย มิควร เพิกเฉย ฝึกข่ม กิเลส ตัณหา โสมม ก่อทุกข์ ระทม ขมขื่นใจ เวลา มีแต่ ผ่านเลย มนุษย์เอ๋ย พึงเอา ใจใส่ สะสม กรรมดี ให้มากมาย ดั่งฝาก ทรัพย์ไว้ ธนาคาร สัจจะ แห่งกาล เวลา นำพา เสื่อมถอย สังขาร เติบโต เต่งตึง หย่อนยาน วายปราณ มอดไหม้ ในกองเพลิง สุขกาย หาใช่ สุขแท้ ไตร่ตรอง ให้แน่ อย่าเหลิง ใครเล่า กายตน พ้นเพลิง อย่ามัว ระเริง สุขมายา ครั้นถึง ซึ่งวัน ดับดิ้น สุดสิ้น แห่งร่าง สังขาร์ อิสระ จากกาย คือวิญญาณ์ ผ่องผุด โสภา สู่สวรรค์
เดี๋ยวฟุ้งซ่านงุ่นง่านเดี๋ยวง่วงเหงา เดี๋ยวซึมเซาสงบเดี๋ยวสงสัย เดี๋ยวโกรธเกลียดเดือดดาลรำคาญใจ เดี๋ยวยึดไว้ท้อถอยเดี๋ยวปล่อยวาง เดี๋ยวปวดหัวตัวร้อนนอนเป็นไข้ เดี๋ยวห่วงใยคิดถึงเดี๋ยวอ้างว้าง เดี๋ยวอวดดีมีมานะไม่ละวาง เดี๋ยวยิ้มกว้างร้องไห้ไม่พูดจา เดี๋ยวปวดเข่าคันขาชาไปทั่ว เดี๋ยวเบาตัวท้องจุกทุกข์หนักหนา เดี๋ยวซู๊กสุข..เฉ๊ยเฉยเดี๋ยวเย็นชา นี่กูบ้า..หรือเปล่า..ไม่เข้าใจ ..คืออารมณ์วิปัสสนาปรากฏแจ้ง " ทุกข์ " แสดงให้กำหนดเป็นบทใหญ่ " อนิจจา" เกิดขึ้นแล้วดับไป " อนัตตา " มิใช่ใครบันดาล ยืน..เดิน..นั่ง..กิน..ถ่าย ฯลฯ...ให้รู้เห็น ความเพียรเด่น,สติมา,ปัญญาผสาน ไม่เผลอ,เพ่ง..เร่งศึกษาอานาปานฯ " วิปัสสนาญาณ" เกิดที่นี่..เดี๋ยวนี้เอย ฯ จากหนังสือ...สุขง่ายๆ แค่ปลายจมูก (ฉบับขยายความ) โดยพระมหาวิเชียร ชินวังโส